ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปีนิสิตวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 มกราคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376


    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปีนิสิตวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี

    วันศุกร์ที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๙.๐๐ น.

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ประธานชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลท่าขนุน เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) บรรยายธรรมแก่นิสิตของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งเข้าปฏิบัติธรรมประจำปี ณ ศาลาร้อยปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2022
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ขอถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ กราบขอโอกาสคณาจารย์ นิสิตทางฝ่ายบรรพชิต และขอเจริญพรคณาจารย์และนิสิตฝ่ายฆราวาสทุกคน วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่ ๓ ของการปฏิบัติธรรมของทุกท่าน ถ้าหากว่านับวันเปิดด้วยก็เข้าสู่วันที่ ๔ แล้ว คาดว่าหลายท่านก็เริ่มมั่นใจแล้วว่านรกมีจริง...!

    ในส่วนของการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องสร้างบารมีมาอย่างเข้มข้นและเข้มแข็งเท่านั้น ถ้าหากว่ายังเหยาะแหยะ ประเภททำบ้างทิ้งบ้าง โอกาสที่จะเอาดีนั้นยากมาก และเหตุที่ท่านทั้งหลายยังเหยาะแหยะ ทำบ้างทิ้งบ้าง เอาดีไม่ได้ ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายยังไม่เห็นประโยชน์ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมว่าจะมีประโยชน์แก่ตนเท่าไร

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรมมีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณร เราบวชเข้ามา ถ้าหากว่าเป็นแบบอุกาสะก็คือ จะมีการปฏิญาณตนว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คราวนี้

    ถ้าหากว่าสิ่งที่เราทั้งหลายทำอยู่นั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เราปฏิญาณอยู่ ก็เท่ากับว่าเราโกหกทั้งตนเอง โกหกครูบาอาจารย์ แล้วก็โกหกญาติโยมที่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูพวกเรา

    ตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าเราสังเกตในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรามา พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรม คำว่าเชื่อกรรมในที่นี้ ท่านบอกว่ากัมมสัทธา ก็คือเชื่อในผลของการกระทำ วิปากสัทธา เชื่อว่า การกระทำนั้นต้องส่งผลแน่ ๆ ลักษณะของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อมั่นว่าบุคคลมีกรรมเป็นของตน ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ และท้ายที่สุด ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริง เราถึงได้เข้ามานับถือพระพุทธศาสนา พระภิกษุสามเณรของเราก็คือได้เข้ามาบวชเพื่อปฏิบัติธรรม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    คราวนี้ในส่วนของพระภิกษุสามเณรนั้นเป็นเรื่องที่หนักมาก เพราะว่าบรรพชาเป็นของหนัก ถ้าเราเองปราศจากศรัทธาทั้ง ๔ ข้อ ไม่ขวนขวายเร่งรัดในการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ไม่เร่งรัดในการศึกษาพระปริยัติธรรม ปฏิเวธ คือผลที่จะเกิดจากการศึกษาและปฏิบัติก็ไม่มี แล้วเราจะเอาอะไรไปให้ญาติโยมที่สนับสนุนค้ำจุนเราเชื่อถือเรา เพราะว่าแม้แต่ตัวเราเอง เราก็ยังปราศจากศรัทธาที่แท้จริงต่อคุณพระรัตนตรัย

    ดังนั้น...ในโอกาสที่ท่านทั้งหลายได้มาปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะเป็นไปโดยการบังคับของหลักสูตร แต่ขอให้รู้ว่าทุกท่านเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นของบุคคลที่ทรงปรมัตถบารมีเท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นบารมีต้นหรือบารมีกลาง ท่านไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้

    บารมีต้น ให้ทานได้อย่างเดียว รักษาศีล ปฏิบัติธรรมไม่เป็นเลย บารมีกลาง สามารถให้ทานได้ รักษาศีลได้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เหมือนกับเกินความสามารถ หรือถ้าหากว่าพูดแบบเด็กติดเกมก็คือ "เลเวลไม่ถึง" ต้องปรมัตถบารมีเท่านั้น ท่านทั้งหลายถึงจะมีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรม

    ดังนั้น...ในส่วนนี้แม้ว่าจะเป็นการบังคับของหลักสูตร เป็นระเบียบที่เราต้องยึดถือและปฏิบัติ แต่ต้องถือว่าเราโชคดีอย่างยิ่ง เพราะว่าเรามีโอกาสปฏิบัติถึง ๑๐ วัน สำหรับปริญญาตรีและประกาศนียบัตร ถ้าเป็นปริญญาโทก็ปีละ ๑๕ วัน ถ้าเป็นปริญญาเอกก็ ๔๕ วัน แล้วถ้ายิ่งมาสายวิปัสสนาภาวนาโดยตรง ก็มีทั้ง ๓๐ วัน มีทั้ง ๓ เดือน มีทั้ง ๗ เดือน แล้วปัจจุบันนี้น่าจะ ๑ ปีสำหรับในระดับปริญญาเอก

    การที่ท่านทั้งหลายเข้ามาปฏิบัติธรรมตรงนี้ เราจะรู้สึกว่าทุกข์ทรมานมาก ต้องบังคับกาย วาจา ใจของตนเองให้อยู่ในกรอบ ต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ตรงจุดนี้ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวเรานะครับ เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    บางท่านอยู่บ้าน ปกติครึ่งค่อนวันไม่เคยเข้าห้องน้ำเลย แต่พอมาปฏิบัติธรรมนี่ เข้าห้องน้ำได้ทุก ๆ ๑๕ นาที นั่นกิเลสพาเราไปนะครับ ผมขอยืนยัน เพราะว่ากิเลสนั้นอาศัยร่างกายนี้อยู่และมีมายามาก เขาทำให้เราเข้าใจผิดว่าเราไม่ไหวแล้ว แต่ความจริงไอ้ที่ไม่ไหวก็คือกิเลสต่างหาก..!

    เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐาน เดินจงกรม จะทำให้เกิดตบะ เป็นพลังที่จะล้างผลาญกิเลสให้หมดสิ้นไป ตบะคือความร้อนที่เกิดจากความดีนี้ จะร้อนเฉพาะสิ่งที่ชั่วเท่านั้น

    แต่อย่างที่บอกไว้ว่ากิเลสนั้นมีมายามาก ในเมื่อรู้สึกว่าตนเองจะตาย ก็พยายามทำให้เราเข้าใจผิดว่าตัวเรานั่นแหละจะตาย แล้วเราก็ไปรามือให้ ยอมคลายบัลลังก์เสียก่อน ขอออกไปเดินข้างนอกสักนิดหนึ่ง ขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยหนึ่ง ขอไปโทรศัพท์ กิเลสชวนทั้งนั้นนะครับ..ผมขอยืนยัน

    นิสิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณรหรือฆราวาส ลองสอบถามครูบาอาจารย์ครับ ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์สมโภชน์ ท่านอาจารย์ชนะชัย ท่านอาจารย์ธวัช ท่านเจอการปฏิบัติธรรมมาแล้ว ๗ เดือนเต็ม ๆ นะครับ ลองเปรียบเทียบดูว่าถ้าเป็นตัวเราจะถึงที่ตายเลยไหม !?

    ทำไมท่านทั้งหลายเหล่านั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาได้ ? เพราะท่านเข้าใจครับว่าสิ่งที่จะตายนั้นไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นกิเลส ถ้าหากว่าเราฝืนต่ออีกนิดเดียว กิเลสอาจจะตายไปเลยก็ได้ แต่เราไม่ฝืน เราเชื่อกิเลสมากกว่าเชื่อพระพุทธเจ้า เราเชื่อกิเลสมากกว่าเชื่อครูบาอาจารย์ตัวเอง ถึงได้มีการกระทำอย่างที่เห็นมา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับทุกท่านว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่าทำดีทำถูก จะลำบากแค่วันแรกวันที่สองเท่านั้นครับ ไม่เกิน ๓ วันก็อยู่ตัวแล้ว แล้วหลังจากนั้น ถ้าท่านประคับประคองรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ได้ จะกี่เดือนกี่ปีก็เหมือนกันครับ ก็คือไปได้เรื่อย ๆ แบบสบาย ๆ เพราะว่าสภาพจิตของเรานั้นมีกำลังมากกว่ากิเลสแล้ว สามารถกดทับกิเลสให้สงบนิ่งลงไปได้ชั่วคราว

    โดยเฉพาะถ้าหากว่าเกิดปีติหรือเกิดความสุขขึ้นมาในการปฏิบัติธรรม ถึงตอนนั้นเราจะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติ จะเห็นคุณของพระรัตนตรัยอย่างชัดเจน เนื่องเพราะว่าตัวเราเองเป็นปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส แค่สามารถใช้กำลังสมาธิเล็กน้อยกดให้กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ดับลงชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนี้ แล้วผู้ที่ทำได้มากกว่านั้นล่ะ จะมีความสุขขนาดไหน ?

    เราจะสังเกตว่าทำไมบางท่านถึงปฏิบัติธรรมแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้น ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี ขณะที่ตัวเราพร้อมที่จะขยับลุกอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีกำลังสูงกว่ากิเลส แต่ว่าตัวเรานั้นกำลังน้อยกว่า กิเลสจะจูงไปทางไหนก็ไปทางนั้น

    หลายท่านเกิดช้าไปนิดหนึ่งครับ ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายเหมือนกระผม/อาตมภาพ ถึงเวลาเราจะเอาควายที่ดื้อ ๆ ไปตามทิศตามทางที่เราต้องการ ก็ต้องจูงจมูกไปครับ เขาจะมีการเจาะช่องระหว่างจมูก ร้อยห่วง แล้วก็ผูกเชือก ถึงเวลาดึงแล้วเจ็บ ต่อให้วัวควายนั้นแข็งแรงขนาดไหนก็กลัวเจ็บครับ ต้องเดินตามไปแต่โดยดี

    ท่านทั้งหลายลองนึกถึงสภาพตัวเองสิครับ เราโดนกิเลสจูงแบบนั้นเลย..! จูงเราให้ไปหาโทรศัพท์มือถือ จูงเราให้ไปเข้าห้องน้ำ จูงเราไปที่ตู้เย็น แล้วแต่กิเลสจะพาเราไปเลยครับ แล้วเราลองนึกภาพดูสิครับว่าชาวนาจูงวัวจูงควาย แต่กิเลสจูงเรา ก็ไม่ได้ต่างจากวัวควายเลยครับ อนาถมากขนาดไหน ?
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ดังนั้น...ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราทราบแล้ว และรู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะชนะกิเลสได้ ก็คือการปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ในแต่ละวันแค่เรานั่งเฉย ๆ ไม่กี่นาที ก็รู้สึกว่าลำบากทุกข์ยากเหลือเกิน แล้วถ้านึกถึงว่าเวลาท่านหิว กระหาย ร้อน หนาว เจ็บไข้ได้ป่วย โดนกระทบกระทั่ง จิตใจหงุดหงิด กลัดกลุ้ม โกรธ กลัว เกลียด เราจะมีความทุกข์ขนาดไหน ? ถ้าหากว่าท่านยังโดนกิเลสจูงไป ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะยาวไกลไม่รู้จบ

    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า วัฏสงสารนี้ยาวไกลชนิดไม่เห็นต้นเห็นปลาย เราก็จะกลายเป็นวัวเป็นควายให้กิเลสจูงไปอยู่ตลอดเวลา ชาติแล้วชาติเล่า ไม่สามารถจะพ้นสภาพไปได้เสียที

    สิ่งที่จะนำพาพวกเราพ้นไปได้ก็คือ เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาเท่านั้น ศีลเราก็รักษาตามสภาพของเราครับ ฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ บ้าง กรรมบถ ๑๐ บ้าง สามเณรก็ศีล ๑๐ ถ้าหากว่าเป็นพระเราก็ศีล ๒๒๗

    ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ การที่เราตั้งสติระมัดระวังนั่นแหละครับ จะสร้างสมาธิให้เกิดกับเราโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลาถ้าเรามานั่งภาวนาแบบจริง ๆ จัง ๆ เป็นหลักเป็นฐาน ก็จะภาวนาได้ง่าย เพราะว่าศีลนั้นเป็นตัวก่อให้เกิดสมาธิ

    ถ้าท่านทั้งหลายได้ฟังพระอุปัชฌาย์หรือว่าอาจารย์คู่สวดบอกอนุศาสน์ จะมีการสรุปว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส การที่เรารักษาศีลแบบรอบคอบ รอบด้าน อานิสงส์ใหญ่ก็คือทำให้สมาธิเกิดขึ้น
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เมื่อสมาธิเกิดขึ้น สภาพจิตของท่านสงบลง ส่วนที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือปัญญา รู้เห็นทั้งสภาพร่างกายของตนเอง ทั้งสภาพร่างกายคนอื่น ทั้งสัตว์อื่น ๆ ตลอดจนกระทั่งโลกนี้ ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

    ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ คนก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ วัตถุธาตุสิ่งของก็ทุกข์ ขนาดสิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจยังทุกข์เลยครับ เราเรียกสภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ คือก้าวไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าเราไม่สามารถดิ้นรนให้พ้นไปจากกองทุกข์นี้ได้ เราก็จะโดนไฟแห่งทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ แผดเผาอยู่นับชาตินับภพไม่ถ้วน ได้เกิดเป็นมนุษย์ยังดีนะครับ ทุกข์น้อยหน่อย แต่ถ้าหากว่าพลาดไปลงอบายภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง แต่ละอย่างทุกข์สาหัสหนักขึ้นไปหลาย ๆ ร้อยเท่า..!

    ถ้าหากจะถามว่าเรื่องของนรกสวรรค์ หรืออบายภูมิมีจริงหรือไม่ ? ถ้าท่านทั้งหลายมีศรัทธาในตถาคตโพธิสัทธา คือศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านจะไม่สงสัยเลยครับ แต่ถ้าหากว่าท่านไม่มีตรงจุดนี้ ก็ลองใช้ความคิดแบบธรรมดา ๆ ดูครับ

    ถ้าหากว่าเราทำความดี แล้วนรกสวรรค์ไม่มี เราก็เสมอตัว ทำไปฟรี ๆ แต่ถ้านรกสวรรค์มีจริง เรากำไรครับ เพราะว่าเราทำดีแล้วเราย่อมไปสู่สุคติ
    แต่ถ้าหากว่านรกสวรรค์ไม่มี แล้วเราทำชั่ว เราก็แค่เสมอตัว ถ้านรกสวรรค์มีจริงเมื่อไร เราทำชั่วก็สาหัสละครับคราวนี้ ขาดทุนย่อยยับ ต้องไปชดใช้ในอบายภูมินานจนนับเวลาไม่ได้

    สิ่งที่ทำแล้วเสมอตัวกับกำไร กับสิ่งที่ทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน เราควรที่จะเลือกทำอะไรครับ ? ใช้ปัญญาธรรมดา ๆ ตรองดูก็รู้แล้วครับ ไม่มีใครอยากได้เสมอตัวกับขาดทุนแน่นอน อย่างแย่ที่สุดเราก็เอาแค่เสมอตัว ถ้าหากว่าอย่างดีก็ต้องเอากำไร
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ดังนั้น...ตรงจุดนี้เราไม่ต้องคิดอะไรมากเลยครับ การปฏิบัติธรรมนี่แหละ โบราณาจารย์ท่านบอกเอาไว้ว่า ทำแค่ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็มีผลานิสงส์มหาศาล ลองดูช้างสิครับ ขยับใบหูแป๊บหนึ่ง งูยิ่งแล้วใหญ่เลย แลบลิ้นเร็วมาก บางทีเรามองไม่ทันว่างูแลบลิ้น แค่ช่วงแวบเดียวแค่นั้นแหละครับที่ได้ทำ ก็มีอานิสงส์มหาศาล

    ดูตัวอย่างก็คือสุปติฏฐิตเทพบุตรครับ ทำความชั่วมาตลอดทั้งชีวิต ก่อนตายป่วยหนักมาก พ่อแม่เอาไปทิ้งไว้ที่นอกชาน พูดง่าย ๆ คือข้างบ้านตัวเอง หวังให้ไปตายนอกบ้าน พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไปบิณฑบาต สุปติฏฐิตมาณพในช่วงนั้น มองเห็นก็รู้ว่านี่คือพระพุทธเจ้า "ใคร ๆ เขาลือว่าพระสมณโคดมเก่ง ถ้าท่านได้มารักษาเรา น่าจะหายจากอาการเจ็บป่วยเช่นนี้" นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยใจเลื่อมใสแวบเดียวครับ แล้วก็สิ้นชีวิตไป ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ พิจารณาดูว่าตนเองได้ดีเพราะอะไร เพราะการระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นพุทธานุสติแค่แวบเดียว

    ถ้าท่านถามว่าบุคคลที่ทำชั่วมาตลอดชีวิต นึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว ไปอยู่บนสวรรค์ ยุติธรรมหรือ ? ขอยืนยันว่ายุติธรรมมาก เพราะว่ามีเวลาอยู่บนสวรรค์แค่ ๗ วันมนุษย์เท่านั้น พลาดจากตรงนั้นเมื่อไร เจ้าหนี้เก่าทั้งหลายก็คิดทั้งต้นทั้งดอก แต่ด้วยความที่ในอดีตท่านสร้างความดีไว้มาก

    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ในมหากัมมวิภังคสูตรว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจเจริญกรรมฐาน ยังให้เกิดอัปปนาสมาธิ มีทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ สามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ได้ แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำความดี ไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความชั่ว ลงอบายภูมิโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่


    แล้วพระองค์ท่านอธิบายว่า

    บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน อนาคตไปสุคติแน่นนอน


    บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปสุคติ

    บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไปทุคติแน่นอน

    บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะต้องไปทุคติ
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    สุปติฏฐิตเทพบุตรนี่จัดอยูในประเภทสุดท้ายครับ ทำความดีไว้ในอดีต แต่ทำความชั่วในปัจจุบัน ผลบุญเก่าที่เป็นปุพเพกตปุญญตามาช่วยในวาระสุดท้าย ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ทันก่อนตาย ไปเกิดเป็นเทวดามีอายุ ๗ วันมนุษย์

    แต่ความดีใหญ่ที่ท่านทำในอดีตก็ยังคงส่งผลให้อีก ทำให้พระพุทธเจ้าที่เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาพอดี สุปติฏฐิตเทพบุตรได้ฟังอุณหิสวิชยสูตร หมดอายุ..จุติเดี๋ยวนั้น..เกิดใหม่เดี๋ยวนั้น กลายเป็นเทวดาอริยะ คือเป็นพระโสดาบัน จนป่านนี้ยังอยู่บนสวรรค์เลยครับ นี่คือความดีที่กระทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย แค่นึกอยากให้พระพุทธเจ้ามาช่วยตนเอง แต่ว่าเป็นพุทธานุสติ

    ส่วนท่านทั้งหลายมีเวลาประพฤติปฏิบัติตั้ง ๑๐ วัน ท่านอาจารย์ ดร.มหาบุญรอดก็ดี ท่านอาจารย์พระครูกาญจนธรรมชัยก็ดี ท่านอาจารย์พระครูปลัดสุวัฒน์ก็ดี ท่านอาจารย์พระสมุห์สมโภชน์ก็ดี บังคับให้พวกท่านรอดจากอบายภูมินะครับ แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังไม่ใส่ใจต่อไป เราก็ลองนึกดูว่า ตัวเราเองถ้าพลาดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? เนื่องเพราะว่าข้างล่างนั้น ไฟร้อนกว่าไฟในโลกมนุษย์ของเราจนนับประมาณไม่ได้

    ถ้าหากว่าดูในธรรมบท มีพระรูปหนึ่ง ท่านบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แต่ผู้เป็นพ่อเป็นพรานล่าสัตว์ ด้วยความที่ท่านคิดจะสงเคราะห์พ่อตัวเอง ก็เลยไปชวนมาบวช พ่อจะพยายามปฏิเสธก็เกรงใจลูก

    อย่าลืมนะครับว่าท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าเข้าใกล้คนที่ทำความดี กระแสท่านแรงกว่า ท่านจะดึงเราไปง่าย ๆ น่าเสียดายที่ท่านทั้งหลายต้องมาปฏิบัติธรรมออนไลน์ เพราะว่าถ้าปฏิบัติธรรมออนไซต์อยู่ร่วมกัน กระแสของทุกคนที่เป็นไปในทางดีเหมือน ๆ กัน จะดึงให้ท่านทั้งหลายให้สงบได้เร็วมาก
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    พรานผู้เป็นพ่อก็เหมือนกันครับ ไม่สามารถจะทานความดีของลูกได้ ก็รับปากว่าจะบวช แต่พอบวชแล้วปฏิบัตธรรมสิครับ จะตายเอาให้ได้ ในแต่ละวันนึกแต่อยากจะไปวางบ่วงล่าสัตว์ นึกอยากแต่จะไปยิงสัตว์ทั้งหลาย ด้วยธนูบ้าง พุ่งทำร้ายสัตว์ด้วยแหลนบ้าง คิดอยู่ทุกวัน จนกระทั่งท้ายที่สุดทนอยู่ไม่ได้ บอกพระลูกชายว่าขอลาสึก

    พระลูกชายบอกว่า "จะสึกก็ได้ แต่รบกวนพ่อหน่อย วัดวาอารามนี่รกมาก พระพุทธเจ้าไม่ให้พระพรากของเขียว พ่อสึกแล้วช่วยทำความสะอาดวัดให้ที" พรานก็รับปาก โห...มีเรี่ยวมีแรงเต็มที่ครับ..ได้สึกแล้ว ไม่ทำท่าซังกะตาย ก็จัดแจงถางป่าฟันหญ้าเสียจนกระทั่งเก็บเอาพวกใบไม้กิ่งไม้มากองแทบจะท่วมหัวเป็นภูเขาเลากา

    พระลูกชายบอกว่าช่วยเผาให้ด้วย ผู้เป็นพ่อก็นั่งกุมหัวสิครับ "จะเผาได้อย่างไรล่ะลูก ? มีแต่ไม้สด ๆ ทั้งนั้น ไฟอะไรแหย่ลงไปก็ดับหมด" พระลูกชายบอกว่า "จริงด้วย ..ถ้าอย่างนั้นพ่อดูแบบนี้นะ" ว่าแล้วท่านก็ใช้อำนาจของอภิญญาแหวกแผ่นดินลงไปจนถึงขุมนรก ใช้ปลายนิ้วช้อนเอาไฟนรก เศษเท่าไฟหิ่งห้อยขึ้นมานิดหนึ่ง ดีดใส่กองไม้สดหญ้าสดที่กองเป็นภูเขาเลากา มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว ผู้เป็นพ่อก็เหวอล่ะครับ..! เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ไฟอะไรร้อนได้ขนาดนี้

    พระลูกชายบอกว่า "พ่อทำปาณาติบาตไว้มาก ถ้าไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ลงไปอบายภูมิแน่นอน แล้วไม่ได้ลงขุมตื้น ๆ ด้วย ลงในขุมที่ไฟร้อนแรงกว่านี้หลายเท่า" พรานผู้เป็นพ่อเหงื่อแตกพลั่กเลยครับ "แล้วพ่อจะแก้ไขอย่างไร ?" "บวชแล้วปฏิบัติธรรมต่อเถอะพ่อ"
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เห็นแม้กระทั่งลูกชายแหวกนรกให้ดู เห็นแม้กระทั่งไฟนรกเพียงเล็กน้อยสามารถเผาผลาญได้ดุเดือดขนาดไหน แล้วถ้าตนเองต้องลงไปอยู่ตรงนั้นจะเจออะไรบ้าง ความเพียรมาเต็มที่เลยครับคราวนี้ ปฏิบัติธรรมทุ่มเทอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ท้ายสุดก็สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลตามที่พระลูกชายต้องการ

    ถ้าท่านทั้งหลายถามว่าบุคคลที่ทำความชั่วมาตลอดชีวิต ก็คือทำสร้างปาณาติบาตมาตลอด ปฏิบัติธรรมแล้วสามารถบรรลุเป็นพระอริยเจ้าได้หรือ ? ตอบง่าย ๆ ว่า ตอนเขาปฏิบัติธรรม ไม่ได้ผิดศีลแม้แต่ข้อเดียวครับ ศีลทุกข้อสมบูรณ์บริบูรณ์ สำรวมกายวาจาอยู่ ใจอาจจะคิดบ้าง บ่นบ้าง ครูบาอาจารย์ทำไมโหดร้ายขนาดนี้ ให้เรานั่งอยู่หน้าจอทีครึ่งค่อนวัน ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำแค่มโนกรรม การคิดมีโทษน้อยครับ แต่ถ้าเป็นวจีกรรม โทษก็มากขึ้นเพราะว่าพูดออกมา ถ้าเป็นกายกรรม ทำด้วยกายก็โทษหนักยิ่งขึ้น ในเมื่อเป็นดังนี้แล้ว ตัวอย่างที่ยกมาให้ ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นว่า ถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ มีสักวันที่ตกสู่อบายภูมิ โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่สาหัสสากรรจ์นั้นรอเราอยู่

    ผมเชื่อมั่นเลยครับว่าไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่เคยละเมิดศีล ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหกมดเท็จ ดื่มสุราเมรัย เป็นเรื่องปกติของปุถุชนทั่วไปครับ แล้วโทษทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้วไม่ได้ไปไหนนะครับ รอเราอยู่ ลงไปเมื่อไรก็โดนคิดดอกคิดต้นกันครบถ้วนสมบูรณ์..!
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ท่านทั้งหลายจะหลีกจะหนีให้พ้นได้ด้วยก็ด้วยไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าครับ ก็คือ การรักษาศีล เจริญสมาธิ และทำปัญญาให้เกิดด้วยวิปัสสนาภาวนา จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงว่าการเวียนว่ายตายเกิดของท่านนั้น ยาวนานทุกข์ยากเหลือเกิน เกิดความกลัวเกรง จัดเป็นภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่าร่างกายนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี มีแต่ทุกข์แต่ภัยรอเราอยู่ เราควรที่จะหลีกหนีไปเสียให้พ้น

    ถ้าหากว่าอารมณ์ใจแบบนี้เกิดขึ้น ต้องรีบกอบโกยให้เต็มที่ครับท่านทั้งหลาย เนื่องเพราะว่าโอกาสที่เราจะสร้างบุญสร้างกุศลนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง โอกาสทั้งหลายเหล่านี้วนเวียนเป็นวงอยู่ตลอดเวลา ท่านถึงได้เรียกว่าวัฏฏะ การหมุนเวียน

    เหมือนอย่างกับว่ามีห้องอยู่ห้องหนึ่ง เป็น ๒ ชั้นกลม ๆ ซ้อนกันอยู่ มีประตูข้างนอกกับประตูข้างใน แล้วห้องทั้ง ๒ ห้องหมุนวนอยู่ตลอดเวลา กว่าที่ประตูนอก ประตูในจะมาตรงกันนี่นานมากนะครับ แล้วถ้าเราไม่ฉวยโอกาสรีบหนีออกจากประตูนั้น ก็จะโดนกักขังอยู่ในห้องนี้ต่อไป จนกว่าการหมุนวนนั้นจะครบรอบให้เกิดช่องให้เราหลีกหนีได้อีกครั้งหนึ่ง ก็คือวาระกรรมเปิด วาระบุญเข้ามาสนอง แล้วไอ้เจ้าห้องหรือวงเวียนนี้ใหญ่เล็กไม่เท่ากันครับ บางท่านอาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือนเปิดช่องทีหนึ่ง เพราะว่าเราสร้างความดีในอดีตมามาก แต่สำหรับบางท่าน อาจจะหลาย ๆ ปีกว่าที่จะเปิดช่องทีหนึ่ง

    ในเมื่อท่านทั้งหลายมีโอกาสอยู่ทุกปี แม้จะเป็นหลักสูตรบังคับก็ตาม ทำไมท่านทั้งหลายถึงจะไม่พยายามรีบ ต้องใช้คำว่า "ใส่ตีนหมาโกยแน่บ" ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ละครับ บุคคลที่เห็นตนเองติดอยู่ในคุก เมื่อถึงเวลาประตูเปิด ก็มีแต่จะรีบเผ่นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แล้วเราเองยังจะเป็นผู้ประมาทอยู่อีกหรือ ?
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ใครทำใครได้ ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ทำแทนกันไม่ได้ อาจจะยินดี อาจจะโมทนากับคนอื่นได้

    แต่การยินดีและโมทนาของทุกท่านในปัจจุบันนี้ กระผม/อาตมภาพดูแล้วว่า ไม่ใช่ปัตตานุโมทนามัยที่แท้จริงครับ เพราะว่าเราเห็นคนอื่นทำความดี เราก็ยกมือ...สาธุ แต่ไอ้สาธุของทุกท่านแฝงความหมายเอาไว้ว่า "กูจะเอาของมึง" ก็คือต้องการมีส่วนในความดีนั้น ไม่ได้เกิดจากน้ำใสใจจริงที่เห็นคนอื่นทำความดีแล้วเรายินดีด้วย แปลว่าจิตประกอบด้วยโลภะเจตนา อยากได้ของคนอื่นเขา อานิสงส์ที่จะพึงได้ ถ้าหากว่ามีสัก ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะลดเหลือแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเราวางกำลังใจผิด

    แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอนุโมทาบุญคนอื่น ผลบุญนั้นต้องเกิดแก่เจ้าของก่อน เราถึงจะมีสิทธิ์มีส่วนในผลบุญนั้นทีหลัง ถ้าผลบุญนั้นยังไม่เกิดแก่เจ้าของเมื่อไร ตัวเราก็ยังไม่มีสิทธิ์เมื่อนั้น ดังนั้น..เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยง เราควรที่จะทำเองดีกว่า

    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า วัฎสงสารนี้ยาวไกลไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย การจะเดินทางข้ามวัฏสงสารนี้ ถ้าหากว่าเรามีเสบียงพร้อมสมบูรณ์ เราก็ย่อมเกิดความมั่นใจว่าเราสามารถที่จะฝ่าฟันจนพ้นไปได้สักวัน แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่มีการเตรียมการล่วงหน้าเลย ถึงเวลาไปตายเอาดาบหน้า กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ได้ตายจริง ๆ..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาบุคคลที่ตายแล้วฟื้น จะเห็นว่าในเรื่องของบุญนั้น ไม่สามารถที่จะให้กันได้ ใครทำก็เป็นของคนนั้น อย่างเช่นว่าหิวขึ้นมา ไปขอข้าวขอน้ำคนอื่น เจ้าของเขาก็ใจดีให้ครับ แต่พอเราไปแตะต้องเข้า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา ไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเราได้ เพราะว่าเราไม่เคยทำเอาไว้ก่อน

    หรือถ้าจะเอาความชัดเจนก็ศึกษาในพระไตรปิฎกครับ ไม่ว่าจะเป็นในเปตวัตถุ ในวิมานวัตถุ หรือว่าในเทวตาสังยุตต์ ในพรหมสังยุตต์ พระไตรปิฎกกล่าวถึงไว้เยอะมาก ว่าแต่ละท่านทำความดีความชั่วอย่างไร ถึงได้ไปสุคติ ถึงต้องไปทุคติ

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราศึกษา และอย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราเชื่อแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง เราก็กำไร แต่ถ้าเราไม่เชื่อแล้วสร้างแต่ความชั่ว แล้วถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง เราก็ขาดทุนย่อยยับ เพราะว่าหนทางแห่งวัฏสงสารของเรานั้น จักยาวไกลต่อไปไม่รู้จบ
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ดังนั้น...ในวันนี้ที่มาแทนท่านอาจารย์พระครูสิริกาญจนภิรักษ์ (ศุภชัย ป.ธ.๕, ดร.) รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ก็ได้บอกกล่าวในสิ่งที่เป็นความเชื่อ ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ปฏิบัติมาทั้งชีวิต ตั้งแต่วัยรุ่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นรุ่นแรก ๆ แล้ว เพราะว่าอายุเลยเกษียณมาหลายปีแล้ว ปฏิบัติมาจนมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรานั้น เป็นจริงตามนั้นทุกประการ

    จึงสำคัญอยู่ที่พวกเราทั้งหลายเท่านั้นว่า มีโอกาสดีอยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านทั้งหลายจะปล่อยให้โอกาสตรงนั้นหลุดมือไป เพราะเชื่อกิเลสมากกว่า หรือว่าท่านทั้งหลายจะฉกฉวยโอกาสนั้น สร้างความดีใส่ตนให้มากที่สุด ด้วยความที่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากกว่า


    ท้ายสุดนี้ ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านทั้งหลายยึดถือ โดยมีบารมีของหลวงปู่เปลี่ยน หลวงพ่อไพบูลย์ ได้โปรดอภิบาลรักษาให้ทุกท่านมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ สามารถปฏิบัติธรรมได้ครบถ้วนตามที่หลักสูตรกำหนดเอาไว้ จงทุกประการทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปีนิสิตวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี
    วันศุกร์ที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...