เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 ธันวาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ต้องบอกว่าวิ่งจากการประชุมกลับมา น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ต้องมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก่อน แต่ละวันบางทีงานด่วน ๆ ก็เข้ามาอย่างชนิดที่ตั้งหลักไม่ทัน

    วันนี้ก็มีของสมาคมแพทย์และเภสัชกรแผนไทย ซึ่งติดต่อมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่าปีนี้ประมาณเดือนมกราคม ก็คือเกือบ ๆ เต็มปีที่ผ่านมา จะนำเอาหมอมาตรวจสุขภาพให้กับพระภิกษุสามเณร แล้วก็เป็นเพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด ก็เลยหายไปเฉย ๆ ตอนนี้นัดมาใหม่ว่าจะเป็นเดือนมกราคมปีหน้า คืออีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพก็ต้องปฏิเสธไป เพราะว่าตารางเดือนมกราคม ๒๕๖๕ เต็มหมดแล้ว

    โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรมของนิสิตวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งปีนี้แบ่งออกเป็น ๒ แห่ง ก็คือระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีสาขาพระพุทธศาสนา และสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดวังก์วิเวการาม ทางด้านประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา และปริญญาตรีวิปัสสนาภาวนา ปฏิบัติที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี เริ่มวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๕ เพราะฉะนั้น..ใครรู้ตัวก็เตรียมตัวกันไว้แต่เนิ่น ๆ

    นอกจากนี้ก็ยังมีงานสวดพระอภิธรรมถวายพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเข้ามา มีงานประชุมเตรียมสอบบาลีเข้ามา มีงานประชุมสัมมนาโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เข้ามา บวกกับงานอื่น ๆ อีก ก็คาดว่าจะได้เห็นหน้ากระผม/อาตมภาพสักวันสองวันแล้วก็หายไปเป็นอาทิตย์อีกแล้ว

    เรื่องพวกนี้บางทีท่านทั้งหลายก็อาจจะสงสัย อย่างเช่นว่า จากทองผาภูมิลงไปแค่กาญจนบุรี ก็คือจากอำเภอไปจังหวัด ระยะทางก็ ๑๔๐ กิโลเมตรเข้าไปแล้ว ไปกลับก็ ๒๘๐ กิโลเมตร แล้วถ้าหากว่าไปถึงวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ก็บวกไปอีก ๒๔ กิโลเมตร ไปกลับรวม ๔๘ กิโลเมตร ต้องถือว่าเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลสำหรับบุคคลทั่วไป แล้วทำไมกระผม/อาตมภาพถึงได้วิ่งไปวิ่งมาแบบไม่รู้จักเหนื่อย ? ก็ต้องบอกว่าเหนื่อยเหมือนกับคนปกติ

    แต่โดยนิสัยได้ที่รับการฝึก การหัด การขัดเกลามา ก็คือ ถ้าทำอะไรก็ต้องเต็มที่และทำให้ดีที่สุด ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะกระทำงานการใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะระดับสูงหรือว่าระดับต่ำ ย่อมประสบความสำเร็จในทุกงาน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    กระผม/อาตมภาพถึงได้กล่าวว่าเต็มปากเต็มคำว่า ไม่ว่าในชีวิตฆราวาสหรือว่าพระ "ไม่เคยตกงานเลย มีแต่งานท่วมหัว" โดยเฉพาะบรรดาผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือว่าพระ จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเคยใช้ใครแล้วทำงานสำเร็จ ก็จะใช้แต่คนนั้น เพราะว่างานทุกอย่างมักจะหวังความสำเร็จกันทั้งนั้น ถ้าใช้คนอื่นแล้วไม่สำเร็จ ก็จะเกิดความเสียหายกับงานนั้น ๆ และตนเองอีกด้วย

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เช่นเดียวกัน ๔ พรรษาสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจะมรณภาพ ท่านแทบจะเรียกใช้
    กระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า บางท่านพอรับคำสั่งไป ต่อหน้าก็ "ครับ ๆ" แต่ถ้าเห็นว่างานยาก ก็มักจะทำไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ หรือเห็นว่างานนั้นต้องกระทบกระเทือนกับผู้อื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเองทีหลัง ก็จะทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเช่นกัน

    แต่กระผม/อาตมภาพไม่ใช่คนประเภทนั้น เป็นประเภทที่เรียกว่าเอาความถูกต้อง ถ้าหากว่าไม่ถูกต้อง แม้แต่ญาติพี่น้องของตนเองก็ลงโทษ ไม่ได้มีข้อแม้หรือสิทธิพิเศษให้ใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกท่านคิดว่าตนเองมีความสำคัญ มีความสามารถในสิ่งหนึ่งประการใดแล้วจะได้รับสิทธิพิเศษ ขอบอกว่าคิดผิด..! เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพเอง จะเอาระเบียบวินัยและส่วนรวมเป็นใหญ่ ผิดระเบียบผิดวินัยขึ้นมา ต่อให้มีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าโดนลงโทษเท่ากับคนเฮงซวยเหมือนกัน..! ตรงนี้ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือไม่มีนอก ไม่มีใน

    ดังนั้น...ในส่วนที่
    กระผม/อาตมภาพเกลียดที่สุดก็คือ เมื่อได้ยินว่า "คนนั้นเด็กของหลวงพ่อ" "คนโน้นเป็นญาติของหลวงพ่อ" ไอ้ประโยคนี้อย่ามาพูดให้เสียเวลา เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่เคยเห็นแก่หน้าญาติมาก่อน อย่าไปทำตัวเป็นประเภทถึงเวลาเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวตัวไหน แล้วหมาแมวตัวนั้นจะมีสิทธิพิเศษ ของผมนี่ถ้าหากว่าหมาที่เลี้ยงไว้กัดกันเองโดยไม่มีเหตุไม่มีผล ก็โดนหนังสะติ๊กพอกันกับหมาทั่วไป..!

    ถ้าหากว่าจำเป็นต้องปกครองใคร สำคัญที่สุดก็คือคำว่า ยุติธรรม ต้องไม่ประกอบไปด้วยอคติ ๔ ก็คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะหลง

    ลำเอียงเพราะรัก ก็คือที่ยกตัวอย่างไปแล้ว หมาแมวตัวนี้กูเลี้ยง ต้องพิเศษกว่าตัวอื่น..อย่างนั้นไม่ใช่ ลักษณะอย่างนั้นแปลว่าเราสูญเสียความยุติธรรมแล้ว ปกติอาจจะเลี้ยง อาจจะรัก อาจจะเอ็นดู แต่ถ้าทำผิดก็ต้องลงโทษ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ลำเอียงเพราะโกรธ ก็พอกับลำเอียงเพราะเกลียด ก็คือไม่ชอบหน้า โดยเฉพาะยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองผิดหรือว่าตัวเองโง่..! คนอื่นมีความรู้ความคิดที่ดีกว่าแล้วมาแนะนำ เรารับไม่ได้จึงพลอยเกลียดขี้หน้าเขา แล้วถึงเวลาก็ขาดความยุติธรรม เพราะว่าเราเกลียดคนนี้ ต่อให้มีความดีแค่ไหนก็อย่าหวังว่าจะพิจารณาความดีให้

    ลำเอียงเพราะกลัว ก็คือ ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าเขา "เส้นใหญ่" ส่งผลกระทบต่อตัวเองได้ คนโน้นก็เด็กหลวงพ่อ คนนี้ก็ญาติหลวงพ่อ แล้วไม่กล้าทำอะไร ปล่อยให้เขาสร้างความเสียหายให้กับหมู่คณะ
    ส่วนลำเอียงเพราะหลง ไม่ต้องพูดถึง โง่ชัด ๆ..! หลงในที่นี้ก็คือหลงผิด เห็นดีเห็นงามในสิ่งที่ผิด ต่อให้ขัดต่อหลักธรรมหรือความเป็นจริงก็ยังจะทำ

    เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือฆราวาส จะอยู่ในวัดหรือว่าทางบ้าน จะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม ต้องพิจารณาตรงนี้ให้ดี ว่าการทำการทำงานของเรามีอคติหรือไม่ ?

    พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม อดีตคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวเอาไว้ว่า "แม้เกลียดชัง ต้องตั้งกรุณา" พูดง่าย ๆ ก็คือ ต่อให้ไม่ชอบหน้า แต่ถ้าหากว่าเขามีความดีความชอบอะไรเราก็ต้องให้เขา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบขี้หน้าแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติเอ็งไม่มีวันได้โต..!

    ดังนั้น...ในเรื่องของการทำงานทำการทุกอย่างจะขาดความว่ายุติธรรมไม่ได้ คำว่ายุติธรรมในที่นี้ ไม่ใช่หยุดความเป็นธรรม หากแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงโดยหลักธรรม ก็คือต้องตรงไปตรงมา ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ จะได้รับความเกรงใจจากคนทั่วไป แต่ถ้าขาดความยุติธรรมเมื่อไร ก็จะวุ่นวายไปหมด อย่างบ้านเราเมืองเราในปัจจุบันนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือ ใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน

    ถ้าเป็นพวกกูอะไรก็ไม่ผิด ถึงผิดมากก็กลายเป็นผิดน้อย แต่ถ้าไม่ใช่พวกกู ก็ผิดทุกเรื่อง ถึงผิดน้อยก็กลายเป็นผิดมาก ลักษณะอย่างนี้นานไป ความอดทนของคนมีไม่เพียงพอ ในเมื่อถึงเวลาเขาระเบิดออกมาพร้อม ๆ กัน บ้านเราเมืองเราจะเดือดร้อนมากกว่านี้ ในส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง เพราะว่าเป็นเรื่องของบ้านของเมืองที่เกินความสามารถของพวกเราที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการขัดเกลาตนเอง ถ้าเรายังขาดความยุติธรรมก็ต้องพยายามฝึกหัดให้มีความยุติธรรม จิตใจประกอบไปด้วยอคติ ก็ต้องพยายามละอคติเหล่านั้นเสีย ไม่เช่นนั้นแล้วแค่หลักธรรมในเบื้องต้น เราเองยังไม่สามารถที่จะทำให้ดีทำให้ถูกได้ จะไปหวังอะไรกับความหลุดพ้นซึ่งเป็นหลักธรรมเบื้องปลายที่ละเอียดกว่านี้หลายเท่า

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว พวกเราที่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องตระหนักรู้ด้วยตนเอง ต้องมีสามัญสำนึก ก็คือสามัญสำนึกหรือว่ามโนธรรม จะบอกกับเราเองว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิด ต่อให้ไม่มีข้อห้าม ไม่มีระเบียบวินัย ก็ยังรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

    ดังนั้น...บุคคลที่มีมโนธรรมประจำใจ ก็มักจะละอายชั่วกลัวบาปไปเองอัตโนมัติ รู้ว่ากระทำสิ่งหนึ่งประการใด ถ้าหากว่าไม่ดีไม่งาม ตนเองอาจจะเดือดร้อนจากการกระทำนั้น ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พยายามที่จะระมัดระวังกาย วาจา ใจ ของตน ให้อยู่ในกรอบของศีล ๕ ศีล ๘ กรรมบถ ๑๐

    คนเราไม่ต้องวัดกันมาก วัดกันตรงศีลก็พอ ที่เดือดร้อนกันทั่วถ้วนอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบกพร่องในศีล ในเมื่อหลักการเบื้องต้นของการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น แค่ศีลยังไม่สามารถที่จะทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ จะไปหวังอะไรกับสมาธิและปัญญาที่สูงไปยิ่งกว่านั้น

    ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป อาจจะคิดว่าศีลแค่นั้นทำไมจะรักษาไม่ได้ นั่นเป็นแค่ "การคิดว่า คาดว่า" ต้องลงมือทำ ถึงจะรู้ว่าการรักษาศีลนั้นยากลำบากแค่ไหน

    เมื่อสิ่งที่มายั่วยวนใจให้เราละเมิดศีลอยู่ตรงหน้า เราสามารถที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ละเมิดศีลได้หรือไม่ ? ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แล้วถือว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แบบนั้นไม่ใช่ ศีลจะมีขึ้นได้ ต่อเมื่อมีโอกาสละเมิดศีลแล้วหักห้ามใจตนเองได้ ถึงจะนับว่าเป็นศีลอย่างแท้จริง

    ดังนั้น...วันนี้ในส่วนที่ประสบพบเห็นมาก็ดี หรือว่าที่นำมาบอกกล่าวกับพวกเราทั้งหลายก็ตาม แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติในเบื้องต้นเพื่อความหลุดพ้น ก็อย่าได้ประมาท และอย่าได้ดูถูกในเรื่องของศีล เราอาจจะคิดว่ารักษาได้ง่าย เพราะว่าเราทำเกินนั้นไปแล้ว แต่เราต้องระมัดระวังด้วย อย่าให้ตายเพราะ "หญ้าปากคอก" ก็คือของง่าย ๆ แต่พลาดแล้วพลาดเลย

    อย่างเช่นว่าถ้าเป็นฆราวาสก็อาจจะเผลอทำอนันตริยกรรม ถ้าเป็นพระก็อาจจะต้องอาบัติปาราชิก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เท่ากับท่านเสียชาติเกิดไปฟรี ๆ ๑ ชาติ..! เพราะว่าเป็นเรื่องของการปิดมรรคปิดผลไปเลย ชีวิตนี้ปฏิบัติให้ตาย โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เป็นไปไม่ได้

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...