เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ท่านที่ช่างสังเกต อาจจะเห็นเวลาด้านข้างว่าผิดไปจากปกติที่เคยบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เนื่องจากว่าช่วงบ่ายอาตมภาพมีภารกิจ คงไม่สามารถที่จะกลับมาบันทึกเสียงได้ทัน จึงได้ทำล่วงหน้าเอาไว้ให้

    เมื่อเช้านี้ก่อนออกบิณฑบาต ทางแม่ชีชื่นแจ้งว่ามีงูนอนขวางประตูกุฏิแม่ชีอยู่ ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ อาตมภาพจึงต้องไปจัดการจับออกมาให้ ปรากฏว่าเป็นงูเหลือม ตัวขนาดกำลังปราดเปรียวเลย เวลากลางค่ำกลางคืนงูเหลือมจะเป็นสัตว์ที่ปราดเปรียว ว่องไว และดุร้ายมาก ต่างจากกลางวันที่เราเห็นว่านอนเชื่อง ๆ

    แต่คราวนี้การที่สัตว์จะทำร้ายเรา เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเขากลัวเรา เขาก็จะป้องกันตัวด้วยการทำร้ายเราก่อน สาเหตุที่สองก็คือเรากลัวเขา เขาจะขับไล่เราออกไปให้พ้นเขตที่เขาหากินอยู่ เพราะว่าเราไปล่วงเขตที่เขาทำมาหากิน อาจจะเป็นอุปสรรคทำให้เขาหากินไม่ได้

    ในเรื่องของสัตว์ทั้งหลายนั้น เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขนาดภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า "คนตายเพราะสมบัติ สัตว์ตายเพราะอาหาร" หรือแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า สัพเพ สัตตา อาหารัฏฐิติกา สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร เมื่อเขาคิดจะขับไล่เราออกไปให้พ้นเขต ถ้าหากว่าเราหลบหนีไม่ทัน ก็อาจจะโดนทำร้ายถึงแก่ชีวิตได้

    แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่า อาตมภาพสามารถที่จะจับงูใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษได้ทุกชนิด แม้กระทั่งงูจงอางที่ยกหัวขึ้นมาสูงท่วมหัว ก็สามารถที่จะจับได้ นอกจากการที่เราแผ่เมตตาเป็นปกติแล้ว ถ้าเราเข้าหาสัตว์ร้ายทุกชนิด โดยที่ไม่คิดทำร้ายเขาและไม่กลัวเขา พวกสัตว์ทั้งหลายจะทำอะไรไม่ถูกเลย

    ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า ในแต่ละอารมณ์ของ รัก โลภ โกรธ หลง ร่างกายจะหลั่งสารเคมีออกมาต่าง ๆ กันไป สัตว์ที่มีประสาทสัมผัสละเอียดกว่ามนุษย์ สามารถรับสารเคมีเหล่านี้ได้ สามารถอ่านอารมณ์ของเราออกว่าคิดจะทำร้ายเขาหรือไม่ ถ้าหากว่าเราคิดจะทำร้ายเขา เขาจะต้องป้องกันตัว ถ้าเรากลัวเขา เขาก็จะขับไล่เรา แต่ถ้าเราเข้าไปโดยที่ไม่กลัวเขา และไม่คิดที่จะทำร้ายเขา สัตว์ทั้งหลายจะทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าไม่สามารถที่จะจับอารมณ์อะไรได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ดังนั้น...ถ้าเราไม่ไปทำให้เขาเจ็บ ก็สามารถที่จะนำเขาออกไปจากที่นั้น ๆ ได้ อย่างเช่นเมื่อเช้านี้ อาตมภาพก็แค่คลำ ๆ ให้เขารู้ตัวว่า มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับเขาแล้วนะ จากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงตัวเขาขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็ช้อนทางปลายหาง แล้วก็เอาไปปล่อยที่หัวสะพานบิณฑบาต

    ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง ก็คือกำลังใจของเราจะต้องประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ ที่ทรงตัว และที่สำคัญคือสมาธิต้องมั่นคงชนิดไม่เคลื่อนเลย อารมณ์ของเราจะได้แน่วนิ่ง ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาเองก็จะยินยอมไปกับเราแต่โดยดี
    เรื่องพวกนี้อาตมภาพฝึกมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส เพียงแต่ว่าพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลาย มีความกลัวตายเป็นปกติ ในเมื่อเรากลัว สัตว์สามารถจับอารมณ์นี้ได้ ถ้าหากว่าเป็นภาษาพระก็คือ สัตว์ทั้งหลายสามารถรู้กำลังใจของเรา ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์บอกว่า สัตว์สามารถรู้ได้จากสารเคมีที่ร่างกายเราหลั่งออกมา

    แต่ถ้าหากว่าเรามีอารมณ์ใจที่ทรงตัวมั่นคง ก็สามารถที่จะทดลองได้ เพียงแต่ว่าให้ทดลองกับสัตว์ที่ไม่มีพิษ หรือไม่ดุร้ายก่อน เป็นสัตว์ที่ปราดเปรียวทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยไว้ใจคน ถ้าหากว่าสามารถที่จะให้เขามาอยู่ใกล้ หรือว่าจับต้องเขาได้ โดยที่เขาไม่หลบหนี แล้วเราค่อยขยับไปลองกับสิ่งอื่น ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    คราวนี้ในการทดลองของอาตมภาพนั้นต่างออกไป เพราะว่ามีความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ และความเชื่อมั่นในความรู้ของตนเอง

    เริ่มต้นทดลอง ก็เล่นกับงูพิษอย่างงูเขียวหางไหม้เลย เป็นต้น และแม้ว่าจะสามารถทำได้จนเคยชินแล้ว แต่บางขณะวาระกรรมที่เนื่องกันมาอยู่ อาตมภาพก็ยังเคยโดนงูกะปะกัดเข้าที่ชีพจรข้อมือ ๔ เขี้ยวเต็ม ๆ เพราะว่าเจ้างูกะปะตัวนี้จะมากินลูกไก่ที่อาตมาเก็บเอาไข่ไก่ป่ามาฟักออกมาเป็นตัวตั้งแต่ตอนหัวค่ำ

    เมื่อจะมากินลูกไก่ ได้ยินเสียงลูกไก่ร้อง อาตมภาพก็ไปจับ ไม่มีเวลาไปปล่อย ก็ใส่เอาไว้ในกรงดักหนู ผ่านไป ๑ คืน หลังทำวัตรเช้าแล้ว จะเอาเขาไปปล่อย ปรากฏว่าพอล้วงออกจากกรงมา เจ้างูก็พยายามจะเลื้อยหนี ในเมื่อดิ้นหลุดจากมือซ้าย ก็จับด้วยมือขวา ดิ้นหลุดจากมือขวา ก็จับด้วยมือซ้าย เขาอาจจะโมโหด้วยว่าหิวมาทั้งคืน ก็เลยแว้งกัดเข้าที่ข้อมือซ้ายตรงชีพจรเข้าเต็ม ๆ..!

    แต่คราวนี้ในส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเมตตาบารมี ที่กล่าวไว้ในกรณียเมตตสูตรว่า นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา คือความเมตตาสามารถทำลายได้ทั้งเปลวไฟ ทั้งยาพิษ และทั้งอาวุธ อีกประการหนึ่งก็คือ มั่นใจว่าตัวเองได้รับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้แค่ล้างน้ำ ทำความสะอาดแผล และเอาพลาสเตอร์แปะ หลังจากนั้นก็ไปทำหน้าที่การงานของตนต่อไป..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อาตมภาพไม่แนะนำให้ญาติโยมทั้งหลายทำ เพราะว่าอันตรายจนเกินไป ถ้าสภาพจิตของเรากลัวตาย ปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร เลือดของเราจะกลายเป็นกรด นำพาเอาพิษของสัตว์เข้าสู่ร่างกายได้เร็วมาก แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามั่นคง ประกอบด้วยเมตตาเป็นปกติ เลือดของเราไม่สามารถเป็นตัวนำพิษของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้เข้าไปสู่หัวใจของเราได้

    เรื่องพวกนี้ยังเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ทั่ว ๆ ไปจะพิสูจน์ได้ แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่า หลายท่านที่โดนงูกัดแล้วสลบไป ถึงเวลาฟื้นขึ้นมาก็เป็นปกติทุกอย่าง เนื่องเพราะว่าคนที่สลบไปนั้น จิตไม่มีการปรุงแต่งอื่น ๆ ก็คือพ้นจากการ รัก ชอบ เกลียด กลัว ต่าง ๆ ไปแล้ว ในเมื่อสภาพจิตไม่ปรุงแต่ง พิษสัตว์ก็ไม่สามารถที่จะอาศัยเส้นเลือดของเรา เพื่อส่งพิษไปทำร้ายเราได้ ท้ายที่สุดเมื่ออยู่ในตัวเรานานไป ก็โดนภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรากำจัดออกไปเอง

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อสามารถทำไปได้ระดับหนึ่ง ก็จะเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังทำไม่ถึง ก็อาจจะเห็นเป็นเรื่องของความอัศจรรย์ เห็นเป็นเรื่องของความเป็นผู้วิเศษต่าง ๆ ซึ่งความจริง ถ้าหากว่าฟังที่อาตมภาพกล่าวมาตั้งแต่ต้น ก็จะเห็นว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา

    ดังนั้น..ถึงเวลาสัมผัสตัวงู ก็จะไม่ใช้แรง ก็คือจับแต่เพียงเบา ๆ แล้วใช้อีกมือหนึ่งช้อนรับ ในเมื่อเราไม่ได้บีบเขาแรง เขาไม่ได้รู้สึกว่าโดนทำร้าย เขาก็จะไม่ดิ้นรนไม่อะไร แล้วขณะเดียวกัน กำลังใจของเราที่มั่นคง ไม่หวาดกลัว ร่างกายไม่ได้หลั่งสารเคมีออกมาให้เป็นอันตรายต่อเขาในความรู้สึก เขาเองก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรา
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,532
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เรื่องพวกนี้ ท่านทั้งหลายสามารถที่จะฝึกหัดได้ อันดับแรก..ให้ตั้งใจแผ่เมตตาภาวนาให้เป็นปกติ หลังจากนั้นเมื่ออารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็ทดลองในระดับแรก ๆ ก็คือกับสัตว์ที่ไม่มีพิษก่อน แล้วหลังจากนั้น พอกำลังใจมั่นคงขึ้น ค่อยไปทดสอบกับสิ่งที่มีพิษมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ

    อย่างที่อาตมภาพทดสอบมา นอกจากงูพิษต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีต่อหลุม ซึ่งตอนนั้นท่านอาจารย์สมพงษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนยังบวชอยู่ แล้วก็มี ท่าน ดร.พระครูปลัดปรีชา เจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ ตอนนั้นยังเป็นพระปรีชา เป็นพระลูกวัด แล้วก็ยังมีทิดจิตร ซึ่งตอนนั้นก็บวชเป็นพระอยู่ ไปทดสอบด้วยการแผ่เมตตากันที่หน้าปากหลุมของต่อหลุม ซึ่งเมื่อพวกเวรยามของต่อหลุมเขาเห็น ก็ไปแจ้งพรรคพวกให้บินออกมาสำรวจ

    คราวนี้สัตว์พวกนี้ฉลาดมาก เขาใช้วิธีบินเฉียดหัวเหมือนกับจะทำอันตรายเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์สมพงษ์กับคนอื่น ๆ ด้วยความที่กำลังใจไม่มั่นคง ก็ไปเบนหัวหนี ในเมื่อขยับ เขารู้ว่าเป็นผู้ที่จะมาเป็นอันตรายได้ก็ต่อยเลย..! แต่ส่วนอาตมาเองไม่ได้ขยับไปไหน ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งคนอื่นวิ่งหนีกันหมดแล้วก็ยังไม่ได้ไป ต้องใช้วิธีว่าเมื่อลมพัดมาทีหนึ่ง ก็ค่อยขยับเคลื่อนตัวออกมาทีหนึ่ง..ลมพัดมาทีหนึ่งก็ขยับเคลื่อนตัวออกมา จนกระทั่งพ้นจากเขตอันตรายแล้ว ถึงได้ลุกเดินจากมา

    ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง จะเห็นว่าพวกสัตว์ทั้งหลาย เขาไม่ได้คิดจะทำอันตราย ได้แต่วนเวียนไปมา ดูว่าเราจะมีอันตรายกับเขาหรือเปล่า แต่งวดนั้นน่าสงสารท่านอาจารย์สมพงษ์ ขนาดฉันยาพาราเซตามอลไป ๔ เม็ด ยังไม่สามารถที่จะระงับอาการปวดจากการที่โดนต่อหลุมต่อยศีรษะไป ๒ ครั้ง นอนครางโอย ๆ ไปทั้งคืน จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอันตรายมาก

    ถ้าหากว่าญาติโยมทั้งหลายมีกำลังใจที่ไม่เข้มแข็งพอ หรือดังที่อาตมภาพกล่าวว่า "ยังไม่บ้าพอ" ก็อย่าได้ทดสอบกับเรื่องที่อันตรายทั้งหลายเหล่านี้

    สำหรับเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา ญาติโยมทั้งหลายคงจะได้ฟังในเวลาเดิมกันต่อไป..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...