เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ช่วงนี้นอกจากพระใหม่ที่ต้องไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดปรังกาสีแล้ว พระวัดเราที่เป็นกองงานเลขานุการและพระวิปัสสนาจารย์ ก็ยังต้องไปประจำอยู่ที่นั่นด้วย แล้วถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพว่างเว้นจากภารกิจ ก็จะพยายามไปให้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ของพระใหม่

    อย่างที่ได้กล่าวไปตอนบรรยายให้พระใหม่ฟังว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดไปนั้น ไม่หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจ แต่ให้ทุกท่านได้รับฟังเอาไว้ ถ้าหากว่าท่านทำถึงเมื่อไร จะได้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    ความจริงแล้วในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นข้อกลางของไตรสิกขา ก็คือ ศีล สมาธิและปัญญา ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว สติแหลมคมว่องไว ก็จะควบคุมศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว สภาพจิตสงบสงัด ก็จะมีปัญญาพินิจพิจารณาข้อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนรู้แจ้งแทงตลอดได้

    เพียงแต่ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่าไม่มีกัลยาณมิตรที่เป็นครูบาอาจารย์คอยบอก คอยกล่าว บางอย่างกว่าที่เราจะเข้าถึงหรือว่าก้าวผ่านได้ ก็อาจจะต้องใช้เวลานานหลายปี

    วันนี้จากการที่ดูพระใหม่ทั้งหลายกราบท่านอาจารย์พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ก็รู้สึกว่า ๓ วันที่ผ่านมา หรือจะว่าจริง ๆ ก็แค่ ๒ วันครึ่ง ถือว่าการปฏิบัตินั้นได้ผล เพราะว่าการปฏิบัติธรรมได้ผล หรือไม่ได้ผลนั้น การแสดงออกทาง กาย วาจา และใจ จะปรากฏอย่างชัดเจน

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกเอาไว้ว่า พระวัดท่าขนุนนั่งอยู่ที่ไหน มองไปก็เห็นหมด เพราะว่าลักษณะท่าทางจะไม่เหมือนกับพระภิกษุสามเณรทั่วไป เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วผ่านการปฏิบัติธรรมมาก่อน บุคคลที่มีประสบการณ์มองดูก็รู้ว่า คนนี้เคยปฏิบัติธรรมมา แล้วถ้าหากว่ายิ่งได้เสวนาด้วยก็จะยิ่งชัดเจน

    เพราะว่าบุคคลที่ปฏิบัติธรรมมา สิ่งที่คิด คำที่พูด กายที่ทำ จะอยู่ในกรอบที่พอเหมาะพอดี ยิ่งถ้าหากว่าอยู่ในระดับที่ปฏิบัติแล้วเข้าถึงอารมณ์ใจใหม่ ๆ บางคนเหมือนกับเป็นใบ้ ไม่อยากสุงสิงเสวนากับใครทั้งนั้น เพราะว่าเสียเวลาในการรักษาอารมณ์ใจของตนเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ตัวกระผม/อาตมภาพเอง เริ่มทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมตอนอายุ ๑๖ ปี เก้าปีผ่านไป ถึงอายุ ๒๕ แทบจะไม่พูดไม่จากับใครเลย เพราะว่าต้องคอยรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติธรรมเอาไว้ให้ต่อเนื่อง

    ยิ่งในช่วงที่ฝึกกสิณต่าง ๆ ยิ่งจำเป็น เพราะว่าการรักษาภาพกสิณเอาไว้นั้น จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ภาพกสิณต้องปรากฏชัดอยู่ในห้วงนึก เผลอเมื่อไรก็หลุดหายไป สภาพจิตที่ระมัดระวังตอนนั้นเหมือนกับเลี้ยงลูกแก้วบนปลายเข็ม เผลอเมื่อไร ลูกแก้วก็ตกแตก เราต้องมาเริ่มต้นใหม่


    แต่พอมาฝึกมโนมยิทธิได้ ตอนอายุ ๑๙ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พยายามฝึกฝนทบทวน จนกระทั่งโดนครูบาอาจารย์ไล่ออกมาจากวงฝึก เพราะว่าไปทำเขาเสียหมด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าครูฝึกเอ่ยปากคำแรก กระผม/อาตมภาพจะรู้แล้วว่าทั้งประโยคนั้นคืออะไร แล้วก็ชิงตอบก่อน ขณะที่คนอื่นก็ "เอ๋อรับประทาน" กันหมด ทำให้การฝึกของผู้ร่วมวงเสียหายหมด เพราะคนอื่นยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร

    กระผม/อาตมภาพจึงโดนครูฝึกไล่ออกมา พร้อมกับข้อหาว่า "มาลองดี" เดินหน้าเหี่ยวออกจากห้องฝึกมา

    ความจริงกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ต้องการอะไร ต้องการแค่ความคล่องตัวและชัดเจน ยิ่งต้องการความคล่องตัวและชัดเจนมากเท่าไร ก็ต้องยิ่งฝึกซ้อมให้มากเท่านั้น แล้วการซักซ้อมนั้น เราจะรู้ว่าถูกหรือผิด ก็ต้องมีครูคอยบอก เดินออกมาข้างนอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับสังฆทานช่วงบ่ายอยู่ ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า "คล่องตัวขนาดนั้น ไปเป็นครูฝึกเขาได้แล้วลูก"

    กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่มีความมั่นใจอยู่ดี คือรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ แต่ในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่าไปเป็นครูฝึกได้ เดือนต่อไปก็เข้าไปสอน ปรากฏว่าการสอนนั้นก็ไปเจอลูกศิษย์มหัศจรรย์ เพราะว่าครูฝึกมักจะเลี่ยงวงที่มีผู้สูงอายุอยู่ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้วไปไม่รอด แต่กระผม/อาตมภาพกลับโชคดี ไปเจอผู้สูงอายุแบบมหัศจรรย์ คือมีความคล่องตัวมาก ไม่ว่าจะหลอกล่อแบบไหนก็ ไม่สามารถที่จะหลอกได้ ถามอะไรไปก็ตอบถูกหมด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อนำทุกคนไปพระนิพพานได้แล้ว ก็ให้รักษาใจเอาไว้ตรงจุดนั้น มีอะไรอยากรู้ก็กราบเรียนถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาเอง ตัวเองก็ไปสอนกลุ่มอื่นต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มที่โดนทอดทิ้งเหมือนเดิม ปรากฏว่าทุกกลุ่มที่เข้าไป สามารถที่จะยกใจของตนเองขึ้นสู่พระนิพพานได้ อาจจะเป็นเพราะว่ากระผม/อาตมภาพรู้ว่า ตอนนี้กำลังใจของเขาอยู่ในระดับไหน จึงสามารถที่จะบอกได้ถูกต้อง

    โดยเฉพาะมีอยู่ท่านหนึ่ง ฝึกกรรมฐานสายอื่นมา คือฝึกมาในสายธรรมกาย ไม่ได้มาเริ่มด้วยมโนมยิทธิ ขณะที่คนอื่นตอบคำถามตามที่กระผม/อาตมภาพตะล่อมกำลังใจเพื่อจะให้ยกจิตขึ้นไปสู่พระนิพพาน เขามีความสุขอยู่กับการกำหนดภาพพระในลูกแก้วของตนเอง ไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับใคร จนกระทั่งอีก ๔ คนไปรออยู่ที่พระนิพพานหมดแล้ว ถึงมีโอกาสหันมาถามเขาว่า "ภาพพระในลูกแก้วยังชัดเจนแจ่มใสดีใช่ไหม ?" เขาถึงได้หลุดปากออกมาคำแรกว่า "ใช่"


    กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เมื่อเห็นพระองค์ท่านคือคุณอยู่กับพระองค์ท่าน เมื่อคุณอยู่กับพระองค์ท่าน คือคุณอยู่บนพระนิพพาน ให้ตั้งใจน้อมจิตกราบลงไปตรงนั้น" เขาร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้นเอง ก็ไม่นึกว่าการไปพระนิพพานจะง่ายแบบนี้


    แต่เมื่อไปรายงานยอดว่าวันนี้สอนไปพระนิพพานได้ ๑๙ คน โดนบรรดารุ่นพี่ดุเอาว่า "จะเก่งเกินไปไหม ?" เพราะแต่ละคนสอนได้ ๒ คน ๓ คนก็เก่งมากแล้ว พอการสอนครั้งต่อไปก็เลยมีรุ่นพี่รุ่นป้ามาแอบฟัง แล้วก็ไปสรุปกันเองว่า "ไอ้ตี๋เล็กมันสอนโดยที่ไม่ตัดขันธ์ ๕ เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาคนไปพระนิพพานได้" กระผม/อาตมภาพก็มานั่งคิดว่า การที่เราบอกเขาว่า "ต่อให้ตายลงไปตอนนี้เราก็ยอม เพื่อแลกกับพระนิพพาน" ถ้าไม่ใช่การตัดขันธ์ ๕ กูก็ไม่รู้ว่าจะตัดอย่างไร !?


    พอเวลาลูกศิษย์มีปัญหาสงสัย ก็มักจะไปสอบถามบรรดาครูฝึกผู้ใหญ่ กระผม/อาตมภาพนั่งฟังอยู่ บางทีได้ยินคำตอบที่ผิด มีความรู้สึกว่า "เราจะไม่พูดกับคนไม่ได้แล้ว เพราะว่าถ้าหากว่าเราไม่พูด คนไม่กล้าเข้าใกล้ เขาจะเสียประโยชน์เอง โดยเฉพาะท่านที่ได้รับคำตอบผิด ๆ ไป อาจจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย"

    ดังนั้น...จึงเริ่มตอบปัญหาธรรมตั้งแต่ตอนช่วงอายุ ๒๕ ปี คือปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แล้วก็ลากยาวมาจนทุกวันนี้ นี่คือสาเหตุที่ว่าจากคนที่ไม่พูดเลย ทำไมมาพูด แล้วไม่ค่อยอยากจะหยุด..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในส่วนของการฝึกกรรมฐานต่าง ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงถึงได้บอกหนักหนาว่า "ถ้าครูฝึกไม่มีความคล่องตัวในเจโตปริยญาณ อาจจะพาลูกศิษย์ให้เสียได้"

    เมื่อกระผม/อาตมภาพมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในการนำนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี (วัดไร่ขิง) หรือว่าวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ถึงได้มีแต่คนเรียกร้องว่า "ถ้าพระวิปัสสนาจารย์ในช่วงปฏิบัติธรรมประจำปี ต้องเป็นหลวงพ่อเล็กเท่านั้น"

    เหตุที่เรียกร้องก็ไม่ใช่อะไร เพราะว่ากระผม/อาตมภาพให้กรรมฐานที่พอเหมาะพอดีกับกำลังใจของพวกเขา ขณะที่คนอื่นส่วนใหญ่แล้วเครียดเกินไป มากเกินไป ไม่รู้ความต้องการของลูกศิษย์ จึงเป็นเหตุให้โดนต่อต้านอยู่เสมอ

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าพระใหม่ของเราที่ฝึกปฏิบัติธรรมอยู่กลับมา ถ้าทุกคนเห็นท่านเงียบ ๆ อยู่ ขอให้รู้ว่าท่านกำลังรักษากำลังใจที่ทำได้ อย่าพยายามไปก่อกวนหรือชวนคุย อย่างน้อย ๆ ให้เขารักษากำลังใจได้สัก ๓ วัน ๕ วันก็ยังดี

    บุคคลที่เคยได้รับความสงบทางใจแล้ว เหมือนกับคนที่เคยกินอาหารอร่อยระดับเชลล์ชวนชิม ในเมื่อไม่สามารถจะหากินได้อีก ก็ต้องตะเกียกตะกายทำกินเอง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปฏิบัติธรรมแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่ต้องบังคับก็ทำเอง จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องระมัดระวังว่า บางทีเห็นท่านเงียบ ๆ อยู่แล้วไปชวนคุย บางทีอาจจะพาท่านเสียเลยก็ได้


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...