วิริเยนทุกฺขมจฺเจติ. (บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร.)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 27 มกราคม 2022.

  1. ปวีรัศมํชา

    ปวีรัศมํชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2022
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +2
    เขียนดิ รออ่าน ดูดิไอ้พวกแอบอ้าง ลต.บัว มาบังหน้า มันจะเว่อร์ไปได้ขนาดไหน

    แต่นู๋ก้อตอบได้หมดนั่นแหล่ะ
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
     
  3. ปวีรัศมํชา

    ปวีรัศมํชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2022
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +2
    เล่นที่ไหนไม่ขรำเท่าที่นี่ เขียนไว้เนอะ ถ้าไม่โดนแบนจะมาจัดการ อิอิ
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
     
  5. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ประวัติการภาวนา

    ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั้งอายุ22ปีไม่เคยสนใจเรื่องภาวนา จนปลายปีพ.ศ.2537 เกิดความสนใจอยากภาวนาขึ้นมาเองในขณะทำงานอยู่ที่บริษัททีเอ็น แถวหัวลำโพง ไปซื้อหนังสือ อานาปานะสติมาอ่าน อ่านก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่จับใจความได้ว่า มีสติรู้ลมหายใจ โดยมีหลักการว่า

    มีสติก่อนหายใจเข้า มีสติอยู่หายใจเข้า

    มีสติก่อนหายใจออก มีสติอยู่หายใจออก

    พอได้หลักการแล้วก็ลงมือภาวนา โดยการนั่งภาวนา นั่งได้ประมาณสิบนาที ต้องเลิก นั่งไม่ได้ เหงื่อออกเต็มตัว อึดอัดไปหมด(ตั้งใจทำมากไป) เลยมาพิจารณาเขาภาวนากันอย่างไร ต้องมีเทคนิคและต้องปรับให้เข้ากับตัวเองโดยยึดหลักการคือฝึกสติโดยอาศัยลมหายใจตัวเองเป็นเครื่องมือในการฝึกสติ จากนั้นลาออกจากงานที่ทำที่บริษัททีเอ็น ไปพักห้องเช่ากับเพื่อนแถวลาดกระบังและภาวนาฝึกสติไปด้วย ต่อมาต้องการเรียนต่อปริญญาตรี ปีพ.ศ.2538 สามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ จากปวส. ไปปริญญาตรี ในขณะเรียนปริญญาตรี ก็ฝึกสติไปด้วย เรียกว่าว่างตอนไหน ก็ฝึกสติภาวนา โดยอาศัยดูลมหายใจตัวเอง เรียกว่าเรียนไปด้วยภาวนาไปด้วยโดยการแบ่งเวลา ช่วงเรียนก็เรียนไป ช่วงว่างตอนเช้าและช่วงตอนเย็นและวันหยุด ก็ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา มีความตั้งใจสูง มีกำลังใจในงานฝึกฝนสติภาวนา เน้นฝึกสติ ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมอะไร มีความรู้สึกว่าอ่านมากมันสงสัยมาก การภาวนาก็แบ่งเป็นช่วงเช้าสองชั่วโมงช่วงเย็นสามชั่วโมง วันหยุดภาวนาทั้งวัน โดยอาศัยการเดินจงกรมเป็นหลัก

    (การเดินจงกรมคือเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับการทำความเพียร มีความยาวทางจงกรมสักสามสิบก้าว หาสถานที่ไว้หลายๆที่)

    สำหรับเรามาอยู่ห้องเช่ากับเพื่อนห้องพักมันเล็ก เวลาทำความเพียรเจริญสติภาวนาก็จะไปหาสถานที่ที่เหมาะสมเช่นช่วงเช้าช่วงเย็นก็ปั่นจักรยานไปที่สระบ่อเลี้ยงปลามีถนนเรียบบ่อเหมาะกับการเดินจงกรม ช่วงค่ำก็ปั่นจักรยานเข้ามหาลัยลาดกระบัง แล้วหาสถานที่ที่เหมาะสมเช่นในตัวอาคาร หรือเอาถนนในมหาลัยเป็นทางจงกรม ใส่รองเท้ากีฬา แล้วเดินจงกรมทำความเพียรฝึกสติรู้ลมหายใจไป


    การฝึกช่วงแรกๆ ต้องมีวินัยกับตัวเอง ต้องฝึกจริง ไม่ทำเล่นๆ เพราะมันจะมีสิ่งมาทดสอบกำลังใจอยู่มาก เช่นตัวขี้เกียจ เบื่อ ความสงสัยและการให้รู้ลมหรืออยู่กับลมหายใจช่วงแรกมันจะเป็นเรื่องยากเพราะมันจะมีความคิดแทรกเข้ามาเสมอแล้วเราก็ไปอยู่กับความคิดเสีย เรียกว่ารู้ลมกับรู้ความคิด การภาวนาช่วงแรกๆต้องรู้จักธรรมชาตินี้ก่อนคือ รู้ลมกับรู้ความคิด เราจะได้ไม่ไปบังคับเพราะเริ่มฝึกสติยังไม่มีกำลัง และความเคยชินกับการคิดโน้นนี้นั่นและมีความยินดียินร้ายดีใจเสียใจไปกับความนึกคิดที่มันผุดขึ้นในขณะภาวนา เราไปห้ามความคิดไม่ได้ที่มันจะแทรกเข้ามาในขณะรู้ลมหายใจ


    ฉะนั้นการรู้ลมกับรู้ความคิดจึงควบคู่กันไปใช้มันฝึกสติได้ทั้งคู่ คือรู้ไปสักพักมันไปรู้คิด(เห็นความคิดมันทำงาน) เราเป็นคนภาวนาต้องรู้ทันไม่ไปยินดียินร้ายดีใจเสียใจกับความนึกคิดที่ผุดขึ้นมา พอมันนึกคิดจบเรื่องก็จะกลับมารู้ลม ก็รู้ลมเข้าออกของตัวเองไป อาศัยทำความเพียรเป็นยกๆคือพอเข้าทางจงกรมก็ปัดงานอื่นทิ้งไปให้หมดตั้งใจเดินจงกรมให้เต็มที่ จะกินเวลาไปกี่ชั่วโมง ก็ว่ากันไปตามกำลัง ถ้าให้เหมาะในช่วงแรกความเพียรแต่ละยก(ครั้ง)ไม่ควรต่ำกว่าสองชั่วโมง เพื่อเอาชนะนิวรณ์ด้วย ซึ่งมันจะมาทดสอบเรา

    นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ (ตามตำราที่เขาเขียนไว้)

    1. กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่

    2. พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่

    3. ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม

    4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ

    5. วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ

    ในการทำความเพียรเช่นเราเดินจงกรมหนึ่งยกกำหนดเวลาไว้สองชั่วโมงเพื่อฝึกสติ พอข้าทางเดินจงกรม ขาก็ก้าวเดินไป(เดินแบบสำรวมมองต่ำเหมือนเดินเล่นแต่กำหนดรู้ลมหายใจตัวอง)เดินกลับไปกลับมา เดินไม่เร็วไปหรือช้าไป ก็กำหนดรู้ลมไป หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ มีความนึกคิดขึ้นมาก็รู้ เราต้องทำความเข้าใจโดยแยบคาย(ระลึก) ว่ารากำลังฝึกสติ ฝึกสติให้มีกำลัง โดยอาศัยลมหายใจตัวเองและความคิดตัวเองเป็นเครื่องมือในการการฝึกสติ

    สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระหว่างเดินจงกรมอยู่ก็คือนิวรณ์ห้า(เครื่องกั้น)มันมากวนในรูปแบบต่างๆ จะไม่บรรยายเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องไปสังเกตเอาเอง พอครบกำหนดเวลาที่เราตั้งไว้ ก็มาพิจารณาทบทวนสิ่งที่พบเจอในขณะเดินจงกรม และอย่าลืมว่าที่เราเดินจงกรมเป้าหมายคือฝึกสติ ทำสติให้มีกำลังขึ้น(สติแปลว่าระลึกได้ทุกคนมีสติอยู่แล้วคนไม่มีสติเขาเรียกว่าคนบ้า)

    พอเราเดินจงกรมเป็นแล้ว(เข้าใจแล้วเป็นการฝึกสติ) เราก็ความเพียรไปทุกวัน ผ่านไปสามเดือนเริ่มเห็นผลขึ้นมาบ้างจะอยู่กับลมหายใจก็ได้จะอยู่กับความคิดก็ได้(รู้ลมก็ได้รู้คิดก็ได้)มีความสงบปรากฏขึ้นมาในความรู้สึก เวลาจะหลับมันจะสว่างขึ้นมา(ในตำราเรียกว่าจิตสงบ) มันส่งผลหลายอย่างตามมา เกิดกำลังใจหนักแน่นขึ้นไปอีก ส่งผลให้อยากทำความเพียร ความขี้เกียจหายไป และเริ่มชำนาญในการทำความเพียร ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันมีความสงบในความรู้สึก และระบบการนึกคิดเป็นระเบียบไม่คิดสับสน คิดเป็นเรื่องเป็นความราว(คิดออก) ส่งผลให้ผลการเรียนได้เกรดดีมาก การทำความเพียรมันก็อยากเดินจงกรมอยู่ตลอด..

    เราเรียนหนังสือในมหาลัยและทำความเพียรโดยเดินจงกรมทำแบบเดิมๆตลอดทั้งปีก็มีอ่านหนังสือธรรมบ้างแต่มันมีความรู้สึกว่า ถ้าจะให้เข้าใจคำสอนเราต้องภาวนาให้เป็น

    จนปีพ.ศ.2539 ต้นปีสอบเข้าทำงานที่ กสท.ได้ โดยใช้วุฒิปวส. ไปสอบ เพราะเงินเก็บเริ่มจะหมด พ่อแม่ไม่ได้ส่งเงินมา(ทางบ้านยากจน) จึงกลายเป็นว่าต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และภาวนาฝึกสติไปด้วย เวลาเข้าทางจงกรมก็ลดลงไป แต่ความตั้งใจทำความเพียรไม่ได้ลดลงไป วางแผนไว้ว่าถ้าเรียนจบ(เรียนสองปีก็จบ ป.ตรี)จะมีเวลามากขึ้นแล้วจะเร่งความเพียรภาวนาฝึกสติ

    จนปีพ.ศ.2540 เดือนกุมภาพันธ์ ก็เรียนจบ และปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ได้นิมิตอนาคต ขณะนั่งภาวนาพิงฝาให้ห้องเช่า มันปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า เรากำลังนั่งบนกิ่งไม้บนต้นไม้ต้นใหญ่ จะเก็บผลไม้แต่พลัดตกลงมากระทบกับพื้นแต่ไม่เจ็บ พอฝืนขึ้นมา เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เราเอาพระภิกษุนั้นแบกขึ้นหลัง แล้วออกวิ่งไป.. มองไปข้างหน้ามืดไปหมดมองไม่เห็นทาง แต่เป็นเหมือนทุ่งนากว้างๆ แล้วฝนก็ตก แต่เราก็วิ่งไป มีพระภิกษุแบกไว้บนหลังตลอด..วิ่งไป..วิ่งไป..ไปถึงจุดหนึ่งไปเจอคล้ายคันนา ขวางทางอยุ่ เป็นคันนาไม่สูง สูงแค่น่อง พยายามวิ่งเพื่อจะข้ามไป..แต่ข้ามไปไม่ได้..พยายามวิ่งข้ามไปให้ได้ มองเห็นขาตัวเองพยามวิ่งข้าม เริ่มหนักพระภิกษุที่แบกอยู่ แล้วภาพเริ่มจะหายเลยพูดสำทับไปว่าต้องไปให้สุดทาง..ภาพนิมิตก็ปรากฏเป็นภาพต่อ ข้ามคันนาได้แล้ว รู้สึกมีกำลังมาก..พระภิกษุยังแบกไว้ข้างหลัง แล้วออกวิ่งต่อ ทางข้างหน้ายังมืดอยู่ ฝนก็ยังตกพร่ำๆ แต่ตัวเองมีกำลังมากออกวิ่งไปอย่างเร็ว วิ่งน้ำที่พื้นกระจายเลย วิ่งไป..วิ่งไป..ก้มหน้าวิ่งไป จนไปถึงที่หนึ่ง วิ่งต่อไปไม่ได้แต่ไม่อะไรขวาง เลยเงยหน้ามอง มองไปรอบๆปรากฏว่าสว่างไปหมด..จากนั่นภาพนิมิตก็ถอยออก เลยนั่งพิจารณานิมิตแต่ยังไม่เข้าใจ แต่ก็จำเอาไว้(จำไม่ลืมเลยเพราะแปลกอยู่มาก)


    พอเรียนจบก็หมดภาระไปหนึ่งอย่าง ก็ย้ายไปพักอยู่ที่ทำงานที่ กสท.บางรัก พอมีห้องพักพอนอนได้ คร่าวนี้วางแผนไว้ว่าจะทำความเพียรให้เต็มที่ เหมือนกับว่าจังหวะชีวิตมันเปิดทางให้ภาวนา สถานที่ทำงานก็มีที่จะเดินจงกรมได้คือที่ดาดฟ้าและมีวัดปทุมวันอยู่ไม่ไกลมีศาลาปฏิบัติธรรมอยู่ชื่อศาลาพระราชศรัทธาและสวนป่าเหมาะในการทำความเพียร งานที่ทำก็ทำเป็นกะทำให้มีเวลาว่างมากขึ้นไปอีก และพี่ที่ทำงานก็เอาหนังสือธรรมสามสี่เล่มมาให้อ่านเช่นประวัติหนังสือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เรียกว่าทุกอย่างเริ่มลงตัว มีเงินเดือนไว้ใช้จ่ายและเก็บไว้เพื่ออนาคตและมีเวลาว่างมากทำให้การทำความเพียรต่อเนื่องไปเลย..


    พอเวลาก่อนจะนอนจะเอาหนังสือประวัติหลวงปู่มันมาอ่าน แต่การอ่านของเราไม่ได้หวังให้เข้าใจธรรมที่เขียนไว้เพราะเรามีความรู้สึกอยู่ภายในใจว่าจะให้เข้าธรรมมะนั้น จะอ่านอย่างเดียวแล้วเข้าใจเลยไม่มีทางหลอก แต่การอ่านมันเป็นแนวทางให้พิจารณาและจับเป็นประเด็นได้เป็นอย่างดี อ่านประวัติหลวงปู่มั่นมาถึงนิมิตฝัน ที่ท่านฝันว่า.ได้เดินทางเข้าป่าอันรกชัด.............จน.....ไปเจอตู้พระไตรฯ(รายละเอียดหาอ่านเอาองในหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น)ทำให้เรานึกถึงภาพนิมิตที่เราเห็นตอนอยู่ห้องเช่า(ปลายเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ.2540ได้นิมิต ขณะนั่งภาวนาพิงฝาให้ห้องเช่า มันปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า.. เรากำลังนั่งบนกิ่งไม้บนต้นไม้ต้นใหญ่ จะเก็บผลไม้แต่พลัดตกลงมากระทบกับพื้นแต่ไม่เจ็บ พอฝืนขึ้นมา เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เราเอาพระภิกษุนั้นแบกขึ้นหลัง แล้วออกวิ่งไป.. มองไปข้างหน้ามืดไปหมดมองไม่เห็นทาง แต่เป็นเหมือนทุ่งนากว้างๆ แล้วฝนก็ตก แต่เราก็วิ่งไป มีพระภิกษุแบกไว้บนหลังตลอด..วิ่งไป..วิ่งไป..ไปถึงจุดหนึ่งไปเจอคล้ายคันนา ขวางทางอยู่ เป็นคันนาไม่สูง สูงแค่น่อง พยายามวิ่งเพื่อจะข้ามไป..แต่ข้ามไปไม่ได้..พยายามวิ่งข้ามไปให้ได้ มองเห็นขาตัวเองพยามวิ่งข้าม เริ่มหนักพระภิกษุที่แบกอยู่ แล้วภาพเริ่มจะหายเลยพูดสำทับไปว่าต้องไปให้สุดทาง..ภาพนิมิตก็ปรากฏเป็นภาพต่อ ข้ามคันนาได้แล้ว รู้สึกมีกำลังมาก..พระภิกษุยังแบกไว้ข้างหลัง แล้วออกวิ่งต่อ ทางข้างหน้ายังมืดอยู่ ฝนก็ยังตกพล่ำๆ แต่ตัวเองมีกำลังมากออกวิ่งไปอย่างเร็ว วิ่งน้ำที่พื้นกระจายเลย วิ่งไป..วิ่งไป..ก้มหน้าวิ่งไป จนไปถึงที่หนึ่ง วิ่งต่อไปไม่ได้แต่ไม่อะไรขวาง เลยเงยหน้ามอง มองไปรอบๆปรากฏว่าสว่างไปหมด..จากนั่นภาพนิมิตก็ถอยออก)ทำให้เข้าใจขึ้นมาบ้าง ว่ามันเป็นนิมิตเพื่อบอกอะไรหลายอย่างระหว่างทางในการทำความเพียรจนไปสุดทาง ทำให้เกิดกำลังใจหนุนให้ทำความเพียรอยู่มาก


    ปีพ.ศ.2540 ตั่งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน เป็นช่วงที่ทำความฝึกสติภาวนา เน้นฝึกสติ ฝึกทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ว่างตอนไหนจะเดินจงกรมตลอด ทำให้เกิดความสงบในความรู้สึก(เกิดสมาธิ) และเกิดสมาธินิมิตหลายแบบขึ้นมา เช่นเห็นดวงสว่างคล้ายดวงอาทิตย์บ้าง เวลาจะหลับกลับสว่างขึ้นมามองเห็นหมดขณะหลับตานอนอยู่ บางครั้งกายทิพย์จะออกจากร่างขณะนอน มีช่วงหนึ่งเกิดนิมิตสมาธิต่อเนื่อง ปรากฏถนนเส้นหนึ่ง เราวิ่งไปตามถนนเส้นนั้น วันต่อมาก็เกิดนิมิตอีก ปรากฏว่าเราวิ่งไปบนถนนเส้นเดินวิ่งต่อไปอีกวิ่งข้ามเขา วิ่งลงเขา วันต่อมาก็เกิดนิมิตสมาธิอีกว่า เราวิ่งบนถนนเส้นเดิม มีหลุมมีบอขวางทางอยู่เราวิ่งข้ามไปได้ วันต่อมาก็เกิดนิมิตสมาธิอีกว่า เราวิ่งบนถนนวิ่งแซงรถบัสคันใหญ่วิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว... มาพิจารณาสมาธินิมิตที่เกิดขึ้นก็โชคดีที่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นมาก่อน ทำให้เข้าใจว่ามันเป็นแค่สมาธินิมิตเท่านั้น ถ้าไปยินดีกับมัน มันจะพาให้หลงทางมรรคผล แต่มันเรื่องธรรมดาของคนที่ฝึกภาวนาจะเจอ เรานั้นโชคดีที่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นมาก่อน ฉะนั้นเวลาเกิดเหตุการณ์แปลกในขณะภาวนา แค่คอยสังเกต และไม่ไปยินดียินร้ายกับมัน เรียกว่ารับรู้ไว้เฉย เพราะเข้าใจว่า มันเกิดได้ในขณะทำความเพียร โดยเฉพาะเรานี้เกิดสภาวะแปลกๆมากเหมือนกัน เล่าไม่หมด คือจะเตือนผู้ภาวนาว่าให้ระวังเพราะเรามีกิเลสอยู่ในจิต มันจะสร้างสภาวะขึ้นมาเพื่อหลอกเราให้หลงทางไป

    เราจะเดินจงกรมเป็นหลักไม่ค่อยนั่ง เวลาทำความเพียรอยู่ที่พัก(ที่ตึกทำงานกสท.)ก็จะอาศัยดาดฟ้ายอดตึก(ตึกสี่ชั้น)ในการทำความเพียรภาวนา เพราะเหตุทำงานเป็นกะทำให้มีเวลาว่างกลางวันด้วย(ถ้าเข้าทำงานกะกลางคืนกลางวันจะว่างสองวัน)วันที่ว่างไม่ทำงานจะไปวัดปทุมวัน นั่งรถเมล์ไปประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้วไปหลังวัดมีศาลาพระราชศรัทธาหลังใหญ่มาก หลวงพ่อถาวร สร้างไว้ เป็นสถานที่เหมาะกับการภาวนามาก เราว่างวันไหนก็ไปตั้งแต่ตีห้าครึ่ง แวะเข้าร้านสะดวกซื้อก่อน แล้วเข้าไปศาลาพระราชศรัทธา และอยู่ภาวนาทั้งวันจะกลับออกมาสองทุ่ม ขากลับเดินเล่นแถว สยามสะแคว จะมีร้านหนังสืออยู่ ร้านในม.จุฬา และร้านดอกหญ้า เราจะแวะเข้าไปดูหนังสือก่อน แล้วค่อยขึ้นรถเมล์หน้าห้างมาบุญครองกลับที่พัก กสท.บางรัก

    วันหนึ่งกลับออกมาจากวัดปทุมวันแวะเข้าร้านดอกหญ้า ไปเจอหนังสือ วิถีแห่งจิต ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย มีอยู่สี่เล่ม เราอ่าน ทำให้เข้าใจขึ้นมาอีก แต่ตามปกตินิสัยเราจะอ่านเพื่อหาวิธีภาวนาต่อยอดขึ้นไป ไม่อ่านมากมายอะไร อ่านแล้วจับใจความได้จับว่า ที่ฝึกอยู่ยังอยู่ในทาง คือการฝึกสติรู้ลมและรู้ความคิด หลวงพ่อพุธ ฐานิโยอธิบายไว้ดีมากท่านกล่าวว่า..ความคิดเป็นเครื่องรู้ของจิตเป็นเครื่องระลึกของสติ..เราอ่านแล้ว เกิดอุบายขึ้นมาเลย แล้วแน่ใจในสิ่งที่ตัวฝึกภาวนาอยู่

    พอกลางเดือนตุลาคม พ.ศ.2540 คิดวางแผนลางานให้มีเวลาว่างหลายวัน จะได้ทำความเพียรให้ต่อเนื่องเพราะได้อุบายขึ้นแล้ว คือเข้าใจ สิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ว่า..ความคิดเป็นเครื่องรู้ของจิตเป็นเครื่องระลึกของสติ เนื่องจากเราฝึกสติรู้ลมและรู้ความคิดมาตลอด..พอลางานได้หลายวันแล้วก็ตัดกังวนเรื่องงานที่ทำออกไป จะได้มุ่งทำความเพียรอย่างเดียว แล้วก็ได้ผลน่าประทับใจกล่าวคือ พอทำความต่อเนื่องและได้อุบายที่หมั่นใจแล้วแล้ว เวลาทำความเพียรอาศัยเดินจงกรมเป็นหลัก เดินรู้ลมก่อนพอมันสงบมันจะดันให้เกิดความคิดก็หันมาดูความคิด มันคิดเรื่องอะไรก็ปล่อยมัน ความคิดไหลมาเหมือนสายน้ำ คิดเรื่องนั้นพอจบเรื่องนั้นมันก็คิดเรื่องนี้ บางครั้งก็พามันให้คิด และวางหลักไว้..ความคิดเป็นเครื่องรู้ของจิตเป็นเครื่องระลึกของสติ ไม่ไปดีใจเสียยินดียินร้ายกับเรื่องราวที่มันกำลังคิดอยู่เหมือนมีอุเบกขาในความรู้สึก(รู้อยู่เฉยๆ) พอทำเพียรอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันที่สี่ ประมาณตอนบ่าย เดินจงกรมดูความคิดอยู่หน้าศาลาพระราชศรัทธา ก็เจอเหตุการณ์ ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ความนึกคิด(สังขารขันธ์+สัญญาขันธ์)ดับหายไปเฉยๆเลย แต่มันไปเห็นสังขารอีกประเภทหนึ่ง(สังขารของจิตหรือที่เรียกว่าจิตสังขาร)มันปรุงของมันตลอดซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนมองเห็นด้วยตาใน(ญาณ) เลยดูมันทำงาน มันปรุง วับๆๆ(ดูคล้ายความคิดแต่เร็วมากๆ)ไม่รู้มันปรุงอะไร รู้แต่ว่ามันเกิดดับเร็วมาก เราเลยเดินขึ้นศาลา ไปนั่งดูมันทำงานและสงสัยมันคืออะไร เราถามขึ้นมาว่า “นี้คืออะไร”มันตอบมาว่า”อย่ามายุ่ง”(เอ๊ะ!! มันพูดขึ้นมาได้) แต่ไม่งง ใคร่ครวญพิจารณาเหตุการณ์ที่กำลังแสดงตัวอยู่ตลอด เลยเฝ้าดูมันทำงาน มันก็ทำงานของมันไป ภายนอกตาเนื้อก็ยังเห็นเป็นปกติหูก็ได้ยินเสียงปกติ พอดีที่ศาลาเปิดเทปธรรมมะอยู่ เรื่องคิดดีฯลฯ เราก็เฝ้าใคร่ครวญสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายใน และปรารภขึ้นมาว่า(เกิดปัญญา) “ไอ้นี้มันก็คิด” มันตอบมาว่า “ใช่” เราก็ว่า ที่คิดก็ไม่จริง มันตอบว่า “ใช่” เราก็โต้ไปว่า

    “เป็นสิ่งสมมุติ” พอเราว่าเป็นสิ่งมุติ เกิดการยอมรับขึ้นภายใน จากนั่นก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาเองเลย เกิดแรงบีบที่หน้าอก(ที่อยู่อาศัยของจิต(อทัยวัตถุ))เหมือนจะขาดใจ จากนั้นสภาวะบางอย่างเปิดออกมาให้เห็นแล้วปิดเข้าเหมือนเดิมแล้วมันถอยออกมา แล้วพูดว่า “คนโดนหลอก” จากนั้นกลับสู่ภาวะปกติมันใช้เวลาไม่ถึงนาที(นับแต่เกิดแรงบีบที่หน้าอกจนมันถอยออกมา) เราเข้าใจขึ้นมาทันที่เลยว่า อ๋อ อย่างนี่เอง และเข้าใจเรื่องญาณ อย่างแจ่มแจ้งเลย(เคยได้ยินมาตอนต้นปี)

    ต้องขอบคุณอุบายธรรมที่หลวงพ่อพุธบอกแนวทางไว้ และถูกกับจริตของเรา ทำให้เราสามารถฝึกต่อยอดไปเลย ก่อนหน้านั่นยังสงสัยอยู่ และต้องขอบคุณตัวปัญญาของเราเองที่เข้าพิจารณาสภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนั้น ถ้าปัญญาไม่เกิดทันต่อเหตุการณ์ มันจะงงไปเลย ฉะนั้นปัญญาสำคัญพอๆกับสติ

    จากนั่นมาก็ยังขยันภาวนา แต่มันเข้าใจคำสอนมากขึ้น แต่มันยังอยากรู้ขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านประวัติหลวงปู่มัน มันทำให้เข้าใจว่ามันต้องเอากิเลสออกจากจิตให้หมดทำลายอวิชชาตัวเชื้อเกิดให้ได้ถึงจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงและจะเข้าใจพระคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จากนั่นก็ยังทำความเพียร รู้ลมรู้ความคิด โดยอาศัยดินจงกรมเป็นมีนั่งภาวนาบ้าง โดยยึดหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ที่ว่า คนเราพ้นทุกข์ก็เพราะความเพียร..

    จนต้นปีพ.ศ.2541 เดือนมีนาคม พอภาวนาทำความเพียรตอนบ่ายก็พัก ขณะนอนพักผ่อนในสวนป่าใกล้ศาลาพระราชศรัทธาวันปทุมวัน สิ่งอัศจรรย์ก็เกิดอีก มันแสดงสภาวะขึ้นมาอีก เกิดตาใน เห็นสภาวะของจิตสังขารมันปรุง เราได้แต่ดู แต่คราวนี้ เราไม่ต้องทำอะไร พอมันเสร็จเรื่องของมันมันก็หายไป แต่เราเข้าใจ มันยกระดับไปอีกขั้นหนึ่ง จากนั้นก็ยังทำความเพียรเหมือนเดิมอีก รู้ลมรู้คิดไป จนสิ้นปีพ.ศ.2541

    ของขึ้นปีพ.ศ.2542 เริ่มมีปัญหาขึ้นมา เกิดความขี้เกียจขึ้นมา มาจากหลายสาเหตุ หลักๆตลอดพ.ศ.2541 ขยันทำความเพียรตลอดทั้งปี เลยผ่อนความเพียรลง มันไปภูมิใจพอใจกับภูมิธรรมที่ได้ และอยากพูดธรรมมะ พอดีที่ทำงานเริ่มมี internet เลยเข้าไปเล่น มีเว็บธรรมมะเช่นลานธรรม สามารถแสดงความเห็นได้ เลยเป็นภัยโดยไม่รู้ตัว คือพอลงมือทำความเพียร มันหมกมุ่นนึกคิดที่เขาแสดงความเห็นกัน เราก็ไปแสดงความเห็นกับเขาเพราะอยากพูดธรรมอยู่แล้ว มันมีทั้งคนเห็นด้วยเห็นแย้ง พอมาเดินจงกรมมีปัญหาคิดแต่จะไปตอบโต้กับเขา

    พ.ศ.2542 เกิดอยากเที่ยวขึ้นมา พอมีคนมาเขียนในเว็บบอดธรรม บอกสถานที่นั้นนี่เป็นที่ปฏิบัติธรรมก็อยากไป พอดีงานที่ทำก็สามารถฝากคนอื่นทำงานแทนโดยไม่ต้องลางานแล้วค่อยมาทำงานชดใช้คืน ทำให้สามารถหยุดงานได้ติดต่อกันหลายวัน เลยไปหมดเหนือ อีสาน ใต้ สิ่งที่ได้คือได้ไปเห็นความเป็นอยู่ มีความเพลินที่ได้ไป แต่ผลที่เกิดจะภาวนาไม่ปรากฏ และที่สำคัญเจ้าอารมณ์กาม กามราคะมันทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน เรื่องกามมันเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว คงเข้าใจนะไม่ต้องเขียนมากเรื่องความต้องการทางเพศ

    และที่สำคัญไม่มีอุบายต่อยอดขึ้นไปอีก ต่อให้อ่านหนังสือหลวงปู่มั่นและหนังสือหลายเล่ม จนปลายปีพ.ศ.2542 ลงใต้ ขาขึ้นมาแวะเที่ยวที่ถ้ำเขาย่อย แถวเขตจังหวัดเพชรบุรี ขึ้นไปบนยอดเขาไม่สูงมีถ้ำ ปากถ้ำเขียนว่าถ้ำพระศรีอริยะเมตรไตร เดินเข้าถ้ำไปเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งใหญ่พอสมควร ก็ได้ปัญญาว่า เราน่าจะอธิฐานดู ก่อนอธิฐานก็ปัดกวาดลานหน้าพระพุทธรูป ก็นั่งลงกำหนด อธิฐานว่า “ขอให้เจอครูบาอาจารย์ที่สอนเราได้ แล้วเราจะทำงานรับใช้ศาสนาไปตลอดชีวิตของเรา” แล้วกลับกรุงเทพไปทำงานต่อ ด้านภาวนาก็พยามทำไป ปีใหม่ปี2543กลับบ้านที่พัทลุงแล้วไปภาวนาที่วัดถ้ำสุมุโน อยู่คนเดียวทำความเพียร21วัน จนโดนจิตมันหลอกเอาว่าหมดกิเลสแล้ว พิจารณามรรคแปด พิจารณาธรรมหมวดไหนเข้าใจหมด เกิดสภาวะบางอย่างรองรับด้วยแล้วบอกว่าจบกิจแล้ว ไม่ต้องภาวนาแล้ว แต่เราก็ไม่เชื่อมันหลอก เพราะอ่านหนังสือมาให้ระวังกิเลสมันจะหลอกเอา

    จนปีพ.ศ.2543เดือนเมษายน ไปร่วมงานประจำปีของวัดสังฆทาน นนทบุรี ทางวัดนิมนต์หลวงตามหาบัว มารับผ้าป่าช่วยชาติ เราไปยืนมองไม่หางนัก ท่านหันมามองเรา เรายกมือไหว้ เพราะเคยได้อ่านหนังสือท่านแต่ยังไม่เคยเห็นตัวจริง จนปลายปีเดือนตุลาคม พ.ศ.2543 ขึ้นไปกราบหลวงปู่สุวัจน์ สุวัจโจ วัดป่าเขาน้อย บุรีรัมย์ ตอนนั้นท่านพิการและพูดไม่ค่อยได้ วันนั้นพอไปถึงก็ไปรอหน้ากฎท่านไม่มีคนอื่นอยู่เลย (เหตุที่ไปเพราะอ่านเจอในเว็บธรรมเขาคุยถึงหลวงปู่สุวัจน์ เลยเกิดความสนใจอยากไปขึ้นมา ตอนนั้นยังไม่อยากไปหาหลวงตามหาบัวเพราะเห็นว่ากำลังช่วยชาติอยู่คงเข้าหายาก) พอหลวงปู่สุวัจน์ออกมา เรากราบแล้วเกิดปิติอย่างแรง เกิดขึ้นภายใน พยายามข่มปิติแต่เกิดความสว่างอยู่ภายในขึ้นมาแทนจนประหลาดใจ ก็นั่งดูมัน(ดูด้วยตาใน) จนหลวงปู่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ไปหาหลวงตามหาบัวนะ นักปฏิบัติเขารู้กัน”(ท่านพูดไม่ค่อยได้ น้ำลายมันจะไหลออกมา พระอุปัฏฐากท่านคอยเช็ค)พอดีพระอุปัฏฐากท่านมีธุระเราเลยนั่งกับหลวงปู่นานพอควร ท่านอธิบายธรรมแบบย่อเรื่องเลข0 จาก1ถึง9แล้วก็เป็นเลข0 แล้วท่านก็นิ่ง เราคิดในใจขึ้นว่าหลวงตามหาบัวอยู่วัดป่าบ้านตาด อยู่ไกลจัง ท่านพูดขึ้นมาเลย “ไกลอะไรเราไปถึงอเมริกา” แล้วท่านก็ย้ำเป็นครั้งที่สองว่า “ไปหาหลวงตามหาบัวนะ นักปฏิบัติเขารู้กัน”..พอท่านย้ำเป็นครั้งสอง เราน้อมรับคำสั่ง ท่านเลยนึ่งไม่พูดอะไรต่อ สักพัก ท่านไอๆ พระอุปัฏฐากออกมาจากห้อง พอท่านหายไอ เรากราบลาแล้วขออนุญาตพักสักคืน ไปพักที่ศาลา แล้วกลับกรุงเทพ

    ไปวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

    ปีพ.ศ.2543ต้นเดือนธันวาคม นั่งรถไฟไปอุดรธานี แล้วนั่งรถสองแถว แล้วเดินไปถึงวัดป่าบ้านตาดประมาณสิบโมงเช้า เดินเข้าไปที่ศาลา เงียบมาก ที่แปลกคือความรู้สึกเรามันบอกว่า “กลับเถอะ” เราว่า “อะไรวะพึ่งมาถึงจะให้กลับแล้ว” พอดีมีผู้หญิงสองนั่งคุยกันอยู่ เราพูดขึ้นว่า “อยากฟังธรรม” เขาหันมามองคงเห็นเราสะพายเป้มาด้วยเลยชี้ไปพระรูปหนึ่งดูแลศาลา พระรูปนั่นขอบัตรประชาชนแล้วเก็บไว้ในกล่องใต้ศาลา แล้วพาเราไปพักที่กุฎสูง กุฎของอุบาสก ตาเรามองไปทางจงกรม น่าเดินจงกรมมาก เอาเป้ไปเก็บแล้วลงเดินจงกรมเลย มันก็ประหลาดอีก เดินไปสักพักเกิดความง่วงอย่างมาก เดินไปง่วงไป เราเองก็หลับมาแล้วตอนมากับรถไฟ(ซื้อตั่วชั้นนอนมา) ทำไมมันง่วงอย่างนี้ ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะ เวลาทำความเพียรก็นอนแค่สองสามชั่วโมงก็อิ่มตัวแล้ว นี้นอนมาเกือบทั้งคืน เดินไปง่วงไป เราก็ไม่ยอมเลิก ความง่วงก็ทวีความรุ่นแรงขึ้นไปอีก เดินไปสักพักใหญ่ไม่ยอมแพ้ ทีนี้ที่ปลายทางจงกรมมีต้นไม้ใหญ่อยู่ เดินไปสักพักใหญ่ ต่อสู้กับความง่วง เดินจงกรมกลับไปกลับมา ในที่สุดเกิดหลับในที่ปลายทางเดินจงกรม เดินเลยไปจนชนกับต้นไม้ปลายทางจงกรม อย่างแรง เข่าก็ไปชนต้นไม้ หัวก็ไปโม่งกับต้นไม้ เสียงดังโครม!! เลยหายง่วงเลย และเราก็ยืนหัวเราะตัวเองบนทางจงกรม ความง่วงหายไปเลย รู้เลยว่าเจ้านิวรณ์ตัวถีนมิทธะ(ความง่วง)มันเล่นงานเอาอย่างแรง พอความง่วงหาย เดินต่อไปสัก ก็เตรียมไปอาบน้ำ ช่วงค่ำของทำความเพียรเดินจงกรมต่อพักใหญ่ แล้วพักหลับนอนประมาณตีสามก็ลงเดินจงกรมต่อ พอเริ่มสว่าง ทำกิจส่วนตัว แล้วไปที่ศาลา เราก็สังเกตไปด้วยว่าเขามีกิจกรรมอะไร ค่อยเรียนรู้ไป ทำตามเขา ถึงเวลาพระกลับมาจากบิณฑบาต เข้าประจำที่ จัดอาหารใส่บาตรกัน แล้วแบ่งใส่ถาดให้โยมที่มาพักในวัด อุบาสกก็ตั้งวงกินข้าวกัน กินข้าวเสร็จ พระก็ออกไปจากศาลา พวกโยมก็ขยับไปใกล้หลวงตามหาบัว เราพยายามไปนั่งให้ใกล้ๆ แล้วคอยฟังว่าท่านเทศน์เรื่องอะไร เราจอฟังอยู่แล้วท่านก็พูดไปหลายเรื่องเป็นเรื่องๆไป จนไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดกับใคร แล้วเราต้องตะลึง เมื่อท่านพูดว่า “มันเดินซุ้มซาม เดินชนต้มไม้” เราตกใจ เหอะ!!หลวงตารู้ได้อย่างไร ว่าเมื่อวานตอนบ่ายเราเดินชนต้นไม้ พอกลับมาที่พัก นั่งพักใต้กุฎ มาพิจารณา หลวงตาท่านคงรู้ว่าเรามาทำไม คิดแล้วก็ดีใจ นึกถึงคำพูดหลวงปู่สุวัจน์ ที่ท่านสั่งให้มา แต่การมาครั้งนี้ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่แค่ห้าวันจะต้องกลับไป คือมาดูก่อนว่า ทำไมหลวงปู่สุวัจน์จึงสั่งให้มา และมาหยั่งเชิงดูก่อน เพราะความรู้สึกส่วนลึก รู้สึกว่ามันจะต่อยกับหลวงตาอยู่มากที่เดียว คือมันไม่มั่นใจและเคยอ่านหนังสือหลวงตามาบ้าง(หลักใจ)มันไม่เข้าใจเลย แต่พอมาสัมผัสกับสถานที่ เหมาะกับการทำความเพยีรอย่างมาก เรียกว่าชอบ และกิจวัตรในแต่ละวัน มีแต่ทำความเพียร และปัดกวาดบริเวณกุฎอาศัยเท่านั่น ไม่มีใครมายุ่งกับเราเลย พอวันที่สี่ในความคิดอยากถามว่าหลวงตาจะยังอยู่(มีอายุ)อีกนานแค่ไหน? เพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่สุวัจน์ให้มาหาหลวงตามหาบัว หลวงตาท่านรู้ของท่าน วันที่สี่ขณะเราจอฟังท่านเทศน์ ท่านยกเรื่องหลวงพ่อคูณมา ในทำนองว่า ถ้าขับรถเร็วไป พอ 90 กูจะโดดลง เราเข้าใจทันที เพราะธาตุขันธ์มันยืดหยุ่นกันได้ขึ้นกับการใช้งานได้และกรรม วันที่ห้าก็กลับกรุงเทพ

    มาประมวลความเป็นไปวันข้างหน้าว่า จะเอาอย่างไรต่อ หลวงตาบอกว่า90จะโดดลง ตอนนี้(ปีพ.ศ.2543)ก็ประมาณ87ปีเหลือสองปี งานที่ทำอยู่ก็ห้าปีแล้วแต่ยังใช้วุฒิปวส.อยู่ เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งประมาณสองแสนกว่าบาท เลยคิดว่า คงไม่เดือดร้อนค่าใช้จ่าย เรื่องหาเงินค่อยหาเอาใหม่ก็ได้ ครูบาอาจารย์สำคัญกว่า(เรื่องภาวนาต้องคนรู้จริงคอยบอกทาง) จะลาออกจากงานก็ติดปัญหาอยู่ที่ว่า จะอธิบายให้พ่อแม่ฟังอย่างไร เพราะงานที่มั่นคงพอสมควรและก็เป็นงานสบาย

    และแล้วก็ตัดสิ้นใจเด็ดขาด ออกจากงานไปเลย!! เรื่องหาเงินค่อยว่ากัน เพราะมีวุฒิการศึกษาอยู่ เลยลงใต้กลับบ้านมาคุยกับแม่เพราะยังไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นด้วย เพราะก่อนหน้านั่นทำงานได้1ปีสามารถลาบวชเข้าพรรษาได้ เลยลาบวช แม่ก็พูดว่า “ออกพรรษาต้องสึก” เราว่า “ได้” คือท่านรู้ว่าเราไปวัดปทุมวันบ่อยกลัวไม่สึก เราตอนเกิดมามันไม่สมบูรณ์ ตอนแม่อุ้มท้อง ไปหาหมอ หมอบอกว่าจะต้องเอาเด็กออกไม่งันเป็นอันตรายแก่ความตายได้ พอเราเกิดมามันก็จริงเหมือนที่ว่า ร่างกายเรามีปัญหา เปื่อยเน่าเหมือนเป็นฝีทั้งตัว เล็บหลุดหมด ใส่ผ้าอ้อมไม่ได้ ต้องใช้ใบตองรองเอา กว่าจะหาย พ่อแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และบนบานไว้ถ้าหายไม่ตายจะให้มันบวช ผ่านไปหกปี จึงหายเป็นปกติ เลยได้บวช แก้บน แต่ครั้งนี้มันก็แปลกมาก เราพูดว่า “จะออกจากงานไปบวช” แม่นิ่ง แต่อนุญาต เราก้มกราบแม่เลย ส่วนพ่อไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว และด้วยเหตุที่น้องสาวสองคนเรียนจบแล้ว..

    กลับกรุงเทพยื่นเอกสารใบลาออกจากงานเลย คิดในใจว่าไม่บวชหลอก เพราะเคยลาบวชสามเดือนไม่ได้อะไรเลย ในความรู้สึกมันขวางความเพียรเรา และรู้เลยว่าเรามีกามราคะหนักมาก ฝันเปียกบ่อยมาก และไม่มีความรู้สึกอยากบวชเลย อยากทำความเพียรในเพศฆราวาส เหมาะกับเรา พอชอบเป็นอิสระแล้ว ทุกอย่างพร้อมด้วยร่างกายด้วยอายุ29ปี ร่างกายพร้อมทำความเพียร คิดไว้ว่า จะทำความเพียรให้เต็มที่

    ปีพ.ศ.2544 เดือนกุมภาพันธ์ วันที่1 ก็ออกเดินทางไปวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี แล้วไปพักกุฎของอุบาสก ก็ทำความเพียรไป ตอนนั้นหลวงตากำลังยุ่งอยู่กับช่วยชาติ ไม่ค่อยพูดธรรมะเท่าใด ส่วนเราก็ทำความเพียรไป ท่านเทศน์เรื่องบ้างเรื่องสมาธิ การติดสมาธิ ส่วนเราก็ไม่ได้ใคร่คราญสิ่งที่ท่านพูด เพราะเราเข้าใจว่า เราฝึกภาวนาเน้นสติ รู้ลม รู้ความคิด ไม่น่าติดสมาธิ คงไม่เกี่ยวกับเรา แต่เรารู้อยู่ว่าถ้ากำลังสติมีมากมันจะได้สมาธิโดยอัตโนมัติ และไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังติดสมาธิอยู่ มันมีความว่างปรากฏอยู่ในความรู้สึก มันเป็นมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2543แล้ว มันมีความว่างปรากฏตัวให้รับรู้รับทราบ มันจะสบาย เวลาเดินจงกรมนี้มันสบาย และพอใจกับสภาวะนี้ แม้รู้ลมความว่างนี้ก็ปรากฏตัวอยู่ เวลารู้ความคิด ให้ความคิดมันทำงานมันก็มีฐานความว่าง(ฐานสมาธิ)ปรากฏให้รับรู้ตลอด เราก็พอใจ ที่นี้พอเวลาท่านหลวงตาเทศน์ มันจะจ่อฟังเทศน์มันก็มีฐานความว่าง(ฐานสมาธิ)ปรากฏตัว หลวงตาท่านก็เทศน์เรื่องติดสมาธิ เพราะความเข้าใจของเรา การมีฐานความว่างในความรู้สึกมันทำให้ทำความเพียรได้ดี และมันก็พอใจกับฐานความว่างนี้มาก จนเวลาผ่านไปหลายวัน จนวันที่15กุมภาพันธ์ ตอนเช้าก่อนฉัน ท่านเทศน์แบบด่ากระแทรกออกมาเลยว่า “ไอ้พวกมาภาวนามานอนตายอยู่ได้อย่าให้มันออกด้านปัญญานะให้มันนอนตายกับสมาธิไปจนตายนะ ให้จมไปเลย” เราตกใจ!! ความพอใจในฐานความว่างหายไปทันที เราถึงบางอ๋อเลย เข้าใจแล้ว เราติดสมาธิอยู่ ถึงเห็นความโง่ของตัวองว่าตัวเองติดสมาธิแต่ไม่รู้ว่าติด แถมยังพอใจไปยึดติดมันเข้าอีก นั่งกินข้าวไปพิจารณาไป กลับไปกุฎ พิจารณากราบหลวงตาเลย ท่านนั้นตามดูเราอยู่ตลอด เพราะความโง่ไม่ทันกับอำนาจกิเลสที่มันมาทำงานขัดขวาง ทางในขณะทำความเพียร มันอดสังเวชตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่หลวงตาเราแย่แน่ พอตอนเย็นวันนั่น ท่านออกมาที่ศาลามีหลวงปู่ท่านหนึ่งมาธุระกับท่านแล้วกลับไป เราออกมาเอาน้ำดื่ม เห็นหลวงตาท่านนั่งอยู่ มีโยมผู้หญิงหกเจ็ดคน เข้าไปหาหลวงตา เราเลยเข้าไปนั่งข้างๆด้วย ไม่คิดจะถามอะไรกับหลวงตาเพราะรู้แล้วว่าท่านรู้เรื่องของเราตลอด ถ้าท่านอยากพูดอะไรให้ฟัง ท่านก็จะพูดออกมาเองไม่ต้องถาม

    หลวงตาท่านนั่งพูดแบบสบายๆ อยู่3ชั่วโมงกว่า ท่านอารมณ์ดี ท่านพูดหลายแง่หลายมุม เรียกว่าพูดทุกแง่ทุกมุมเรื่องของการภาวนา เราก็นั่งฟังด้วยความตั้งใจ ถึงมีตอนหนึ่งท่านว่า “อุบายการภาวนาต้องคิดเอาเอง เรารำคาญพวกพระเรื่องนี่มาก ให้พิจารณากายยังมาถามอีกพิจารณาอย่างไร?”เราหายสงสัยเลย เพราะตอนกลางวันกำลังคิดหาอุบายภาวนา หลวงตาเทศน์ไว้ว่าเดินปัญญา เราเลยนึกถึงกรรมฐานห้า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ว่าทำไมพระพุทธองค์ถึงสอนกรรมฐานห้า ในวันบวช แสดงว่ากรรมฐานห้าคงสำคัญมาก

    พอกลับกุฎ ก็เอาจริงเรื่องพิจารณากาย โดยยกเรื่องกรรมฐานห้ามาเป็นอุบายพิจารณา เดินก็พิจารณา นั่งอยู่ก็พิจารณา โดยมีหลักว่าผม ขน เล็บ ฝัน หนัง ห้าอย่างเป็นเรื่องตกแต่งร่างกายทั้งผู้หญิงผู้ชายให้หญิงดูสวยชายดูหล่อ ทำให้เกิดความพอใจรักใคร่ ทำให้อยากเสพสมกันด้วยอำนาจของกามราคะ แต่ในกรรมฐานห้า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็มีสภาวธรรมแทรกอยู่ ผมก็ต้องสระ ฟันก็ต้องแปรง หนังก็ต้องอาบน้ำ แต่เราคิดอุบายขึ้นมาได้ ถ้าพิจารณาอย่างนั้นมันกว้างไป น่าหักลงที่ความรู้สึกตัวเอง เช่นตาเห็นผู้หญิงสวยเรารู้สึกอย่างไร? ตาเห็นชายหล่อเรารู้สึกอย่างไร?แล้วแยกออกไป ตาเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของผู้หญิงเรารู้สึกอย่างไร? ตาเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของเรา เรารู้สึกอย่างไรและแยกไปแล้วอีก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความรู้สึกเราเป็นอย่างไร? เวลา ตาเห็นรูป หูยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรสกายผัสสะ คือพิจารณาลงที่ความรู้สึกของตัวเอง พอได้อุบายในการพิจารณาแล้ว ก็เพียรพิจารณาไป พิจารณากลับไปกลับมาให้แง่มุมต่างๆ และคอยสังเกตความรู้สึกตัวเอง เช่นเวลายกเอากายผู้หญิงมาก็เอามาจากสัญญาความจำของเราที่เคยเห็นเคยสัมผัสมา มาเป็นเครื่องมือ เดินจงกรมไป ก็พิจารณาเอา ดึงความคิดมาใช้ในการพิจารณา และสังเกตความความรู้สึกไป ทำความเพยีรพิจารณา จนเวลาผ่านไปวันที่18 กุมภาพันธ์ตอนเย็น ก็เกิดผล เป็นเอง ความรู้สึกส่วนลึกโดนผ่าแยกออก เหมือนเอามีดขว้างผ่าลูกมะพร้าว(แค่เทียบให้เห็นภาพ) แล้วเข้าใจเลยว่ามันไต่ระดับไปอีกขั้น แต่ยังอยากฟังความเห็นหลวงตาก่อน ว่าท่านจะว่าอย่างไร

    เช้าวันที่20กุมภาพันธ์ ท่านเทศน์เรื่องอื่นก่อน แล้วเทศน์ว่า “นี่ละธรรมะที่เป็นภายในใจ เหล่านี้จะขึ้นเริ่มไป เป็นประเภทที่หมุนติ้วเลยไม่มีถอย ขาดสะบั้น ๆ ขึ้นก้าวถึงอรหัตมรรคเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ นี่คือว่าธรรมเมื่อมีกำลังแล้วก็เทียบกันได้กับกิเลสที่มีกำลัง คือเวลากิเลสที่มีกำลังในหัวใจของสัตว์นี้ ไม่ว่ากระดิกพลิกแพลงไปแง่ไหนมุมใด กิเลสจะเป็นผู้เปิดทางให้แล้วนำออก ๆ นำออกหาผลประโยชน์ของมัน แล้วสร้างทุกข์ให้หัวใจสัตวโลก นี่เป็นอัตโนมัติเป็นเองของมันนะ กิเลสเป็นวัฏจักรมันหมุนของมันตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ เวลาธรรมยังไม่มีกำลังถูกมันปัดเอา ๆ ปัดเอาอย่างที่หลวงตาเคยพูด น้ำตาร่วงคือมันปัดเอาอย่างแรงถึงขนาดน้ำตาร่วงหงายหมาไปเลย แล้วก็น้ำตาร่วง จึงได้แก้แค้นกัน

    ถึงขั้นมันเป็นก็แบบเดียวกันนะ ถึงขั้นมันเป็นนี้มันเริ่มไปตั้งแต่สติปัญญาแบบฟ้าดินถล่ม นี้เป็นสติปัญญาที่รุนแรงมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องกายเรื่องวัตถุ คือหมายถึงกายกับกามกิเลส ตัวนี้รุนแรงมากที่สุด กามกิเลสเป็นตัวออกสนามออกแนวรบ กษัตริย์วัฏจักรได้แก่อวิชชาอยู่ในพระราชวัง ตัวนี้เป็นตัวออกแนวรบ สนั่นหวั่นไหวฟ้าดินถล่ม คือตัวนี้เองเป็นตัวที่ดึงดูดสัตวโลกให้ไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักบุญจักบาป ตกนรกอเวจีทั้งหลายไม่สนใจ ขอให้ได้บืนไปตามกิเลสตัวนี้พอ จึงรุนแรงมาก ทีนี้พอสติปัญญาศรัทธาความเพียรหมุนแก้กันอันนี้ หมุนเข้า ๆ ทีนี้สติปัญญานี้เป็นแบบฟ้าดินถล่มไม่งั้นไม่ทันกันกับธรรมชาตินี้ นี่จะเรียกว่าเป็นอัตโนมัติไม่ได้นะ พูดไม่ถูก เรียกว่าฟ้าดินถล่มเท่านั้นเอง หลังจากนั้นจึงจะพูดได้ชัดเจนว่าเป็นไปเอง

    อันนี้มันเหมือนนักมวยเข้าวงในกัน ไม่ทราบว่าใครจะไปจะอยู่ มีแต่จะต่อยกันท่าเดียว พันกันเลย กิเลสตัวนี้กับสติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นสติปัญญาฟ้าดินถล่ม พออันนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ทีนี้สติปัญญาจะฝึกซ้อมตัวเองจากขั้นที่ว่าตายแล้วแต่กิ่งก้านสาขามันยังเขียวอยู่ มันยังไม่ตายเหมือนต้นมัน มันจะค่อยยุบยอบไป ๆ นี่ละที่ท่านก้าวเดินอนาคามิมรรค ผู้ที่ได้ระดับฟ้าดินถล่มนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นี้เรียกว่าสอบได้แล้ว แต่ว่าจะได้อย่างสมบูรณ์ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ยังพูดไม่ได้นะอนาคา ด้วยเหตุนี้พระอนาคาจึงต้องบำเพ็ญตน จากนี้ไปละที่นี่เป็นอัตโนมัติ จะหมุนจะขัดตัวเองไปเรื่อย ๆ เอาไว้ไม่อยู่ ไม่อยู่เลย หมุนตลอด ๆ นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ

    เราฟังอยู่ ก็เข้าใจ ความจริงมันรู้ของมันอยู่แล้ว แค่อยากรู้ความเห็นหลวงตาว่าท่านจะว่าอย่างไร?

    ยังทำความเพียรต่อมา วันที่21กุมภาพันธ์ เทศน์ตอนเช้า(ใครที่เคยฟังเทศน์ท่าน จะเข้าใจท่านเทศน์ยัดใส่ปากคนนั้นทีคนนี้ที บางคนงง แต่เราเข้าใจแล้วถึงวิธีเทศน์ของท่าน เราคอยฟังและจับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรา)

    ตอนหนึ่งท่านเทศน์เทียบดวงจิตเหมือนดวงไฟไว้ว่า “หากว่าเป็นดวงไฟก็แก้วไม่ใสสะอาดดี เวลาไฟส่องออกมาจากดวงไฟนี้มันก็มัว ๆ ถึงสว่างก็สว่างด้วยความมัว ความมัวนั้นแลคือกิเลสมันปิดแก้วครอบ เหมือนมลทินติดแก้วครอบ พอเปิดอันนั้นออกหมดไม่ให้มีเหลือ แก้วครอบก็ไม่มีที่นี่นะ เวลามันเปิดนะ แก้วครอบว่าใสอย่างนั้นใสอย่างนี้ไม่มี เพราะแก้วครอบก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาเปิด เปิดออกหมด ดวงไฟก็ไม่มี ดวงไฟที่เป็นต้นเหตุแห่งการแสดงสีแสงออกมานั้นก็พังไปด้วยกัน เพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติ นั่นเห็นไหมที่นี่

    ทีนี้ความสว่างนอกสมมุติเป็นหลักธรรมชาติมีดั้งเดิมของจิตดวงนี้ เป็นแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านี้ครอบไว้ ๆ จนกระทั่งถึงดวงสว่างก็เป็นสิ่งที่ครอบเอาไว้เสีย แก้วครอบก็เป็นสิ่งที่ครอบใจดวงนั้นเสีย พังออกหมดแล้วไม่มีเหลือ นี่เรียกว่าสมมุติหมดโดยประการทั้งปวง นั่นท่านให้ชื่อว่าวิมุตติ เอาทีนี้จะกำหนดยังไงไม่ได้เลย คำนวณคำนึงไม่ได้แต่ไม่สงสัย นั่นชัดเจน นี่ละจิตที่ว่าเปิดเต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ที่ว่ารู้จริงเป็นอย่างนี้ ที่รู้ไป ๆ ไม่มีอะไรสงสัย ๆ เลยนะ”

    เราฟัง จิตทำงานเหมือนดวงไฟ ก็จำไว้แต่ยังไม่เข้าใจ พอดีวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2544ต้องกลับไปเซ็นออกสารเรื่องเงินสำรองเสียงชีพที่ทำงานที่ยื่นเอกสารไว้ เลยตั้งใจไว้ว่าวันที่23ตอนบ่ายจะเดินทางกลับกรุงเทพ แล้วค่อยกลับมาวัดป่าบ้านตาดใหม่

    พอฟังเทศน์เรื่องจิตทำงานเหมือนดวงไปเช้าวันที่21กุมภาพันธ์ ก็ทำความเพียรต่อ แต่มันแปลกเรื่องภายนอกเกี่ยวกับรูปขันธ์นามขันธ์มันไม่สนใจเลย มันสนใจสิ่งที่ปรากฏภายใน(พอความรู้สึกส่วนลึกโดยผ่าออก)มันไปรู้เกี่ยวกับตัวจิตและจิตตสังขารที่มันปรุงออกมากระทบกับสติ สติและปัญญาก็มีกำลังมาก อะไรผุดมาออกมาสติทันปัญญาปัดทิ้ง จนเรารู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ เราทำได้แค่สั่งเกตุ และเดินจงกรมไป

    จนคืนวันที่22กุมภาพันธ์2544 ทำความเพียรถึงห้าทุ่ม จะพักนอน พอจะหลับก็เกิดญาณมองเห็นจิตมันทำงาน เห็นต่อมดวงสว่างอยู่ลึกสุด มีความสว่างออกมาและมีบางอย่างดำๆวิ่งวนไปมารอบจิตดวงสว่าง และคล้ายก้อนเมฆขาวบ้างดำบาง บางๆ ลอยบังตาอยู่ ประมาณตีสองมันถอยมา รู้สึกตัว เลยลงจากกุฎ เข้าทางจงกรม พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น พบแล้วสิ่งที่หลวงตาที่ท่านเทศน์เอาไว้ และก็เคยฟังท่านพูดเรื่องจิตอวิชชาตัวเชื้อเกิด..

    ก็ขอจบประวัติการภาวนาของเรา
     
  6. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เอาละกระทู้ผมเงียบแล้ว ขอบคุณทางเว็บที่เคลียร์ กระทู้ให้
    ผมจะไม่ยุ่งกับเขาอีก เขาก็ไม่ควรมายุ่งกับผม

    ผมไม่ใช่คนประเภทที่เขากล่าวหา (ถ้าอ่านประวัติจนจบ)
    เอาละมีเรื่องอยากเขียนอีก
     
  7. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เล่าต่ออีกหน่อย..

    ปลายปี2544 ออกจากวัดป่าบ้านตาด ไปกราบหลวงปู่สุวัจน์ ท่านไปพักรักษาตัวที่ปากเกร็ด กรุงเทพ จากนั้นก็มานอนบ้านพี่ชาย อยู่แถวปากเกร็ด แล้วก็ได้นิมิตฝัน ฝันว่า..

    มีทหารขับรถจิ๊บมาหาเรา แล้วมาจอดตรงตัวเรา แล้วให้ขึ้นรถไปกับเขา เรายืนตัดสินใจครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นก็ขึ้นนั้งรถไปกับรถทหารคันนั้น แล้วทหารก็ขับรถไปส่งที่ สถานที่แห่งหนึ่ง เราลงจากรถไปยืนดูสถานที่นั้น เห็นเป็นสถานที่ฝึกรบ เห็นทหารกลุ่มหนึ่งพร้อมรบ กำลังฝึกกันอยู่..


    พอปีใหม่2545 เรากลับบ้านภาคใต้ คิดว่าจะไปหางานทำที่หาดใหญ่ แต่แล้วก็มีเหตุให้ไปอยู่ที่วัดถ้ำสุมโน พัทลุง เลยไปเริ่มงานศาสนาที่นั่น..
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ประมาณเดือนมีนาคม 2545 มาเป็นอยู่วัดถ้ำสุมโน พัทลุง ก็นิมิตฝันอีก..ฝันว่า...

    เห็นเราเดินไปตามทางมีสะพานใหญ่อยู่ข้างหน้า เราขึ้นไปบนสะพาน มองเห็นมันพังขาดออกจากกัน เรายื่นพิจารณาดู เลยโดดลงจากสะพานที่ขาด ลงน้ำ ตัวเราก็จมน้ำลึกลงไป กะว่าจะให้ตายอยู่ใต้น้ำนี้แหละ สุดท้ายไม่ตาย ร่างเราก็ดีดขึ้นจากน้ำ พุ่งลอยไปบนอากาศ และเหาะได้ เลยเหาะไป มองลงข้างล่าง ปรากฏเห็นเป็นถนนเส้นใหญ่ ยาวมากมีรถอยู่บนถนนเต็มไปหมด เราเหาะลอยไปบนถนนเส้นใหญ่นั้น ไปสุดทางก็เจอทุ่งนา เป็นทุ่งกว้าง เห็นเขากำลังดำนา เอาต้นกล้าข้าว ปักดำลงนาข้าวที่ไถไว้อย่างดี เราเหาะลอยไปบนทุ่งนา เพื่อดูว่าข้างหน้าจะเป็นอะไรอีก แต่ก็เห็นแต่ท้องทุ่งนาที่มีต้นข้าวกล้าปักดำแล้วเต็มไปหมด..


    ก็เป็นนิมิตฝัน อาจจะเข้าใจยาก ตอนฝัน2545ยังไม่เข้าใจ ว่ามันสื่อถึงอะไรบ้างต้องทำอะไรบ้าง

    ผมมาเข้าใจทั้งหมดเอาปี2562นี่เอง..
     
  9. เด็กชายปราบ

    เด็กชายปราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2022
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +32
    อ่านมาสะยาว

    เห็นลวกเพ่ เคยบอกว่าเข้าใจที่หลวงปู่พุธ แนะนะ

    แต่ทำไมยังหลงไหลกะ นิมิต ไม่แตกฉานซะที

    เข้าสู่ขั้นแตกฉานได้แล้ววว
    ทุกคนที่มีจิตเลื่อมใสในพุทธศาสนา
    ล้วนมีบารมีมามากแล้วทั้งนั้น
    มามัวโดนหลอกอะไรกะบารมีของกิเลส

    วิบากกรรมเก่าบังตาทำให้มองไม่เห็น
    กรรมปัจจุบันจะทะลุทะลวงไปได้
    ถ้าทำตามที่หลวงปู่พุธแนะนำจริงจัง
     
  10. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    นิมิตก็มีประโยชน์ ถ้าใช้มันเป็น ใช้ทำงานได้ ตามที่หลวงพ่อลี วัดอโศการาม
    กล่าวไว้..
     
  11. เด็กชายปราบ

    เด็กชายปราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2022
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +32
    ใช่ครับ

    เอามาตั้งนิมิตทำอาการ32 เนี่ยะมีประโยชน์มาก
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เอาเถอะ ผมพอเข้าใจ ในสิ่งที่ท่านปราบพยายามเตือน..ระวังนิมิต

    แต่ผมทำงานผ่านนิมิตมาตลอด ความจริงไม่น่ามาขียนบอกใคร
    งานก็จบไปแล้ว

    แต่ผมยังติดอยู่ในเกมส์ศรีอารย์ธรรมมิกราชโพธิญาณ
    (ใครติดตามอยู่ก็คงทราบ ที่มีคนมาประตนว่า เราคือศรีอารย์ธรรมมิกราชโพธิญาณ)

    จึงเป็นเหตุให้ผมต้องมาตั้งกระทู้นี้อีก..
    ก็คงเป็นกระทู้สุดท้ายของผมแล้ว และคงจะหมดธุระกับเว็บนี้
    ถ้าผมเขียนจบผมก็คงจะขอลาละ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2022
  13. เด็กชายปราบ

    เด็กชายปราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2022
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +32
    เอาเอา ว่างก็มาครับ ไม่ต้องลาก้ได้ :rolleyes:
     
  14. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย แอบรักดอกทานตะเวน
     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ภิกษุปฏิสัมภิทา4 อภิญญา6

    อันนี่แค่ได้เย็นมา

    แล้วใครจะมาขับเคลื่อนงานศาสนาละ แล้วศาสนามันจะเจริญขึ้นไปได้อย่างไรละ?

    ปัจจุบันก็เห็นกันอยู่ ถ้ามองตามเส้นกราฟที่เขาส่งมา มันก็มันอยู่จุดเกือบต่ำสุดอยู่ ทำให้ทราบว่ามันมีบุคลากรอยู่ พระศาสดาได้เตรียมไว้ สำหรับขับเคลื่อนให้ศาสนาเจริญขึ้นไป เป็นภิกษุ1000รูป ตอนนี้ยังเป็นเณรอยู่อายุประมาณ17ปี เมื่อครบบวชจะบวชเป็นภิกษุ ถ้าบรรลุธรรมก็จะมีปฏิสัมภิทา4 อภิญญา6 คือจะเป็นหมู่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เป็นทีมงานเพื่อขับเคลื่อนงานศาสนา ทำสังฆกรรม ทำสังคายนา การแสดงธรรม สนทนาธรรม ตอบธรรมมะ จะมาเป็นแกนหลักขับคลื่อนงานศาสนาและเด็กที่เกิดใหม่ก็เป็นชาวพุทธทั้งนั้น จะช่วยกันผลักดันให้ศาสนาเจริญขึ้นไป..
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2022
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815

    คอมเม้นท์นี้ เป็นไปเพื่อเล่นเกมส์ศรีอาริย์ธรรมิกราชโพธิญาณ



    เท่าที่ผมทราบมา ต้องประกาศตนผ่านสื่อแบบใดแบบหนึ่ง เหมือนที่หลายท่านทำ หรือประกาศผ่านทางเว็บนี้ก็ได้ ก็แล้วแต่เทคนิคก็แต่ละท่าน แล้วก็มีคนมาติชมบ้าง แล้วจบไป ถ้าไม่ทำมันจะกดทับความรู้สึกตลอด
    ฉะนั้นก็อาศัยกระทู้เป็นเหตุในการประกาศตนของผม..

    เราคือธรรมมิกราชโพธิญาณ

    ประวัติความเป็นมาของเรา เดิมเราปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็บำเพ็ญบารมีจนเต็มและหน้าที่เป็นครูฝึกพวกพระปัจเจกรุ่นน้องอยู่ พระศรีอริยเมตไตรยได้เข้าไปหาเราที่สำนักของพวกพระปัจเจก เพื่อหาบุคคล ไปช่วยงานศาสนาของพระศาสดาพระสัมมาสัมโพธิญาณพระสมณะโคดม เราก็ตกลงเพราะทำงานเป็นครูฝึกมาก็นานพอสมควรแล้ว พอตกลง พระศรีอริยเมตไตรยและเราก็รอ จนเจ้าชายสิทัธทะตรัสรู้ใต้ต้นโพธ์ รอโอกาสเหมาะสมพระศรีอริยเมตไตรยและเราก็เข้าไปหาพระศาสดา เพื่อให้พระศาสดาสำรวจว่าจะทำงานได้ไหม เพราะเรามาจากกระกูลพระปัจเจก ตอนนั้นยังเป็นเทวดาอยู่ พระศาสดาบอกว่าต้องไปเกิดเป็นมุษย์ก่อน ถึงจะพยากรณ์ได้ พระศรีอริยเมตรไตรให้เราสมัครในตำแหน่งใหม่คือตำแหน่งธรรมมิกราชโพธิญาณเป็นตำแหน่งรักษาศาสนา พระศรีอริยเมตไตรยพาเราอธิฐานเพื่อทดสอบเราเรียกว่าจัดให้เต็มทีเลยพา เล่นโหดสุดเพื่อทดสอบเราว่าจะสามารถพลิกจิตได้ไหม และจะสามารถทำงานรักษาพระศาสนาได้แค่ไหน คือมีความสามารถแค่ไหน เพราะไม่เคยมีมาก่อนเอาพวกปัจเจกมาทำงานรักษาศาสนา

    ก็เกิดชาติแรกเกิดเป็นเจ้าชายอชาตศัตรูบุตรพิมพิสารเจ้าเมืองแค้นมคธ..พอผ่านบททดสอบก็หันทำหน้าที่ตัวเอง และสร้างบารมีไปด้วย จากนั้นก็ทำหน้าที่ตัวเอง รักษาศาสนาไปด้วยและสร้างบารมีไปด้วย มีพระศรีอริยเมตไตรย ช่วยเหลือแนะนำ จนมาถึงชาติปัจจุบันก็เล่นโหดสุด แล้วงานก็ผ่าน บารมีก็เต็ม
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815

    เอาละเขียนจบ จะจริง หรือไม่จริง ก็ให้ระบบมันตัดสินเอาเอง เรามีหน้าที่เขียนไป..เพื่อปลดล๊อคตัวเอง..


    เอาละ..ก็คงหมดธุระกับเว็บนี้แล้ว..ไปละ
     
  18. เด็กชายปราบ

    เด็กชายปราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2022
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +32
    เคยฟังเทศน์หลวงพ่อเยื้อนเล่า
    สมัยท่านอยู่วัดบ้านตาดอุปฐากหลวงตามหาบัว
    มีภิษุ ทั้งเป็นพระโมคคัลลา พระสารีบุตร

    เราฟังหลวงพ่อเยื้อนเล่า ก้ไม่แปลกใจ คนเดินผิดทางเป็นอะไรต่างๆได้เยอะแยะ
    แม้จะเป็นลูกศิษย์พระชื่อดัง

    แม้แต่ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้จะบรรลุธรรมไปเสียหมด
    ออกแนวเพี้ยนๆก็มี


    โชคดีนะลวกเพ่
     
  19. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    วันนี้วันพระเอานิดนึงพอ
    เขาว่ากันว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในการจะสำเร็จได้เบื้องต้นจะต้องมี วิริยะอุตสาหะ ศรัทธา และปัญญา ไม่ว่าจะรับรู้สิ่งใดมาเพื่อที่จะปฏิบัติตนตามก็จะประกอบด้วย 3 สิ่งนั้นเป็นบาทฐาน ในแนวคิดของมายาคติหรือมูลเหตุของความเป็นนั่นนี่ในตนมาจากส่วนผสมของบาทฐานนั้นไม่กลมกล่อมหรือกลมเกลียว จะต้องมีส่วนอื่นมาประกอบ เป็นพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อความกลมกล่อมและกลมเกลียว เช่น เพื่อความสำเร็จยิ่งก็มี อิทธิบาท 4 ไตรสรณคมน์ เป็นต้น หรือเพื่อสั่งสมให้ลงตามหลักทั้ง อินทรีย์และพละ ก็ต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดจึงไม่ตกภายใต้มายาคติที่เกิดขึ้นจาก
    ศรัทธาแรงกล้าก็ดี
    วิริยะอุตสาหะแรงกล้าก็ดี
    ปัญญาอันแรงกล้าก็ดี
    ทั้งสามสิ่งมีส่วนสร้างจินตนาการที่ทำให้เกิดความแปรปรวนในตน หมายถึง ไม่อยู่บนพื้นฐานความจริง
    จึงจะต้องพึงหรือพยายามหาเหตุผลที่เป็นกลางตามคำสอนพระศาสดามาระลึกเสมอๆ จึงต้องทบทวนพระธรรมและพระวินัยที่มีปรากฏทั้งด้วยอายตนะภายนอกและภายใน ภายในคือการพิจารณา ภายนอกคือการอ่าน เขียน ฟัง อีกทั้งยังต้องพิจารณาตามคำสอนของพระสุปฏิปันโน โสดาบันจนถึงขีณาสพ เพื่อสร้างสติให้ระลึกรู้ความจริงของการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับลงในทุกสรรพสิ่ง ความเป็นจริงของเราอาจไม่ใช่ความเป็นจริงของเขาก็ได้ก็คือเรื่องหนึ่ง จากที่อ่านผ่านๆ มีข้อสังเกตที่เกิดขึ้นจริงแต่มีเหตุเสมอคือ ไม่มีใครก็ตามที่ไม่เห็นทุกข์แต่อยากออกจากทุกข์ การสร้างกำลังจิตให้แน่วแน่ต่อสิ่งที่ปรารถนานั้นดีน่าสรรเสริญและอนุโมทนา แต่การเข้าใจว่าตนเป็นนั่นตนเป็นนี่ อันนี้มันอาจเลยเถิดจากการที่ไม่ได้ฝึกควบคุมหรือฝึกการผสมผสานสิ่งต่างๆที่ได้เคยเรียนรู้เพื่อให้รู้รสแห่งอมตะธรรมที่แท้จริง เรื่องนี้ต้องฝึกฝนเพียรสร้างด้วยตนเองด้วยสติ ด้วยหลักธรรมที่พระศาสดาทรงให้ไว้ จึงจะเป็นตัวเป็นตนเป็นที่พึ่งทั้งตนเองปละแก่ผู้อื่นได้
     
  20. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    จริงๆ หากลึกซึ้งกับธาตุ 4 พอจะเห็นได้เลย ว่าไม่มีการสะสมอะไรทั้งนั้น

    บางคนก็บอกปฏิบัติไปเพื่อสมสมบารมี ถามหน่อยว่า ขันธ์ไหนที่เป็นตัวสะสม จิตดวงไหนทีเที่สะสม

    แม้แต่จิตก็ยังเป็นสภาพรู้ และจิตเอง ก็เกิด ดับ

    หากจะแย้งว่าก็อนุสัยนั้นไง แสดงว่าสะสมจริงๆ ไม่ใช่ อนุสัย เหมือนความเคยชิน แต่ก็ไม่ได้สะสม

    พระศาสดา ทรงบอกว่า ทำสำรวม กาย วาจา ใจ ให้เป็น สีลละ คือ ให้รู้ตามสภาพของธรรมชาติ

    ไม่แทรกแซงการทำงานของจิต

    สัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้นเอง เมื่อรับรู้ กาย ใจ

    และปัญญาเกิดขึ้น เพราะ เห็น กายใจ มันเกิดดับ

    พระศาสดาท่านทรงวางไว้แล้ว

    อิธิบาท 4
    อิธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ

    ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
    ๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
    ๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
    ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

    พอมาพิจารณาขันธ์ ก็ไปลงกับธาตุ 4 และก็ไปพบอาการ 32


    มันมีแค่นี้จริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...