เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตอนนี้เราก็มีนาคที่จะอุปสมบทหมู่จำพรรษา ฝึกหัดขานนาคกันอยู่ ๕ ท่านด้วยกัน วันนี้ก็ยังมีคนโทรมาจะขอบวช ก็แจ้งไปว่าปิดรับสมัครแล้ว ถ้าหากว่าต้องการจะบวช ให้สมัครในรอบต่อไป ก็คือบวชวันลอยกระทง

    คราวนี้ส่วนหนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือ นาคของเราส่วนใหญ่แล้วขาดไหวพริบมาก เพราะว่าเคยชินกับความเป็นฆราวาสอย่างหนึ่ง แล้วก็บางท่านอายุมาก ทำอะไรตามใจตัวเองมาจนชิน จึงทำให้ใหม่ ๆ ยังออกนอกลู่นอกทางอยู่ ก็ต้องโดนดุ โดนด่า โดนเตะ โดนกระทืบ ไปเรื่อยกว่าจะเข้าที่..!

    ในส่วนของบรรดานาคทั้งหลายที่ต้องตามพระออกบิณฑบาต ส่วนแรกที่ต้องพึงระวังเลยก็คือ หนทางในตลาดทองผาภูมินั้นแคบมาก เพราะว่าทองผาภูมินั้น บ้านคนมาก่อนถนน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะขยายถนนได้ พอพวกเราลงไปเดินบนผิวจราจรเมื่อไรจึงเดือดร้อนคนขับรถขึ้นมาทันที

    เพราะว่าถ้าใครเคยขับรถใหญ่แล้วจะรู้ รถพวงมาลัยขวา มุมซ้ายมือจะเป็นมุมบอด กะไม่ถูกว่าห่างจากคนเดินบนถนนเท่าไร ตัวเราเองที่เดินอยู่เรารู้ว่าห่าง แต่คนขับรถไม่กล้าไป แล้วยิ่งเดินช้าเท่าไร รถก็ยิ่งติดยาวเท่านั้น ไม่ต้องทะลึ่งไปหวังดีโบกให้เขา..! รีบหลบออกจากพื้นถนนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนที่น่าทำที่สุดก็คือเดินบทฟุตบาท ไม่ใช่ไปเดินบนผิวจราจร

    ส่วนที่สองก็คือ พระเดินเป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อย แต่นาคของเราเดินเป็นทหารแตกทัพ ไปกันคนละทิศคนละทาง ให้เดินตามกันไป เว้นระยะพอสมควร ถ้าหากว่าเดินแบบพระ งามที่สุดก็คือห่าง ๒ ก้าว ที่ห่าง ๒ ก้าว เผื่อว่ารูปหน้าหยุดกะทะหัน รูปที่สองจะได้มีจังหวะหยุด ไม่เดินไปชนรูปแรก นาคเราก็ควรที่จะทำตามแบบนั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เมื่อถึงเวลาญาติโยมใส่อาหาร ใส่กับข้าวที่เป็นถุง คนแรกเมื่อเก็บกับข้าวแล้วก็วนไปต่อท้ายแถว ให้คนที่สองขึ้นมาทำหน้าที่ต่อ คนที่สองเก็บแล้วก็ไปต่อท้ายแถว ให้คนที่สามมารับหน้าที่ต่อไป จะได้หมุนเวียนกันทำหน้าที่ ไม่ใช่ปล่อยให้คนแรกเก็บไปเรื่อย ไอ้ที่เหลือก็เดินแกว่งไปเรื่อย..!

    การที่เรามาฝึกหัดตนเองนั้น จะเห็นได้ชัดว่าเรามีความเห็นแก่ตัวมากน้อยเท่าไร ในรุ่นก่อน ๆ บรรดาพวกที่อู้และเห็นแก่ตัว มีหลายครั้งหลายคราวที่บางคนนั่งไปกับรถสามล้อที่รับกับข้าวเลย แล้วคุณจะไปทำอะไร ? ถึงเวลาก็นั่งสามล้อไปแล้วก็นั่งกลับวัด..!

    ถ้าหากว่าต้องการที่จะช่วยเหลือพระก็ต้องเดินตามแถวไป พอเห็นว่ามีโยมจะใส่บาตร คนแรกก็เดินขึ้นมา มองดูให้ดีด้วยว่าจังหวะที่เราเก็บกับข้าวนั้น โยมเขาสามารถใส่บาตรพระรูปต่อไปได้หรือเปล่า ? เพราะว่าถ้าหากว่าเรายื่นมือไปขวางหน้าโยมเอาไว้ เพื่อที่จะเก็บกับข้าวจากรูปแรก รูปที่สองเดินมา โยมก็ใส่บาตรต่อไม่ได้ เพราะว่ามือเราไปขวางอยู่

    เรื่องพวกนี้ต้องใช้ไหวพริบทั้งสิ้น ว่าทำอย่างไรจะให้เกิดความคล่องตัว และขณะเดียวกันก็จะต้องไม่เกะกะ เราต้องรู้จักสังเกตว่าพระท่านทำอะไร แล้วหาเหตุผลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

    ทำไมถึงหน้าบ้านโยมแล้ว แทนที่หลวงพ่อจะเดินขึ้นไปบริเวณหน้าบ้านเขาเลย กลับเดินจนเกือบจะถึงตัวโยมแล้วค่อยเดินขึ้นไป ? ก็เพราะว่าโดยเฉพาะหน้านี้เป็นหน้าฝน เราเดินขึ้นไปหน้าบ้านเขาก็จะเปรอะเปื้อนไปหมด ญาติโยมต้องทำความสะอาดมาก ถ้าหากว่าเราเดินอยู่ตรงหน้าของโยมแล้วค่อยขึ้นไป โยมก็จะทำความสะอาดน้อยที่สุด

    แต่เท่าที่กระผม/อาตมภาพสังเกตดู แม้กระทั่งพระของเรา ถึงเวลาหลวงพ่อเดินข้างล่างแล้วไปเดินขึ้นบ้านตรงหน้าโยม กูก็เดินขึ้นตั้งแต่แรกเลย..! โดยที่ไม่ใส่ใจว่าจะทำให้ญาติโยมเขาต้องลำบากในการเก็บกวาดสักเท่าไรหลังจากที่เราไปแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ทำไมหลวงพ่อต้องเดินเลยหน้ารถที่จอดอยู่ไปตั้งไกล แล้วถึงจะตัดข้ามถนน ? ก็เพราะว่าการข้ามถนนนั้น ถ้าหากว่าเราไม่ออกทางท้ายรถ ญาติโยมจะมองไม่เห็น ถ้าโผล่กระชั้นชิดตรงหน้ารถ แล้วรถเขามาเร็วหน่อย เราจะโดนรถชนอย่างแน่นอน..! เราต้องเดินห่างไปให้ไกล จนพอที่คนขับรถจะสังเกตเห็นเราได้ แล้วค่อยข้ามถนน ไม่ใช่นึกจะข้ามตรงไหนก็ข้ามตรงนั้นได้

    ดังนั้น..พวกเราอาจจะเห็นว่า แค่เดินถือกระป๋องตามพระไปเพื่อเก็บกับข้าวก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันเยอะมาก ถ้าจะเอาให้มากกว่านั้นก็คือ เดินภาวนาไปแล้วสังเกตอารมณ์ใจตัวเองไปด้วย ว่าเราหลุดจากการภาวนาไปตอนไหน ? ไปยินดีกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตั้งแต่เมื่อไร ? รู้ตัวแล้วดึงกลับมาได้เร็วเท่าไร ? ก็แปลว่าตั้งแต่ก้าวออกจากวัด เราก็ต้องอยู่กับอารมณ์ภาวนาแล้ว


    ถ้าหากว่าไม่ถนัดเพราะว่าภาวนาแล้วเดินไม่ได้ เนื่องจากว่ายังขาดความชำนาญ ก็ต้องเอาใจจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า คิดงานให้เป็น จากจุดนี้แล้วพระท่านจะเดินไปจุดไหน ? มีญาติโยมใส่บาตรมากน้อยเท่าไร ? เราจะต้องสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่อย่างไร ?


    ของใครเต็มถังแล้วต้องเอาไปถ่ายใส่รถสามล้อแดง คนที่เหลือก็ต้องรีบเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนไป ไม่ใช่ถึงเวลาต่างคนก็ต่างไปกันจนหมด เดินไปแล้วก็อย่าได้มองแต่ข้างหน้า อย่าได้มองแต่หัวแถว ให้ดูท้ายแถวด้วย เพราะว่าบางทีญาติโยมก็โผล่มาใส่บาตรเอากลางแถวหรือท้ายแถวก็มี หรือว่าบางคนมีกับข้าวหลายถุง แต่ไม่ได้ใส่ต่อเนื่องกันไป ใส่หัวแถวถุงหนึ่ง กลางแถวถุงหนึ่ง ท้ายแถวถุงหนึ่ง เราเก็บหัวแถวเสร็จแล้วเดินไปเลย พระเณรก็ถือกับข้าวเดินตามเราไปด้วย บางคนเรียกเท่าไรก็ไม่ฟังอีกด้วย เพราะมั่นใจว่าไม่มีอะไรเหลือให้ทำแล้ว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เรื่องพวกนี้เป็นแค่สิ่งหยาบ ๆ ภายนอกเท่านั้น ถ้าจะเอาละเอียดกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่เดินออกจากวัดจนกระทั่งกลับวัด เราสามารถรักษาอารมณ์ภาวนาไว้ได้ไหม ? เจอถนนลูกรังขรุขระเดินแล้ว

    เจ็บเท้า เรายินดีหรือไม่ยินดี ? ถึงเวลาพ้นจากถนนลูกรังไปเจอถนนดินเย็นสบายเท้า เรายินดีหรือไม่ยินดี ? ถึงเวลาเห็นผู้หญิงผู้ชาย เห็นเด็ก เห็นคนแก่ เรายินดียินร้ายด้วยหรือเปล่า ?

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ารู้จักนำมาใช้ประโยชน์ ก็เป็นการฝึกฝนตนเองเข้าสู่กรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่ถ้าไม่รู้จักสังเกตก็เป็นอันว่าจบกัน ถ้าของหยาบยังทำไม่ได้ ของละเอียดคือการเข้าถึงธรรม ก็ไม่ต้องไปหวังเลย..!

    โดยเฉพาะพรรษานี้ เรามีผู้อาวุโสอายุถึง ๖๔ - ๖๕ ปี เข้ามาบวชด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าหากว่าเป็นมติมหาเถรสมาคมก็คือ เกิน ๖๐ ไปแล้วไม่รับเข้ามาบวช เหตุที่ไม่รับนั้นมี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือกลัวว่าจะเป็นพวกที่อาศัยการบวชเพื่อหากิน ประการที่สองก็คือ บุคคลที่บวชเมื่อแก่นั้นเอาดีได้ยากมาก..!

    ถ้าหากว่าตามประวัติตั้งแต่พุทธกาลมา จะเห็นว่าคนที่บวชเมื่อแก่แล้วเอาดีได้ มีหลวงตาราธพราหมณ์รูปเดียว ถ้าไปค้นอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นพระพุทธเจ้าตรัสถึงความไม่ดีไม่งามของพระหลวงตาเป็นจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ว่าหาดีไม่ได้เลย อย่างเช่นว่า พระหลวงตามักหัวดื้อ พระหลวงตามักไม่ฟังใคร พระหลวงตามักจะอวดว่าตนเองมีวัยวุฒิคุณวุฒิสูงกว่า ไม่ฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ สารพัดสารเพเป็นสิบ ๆ ข้อ..!

    แต่คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นผู้ตัดสินว่าจะรับเราเข้ามาบวชหรือไม่รับ โดยเฉพาะของวัดท่าขนุน ระเบียบวัดของเราชัดเจนอยู่แล้ว แหกคอกขึ้นมาเมื่อไรก็ไล่ออกจากวัดไปเลย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าบางคนคิดว่าการประพฤติปฏิบัติของตนในระหว่างความเป็นนาค ก็เพื่อให้เป็นบัตรผ่านประตูเท่านั้น แล้วที่เหลือเราจะทำอะไรก็ได้ ขอบอกให้รู้ว่าคิดผิด ไปดูในเว็บไซต์วัดท่าขนุน ใน "กระทู้บอกเล่าเก้าสิบ" จะมีรายชื่อของบุคคลที่โดนขึ้นบัญชีดำอยู่ ห้ามบวช ห้ามเข้าวัดอีกตลอดชีวิต เป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่โดนไปตั้งแต่เป็นนาค ก็มากพอ ๆ กับตอนที่เป็นพระ..!

    การที่เราบวชเข้ามาแปลว่าเราตั้งใจเอาดีแล้ว กาย วาจา ใจ ทุกอย่างของเรา ต้องทำเพื่อขัดเกลาตนเอง ลด ละ เลิก กิเลสให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราไม่สามารถที่จะทำตามใจตนเองได้อีกแล้ว ยังดีว่าพวกเราบวชที่วัดท่าขนุน อย่างเก่งก็เป็นนาคอยู่แค่ ๗ วัน แต่ว่ามีหลายท่านที่ต้องการเอาดีจริง ๆ แล้วมาอยู่เป็นนาคเป็นเดือน ๆ ก็มี
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ถ้าหากว่าท่านไปบวชสายวัดป่า ต้องเป็นตาผ้าขาวอยู่ ๒ ปี แต่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ พร้อมอภิสมาจารเหมือนกับพระ เพื่อให้เคยชินเสียก่อนว่าถ้าเป็นพระแล้วต้องทำอย่างไร จนครูบาอาจารย์มั่นใจว่าเราไม่ผิดไม่พลาดแล้วถึงอนุญาตให้บวช แต่ว่าระยะหลังพระวัดป่าก็ผ่อนเบาลงไปมาก เพราะว่าหาคนบวชได้ยากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็ต้องทนเป็นตาผ้าขาวอยู่ ๒ ปี ในเมื่อหลักสูตรเร่งรัดของที่นี่แค่ ๗ วัน เราก็ต้องพยายามทำให้ได้มากที่สุด

    โดยเฉพาะการขานนาค คือการที่เราไปร้องขอต่อคณะสงฆ์ให้ยกเราขึ้นเป็นอุปสัมบัน คือพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ต้องเสียงดังฟังชัด พระที่อยู่ในโบสถ์ต้องได้ยินครบถ้วนทุกรูป ไม่ใช่กระซิบอยู่กับพระอุปัชฌาย์แค่สองคน ในเมื่อเราต้องไปร้องขอก็คือต้องว่าเอง ที่นี่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ช่วย ว่าไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องใช้ความพยายามในการบวชมากกว่าที่อื่นเขา

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อฝึกไปแล้วจนชิน จะทำให้การอยู่เป็นพระเป็นเณรของเราง่ายขึ้น เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว มีสถานภาพเดียวก็คือพระใหม่ ที่ภาษาบาลีเรียกว่า นวกภิกขุ บุคคลที่บวชก่อนเราแม้แต่วันเดียว หรือว่าชั่วโมงเดียว หรือนาทีเดียวก็คือรุ่นพี่ พระสงฆ์ของเราเคารพกันตามอาวุโสพรรษา ต่อให้บวชชุดเดียวกัน ถ้าหากว่าคู่สวดเอ่ยชื่อก่อน เราเท่ากับเป็นพี่ ใครบวชทีหลังก็เป็นน้อง ต้องให้ความเกรงใจ ไม่ใช่ว่าคนอื่นบวชก่อนอายุน้อยกว่า เราบวชทีหลังอายุมากกว่า แล้วไปเบ่งใส่เขา ไอ้นั่นเป็นเรื่องของทางโลก ไม่ใช่เรื่องทางธรรม

    ดังนั้น..รุ่นพี่ทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าหากว่ามีอะไรที่จะเมตตาบอกกล่าวสั่งสอน เราต้องรับฟัง ถ้าหากว่าผิดก็แก้ไข ถึงจะเรียกว่าเป็นการบวชเพื่อเอาดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว การบวชนั้นง่าย แต่การอยู่ให้ "เป็นพระ" ของพระพุทธเจ้านั้นยาก ถ้าเราไม่ตั้งใจ ลด ละ เลิก กิเลสจริง ๆ ก็รังแต่จะสร้างบาปสร้างกรรมให้กับตัวเอง โดยเฉพาะถ้าสร้างกรรมในความเป็นปูชนียบุคคล ก็คือนักบวช โทษก็จะหนักกว่าคนธรรมดาทั่วไปเป็นแสนเท่า..! บวชไปแล้วขาดทุนตั้งแต่แรกเริ่ม

    วันนี้ก็รบกวนเวลาของพวกเราทั้งหลายมาพอสมควร ก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้สำหรับพวกเราทุกคนไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...