เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 ธันวาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งทางราชการได้มีการบำเพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เอกชนอื่น ๆ ก็ทำกัน อย่างแถวทองผาภูมิของเราก็มีการทำอาหารแจกฟรี พวกเราคงไม่ได้ไปกินกันหรอกนะ ไม่รู้เขาแจกตรงไหน..ใช่ไหม ?

    ความจริงในเรื่องของวันพ่อหรือว่าวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่เราควรจะให้ความสำคัญกับพ่อแม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ๓๖๕ วันให้ความสำคัญกับท่านแค่วันเดียว เป็นสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญแก่ท่านทุกวัน ถ้าหากว่าบางท่านสวดมนต์แปล ก็จะมีบท "พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน" พูดง่าย ๆ ก็คืออีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพเองดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ดูจนตายคามือ..! ดูแลแม่อีก ๓ ปี ตอนที่ดูแลนั้นไม่ได้คิดจะดูแล แต่โดนบังคับ เพราะตอนดูแลพ่อ พี่น้องทั้งหมดชี้นิ้วมาว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน..!" เพราะว่ายังเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปีที่ ๕ พอถึงคิวดูแลแม่ ทุกนิ้วก็ชี้มาว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน..!" สรุปแล้วเป็นความผิดของกู..! ใช่ไหม ?

    ตอนที่ทำหน้าที่ ก็ไม่ได้คิดที่จะทำจากน้ำใสใจจริง แต่ทำเพราะว่าได้รับมอบหมายแกมบังคับมา แต่โดยนิสัยของตนเองก็คือ ถ้าทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด ก็เลยเต็มที่กับงานที่ตนเองได้รับมอบหมาย แต่พอสิ้นพ่อสิ้นแม่ไปแล้ว มีความรู้สึกว่าตัวเราโชคดีมาก ที่ได้ทำในสิ่งที่พี่น้องทั้งหมดไม่ได้ทำ คือตอนนั้นรู้สึกว่า "ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ..!?"


    แต่หลังจากที่ท่านสิ้นไปแล้ว มีความรู้สึกว่า "ทำไมกูโชคดีอย่างนี้วะ..!?" เป็นคนละอารมณ์ความรู้สึกกัน เพราะเชื่อว่าก็คงไม่มีใครที่จะทุ่มเทดูแลพ่อแม่ได้มากไปกว่านี้ หรือว่าดีไปกว่านี้ และในส่วนของการดูแลท่านทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละ ทำให้สามารถฝึกกรรมฐานได้โดยไม่ได้ตั้งใจ


    เพราะว่าโยมพ่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ทุก ๓ นาที ๕ นาทีต้องนวดให้คลาย ไม่อย่างนั้นก็จะเจ็บปวดทรมานมาก น่าจะเป็นอาการทางสมอง คราวนี้ก็แปลว่าต้องตื่นทั้งคืน แล้วก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ก็ต้องแบกร่างกายโทรม ๆ ไปโรงเรียน พอชั่วโมงไหนถ่างตาไม่ไหว ก็ยกมือขออนุญาตคุณครูว่า "ครูครับ..ขอนอนครับ..ผมไม่ไหวแล้วครับ..!"

    สมัยก่อนนั้นครูบาอาจารย์ทุกคนจะรู้สภาพของครอบครัวลูกศิษย์เป็นอย่างดี คุณครูก็เลยบอกว่า "เธอนอนได้ แต่วิชานี้ห้ามตกนะ..!" จึงมีวิธีเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่เรานอนแล้วหูจะได้ยิน เพราะถ้าหูได้ยินจะจำได้แน่นอนจึงต้องตั้งใจฟังทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ กลายเป็นคนที่ฝึกกรรมฐานได้โดยไม่ได้เจตนาตั้งแต่เด็ก ก็คือต่อให้หลับอยู่ก็ได้ยินเสียงรอบข้าง เพียงแต่ว่าจะสนใจหรือไม่เท่านั้น


    ถ้าหากว่าเราสนใจก็จะคลายสมาธิออก ความรู้สึกก็จะยื่นขยายออกไปรับรู้ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าหมดความสนใจ ก็กลับเข้ามาหาสมาธิเดิมของตนเอง ก็คือหลับ แต่เป็นการหลับแบบที่รู้ตัวว่าเรากำลังหลับ


    เรื่องพวกนี้มาได้ประโยชน์อย่างมหาศาลในสมัยที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกกรรมฐาน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองฝึกได้มาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้นั้นเป็นกรรมฐานในระดับที่สูงมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เนื่องเพราะว่าโดยปกติของคนทั่วไปก็คือ เวลากลางวันจะระมัดระวังรักษาศีลทุกอิริยาบถ กิเลสกินไม่ได้เลย ระวังตัวดีมาก กิเลสก็จะไปกินตอนที่เราหลับ กินตอนที่เราหลับอย่างไร ? ตอนกลางวันมดสักตัวก็ไม่กล้าเหยียบ ยุงสักตัวก็ไม่กล้าตบ ตอนกลางคืนหลับฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..! นั่นคือกิเลสที่กินเราตอนหลับ บางคนก็สำรวมมาก ไม่ต้องใครหรอก อาตมาเองนี่แหละ คุยกับสาว ๆ ไม่กล้ามอง กลัวจะตกหลุมรักเขา..! กลางคืนฝันว่าไล่ปล้ำลูกสาวชาวบ้านเขาเฉยเลย..!

    สิ่งที่เราฝันคือกำลังใจที่แท้จริงของเรา เพราะว่าในฝันนั้น ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราไม่พอ มีโอกาสเมื่อไร เราจะละเมิดศีลทันที จึงเป็นเครื่องวัดได้อย่างดีเลยว่า ถ้าแม้แต่ในความฝัน เรามีโอกาสละเมิดศีล แล้วเราไม่ละเมิดอย่างหนึ่ง หรือว่าประสบพบเหตุอะไรที่เป็นอันตราย สามารถนึกถึงพระได้อย่างหนึ่ง ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้ แสดงว่ากำลังใจของเรา เกาะในด้านดีมากกว่าด้านชั่ว


    แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไรละเมิดศีลทันที ประสบพบเหตุอันตรายก็หนีสุดชีวิต ไม่ได้นึกถึงคุณความดีอะไรเลย ถ้าลักษณะอย่างนั้น แปลว่ากำลังใจของเราแย่มาก ตกเป็นทาสกิเลสได้ทุกเวลา

    ดังนั้น...ในส่วนนี้สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ถึง ก็คือจะหลับหรือว่าตื่นต้องมีความรู้สึกเท่ากัน เราถึงจะระมัดระวังไม่ให้กิเลสกินใจของเราได้ ไม่เช่นนั้นแล้วกิเลสกินเราตอนตื่นไม่ได้ ก็จะไปกินตอนหลับ กำลังที่เราทำเอาไว้ได้ตอนกลางวัน ก็ไปพังหมดในตอนกลางคืน ดีไม่ดีก็ขาดทุนอีกต่างหาก


    ตรงจุดนี้ ที่บาลีใช้คำว่า พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น หรือว่าผู้เบิกบานที่พวกเราทุกคนต้องพยายามฝึกหัดให้ได้ ยิ่งช่วงท้าย ๆ ถ้าหากว่าเรานอนภาวนา เผลอเมื่อไรก็ตัดหลับ ต้องเอาสติจี้ติดอยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ห้ามห่างเด็ดขาด ห่างเมื่อไรหลับทันที จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวถึงระดับนั้นเมื่อไร จะรู้สึกเหมือนตัวเราและโลกภายนอกเป็นคนละส่วนกัน ข้างนอกอยากจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แต่ข้างในของเรานิ่งสงบอยู่

    ถ้าหากว่านับแล้ว ก็เป็นปฐมฌานละเอียด ปฐมฌานอย่างหยาบและอย่างกลางเอาไม่อยู่ เผลอเมื่อไรหลับทันที ต้องเป็นปฐมฌานละเอียดเท่านั้น คือสามารถรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ เราก้แค่เอาสติจดจ่อระมัดระวังประคองอารมณ์นั้นไว้เท่านั้น การปฏิบัติสมาธิภาวนาทุกอย่างจะกลายเป็นของง่าย แต่อย่าเผลอ..เผลอเมื่อไรหลุดกระจายเมื่อนั้น..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายต้องใช้ความเพียรพยายามอยู่มาก แล้วก็คงไม่โชคดีเหมือนกระผม/อาตมภาพที่มีโอกาสดูแลพ่อ ดูแลแม่ แปดเก้าปีที่ต้องฝึกต้องหัด ต้องซ้อมอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นคนเก่งโดยไม่รู้ตัว

    คราวนี้การฝึกซ้อมของพวกเราก็อย่าท้อใจ ถ้าท้อใจเมื่อไรก็กลับหลังหันมองไปที่ป้ายโน่น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอด ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์มา กระผม/อาตมภาพทันพระองค์ท่านอยู่หลายปี พูดง่าย ๆ คือทันอยู่ ๕๗ ปี ไม่เคยเห็นพระองค์ท่านท้อกับงานเลย แล้วงานของเราแค่ปฏิบัติตนเองอยู่ในกรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ยังไม่ได้เสี้ยวเดียวที่พระองค์ท่านทำได้อีกด้วย..!

    นอกจากจะต้องบริหารสารพัดโครงการ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เต็มสติกำลัง พระองค์ท่านยังปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในระดับยอดเยี่ยม มีทิพจักขุญาณสามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้เป็นปกติ


    ถ้าหากว่าใครรอฟังพระบรมราโชวาท ทุกครั้งที่พระองค์ท่านออกมหาสมาคมในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา จะสังเกตว่าระยะหลัง ๆ พระองค์ท่านเปิดมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ถ้าเปิดในลักษณะนั้น แปลว่าจะไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว


    ดังนั้น...พวกเราจะเห็นว่าพระองค์ท่านกล่าวถึงเรื่องของดินฟ้าอากาศบ้าง เรื่องของผี ของเทวดาบ้าง เกือบทุกครั้งที่ออกมหาสมาคม อย่างเช่นเล่าให้ฟังว่า อากาศแห้งแล้งมาก ก็เลยไปขอร้องท้าวจาตุมหาราช ช่วยพาเทวดาไปเล่นสงกรานต์ที่สุวรรณภูมิให้หน่อย

    ปรากฏว่าเทวดาท่านเล่นสงกรานต์เพลิน ก็เลยมีน้ำท่วมเป็นบางที่ ปีนั้นปี ๒๕๓๗ จำได้ว่านายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์ท่านตรัสชัดมากว่า ไปต่อว่าท้าวมหาราชว่า "ทำไมถึงน้ำท่วม ?" ท้าวมหาราชตอบว่า "น้ำท่วมส่วนน้อย ส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ใช่หรือไม่ ?" พระองค์ท่านก็ยอมรับว่าใช่ ท้าวมหาราชจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า เป็นวาระกรรมของคนส่วนน้อยที่จะต้องเดือดร้อน แต่ว่าประโยชน์ตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ เรื่องแบบนี้คนส่วนน้อยก็ต้องยอมรับกรรมไป"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อีกตัวอย่างหนึ่งก็ตอนที่พายุไต้ฝุ่นแองเจลาจะเข้าปักษ์ใต้ของเรา พระองค์ท่านสั่งเตรียมเรือหลวงจักรีนฤเบศรเอาไว้สำหรับช่วยเหลือชาวบ้าน สั่งทางด้านราชประชานุเคราะห์ ราชประชาสมาสัย เตรียมข้าวของเอาไว้สำหรับผู้ที่ลำบากเดือดร้อนเพราะพายุ สั่งการทุกอย่างแล้ว ก็ยังบอกว่าไปขอให้นางมณีเมขลาช่วย เพราะว่านางมณีเมขลาเป็นเทวดาที่ดูแลเรื่องดินฟ้าอากาศและมหาสมุทร นางเมขลาบอกว่า "ไม่รู้จะสู้กำลังพายุไหวหรือเปล่า ? แต่ในเมื่อพระองค์ท่านขอร้องก็จะลองดู" แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสว่า "นางมณีเมขลาแข็งแรงกว่า สามารถปล้ำไล่พายุจนพ้นจากประเทศไทยไปได้..!"

    ตอนนั้นบรรดาท่านทั้งหลายที่ศึกษาเรื่องอุตุนิยมวิทยาประสาทกลับไปตาม ๆ กัน..! เพราะว่าพายุจะขึ้นชายฝั่งชุมพรอยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็เลี้ยวหักข้อศอกออกไปขึ้นประเทศเวียดนามเฉยเลย..! ซึ่งถ้าหากว่าเป็นไปตามปกติแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ต้องบอกว่าเป็นพายุที่แหกคอกที่สุดในศตวรรษ..!

    เมื่อมาถึงตรงนี้ ทรงเห็นว่าบรรดานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งหลายทำหน้า "เอ๋อ" ยังไม่พอ หลายท่านนั่งหลับอีกต่างหาก พระองค์ท่านจึงตรัสออกนอกลู่นอกทางไปเลยว่า "รู้จักนางมณีเมขลาไหม ? เป็นสัญลักษณ์ของกรมฝนหลวง" พูดง่าย ๆ ก็คือดึงเข้าป่าเข้าดงไปเลย ในเมื่อมึงไม่รู้เรื่อง ก็เป็นเรื่องของมึงเถอะ..!
    ตรงจุดนี้เราจะเห็นว่า ถ้าการปฏิบัติธรรมของเราเกิดความยากลำบากขึ้นมา ต้องเพียรพยายามสู้ ไม่ท้อถอย เพราะว่าพระองค์ท่านรับพระราชภาระต่าง ๆ หนักกว่าเราเป็นล้านเท่า ยังสามารถปฏิบัติกรรมฐานได้ดีระดับนั้น ถ้าพวกเราท้อเสียก่อน ก็เสียทีที่เกิดมาอยู่ในแผ่นดินไทย เสียทีที่เกิดอยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน

    วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ก็เลยนำเอาเรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๙ บางส่วนที่พวกเราเคยรู้บ้าง ไม่เคยรู้บ้าง มากล่าวให้ทุกท่านฟัง ก็ขอรบกวนเวลาของพระภิกษุสามเณร และญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...