เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 มิถุนายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2021
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันสุนทรภู่ด้วย แล้วก็มีความสำคัญอีกอย่างก็คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติครบรอบ ๙๔ พรรษาของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชรูปปัจจุบัน

    เมื่อสักครู่ พวกเราใช้เวลาในการจัดสถานที่เพื่อสวดมนต์ถวายพระองค์ท่าน ๒ นาที ผมใช้คำว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์..!

    จะว่าไปแล้ว ในยุคปัจจุบันของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ของเรา โบราณาจารย์ท่านกล่าวพยากรณ์เอาไว้ว่าเป็นยุค "ชาววิไล" คือมีความเจริญทางวิทยาการอย่างสูงสุด ดึงเอาพลังงานของ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาใช้งานได้อย่างมากมายมหาศาล แม้ว่าจะยังไม่ได้อย่างที่ผมตั้งความหวังเอาไว้ ก็คือเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ผมได้ให้แนวทางแก่ญาติโยม ไปแยกน้ำให้เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมัน

    ปรากฏว่าหลังจากมีคนทดลองไประยะหนึ่ง ก็บอกว่า "ไม่ได้ครับหลวงพ่อ เครื่องนี้ถ้าแยกออกซิเจนกับไฮโดรเจนออกมา คำนวณแล้วว่าเครื่องจะใหญ่พอ ๆ กับห้องเลย ไม่สามารถที่จะติดกับยานพาหนะได้" ผมก็บอกเขาว่า "อย่าเพิ่งท้อ เพราะว่าน้ำนั้นประกอบขึ้นมาจากทั้งออกซิเจนและไฮโดรเจน ซึ่งติดไฟได้ทั้งคู่ เป็นเชื้อเพลิงได้ทั้งคู่ ถ้าคุณทำได้ เราจะมีพลังงานที่เหลือเฟือมาก" ตรงนี้เขายังไปกันไม่ถึง

    แต่ว่าในส่วนอื่น ๆ ของเรา จะสังเกตเห็นความสะดวกสบายที่เกิดขึ้น ไม่เหมือนสมัยผมยังเด็ก ๆ ถึงเวลาจะส่งข่าวกันแต่ละที ต้องเดินกันข้ามทุ่งกันเป็นวัน ๆ สมัยนี้ ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียว ๓ วินาทีไปทั่วโลก การเดินทางก็เร็วมาก

    แม้ว่าตอนนี้ระบบเดินทางด้วยเครื่องบินพาณิชย์ความเร็วเหนือเสียงจะยกเลิกไป แต่ว่าการเดินทางระบบอื่น ๆ ก็เริ่มมากขึ้น อย่างเช่นว่ารถไฟฟ้าความเร็วสูง การเดินทางผ่านท่อไฮเปอร์ลูบ หรือการขนส่งสินค้าส่งถึงบ้าน ที่เราเรียกว่าเดลิเวอรี่ ด้วยยานยนต์บินได้ขนาดเล็กก็คือพวกโดรน แล้วต่อไปเราก็จะมีรถลอยฟ้า มีรถดำน้ำแข่งกับเรือดำน้ำ รถดำน้ำของเราคงซื้อมาใช้ได้ แต่เรือดำน้ำเขาซื้อไว้สู้กับเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เราอย่าไปยุ่งกับเขา..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ในเมื่อยุคนี้เป็นยุคของวิทยาการ ภาษาบาลีเรียกว่าวิชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยวิชาการ ถ้าใครสำเร็จฤทธิ์พวกนี้ สมัยก่อนเขาเรียกในภาษาบาลีว่าวิชชาธร หรือวิทยาธร หรือพิทยาธร
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงฤทธิ์ คือความสำเร็จที่เกิดขึ้นแบบอัศจรรย์ไว้ ๑๐ อย่างด้วยกัน ประกอบไปด้วย


    อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจ แต่ต้องมีพื้นฐานของกสิณ ๑๐ อย่างเช่นว่ามีพื้นฐานของอาโปกสิณ ตั้งใจจะให้ฝนตก อธิษฐานว่าให้ตกแรง ตกเบา ตกนานเท่าไร ตกบริเวณไหนก็ทำได้ เป็นต้น

    วิกุพพนาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สามารถผาดแผลงสำแดงกายให้ต่างไปจากปกติ อย่างเช่นว่าแปลงเป็นยักษ์ แปลงเป็นนาค แปลงเป็นครุฑ ถ้าเราอ่านวรรณคดีขุนช้างขุนแผน จะเห็นว่าแปลงเป็นเสือ แปลงเป็นควาย แปลงเป็นช้างมาสู้กัน เป็นต้น นี่ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากภูตกสิณ ๔ คือ ดิน น้ ำลม ไฟ ถ้าไม่ชำนาญก็ทำไม่ได้ จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอธิษฐานฤทธิ์ หรือว่าวิกุพพนาฤทธิ์ ต้องมีพื้นฐานจากกสิณทั้งนั้น

    ข้อต่อไปคือมโนมัยฤทธิ์ ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงย่อลงสั้น ๆ ว่า มโนมยิทธิ คือ สำเร็จด้วยใจ เป็นการถอดกายในออกไปเหมือนกับกายนอกทุกประการ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมือนตัวจริง ต้นตำรับก็คือหลวงพ่อพระจูฬปันถกเถระ ถอดกายในออกไปได้ ๑,๐๐๐ กายพร้อม ๆ กัน แต่ละกายทำงานต่าง ๆ กันไป อย่างเช่นว่า กายนี้กวาดวัด กายโน้นซักผ้า อีกกายหนึ่งบิณฑบาต ความจริงถ้าพวกคุณทำได้บ้างก็ดี งานจะน้อยลง แบ่งออกมาสักคนละ ๒๐ - ๓๐ กาย มาช่วยกันกวาดวัด พักเดียวก็เสร็จ

    แต่ว่าปัจจุบันวิชาที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านสอนพวกเรา เป็นการถอดกายในที่เป็นแค่จิต ก็คือเราไม่ใช่บุคคลที่เป็นเอตทัคคะ มีความเป็นเลิศสูงสุดอย่างหลวงพ่อพระจูฬปันถกเถระ เราไม่สามารถที่จะแยกออกมาชัดเจนเป็นตัวเป็นตนแบบนั้นได้ ก็ไปได้แค่ใจหรือว่ากายใน ที่ต้องให้บุคคลทรงอภิญญาด้วยกันถึงจะมองเห็น แต่ว่าพวกผีพวกเทวดาเขามองเห็นเป็นปกติอยู่แล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ฤทธิ์อย่างต่อไป เขาเรียกว่าญาณวิปผาราฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากญาณ คือเครื่องรู้ รู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลกและสังขารนี้ว่า มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นเราเป็นของเราได้ตามปกติ

    ตรงนี้ถือเป็นฤทธิ์นะครับ โดยเฉพาะเป็นฤทธิ์ที่มีพื้นฐานจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่จากกสิณ เมื่อสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา ไปจนถึงระดับ ญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นถ้าใช้ถูกทางก็จะเกิดฤทธิ์ เห็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจน แต่ว่าอย่าให้เห็นเปล่า ๆ ต้องพยายามใช้ปัญญาสูงสุดของเรา เห็นแล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ถึงจะเรียกว่าใช้ฤทธิ์ได้ถูกทาง

    ข้อต่อไปก็คือสมาธิผาราฤทธิ์ บางทีเรียกว่าฌานผาราฤทธิ์ เขียนต่างจากญาณนิดเดียว เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากสมาธิ อย่างเช่นว่า ทรงสมาธิได้ สามารถกดกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงได้ชั่วคราว มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

    เพราะว่าปกติแล้ว ปุถุชนทั้งหลายจะโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา อำนาจของสมาธิที่ทรงตัวแนบแน่น สามารถกดไฟทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นกิเลสใหญ่ให้ดับลงได้ชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับไป มีความสุขขนาดไหน พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ บาลีถึงใช้คำว่าปัจจัตตัง ก็คือเป็นการรู้ของเฉพาะของผู้ปฏิบัติเท่านั้น

    ข้อต่อไปเขาเรียกว่าอริยฤทธิ์ ฤทธิ์ของบุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า มีกำลังมหาศาล สามารถตัดห่วงบ่วงมารต่าง ๆ ลงได้ ตามแต่ระดับที่เข้าถึง อย่างเช่นว่าเป็นพระโสดาบันก็ตัดสักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นในตัวกูของกูลงไปส่วนหนึ่ง วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ตัดขาดเลย สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลแบบไม่จริงจัง ตัดขาดไปเลย เป็นต้น ตรงนี้เป็นฤทธิ์ของพระอริยเจ้า ก็เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน

    ต่อไปเขาเรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม อย่างเช่นว่าทำไมนกบินได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกวาโยกสิณ ปลาดำน้ำได้ ไส้เดือนมุดดินได้ ไม่เห็นที่จะต้องใช้ภูตกสิณ ๔ หรือว่าอำนาจกสิณ ๑๐ เลย หรือไม่ก็ลองไปเดินขึ้นดอยแข่งกับพี่น้องม้งดู..เราตายแน่ เพราะว่าฤทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปโดยวิบากกรรม คือสิ่งที่กระทำมาในอดีต เมื่อถึงเวลาส่งผลให้ ก็ต่างจากคนอื่น จนกระทั่งเราไปคิดว่า เขาไม่ได้เป็นมนุษย์มนาเหมือนกับเรา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ข้อต่อไปคือบุญฤทธิ์ คนมีบุญต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น อย่างเช่นว่า เจ้าพระยา พระมหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นต้น เอาแค่พวกเรา มาอยู่ต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่สั่นได้ไหม ? ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่ฝึกมาอย่างหนักหน่วงแล้ว รับประกันได้ว่าสั่นทุกราย นั่นคือบุญฤทธิ์

    พระครูแสงไปซาอุดิอาระเบีย พอกษัตริย์ของซาอุดิอาระเบียเสด็จมา เหลือเชื่อนะครับ ทะเลทรายแห้งแล้งขนาดนั้น ฝนตกครับ..!


    ถ้าหากว่าพวกเราเองรู้จักสังเกต จะเห็นว่ายุคสมัยของเรา คือในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาต่อในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในหลวงทั้ง ๒ องค์เวลาเสด็จไปไหน ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงนะครับ ฝนตกนี่เป็นเรื่องปกติ พระอาทิตย์ทรงกลดเป็นเรื่องปกติ หรือถ้าหากว่าอากาศย่ำแย่จริง ๆ ราษฎรจะเดือดร้อน บางทีเมฆครึ้มอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเสด็จกลับ นี่คือบุญฤทธิ์

    คราวนี้อีกส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงคือวิชชามัยฤทธิ์ ได้พูดไปตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ เหล็กน้ำหนักเป็นร้อย ๆ ตันเอาไปลอยบนฟ้าได้ น้ำหนักเป็นหมื่น ๆ ตัน เอาไปลอยบนน้ำได้ ปกติลองขว้างเหล็กขึ้นฟ้าสักก้อน เดี๋ยวก็หล่นลงมา หรือไม่ก็โยนเหล็กลงน้ำสักก้อนก็มีแต่จม ปัจจุบันนี้ ถึงเวลาเปิดโทรศัพท์มือถือ เห็นหน้าคนอีกซีกโลกหนึ่งได้ คุยกันรู้เรื่อง นี่คือวิชามัยฤทธิ์
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ข้อสุดท้าย เป็นส่วนที่พวกเราทำมามากแล้ว เขาเรียกว่า สัมปโยคปัจจยิชฌนฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมในบุญกุศล ในทาน ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา พอทำไปถึงระดับหนึ่ง จะดึงดูดแต่สิ่งที่ดี ๆ เข้ามา โดยเฉพาะในส่วนของนักปฏิบัติธรรม แต่สิ่งทั้งหลายที่เข้ามา มีทั้งประโยชน์และโทษ ก็คือถ้าหากว่าเราไปยึดติด ก็ทำให้เกิดกิเลส แต่ถ้าเรารู้จักวาง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดโทษไม่ได้

    เมื่อฤทธิ์ส่วนนี้เกิดขึ้น เราสูญเสียพระนักปฏิบัติไปมากต่อมากแล้ว เพราะว่าจากที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส ก็กลายเป็นทำเพื่อตัวเอง ต้องใช้รถยนต์ดี ๆ ต้องมีกุฏิติดแอร์ ต้องมีโทรศัพท์มือถือรุุ่นล่าสุด เปลี่ยนได้ทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ หรือไม่ก็อย่างที่เห็นก็คือ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว "เจ๊งกะบ๊ง" ไปเรียบร้อยแล้ว..! เพราะไม่เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นดาบสองคม

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฤทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ฤทธิ์ที่เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ก่อให้เกิดญาณวิปผาราฤทธิ์ สมาธิผาราฤทธิ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยเรา อย่างน้อยในการกดกิเลสให้สงบลงชั่วคราว และระดับสูงขึ้นก็คือตัดกิเลสได้ตามกำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราเข้าถึง ถ้าทำได้สูงสุดก็คือ สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ดังนั้น..การที่พวกเราทำงานทำการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว คล่องตัว ในส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นส่วนของทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกัน และขณะเดียวกันก็เป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม ทำให้มีความซวย ต้องมาอยู่วัดท่าขนุน ทำอะไรช้าหลวงพ่อก็ด่าเอา..!
    เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะภูมิใจดี หรือว่าจะรู้สึกเศร้าใจ กระผม/อาตมภาพก็บอกไม่ถูก เมื่อเห็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายกระทำแล้ว ก็คิดถึงเรื่องฤทธิ์นี้ขึ้นมา ซึ่งมีทั้งในส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วนที่เป็นโทษ พวกเราก็ต้องละในส่วนที่เป็นโทษ และใช้เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมของเราเท่านั้น

    ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยม ทั้งที่นี่และที่บ้านให้ทราบไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...