เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เช้ามาก็ได้ทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ด้วยความปรารถนาอย่างยิ่งว่า "ติดเชื้อสักทีเถอะ จะได้พักยาว ๆ" แต่ปรากฏว่าผิดหวังอีกตามเคย

    หลังจากนั้นก็ออกไปทำการอุปสมบทหมู่ ปีนี้ได้พระใหม่ที่ตั้งใจบวชเพื่อจำพรรษาจำนวน ๘ รูปด้วยกัน บวกกับของเก่าที่บวชมาตั้งแต่หลังออกพรรษา คือช่วงลอยกระทงปี ๒๕๖๔ ก็จะมีพระใหม่ทั้งสิ้น ๑๓ รูป แต่ว่ามี ๒ รูปที่ขอไปจำพรรษาอยู่ที่ทางสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แล้วทางวัดวังปะโท่ก็ได้ขอพระมาอีก ๒ รูป จึงทำให้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนนี้ มีทั้งหมดตามรายชื่อคือ ๔๘ รูป พร้อมกับสามเณรอีก ๑ รูป ซึ่งสามเณรที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวนี้ อายุก็จะครบบวชอยู่แล้ว กำลังรอว่าเมื่อไรสามเณรจะตัดสินใจกล้าบวชเสียที..!

    ในส่วนของการบวชพระนั้น พิธีการบวช ถ้าหากว่ามีพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด และพระอันดับ ครบถ้วนตามพระบรมพุทธานุญาต ก็สามารถที่จะบวชได้ เพียงแต่ว่าหลังจากที่บวชแล้วต่างหากจึงเป็นเรื่องยาก ว่าทำอย่างไรที่ท่านทั้งหลายจะสามารถดำรงคงอยู่ในสมณเพศ อย่างชนิดที่อยู่สุขอยู่เย็นได้

    ตัวกระผม/อาตมภาพนั้น ทุ่มเทกับการฝึกสมาธิ ฝึกสมาบัติต่าง ๆ เป็นเวลาถึง ๑๑ ปีต่อเนื่องกัน ก็ยังไม่กล้าที่จะบวช และเมื่อคิดตก รับปากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบวชเข้าไปแล้ว ในช่วง ๒ - ๓ พรรษาแรก ก็ยังอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ หน..!
    ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากที่พยายามฝึกฝน ขัดเกลาตนเองเรื่อยมา ก็ค้นพบว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าตนเองประมาท เปิดโอกาสให้กิเลสมีโอกาสเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาได้

    ตรงจุดนี้ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาสก็ตาม ในระยะแรกก็มักจะทำเหมือนกันหมด ก็คือฝึกปฏิบัติอย่างทุ่มเทมาก บางคนนั่งกรรมฐานทีหนึ่ง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง หรือว่าเป็นวันเป็นคืน แต่ว่าหลังจากที่เลิกนั่งกรรมฐานแล้ว ก็มักจะเลิกแล้วเลิกเลย ก็คือไม่ได้รักษาอารมณ์ใจที่ตนเองทำได้
    นั้นเอาไว้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การปฏิบัติธรรมที่เป็นการทวนกระแสโลก ก็เหมือนกับตัวเราว่ายทวนน้ำ ในเมื่อว่ายขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว กลับไม่ได้ตั้งใจที่จะรักษาระดับเอาไว้ รามือปล่อยให้ตัวเองลอยตามน้ำไป เมื่อถึงเวลาก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไปอีก ลักษณะเช่นนี้ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า กลายเป็นคนที่ขยันมาก ฝึกปฏิบัติอยู่ทุกวัน แต่หาความเจริญก้าวหน้าอะไรไม่ได้เลย

    ในเมื่อเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว เราก็ต้องตั้งสติระมัดระวัง คอยประคับประคองกำลังใจของเราที่ได้จากการปฏิบัติภาวนาเอาไว้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    คำว่า ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็คือไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใดคือ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า นวจริยา เราก็ต้องมีอารมณ์ใจที่นิ่งสงบเท่ากับตอนที่เราเจริญกรรมฐาน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะปล่อยให้กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามาในใจได้ เพราะว่าทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจก็ครุ่นคิดไปถึงไหนแล้ว

    ทำอย่างไรที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้มั่นคง อยู่กับการที่ว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส โดยระมัดระวังไม่ให้เข้ามาสู่ใจของเราได้

    ตรงนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของบุคคลที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลายจะก้าวหน้าหรือว่าไม่ก้าวหน้า ก้าวหน้ามาก หรือว่าก้าวหน้าน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่าน ที่จะประคับประคองรักษากำลังใจของตนนั้น เอาไว้ได้นานมากน้อยแค่ไหน

    ยิ่งกำลังใจสงบมาก รักษาได้นานมาก ปัญญาก็ยิ่งเกิดมาก ท่านก็จะเห็นลู่ทางว่า ทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจของตน ไม่ให้กิเลสต่าง ๆ เข้ามากินใจของเราได้
    เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ท่านก็จะมีโอกาสในการชนะกิเลสได้บ้าง เหตุที่ใช้คำว่าชนะกิเลสได้บ้าง ก็เพราะว่ากิเลสนั้นสามารถมาได้ทุกแง่ ทุกมุม ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที กิเลสสามารถที่จะนำคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว มาเป็นเครื่องทดสอบของเราได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    โดยปกติแล้ว คนทั่วไปถึงเวลากล่าววาจาโดยไม่คิดเพราะว่าขาดสติ แต่เราเองดันไปถือสา ไปปรุงแต่ง ไปโกรธเคือง ก็ทำให้ตัวเราเองเสียกำลังใจ โกรธเขาไปเป็นวันเป็นคืน ขณะที่คนพูดเองยังไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่ว่าบุคคลที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เรามากที่สุด ก็มักจะเป็นบุคคลที่เรารักมากที่สุดเสียด้วย ทำอย่างไรที่ท่านจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส โดยที่ไม่ให้ใจไปนึกคิดปรุงแต่งตาม

    ระยะแรกเราอาจจะยังทำไม่ได้ ก็ให้วางกำลังใจทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนา ตามรู้ลมเข้าไปจนสุด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนา ตามรู้ลมออกมาจนสุด เท่ากับว่ากำลังใจของเราไม่ได้ปรุงแต่งไปในอดีต ไม่ได้ปรุงแต่งไปในอนาคต หากแต่ว่าหยุดอยู่กับปัจจุบัน คือลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า ถ้าเราสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ได้ กิเลสต่าง ๆ ก็โดนจำกัดเขต ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้มากนัก

    แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเผลอสติเมื่อไร เราก็จะหลุดออกจากอารมณ์นี้ แล้วเมื่อนั้นกิเลสทั้งหลายก็จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย ทำให้ท่านทั้งหลายจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เสียผู้เสียคนไปเป็นวันเป็นเดือน บางท่านก็เสียไปเป็นปี ๆ ไม่สามารถที่จะตีคืนมาได้

    ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอาจารย์ใหญ่รูปหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิของเรา ก่อนหน้านี้เป็นพระปฏิบัติที่มีชื่อเสียงมาก มีญาติโยมเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก แต่ว่าเผลอสติให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้ ทำให้แปรเปลี่ยนไปจากแนวทางในการปฏิบัติ จากที่ตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลงได้ ก็กลายเป็น รัก โลภ โกรธ หลง เจริญงอกงามเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่กระผม/อาตมภาพต้องดุว่าไปแรง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นระดับครูบาอาจารย์..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านเป็นเจ้าอาวาส ตัวของกระผม/อาตมภาพตอนนั้นเป็นเจ้าคณะตำบล ถือว่าอยู่ในระดับผู้บังคับบัญชา หรือว่าถ้าหากว่านับตำแหน่งในตอนนี้ คือรองเจ้าคณะอำเภอ ก็ยิ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงเข้าไปอีก จึงได้ดุท่านไปแรง ๆ เพื่อที่ให้ท่านได้สติ พร้อมกับบอกกับท่านว่า "กระผมจะรอวันเวลาที่หลวงพ่อสามารถตีกำลังใจกลับคืนมาได้ ถ้าหากว่าถึงวันนั้น กระผม/อาตมภาพจะกราบขอขมาหลวงพ่อ ที่ได้ว่ากล่าวไปแรง ๆ ในวันนี้"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องนี้ที่เป็นตัวอย่างก็เพราะว่า พระภิกษุสามเณรของเรานั้น ส่วนหนึ่งก็อ่อนด้อยในเรื่องของสมาธิสมาบัติ แล้วจะไปกล่าวถึงในเรื่องของปัญญา ก็ไม่ต้องพูดถึง

    ตัวของกระผม/อาตมภาพเองที่สั่งสมในเรื่องสมาธิสมาบัติมาถึง ๑๑ ปีเต็ม ๆ ทำจนทุกคนก็บอกว่า "บ้า" แต่เมื่อบวชเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะว่าปัญญาไม่พอ โดนตีแล้วตีอีก โดนสอยแล้วสอยอีก ล้มลุกคลุกคลานวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง อยากจะสึกหนีไปให้พ้น ๆ..!

    แต่ด้วยความที่เป็นบุคคลซึ่งถ้าหากว่าทำอะไรไม่สำเร็จก็จะไม่เลิก จึงหน้าด้านอยู่มาจน ๓๐ กว่า เกือบ ๔๐ ปี อย่างปัจจุบันนี้ พูดง่าย ๆ ว่าในเมื่อเอ็งมีปัญญาตี ข้าก็มีปัญญาสู้ ต่อให้แพ้กี่ครั้งก็จะสู้ต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่เราชนะ..!

    ตรงนี้ที่กระผม-อาตมภาพได้เคยบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรไปว่า การทำความดีนั้น เราก็ต้องหน้าด้าน เพราะว่าถ้าเราไม่หน้าด้านหน้าทน เราก็ไม่สามารถที่จะสู้กิเลสได้ แต่ถ้าหากว่าจะพูดกันอย่างเพราะ ๆ ก็ต้องบอกว่า เราต้องประกอบไปด้วยขันติบารมี คืออดทนอดกลั้น ประกอบไปด้วยสัจจบารมี จริงจังต่อเป้าหมาย ไม่ได้ไม่เลิก ไม่ถึงไม่เลิก

    ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้พระภิกษุสามเณรของเราที่บวชเข้ามาแล้วต้องผจญภัยกับ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตฆราวาส เหมือนอย่างกับเราปล่อยเสือตัวหนึ่งไว้ในป่า บางทีเราเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสียตัวนั้น

    แต่การที่เราบวชเข้ามา เท่ากับว่าเราเอาเสือตัวนั้นยัดมาในกรงแคบ ๆ พร้อมกับตัวเอง จึงโดนเสือกัดฟัดอยู่ทุกวัน จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเต็มกำลัง เหมือนดังที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านกล่าวไว้ว่า "ธรรมะนั้นอยู่ฟากตาย" ถ้าหากว่าไม่ทุ่มเทอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ก็ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านเปรียบเอาไว้ว่าเหมือนกับคลื่นทะเล คลื่นทะเลนั้นย่อมซัดเอาซากศพหรือสิ่งโสโครกต่าง ๆ ขึ้นสู่ฝั่งอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ลอยอยู่ในทะเลเนิ่นนานนัก

    ตัวของเราเอง ถ้าหากว่าอยู่ในกระแสธรรม อยู่ในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในฐานะที่มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพระภิกษุสามเณร หรือว่าท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่สามารถที่จะรักษาศีล ๘ รักษาศีล ๕ รักษากรรมบถ ๑๐ ได้เหมือนอย่างเพื่อนฝูง

    ท่านทั้งหลายก็จะละอายใจ ท้ายที่สุดก็เปรียบเหมือนซากศพที่ถูกซัดขึ้นสู่ฝั่ง ไม่สามารถที่จะอยู่ในทะเลธรรมอันบริสุทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปได้

    จึงได้แต่หวังว่า พระภิกษุใหม่ทั้ง ๘ รูปก็ดี พระภิกษุที่เริ่มเก่าแล้วอีก ๕ รูปก็ดี ตลอดจนกระทั่งท่านทั้งหลายที่เป็นพระเก่าตั้งแต่พรรษา ๒ ไปจนถึงพรรษา ๔๐ กว่าก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กับกิเลสอย่างเต็มสติ เต็มกำลังของเรา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานเอาไว้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จสมดังที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ทุกรูปทุกนาม ทุกท่านทุกคน ด้วยเทอญ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...