กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ต่อ(5)
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    _paragraph_6_115.jpg



    ความสุขที่แท้จริงคือความว่าง
    คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ไม่เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางสักที มีแต่พากันมัวเมาเล่น เพลิดเพลิน อยู่กับรส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ เพลิดเพลินอยู่กับโลกสมมุติตรงนี้อยู่ ให้มองให้ลึก ค่าความสุขที่แท้จริง คือ ความว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ การไม่กลับมาเกิดอีก

    เกิดทางกายเนื้อ พวกเราก็เกิดมาแล้ว แต่เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่แหละสำคัญ กายเนื้อแตกดับ วิญญาณของเราจะไปอย่างไร นี่แหละ เราต้องศึกษา เราดับความเกิดได้แล้วหรือยัง เราตัดภพ ตัดชาติ ได้แล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่า จะไปปฏิบัติ เอาช่วงจะหมดลมหายใจ หรือปฏิบัติ เอาช่วงที่อายุมากแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติ เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ ขณะที่เรายังมีกำลังใจอยู่ ตื่นนอน ตื่นขึ้นมาเราทำบุญให้กับตัวเรา แล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้าน ออกจากจิตใจของเรา แล้วหรือยัง ละความเห็นผิดออกจากจิตใจของเราหรือยัง

    ตอนนี้ จิตของเราเป็นกุศล หรือว่าอกุศล อันไหนควรจะเจริญ อันไหนควรละ ถ้าจิตของเราดี เราก็มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ตลอดเวลา รู้จักสำรวมอินทรีย์ ของตัวเราเอง ทุกคนมีกิเลสเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่จะมีมากมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ ตบะบารมี ของแต่ละบุคคล

    เกิดเป็นคนมีบุญทุกคน
    อยู่ที่ใครจะสานต่อบุญของตนในทางไหน

    ทุกคนล้วนสร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราก็มาสร้างสานต่อ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำจิตให้เป็นบุญ รู้จักศึกษา รู้จักค้นคว้าสติ สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ความสงบกาย วาจา เป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ไม่ว่าจิต หรือศีล ก็อยู่ที่จิตของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก

    กายของเราก็เป็นศีล จิตของเราก็เป็นศีล ทีนี้จะหนักแน่นหรือไม่ หวั่นไหวหรือไม่ จะหลงหรือไม่ อันนี้อาตมาจะพูด เฉพาะส่วนที่บุคคล ที่มีความขยันจริงๆ ถึงจะเข้าใจตรงนี้ ส่วนมากก็ยังพากันเพลิดเลินอยู่ ก็ยังดี ที่ยังพากันฝักใฝ่ในครองบุญ ครองกุศล ในการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี สร้างบุญตลอดเวลา

    การสร้างบารมีต้องเสียสละอย่างแท้จริง

    อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าไม่ถึงวาระ ถึงเวลา ก็ยากที่จะตกถึงกระแสธรรม ถ้าอานิสงส์บุญ บารมีของเราไม่เต็ม เราก็ต้องสร้างบารมีของเราไปเรื่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำ ถ้าคนไม่เคยสร้าง คนไม่เคยทำ ก็ยากที่จะระลึกนึกถึงได้ เราต้องพยายามสร้างอยู่บ่อยๆ ทำอยู่บ่อยๆ ให้ทานกับตัวเรา ให้ทานกับคนอื่น ให้อภัยทาน อโหสิกรรมอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอก มีอยู่นิดเดียว

    แต่พวกเราพลิกไม่ได้ พลิกจากสมมุติไปหาวิมุติไม่ได้ ถ้าพลิกได้ก็เหมือนกับ เส้นผมบังภูเขา ทำไมถึงพลิกไม่ได้ ก็เพราะว่าอานิสงส์ บารมีทางสมมุติของเรายังไม่พร้อม บางทีภาระหน้าที่ ก็มาปิดกั้นเอาไว้ บางทีครอบครัวก็มาปิดกั้นเอาไว้ ครอบครัวก็ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ บางทีภาระหน้าที่การงาน อันโน้นก็ยังติดขัด สารพัดเรื่องที่เขาจะมาปิดกั้นเอาไว้ บางทีกิเลสต่างๆ กายเนื้อก็ยังมาปิดกั้นดวงจิตของเราเอาไว้

    ความคิดอารมณ์ก็ยังมาปิดกั้น ดวงจิตของเราเอาไว้ กิเลสต่างๆ ก็ยังมาปิดกั้นดวงจิตของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร การที่จะขึ้นสู่ที่สูงได้ ก็ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนเสียสละ อย่างยิ่งยวด เสียสละจริงๆ เสียสละหมด เสียสละทั้งภายนอกภายใน

    ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ
    อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด

    ทีนี้ ถ้าจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญา ให้ทำความเข้าใจที่เรามาวัดอย่างนี้ เราก็ได้อยู่ ที่ว่าได้นั้นได้มาจากการทำจิตของเราให้สงบ ถ้าเราไม่ปล่อยวางภาระหน้าที่การงานก็คงจะมาไม่ได้ ถ้าไม่มีการเสียสละเวลา เราก็คงจะมาไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งนั้นก็ได้ผู้บริหารที่ดี อยากให้บริวารได้รับความสงบสุข อยากจะให้มาทำความเข้าใจกับจิตของเรา อันนี้อาตมาก็ขอขอบคุณผู้บริหารทุกคนทุกท่านด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ด้วย ทั้งที่ท่านก็พากันมาช่วยอุปการะวัดนี้ก็เยอะอยู่ ก็ขอขอบคุณทุกๆ คน มีโอกาสก็ขอเชิญมาที่นี่ ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา ทำกายให้เป็นบ้าน ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด

    รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    นั่นแหละอาจารย์ผู้สอนธรรมะ

    ถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเรา เราก็จะได้ธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ในส่วนลึกๆ เราก็ต้องสังเกตดู การเกิด ดับของจิต ของขันธ์ห้า ที่มาปรุงแต่งจิต ตัวนี้แหละ

    ขันธมาร ที่ทำให้จิตของเรา หลงอยู่ในการเวียน ว่าย ตาย เกิด ในวัฏสงสาร และก็โดยจิตของเรา ก็ยังหลอกจิตของเราอีก ยังปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา เราพยายามมาดับ มากด มาข่ม มาคลายออกจากจิต ออกจากความยึดมั่น ถือมั่นตรงนี้ให้ได้

    การปฏิบัติไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ แต่อยู่ที่เรา

    ถ้าเราอยากจะเห็นตรงนี้จริงๆ เราลองอดพูด และก็อดคิด สักวัน สองวันดูสิ จิตของเรามันจะดิ้นถึงขนาดไหน อดทุกสิ่ง ทุกอย่าง อดทั้งอาหาร การอยู่การกิน จิตของเราจะเกิดความอยากไหม กายหิว จิตปรุงแต่ง ได้เร็ว ได้ไวไหม เราต้องทำความเข้าใจ ให้หมด ให้รอบรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่า จะไปเที่ยวที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ ถึงจะรู้ธรรม ถ้าเรารู้จักฝึกดู เรารู้ได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นมา ทำความเข้าใจกับทวารของเรา ทวารทั้ง 7 ตามีหน้าที่ดูก็ให้เขาดู เราก็ดูจิตของเราว่า เกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหม ผลักไสไหม ดึงเข้ามาไหม

    ถ้าเราจะหลบหลีก ก็ต้องหลบหลีก ด้วยสติปัญญา จิตของเราจะเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เรารู้จักดับ รู้จักระงับไหม ถ้ามันเกิดแล้วทำไมเราถึงรู้ว่ามันเกิด เวลาดับ มันกำลังเริ่มก่อตัว เราดับได้หรือไม่ เหตุการณ์จากภายนอก มาทำให้เกิดแล้ว เรารู้จักดับ หรือรู้จัก ควบคุมไหม หรือเกิดจากข้างใน ของเราโดยตรง

    ทุกอย่างไม่เหลือวิสัย หากใคร่จะปฏิบัติจริง

    การปฏิบัติทุกอย่าง มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก ถ้าเราจะแก้ไข ปรับปรุงตัวเรา อยู่ตลอดเวลา เราหาสิ่งที่ดีๆ เราคลายความคิด คลายทิฐิ คลายมานะของเก่าออก ถ้าเรามีสติปัญญาเต็มร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อย นั่นแหละ ให้เหลือศูนย์ แต่เราไม่ได้ทิ้งหรอก เราคลายของเก่าออก เอาสติปัญญาของเรา ไปทำหน้าที่แทน จิตของเรา เหนื่อยมานานแล้ว เขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพ กี่กัป กี่กัลป์ เดี๋ยวก็เกิดเป็นโน่นบ้าง เป็นนี่บ้าง

    เราได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่ดีมากแล้ว เพราะกว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ นี่ก็ยากแสนยากนะ ลำบากมากแล้วว่า จะเติบโตขึ้นมา กว่าจะได้รับการศึกษาเล่าเรียน ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวิบากกรรรมต่างๆ มา จนได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ ปกติก็มีครอบครัว มีลูกมีหลาน ก็หาโอกาสยาก ที่จะชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเรา

    (ยังมีต่อ)


    (คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม) พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425
    http://www.dhammajak.net/
    สาวิกาน้อย ผู้จัดการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2021
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    NPWZ3s5kH0w09ZnezmQfTGmXEnKA6H4CJxy13idBLxc&_nc_ohc=D8nD3PtQDnsAX8VPMrm&_nc_ht=scontent.fbkk12-3.jpg


    4UzlmcY23twMMm5BZaauIls&_nc_ohc=6J-rdi0MGAYAX8fdMWv&tn=aE5xrxB1PhW0DGiQ&_nc_ht=scontent.fbkk12-2.jpg
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขันธ์ ๕ มีส่วน รูปธรรมกับนามธรรมครับ

    การทำความเข้าใจส่วนรูปธรรมก็แบบหนึ่ง

    แต่ในส่วนของการเดินปัญญา เราจะมาทำความเข้าใจ
    ในส่วนของ ขันธ์ ที่เป็นนามธรรมครับ
    ด้วยการสร้างสติทางธรรม เข้าไป ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิตก่อน
    ในเบื้องต้น เพื่อให้มันมาคลาย ขันธ์ ๕ นามธรรมพวกนี้ครับ

    ซึ่งมันส่งผลไปถึงรูป จนบางครั้งเราลืมไปว่า มันคนละส่วนกันครับ


    ขันธ์ นามธรรม ทางปฏิบัติ เรียกอาการของจิตกรณีสายเจริญสติ เดินปัญญา
    บ้างเรียก กระแสแหย่ กระแสจร กระแสวิบาก
    แล้วแต่จะเรียก แต่มันคือ ตัวเดียวกันในทางนามธรรมครับ

    แต่สำหรับ คนมีอายุหน่อย ผ่านโลกมาพอสมควร
    ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
    บางที ก็ไม่เข้าใจขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนะครับ
    เพราะบางทีก็ไม่ค่อยมีเข้ามา
    เนื่องด้วยจะไม่มีกิริยาการเกิดของจิต ในส่วน
    ที่มันกำลังจะเกิด กับ กำลังจะก่อตัว
    ซึ่งเป็นส่วนกระบวณการที่จะทำให้เห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามได้
    (ถ้ากำลังสติมากพอ หรือ กำลังสมาธิพอในระดับหนึ่ง)
    พอไม่มีกระบวนการทางกิริยาของจิตในขั้นตอนดังกล่าว
    เลยอาจจะไม่เข้าใจ กิริยาขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรืออาการของจิต
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง ปกติครับ

    ดังนั้นเวลานะครับ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เราจะพูดเชิงเกี่ยวกับปล่อยวาง อะไรไปเลย
    แต่กลับคนอายุไม่มาก ต้องให้มาเจริญสติก่อน เพราะว่า
    กิริยาที่จิตกำลังจะเกิด กำลังก่อตัว มันยังมีอยู่นั่นเองครับ
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ต่อ(6)
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    _paragraph_5_109.jpg

    วัดเปรียบดังแผนที่ ที่จะพาสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง
    พวกเรามีโอกาสโชคดี ก็อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง หมั่นสำรวจ ตรวจตราดู ตลอดเวลา สร้างผู้บริหารใหม่ให้เข้มแข็ง คือมาเจริญสตินั่นแหละ ให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา อันไหนเป็นจิต ลักษณะของจิต การก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ 5 เป็นอย่างไร จิตของเรา อารมณ์ของเรานั่นแหละสำคัญ พิจารณาให้ดี

    การที่มาวัด เราก็มา สร้างประสบการณ์ หรือ มาหาแผนที่ หาแนวทาง นั่นแหละ พวกเราจะเดินตามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ ตัวของคุณเอง พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง มันก็ไม่มีอะไรมาก

    เราเตรียมพร้อม
    ที่จะแตกดับอยู่ทุกขณะจิต (แล้วท่านเล่า)

    สำหรับอาตมา ก็เดินอยู่ตลอดเวลา ฝึกอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ฝึกมันก็เป็นอัตโนมัติของมัน เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เตรียมพร้อมตั้งแต่ยังไม่ได้บวช เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป กายแตกดับเมื่อไหร่ ก็เตรียมพร้อมตลอดเวลา

    พวกเราพวกท่านพากันเตรียมพร้อมกันหรือยัง รู้จักช่องทางเดินให้จิตหรือยัง หาเครื่องดู ให้จิตของเราแล้วหรือยัง สร้างวิหารธรรมให้จิตหรือยัง ชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเราได้หมดแล้วหรือยัง ต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อม อาตมาเตรียมพร้อมหมด ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ ก็เตรียมพร้อม และก็พร้อมให้กับญาติโยมด้วย ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ก็เพื่อให้ญาติโยม ได้มาฝึกหัดปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทาง

    แต่ของอาตมานั้น เตรียมพร้อมตลอดเวลา แม้แต่ร่างกายของอาตมา ถ้าแตกดับเมื่อไหร่ ก็คงไม่ให้ใคร ยากลำบากเท่าไหร่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เตรียมพร้อม แม้แต่โลงศพ ก็ยังเตรียมเอาไว้ แท่นเผา ก็เตรียมเอาไว้ แม้แต่ที่เก็บกระดูก เก็บเถ้าถ่านต่างๆ อาตมาก็เตรียมไว้หมด แม้แต่ฟืนเผาก็เตรียมพร้อม ถ้าถึงวาระเวลา ก็เพียงแต่ จับมารวมกันแล้วเผา เท่านั้นเอง คงจะยกแต่ร่างขึ้นเผา

    บุคคลที่ประมาท ก็เหมือนดั่งคนที่ตายไปแล้ว

    ดังนั้น จิตของเราก็ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันประมาท บุคคลที่ประมาท เหมือนบุคคลที่ตายแล้ว ตายทั้งเป็น เรามีหน้าที่อย่างไร ทางสมมุติ เราก็ทำให้ดีที่สุด และไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ มีได้ เป็นได้ ทำได้ด้วยสติปัญญา

    ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ไม่ว่าทางสมมุติ ก็มีเหตุมีผล ทางหลักธรรมก็มีเหตุมีผล ท่านถึงว่า อริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ การเกิดดับของจิต จิตส่งออกไปข้างนอกนั่นแหละสมุทัย จิตหลงความคิด หลงอารมณ์นั่นแหละคือโมหะ ถ้าเราคลายได้ เราพลิกได้ และระลึกได้นั่นแหละวิปัสสนา โมหะก็หายไป สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ปรากฏ พวกเราพากันสร้างหรือยัง เจริญแล้วหรือยัง

    ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมา ยังไม่ลุกจากที่ปุ๊บ สติรีบสำรวจตรวจตราดูตัวเรา ว่าจิตปรกติไหม กายปรกติไหม สติปัญญาเป็นตัวสั่ง กายไปไหนมาไหน จิตของเราตั้งมั่น รับรู้อยู่ภายใน จิตของเราเป็นธาตุรู้ เวลานี้ก็ยังเป็นธาตุหลงอยู่ หลงยึดถือมั่นในสิ่งต่างๆ หลงในอัตตาตัวตน

    ก่อนจะแสวงหาธรรม ต้องทำที่ตัวเองก่อน

    พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องความทุกข์ ถ้าเรารู้สาเหตุแห่งทุกข์ เราดับทุกข์ได้ เราคลายทุกข์ได้ ความสุขเราไม่ต้องการ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง เวลานี้ จิตของเรายังหลงอยู่ต้องพากันขยันหมั่นเพียร อย่าไปปิดกั้นตนเองว่า ไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาส

    มีเวลา เพราะว่ายังมีลมหายใจอยู่ ยังมีกำลังอยู่ อย่าไปเลือกกาล เลือกเวลาโน้น จะปฏิบัติเวลานี้ จะปฏิบัติ เราปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปนุ่งขาว ห่มขาว ไปอยู่วัด ถึงเป็นการปฏิบัติ เราก็อยู่บ้านนั่นแหละ ดูกายวาจาของเราเป็นอย่างไร เราอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว เราเคยโกรธ ความโกรธของเราลดแล้วหรือยัง

    เราเคยเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราละได้หรือยัง ทีนี้เราเพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบ ด้วยสติปัญญาให้มากขึ้นๆ รู้จักหน้าที่ รู้จักแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ ตรงไหนมันรั่ว ตรงไหนมันไม่ดี ก็รีบแก้ไขเสีย

    เราจะไปแสวงหาตั้งแต่ธรรม แต่เราไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา มันจะไปถึงธรรมได้อย่างไร ทั้งภายนอก ทั้งภายใน เราก็ต้องทำให้บริบูรณ์ สภาพกายสมมุติของเรา ก็อยู่ดีมีความสุข ไม่เดือดร้อน ทางด้านภายใน ทางด้านจิตของเรา ยังหลงอะไรอยู่ เราต้องพยายามขัด พยายามแก้ อยู่ตลอดเวลา บุคคลที่มีสติ มีปัญญาฟังนิดเดียวไปเดินลอยอยู่ฝั่งโน้นซะแล้ว ไม่ต้องให้ใครคนอื่นเขาเคี่ยวเข็ญ ขนาบแล้วขนาบอีก ถ้าคนมีสติปัญญามีกิเลสที่เบาบาง สร้างตบะบารมีมาดีว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว

    ผู้มีปัญญา สั่งสมบารมีมา
    ฟังเพียงน้อยนิด ก็ถึงจุดหมายปลายทาง

    สมัยก่อน พระพุทธองค์ท่านไปบอก ไปประกาศธรรม แสดงธรรม เพียงแค่ท่านพูดเล็กๆ น้อยๆ คำสองคำ ผู้ฟังก็บรรลุถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็มี เพราะว่าคนสมัยก่อนนั้นฝักใฝ่ในบุญในกุศลกัน แล้วก็สนใจในเรื่องของการปฏิบัติ สมาธิ สมถะมีเป็นพื้นฐาน เพียงแค่พระองค์ท่านไปชี้แนะว่า

    การเกิดดับของจิต การเกิดดับของขันธ์ห้า การแยกรูป แยกนาม ไปดูแค่นั้น จิตก็ปิดซะแล้ว สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็เยอะแยะ แต่พวกเรา ทั้งครูบาอาจารย์ก็เยอะ หนังสือตำราก็เยอะ ทำไมยังไม่เข้าใจกันเลย อันนี้ก็แปลกนะ อาจจะเข้าใจอยู่ระดับหนึ่ง แต่ต้องพยายามให้เข้าใจ ในระดับที่สูงขึ้นไป ลักษณะของจิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของสมาธิที่สงบๆ ด้วยการบังคับ ด้วยการข่ม

    หรือว่าสงบด้วยปัญญาที่เกิดจากการแยกแยะจำแนกแจกแจง ไม่ให้จิตของเราหลง จิตของเราหลงอะไรในส่วนลึกๆ เราจะพิจารณากายของเรา ให้รู้เห็น ตามสภาพความเป็นจริง อันนี้ก็เป็นแค่ทางด้านรูปธรรมส่วนนามธรรม ส่วนสภาวะธรรม ตัวจิตของเรานี้ ไปหลงขันธ์ห้า หลงความคิด หลงอารมณ์ ตรงนั้นแหละ เราต้องพยายามเข้าไปสังเกต เข้าไปแยกให้ได้ ถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่ จิตที่เข้าไปรวมกัน ก็จะดีดตัวของเขาเอง เราก็จะเห็นการเกิดดับของจิต

    ว่าด้วยเรื่องจิต (ไม่พินิจให้ดี มีแต่หลงกับหลง)

    จิตที่พระพุทธองค์ ท่านเปรียบเอาไว้ เหมือนกับพยับแดด เวลาเราเดินไปตามถนน เวลาแดดร้อนๆ ก็เหมือนกับ มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ตามถนน เวลาเราเข้าใกล้ๆ แล้วมันหายไป บางทีท่านก็เปรียบเอาไว้ เหมือนกับลูกคลื่น เวลาเราไปเที่ยวทะเล เราก็เห็นลูกคลื่น เป็นลูกๆ วิ่งเข้ากระทบฝั่ง แล้วก็หายไป แล้วลูกใหม่ก็เข้ามากระทบฝั่งอีก

    อาการของขันธ์ห้า อาการของความคิด หรือว่าขันธ์ห้าก็เหมือนกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตของเราไปรวม จนเป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนกับเชือกเส้นเดียวกัน เชือกเส้นเดียวกันนี้ มันมีเกลียวอยู่หลายเกลียว เข้าไปรวมกัน ก็เป็นเชือกเส้นเดียวกัน ถ้าเราจับออกมาทีละเกลียวๆ ก็จะเห็นเป็นชิ้นของใครของมัน

    นั่นแหละเรียกว่าขันธ์ของใครของมัน แล้วสติที่สร้างขึ้นมานี่ ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนจิตของเราที่เกิดๆ ดับๆ ก็ส่วนหนึ่ง ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอสังเกตได้ก็จะเห็นความคิด จิตที่ออกจากความคิด ก็จะเห็นเป็นสามส่วน ถ้าสังเกตละเอียดลงไปอีก ในส่วนที่สาม ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต มันเป็นเรื่องอะไร

    บางทีก็เรื่องอดีต เรื่องอนาคต สารพัดเรื่องที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ถ้าเป็นเรื่องอดีต ก็เป็นอาการของสัญญาความคิดต่างๆ ไม่ว่าเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง เขาเรียกว่ากองสังขาร นี่แหละไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในอารมณ์ตรงนี้ ถ้าเรารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ตรงนี้ กำลังสติของเรา ก็จะพุ่งแรงตามความเข้าใจ ก็จะเป็นมหาสติ อะไรเข้ามาแต่งจิตก็จะตามดูหมด ตามดูไม่ทัน ก็ใช้สมถะคอยกดข่มเอาไว้ จิตของคนเรานี่แปลก ถ้าไม่ดับ ไม่กด ไม่ข่มเขา ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขาก็วิ่ง เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น เกิดแล้ว เกิดเล่าๆ หลงแล้ว หลงเล่า อยู่อย่างนั้น ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งเมื่อไร เขาก็วิ่งเข้าไปรับ ด้วยกันหมด อ้าแขนรับเลย แทนที่จะใช้สติปัญญา เข้าไปวิเคราะห์ ไปพิจารณาหาเหตุผล

    กิเลสตัวไหนเกิดก่อน ก็กำจัดก่อน
    ตรงนี้แหละ ถ้าแยก ได้กำลังสติ ก็ไปตามดู จะเห็นว่า หลงในรัก หลงความว่าง นั่นแหละ เขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นการเกิดดับ เห็นสภาวธรรม จิตรู้ความจริงตรงนี้ ว่าไม่มีสารประโยชน์แก่นสาร อะไร เขาก็จะไม่ยึด เขาก็จะปล่อยวาง ก่อนที่เขาจะวางได้ ไม่ใช่วางง่ายๆ นะ

    กำลังสติของเราต้องตามหาเหตุ หาผล จนจิตยอมรับความจริงได้ เขาถึงจะวาง ทีนี้จิตจะเกิดกิเลส ก็มาดับที่จิตอีก กิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละคนมองข้าม จะไปเอาแต่กิเลสตัวใหญ่ๆ ตัวไหนมันเกิดก่อน ก็เอาตัวนั้น ทำตัวนั้น

    ความคิดมันเกิดขณะนี้ เราก็ดับตัวนี้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ จากละเอียดลึกลงไป เรามีความอิจฉาริษยา หรือไม่ เรามีความตระหนี่ถี่เหนียวหรือไม่ มองโลกในทางที่อคติ เป็นมลทินหรือไม่ เราต้องพยายามกำจัด สะสางออกไป


    (มีต่อ)



    (คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม) พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425
    http://www.dhammajak.net/
    สาวิกาน้อย ผู้จัดการ
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    รบกวนถามอาจารย์นพครับ

    จากคำสอนของพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโรที่กล่าวว่า...

    "การเดินต้องเห็นขา และเท้าตัวเองทุกก้าว โดยมิได้ก้มดู"


    หมายถึงเวลาเดินจิตของเราต้องอยู่ที่เท้าใช่หรือไม่ครับ


    ขอบคุณครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ดีใจที่ถามครับ...
    คำว่า ''การเดินต้องเห็นขา และเท้าตัวเองทุกก้าว โดยมิได้ก้มดู''
    เป็นส่วนในขั้นตอนการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันเป็นผล
    ในระหว่างทาง และมันจะเป็นกิริยาของมันตามธรรมชาตินั่นเอง
    คำว่า เห็นขาเห็นและเท้าตัวเอง คือ สายตาเห็นโดยธรรมชาติปกติ
    เพียงแค่เห็น และรู้ว่า ขากำลังเคลื่อนไหว ไปพร้อมเท้า แต่ไม่ได้ไป
    ตั้งใจดูมัน ครับ
    ทางกิริยา ไม่ใช่ว่า ตัวจิตไปอยู่ที่เท้านะครับ????


    การเจริญสติในชีวิตประจำวัน หลักการอยู่ที่ว่า
    มีฐานอยู่ที่กาย ไม่ว่าจะเจริญสติด้วยวิธีอะไรก็ตาม
    หลักๆ จะมี ๒ กรณี คือ
    ๑.กรณีที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว

    เช่น กรณีนั่งเฉยๆ หรือ อยู่นิ่งๆ แล้วระลึกรู้ลมหายใจเข้า และลมหายใจออก
    หยุดอยู่ที่ปลายจมูก (จมูกคือ มีฐานอยู่ที่กาย)
    หรือ กรณี นั่งนับนิ้วตัวเอง กรณีอยู่นิ่งๆ (นิ้วคือ มีฐานอยู่ที่กาย)

    หรือ ๒. กรณีที่ร่างกายเคลื่อนไหว เจริญสติด้วยการนับจำนวนก้าวเดิน
    คือ ทำความรู้สึกว่า เท้ากำลังเคลื่อนไหว
    ซ้าย ๑ ขวา ๒ ซ้าย ๓ ขวา ๔ จนไปถึง ๑o หรือ ถึง ๑๐๐ แล้วเริ่มนับใหม่
    หรือ ระลึกได้ตอนไหนขณะที่เดิน แล้วเริ่มนับใหม่ (เท้า คือ มีฐานอยู่ที่กาย)


    โดยปกติแล้ว จะต้องใช้ทั้ง ๒ วิธีที่กล่าวมาข้างต้น ถึงจะเป็นการเจริญสติ
    ต่อเนื่องในชีวิตประจำวันได้ครับ
    ถ้าไม่ทำ จะได้ผลช้า ถ้าทำได้ต่อเนื่องจริงๆ ๒ เดือนผลจะเท่ากับ ๒ ปี
    เทียบกับคนที่เจริญสติไม่ต่อเนื่องครับ เพราะว่า สติจะขาดในช่วง
    ที่เราทำอะไรเป็นปกติแล้วเรามักจะลืมการเจริญสติ
    เช่น เดินไปเข้าห้องน้ำ ไปทำธุระ เดินไปมาระหว่างสถานที่ต่างๆ เป็นต้น


    หลักสังเกตุ ทั้ง ๒ วิธี เราจะใช้คำว่า ทำความรู้สึกเป็นตัวนำ
    เช่น กรณีร่างกายไม่เคลื่อนไหว ก็จะใช้คำว่า ทำความรู้สึกว่า ลมเข้าออกหยุดที่
    ปลายจมูก

    กรณีที่ร่างกายเคลื่อนไหว ก็จะใช้คำว่า ทำความรู้สึกว่า เท้ากำลังเคลื่อนไหว

    การใช้คำว่า ทำความรู้สึก ทางกิริยา ก็คือ ตัวจิตยังอยู่ที่ฐานของมัน(บริเวณกลางลิ้นปี่)
    ที่อยู่ในกาย และตัวจิตมันส่งอาการกิริยาที่เราเรียกว่า
    ความรู้สึก ด้วยการส่งเป็นตัววิญญาน การรับรู้ (คล้ายเส้นๆ ส่งไปกระทบ)
    ที่ออกจากตัวจิต ไปอยู่ในต่ำแหน่งปลายจมูกอย่างนั้น หรือ ต่ำแหน่งปลายเท้าเฉยๆ
    ในช่วงนั้นๆครับ แต่ว่า ตัวมวลจิตมันยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนออกจากฐานของมันครับ
    ข้อสังเกตุ คำว่า ความรู้สึก คือ รู้ว่าลมอยู่ตรงนี้ รู้ว่าเท้านี้นับเลขอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้
    ตาปกติไปมองครับ



    เพราะเมื่อใด ที่ใช้ตามปกติไปมอง ตรงเท้า หรือ มองปลายจมูก พูดง่ายๆว่า ไปสนใจ
    ณ ต่ำแหน่งนั้นๆ
    จะกลายเป็นว่า สมองจะเริ่มทำงานร่วมกับความคิด เหมือนสภาวะ
    ปกติทั่วไปทันทีครับ


    ดังนั้น ให้ระลึกไว้ว่า แค่รู้สึกรับรู้ ส่วนตาจะเห็นหรือไม่เห็นไม่ต้องสนใจ
    เช่น ระสึกรับรู้ที่เท้าขณะนับก้าววิถีในการมองเห็นสายตาปกติมันเห็นขา
    อยู่แล้วเพียงแต่ว่า ไม่ได้ไปสนใจขาที่อยู่ในระยะการมองเห็นปกตินี้เท่าน้นเอง


    พอเราทำบ่อยๆ กิริยาพวกนี้มันก็จะอัตโนมัติของมันเอง เพราะว่ามันจะปรับตัวได้
    ของมันเองครับ

    โดยมากจะอัตโนมัติได้ ต้องเจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ อย่างน้อย ๒ เดือนขึ้นไปครับ

    ปล. พวกความรู้สึกตัว เราจะเริ่มตั้งแต่ลืมตาตื่น จนกระทำหลับตานอนครับ
    ทำบ่อยๆ จะกลายเป็นอัตโนมัติได้ของมันเอง


    การกระทำที่กล่าวมานี้ มันจะทำให้เราได้ เครื่องมือตัวหนึ่งทางนามธรรม
    ที่เรียกว่า ''สติทางธรรม'' นั่นเอง


    มันก็คือ ตัวที่ไปทำหน้าที่ รับรู้ การเกิดของนามธรรมฝ่ายต่างๆ
    เช่น รู้ว่ากำลังคิด(ความคิดนามธรรม) รู้ว่า(บริเวณแขนร้อน)ความรู้คือ นามธรรม
    เรื่อง โกรธ โลภ หลง ก็เเหมือนๆกันครับ


    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  7. ใบไม้หลายต้น

    ใบไม้หลายต้น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +60
    นักเขียนชื่อศาสดาฤสีพุทได้เขียนเรื่องพุทะหิมพานต์อายุ6พันล้านปีก่อนขึ้นมา โดยมีเมืองอยุธยา6พันล้านปีก่อน มีสัตว์เทพนิยาย6ชนชั้นศาสนาจักรๆวงๆ คลิก
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คนเล่าไม่เคยเจอ คนเคยเจอไม่อยากเล่า
     
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    "ทางกิริยา ไม่ใช่ว่า ตัวจิตไปอยู่ที่เท้านะครับ??"
    เพียงแต่เรารู้ว่าขากำลังเคลื่อนที่ไปพร้อมเท้า

    "การเดินต้องเห็นขา และเท้าตัวเองทุกก้าว โดยมิได้ก้มดู"
    (ลพ.กล้วย)


    ขอบคุณครับท่านอจ.นพ

    อ่านทบทวนเนื้อหาตั้งแต่ต้นไปหลายรอบ

    จากที่อ่าน1-2ครั้งแรกงงๆ(จำได้บ้างไม่ได้บ้าง)

    จนเริ่มเข้าใจได้ 70%
    จะเก็บไว้อ่านและปฏิบัติตามแนวทางนี้
    เพื่อเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
    เพราะบางครั้งจิตจะเผลอไปเที่ยวที่อื่น
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    "คนเล่าไม่เคยเจอ คนเคยเจอไม่อยากเล่า"


    (เรื่องเล่าข้างล่างนี้)

    "คนเล่าแค่เจอสิวๆ คนเคยเจอฝีๆ(ฝี)ไม่อยากเล่า"

    *********************************************

    หลอนยิ่งกว่าเก็บศพ! กู้ภัยเล่าเรื่องลี้ลับถ้ำหลวง เจอเงาดำสูงใหญ่ เสียงสวดมนต์
    เด่นออนไลน์

    132165498.jpg
    13 ก.ค. 2561-12:22
    หลอนยิ่งกว่าเก็บศพ! กู้ภัยเล่าเรื่องลี้ลับ ถ้ำหลวง เจอเงาดำสูงใหญ่ เสียงสวดมนต์

    หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจช่วย 13 หมูป่าออกจาก ถ้ำหลวง เจ้าหน้าที่หลายคนเริ่มทยอยเดินทางกลับ ตามมาด้วยเรื่องเล่าสุดลี้ลับในถ้ำหลวง

    3689-3-696x464.jpg
    • หน้าที่กู้ภัยที่ร่วมภารกิจในถ้ำหลวง มาเล่าเรื่องราวชวนขนลุกแบบไม่เคยเจอมาก่อน ยิ่งกว่าต้องไปเจอศพเก็บศพ 100 เท่า
    • โดย ‘เบียร์’ นายนเรศ ศรีใส หน่วยกู้ภัยทีมฝันดี ฝันเด่น เล่าว่า ขณะเดินสำรวจหาโพรงและไปเจอโพรงจุดหนึ่ง หน้าผาหินแตก ลักษณะเข้าไปได้ จังหวะที่เข้าไป 2 คนเพื่อสำรวจว่าไปต่อได้หรือไม่ ช่วงที่หันกลับมา อยู่ดีๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งมาปิดทางออก ในลักษณะที่หันกลับมาแล้วเจอหินเลย ซึ่งตอนเข้าไปไม่มี โดยหินก้อนนี้เรายกคนเดียวไม่ได้แน่ๆ แต่ทุกคนก็กลับออกมาได้ เพราะน้องที่เข้าไปด้วยคนหนึ่งพกครุฑ ซึ่งพระที่นับถือบอกว่าคนที่จะยกหินนี้ได้ต้องพกครุฑติดตัว นอกจากนี้ เล็ก ฝันเด่น ซึ่งต้องออกมานอนรวมกับพวกตน ยังเล่าด้วยว่า เจอเงาดำๆ ในห้องพัก ซึ่งพอเจอแล้วก็เดินกลับออกมา และกลับเข้าไปใหม่ก็เจออีก จนต้องออกมานอนรวมกันข้างนอก
    36736330_1552925858144881_3595384893770563584_n-2-522x696.jpg
    ด้าน ‘โฟล์ค’ นายกำพลศักดิ์ สัสดี หน่วยกู้ภัยที่ร่วมค้นหาโพรง เผยว่า ตอนเข้าไปค้นหาโพรงเหมือนมีคำเตือนบางอย่าง ที่ไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง ด้วยลักษณะของแสง เสียง ที่อยู่รอบตัวเรา เวลาลงไปคนเดียวจะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็น โดยยังมีเรื่องเสียงประหลาดในถ้ำ ซึ่งตนได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ดังมาจากซอกของปล่องสุดท้ายที่เข้าไปสำรวจ โดยตอนนั้นลงไปคนเดียว ก่อนลองเอาหูไปแนบก็มีลมมาโดนหน้า จากนั้นได้ยินเสียงคล้ายทำนองสวดมนต์




    ภารกิจค้นหา 13 ชีวิตในถ้ำยังเจอเรื่องราวลี้ลับอีก เมื่อเจอเงาสูง 2 เมตรกว่า ขณะกำลังจะไปอาบน้ำหลังลงมาจากเขา โดยมีสุนัข 4 ตัวไปรุมเห่าอยู่ริมกำแพง ก่อนหมาจะวิ่งแตกฮือ ตอนนั้นได้แต่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก

    เรื่องลี้ลับที่เจอมากับตัวยังมีอีก โดยน้องที่เข้าไปในถ้ำแล้วถ่ายรูปภายในถ้ำ เมื่อมาเปิดดูก็พบว่าเหมือนมีตาคนมองอยู่ นอกจากนี้ในวันที่ครูบาบุญชุ่มมาทำพิธีวันแรก วันนั้นฝนตกหนักมาก แต่เมื่อครูบาทำพิธี มีการไลฟ์สด เมฆก้อนดำๆ ก็ม้วนออกไปจากเขานางนอนทันที


    ขอบคุณที่มา GMM25Thailand

    www.matichon.co.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2021
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ต่อ(7)
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น


    __paragraph_11_212.jpg

    จงขยันหมั่นเพียร และฝ่าฟันอุปสรรค
    เพื่อจุดหมายปลายทาง


    สำหรับการปฏิบัติ อยู่คนเดียว เราก็สนุก อยู่หลายคนเราก็สนุก ดูเราแก้ไขปรับปรุงตัวเรา กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสมันมีความสุข กำลังจิตของเรามีไหม จิตของเราหวั่นไหวไหม จิตของเราผวาไหม เหตุการณ์จากข้างนอกเข้ามากระทบ จิตของเราเกิดหรือไม่ ตากระทบรูป จิตเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียง จิตเกิดหรือไม่ บางทีก็เดินยิ้มอยู่คนเดียว มันก็จะเป็นบ้าถ้าคนไม่รู้ บางทีก็เกิดปีติ เกิดสุขสารพัดอย่าง กิเลสมารต่างๆ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขาก็หาวิธีที่จะเข้ามา ถึงจะเกิดขึ้นมาเราก็ต้องละ ต้องดับออกให้มันหมด หลอกในปัจจุบันขณะที่เราตื่นไม่ได้ เขาก็ไปหลอกในนิมิต มันหลายสิ่งหลายอย่างที่มาหลอกเรา กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ก็ต้องขยันหมั่นเพียร

    เมื่ออยู่ในสภาวธรรม
    แม้ทำงานเราก็มีความสุข (จิตผ่อนคลาย)

    เราต้องสร้างตบะ สร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม บารมี 10 ตบะบารมี 10 ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยมไหม ปัญญาของเราเต็มเปี่ยมไหม สติของเราเต็มเปี่ยมไหม ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมไหม ศีลเป็นลักษณะอย่างไร สมาธิเป็นลักษณะอย่างไร ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องให้รู้ ให้เห็น ตามสภาพความเป็นจริงให้หมด

    ไม่ใช่ไปนึก ไปคิด ไปอ่าน ไปฟัง อันนั้นเป็นปัญญาโลกีย์ เท่านั้นเอง ถึงแม้จะพิจารณา โดยที่ขาดการจำแนก แจกแจง แยกรูป แยกนาม แค่เป็นปัญญาโลกีย์ เราจะคิดพิจารณาอะไร ถ้าจิตเรา แยกรูป แยกนามได้ แล้วเป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ ตลอดเวลา จะพิจารณากายจิต จิตเราก็ว่างรับรู้อยู่ พิจารณาเวทนา จิตเราก็ว่างรับรู้อยู่ ของเราก็ว่างรับรู้อยู่ พิจารณาจิต จิตเราก็ว่างรับรู้อยู่ พิจารณาธรรม

    เพราะว่าจิตของเราคลายซะแล้ว จิตของเราตกกระแสธรรมซะแล้ว เราดับความเกิดซะแล้ว ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง อย่าพากันมัวเล่น เถลไถล ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการเอางานของเรา เป็นการฝึกหัดปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วย จิตก็ได้พักผ่อนไปด้วย ถ้าเราขยันหมั่นเพียร ตรงไหนไม่ดี เราก็รีบแก้ไขเสีย แก้ไขให้ดี แก้ไขไม่ได้ ก็อุเบกขาเสีย ตามความเป็นจริง

    จิตอุเบกขาตั้งแต่ แยกรูป แยกนาม ทำความเข้าใจ ก็ละซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แต่ทีนี้ภายนอก เราทำหน้าที่ของเรา ตามสมมุติ ตามอัตภาพ ของเรา ทำให้ดี เพื่อที่จะหยั่งสมมุติของเราให้อยู่ดี มีความสุข เพื่อให้เกิดประโยชน์อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อเจตนาดี ถึงมีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไปได้

    ทุกคนก็พยายามสร้าง ประสบการณ์ใหม่ อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้อาตมาจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ได้ ก็รับจากทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในตอนที่ไปอยู่ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ เพื่อสร้าง ประสบการณ์ หาประสบการณ์ บางทีงูเหลือมตัวใหญ่ๆ เข้ามาลูบข้าง ลูบเอว เข้ามารัดก็มี อยากจะกินก็กินไม่ได้ ว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้

    เกิดเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง ไปเจอะเจอวิญญาณต่างๆ พระพรหมต่างๆ ก็เยอะ ช่วงที่อาตมาไปมุกดาหาร ได้ไปสร้างวัดไว้ อยู่บนภูเขา อันนั้นก็วิญญาณของเทพ มานิมนต์ให้ไปช่วยสร้างวัดให้ ก็เลยรับนิมนต์ไปสร้างให้ บนยอดภูเขา จนสำเร็จลุล่วงไป น้ำไม่มี น้ำแห้งแล้งกันดาร ก็เจาะน้ำบาดาลขึ้น แล้วตั้งแต่ไปอยู่บนยอดภู เอาไม้ของชาวบ้าน ที่ถวายไปสร้างทำอะไรต่างๆ

    หน่วยอนุรักษ์ต่าง ๆ หรือหน่วยฟื้นฟู หน่วยอะไรต่างๆ แบกปืน เอ็ม 16 ใส่รถขึ้นไป จะไปจับไปล้อม กองไม้เอาไว้ จะไปจับอย่างเดียว ก็จับไม่ได้ บอกเขาว่า ที่มาสร้างมาทำนี่ ก็เพื่อมาสร้างให้เป็นแหล่งบุญ แหล่งกุศล ประโยชน์ให้ชาวโลก อย่ามาขัดขวางตรงนี้ ให้ดูที่แรงบุญ แรงกุศล ให้ดูที่เจตนา เราไม่ได้มาทำลาย

    ถึงเรามาสร้างมาอยู่ ก็เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม ยิ่งต้นไม้อะไรต่าง ๆ ยิ่งจะปลูกให้มากกว่านี้ มีแต่จะจับอย่างเดียว จะให้เข้าตารางอย่างเดียว บอกไม่เชื่อฟัง ก็เลยอธิบาย เปรียบเทียบให้เขาดูว่า ตำรวจที่อยู่ตามถนนหนทาง ตำรวจทางหลวง รถที่วิ่งไปวิ่งมานั้น โบกให้เขาจอด รถโบกให้เขาหยุด ผิดหรือไม่ผิด ก็ยัดข้อหาให้เขาผิด รถชนตายเกลื่อนถนนเลยนะ ก็บอกอย่างนั้น

    พอพูดเท่านั้น ฟ้าก็ผ่าลงมา เขาก็เลยกระโดด ไปคนละทาง วางปืนกันหมดเลย ก็เลยถามเขาว่า จะเอายังไง เขาก็บอกว่า ให้หลวงพ่อสร้างไปเถอะ ให้เสร็จ ถ้าไม่เสร็จ ไม้ที่อุทยาน ก็เยอะ จะเอาขึ้นมาช่วย แล้วท่านก็เอาขึ้นไปช่วย ไปสร้างวัด ทุกวันนี้ น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ขึ้นไปบนยอดเขานี้ มองเห็นธรรมชาติหมด
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่อง ของ ลพ. ที่นำมาลงล่าสุด ส่วนตัวเคยได้ยินมาเหมือนกันครับ
    แต่ไม่ค่อยอยากเล่าในมุมนี้เท่าไหร่ แต่อย่างว่า เวลาลงหนังสือ
    ก็ต้องตามสภาพไปครับ

    เด่วช่วยเสริมในมุมที่ ส่วนตัวมานะครับ
    ตอนที่ท่านรับนิมนต์ภูมิเทพสร้างพระต้องใช้งบประมาณ ๓ หมื่นบาท
    แต่ท่านไม่มีแม้แต่บาทเดียว อีกไม่เกิน ๓ วันมีคุณผู้หญิงท่านหนึ่ง
    มาบริจาค ๓ หมื่นบาทพอดี

    เรื่องนี้ฟังหูไว้หูนะครับ ท่านทานแต่น้ำ ๒๔ วันตอนที่สร้างพระ
    เพราะไม่มีอาหารให้รับประทานเลย

    อีกอย่างการเจาะน้ำบาดาล เจาะบนภูเขา
    คนแถวนั้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ขุดเจาะบาดาล
    ก็บอกว่า บริเวณนี้ไม่มีน้ำใต้ดิน เพราะเค้าสำรวจมาหมดแล้ว
    แถมยังจะออกแนวขำๆใส่ท่านด้วย
    แต่จุดที่ ลพ.ให้เจาะกลับมีน้ำจริงๆ ซึ่งเป็นที่ประหลาดใจ

    และไฟฟ้า ก็บังเอิญว่า มีลูกศิษย์ไปเป็นหัวการไฟฟ้าบริเวณนั้น
    ประมาณ ๓ หรือ ๖ เดือน มีเสาไฟ และไฟฟ้าขึ้นไปเรียบร้อย

    แต่การไปสร้างที่โน้นที่นั้น ท่านบอกว่า มันเป็นวิบากอย่างหนึ่ง
    ของท่านนะครับ พิจารณาคำพูดนี้ดีๆนะครับ

    ในมุมเรื่องเหนือวิสัย ท่านมีเยอะมากสำหรับส่วนตัวนะครับ
    ยิ่งเรื่องที่ได้เจอกับตนเอง
    คือบางเรื่อง ไม่สามารถ พูดออกสื่อหรือพูดตรงๆได้เลยครับ
    เพราะบางที บางมุม มันจะออกส่องแง่สองง่ามที่ทำให้
    ความสงสัย กับบุคคลที่เล่าให้ฟังได้
    พอคุยได้กับพระเกจิอีกสองท่าน
    ยิ่งช่วงหลังๆ พอเจอท่าน เรียกว่าแทบไม่ได้คุยเลยครับ
    แค่มองหน้ากับท่านเฉยๆ(ถ้าคนเข้าใจก็เข้าใจนะครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ)
    ส่วนตัวเรื่องแบบ ที่เค้าว่ามา เค้าเล่ามา ว่าท่าน เป็นแบบนั้นแบบนี้
    ส่วนตัวจะเจอด้วยตนเองทั้งสิ้น

    มีประโยชน์หนึ่ง ที่ท่านกล่าวเตือน ต่อหน้าเลย
    ช่วงที่สึกใหม่ๆ ท่านบอกว่า ประมาณว่า
    เรื่อง เหนือโลกทั้งหลาย ไม่จำเป็นอย่าพูด
    เพราะเราจะเป็นต้นเหตุเกิดปรามาสได้
    ท่านว่าวิบากตรงนี้มันจะแรงกับคนนั้นๆ
    หากคนที่ได้ฟังเค้าไม่เชื่อ แล้วเกิดพูดไม่ดี
    และมันจะส่งผลต่อการปฏิบัติให้มันขาดๆเกิ๊นๆ
    แต่ใช้ไม่ได้จริงๆซักที

    จนมาหลังๆ ท่านก็กล่าวเตือนอีกว่า
    เรื่องบางเรื่องเรารู้ของเราคนเดียวก็พอ
    ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเค้ารู้ด้วยหรอก
    แล้วค่อยมาดูว่า มันเกิดเพราะอะไร

    สำหรับเรื่องกรรมฐาน เคยมีบางรายการถาม
    ท่านตอบเพียงว่า ''แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล''
    แล้วท่านก็มาเน้นเรื่องเจริญสติ เดินปัญญาอย่างเดียว

    ท่านบอกว่า เรื่องกรรมฐาน เป็นเพียงกลุ่มน้อย
    ท่านจะเน้นแต่เรื่องที่คนฟังเข้าถึงง่าย
    และเกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก
    เรียกได้ว่า ฟังได้ตั้งแต่เด็กยันผู้สูงอายุครับ

    เคยแอบงงเหมือนกันว่า ทำไมท่านเน้นเรื่องมาก
    และเคยเตือนส่วนตัวด้วยว่า ยังไม่จำเป็นต้องไปอ่าน
    เพราะว่าต่อไป แค่เห็นหน้าปก
    เราจะ............................ได้เอง

    และบางเรื่องการรู้บางอย่าง
    ท่านบอกว่า เด่วพอจิตเราละเอียดขึ้น
    เรื่องแบบนี้มันจะขึ้นมาเอง ความหมายก็คือ
    มันฝึกเอาไม่ได้... ซึ่งก็บังเอิญไปตรงกับ
    พระเกจิอีก ๒ ท่านที่บอกข้าพเจ้าทำนองนี้พอดี

    นัยยะ''บางอย่างมันฝึกเอาไม่ได้ มันต้องทิ้งเอา''
    ทำให้รู้เลยว่า ที่เขียนไว้ในตำราเป็นเพียงระดับหยาบๆ
    พอให้คนอ่านเข้าใจได้ แต่ในทางปฏิบัติ มันคนระเรื่องกันเลย

    ยิ่งได้พบพระครูปลัดจิตไว ยิ่งเข้าใจว่า มันมีอะไรอีกเยอะเลย
    และยิ่งได้เจอท่านที่เลย ยิ่งทราบเลยว่า เรื่องญานวิถีมันมี
    ระดับความละเอียดหลายชั้นมากๆ
    พอได้ อาจารย์ ชื่อย่อ ด ที่ท่าสองคลอน
    เลยพอคาดได้ว่า สมัยพุทธกาล คำว่า ผู้มีฤิทธ์
    เป็นอย่างไร มันคนระดับ ที่ออกสื่อ ออกทีวี
    ที่มีชื่อเสียงอย่างกับฟ้าและเหว

    ส่วนสมัยนี้นิสัยไม่ดีมากๆ คือ พยายามสร้าง
    ให้ตนดูเป็นผู้มีคุณวิเศษ ทั้งๆที่ไม่มีในตน
    แถมยังหน้าหนายังกับคอนกรีตเสริมเหล็ก
    ทั้งๆที่ การรับรู้ เป็นเรื่องที่ เรียกว่า
    ยังคลานไม่ได้เลย สำหรับท่านต่างๆเหล่านั้น

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
    เราเน้นที่มาดูใจตนเองนี่หละครับ

    ว่า เราสามารถ ละในเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ได้มากน้อยเพียงใด
    ซึ่งมีเรื่องการตัดความยึดมั่นถือมั่นกาย ที่เป็นผลมาจากการเจริญสติ
    จนเข้าไปแยกรูปแยกนามได้เป็นพื้นฐานสำคัญนั่นหละครับ

    ฝากไว้ ช่วงนี้ งานวิการเยอะ บางทีมันก็คิดอะไรไม่ออก
    ก็ต้อง อาศัยหลายๆอย่างมาประกอบกัน
    ''ทางโลกสิ่งสำคัญคือ การเตรียมตนเองให้ดีที่สุด
    และเข้าหาผู้รู้ให้ถูก สามารถทำให้เราไปต่อได้
    อย่างคาดไม่ถึง''
    ''ทางธรรมการเตรียมใจให้พร้อม
    ทำให้มีผู้รู้เข้ามาหาเราได้เอง
    โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเช่นกัน''
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ต่อ(8)
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น



    เปลี่ยนดินแดนผีพนัน ให้หันหน้าเข้าหาธรรม

    น้ำไม่มี ก็เจาะน้ำบาดาล ขนาดชาวบ้านอยู่แถวนั้น เขาเจาะตั้ง 7-8 ที่ ก็ยังไม่เจอน้ำ ได้หน่วยเจาะ จากจังหวัดอุบลฯ มาช่วยเจาะให้ เขาก็เอาแผนที่มากางว่า มีแหล่งน้ำไหม เขาบอกว่า มาช่วยหลวงพ่อเฉย ๆ พอเขาขึ้นไปเจาะ ชาวบ้านก็ลงพนันขันต่อกัน ร้อยเอาสิบ พันเอาร้อย ว่าไม่เจอน้ำแน่

    เพราะชาวบ้านทางโน้น เล่นการพนันกันเยอะ เป็นชาวบ้านที่เป็นผู้ก่อการร้ายเก่า เป็นคอมมิวนิสต์เก่า ฐานของตำรวจก็อยู่ที่นั่น ก็มี ฐานเฮลิคอปเตอร์ ฐานเครื่องบิน อยู่ที่หมู่บ้านเจ็ดนางดงหลวง เลยเขาวงขึ้นไปทางดงหลวง เลยแยกอนามัยเข้าไป ในหมู่บ้านลึกเหมือนกัน เหมือนกับเมืองๆ หนึ่ง เป็นเมืองที่ปิดบังเอาไว้ น่าอยู่มากทีเดียว ภพภูมิก็ดีมากทีเดียว

    แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะอยู่ได้ ใครไปอยู่ตรงนั้น บางทีตายก็มี บางทีอยู่ไม่ได้ก็มี ตอนอาตมาขึ้นไปนี่แหละ ที่วิญญาณต่างๆ ถึงได้มานิมนต์ ให้ไปช่วยสร้างวัดให้ ก็เลยรับปาก เลยได้ไปสร้างวัด จะเอาอะไรได้หมด จะเอาน้ำก็เอาเครื่องมาเจาะน้ำ ก่อนจะถึงวันเจาะ น้ำก็ลงมาอยู่วัดของเรานี่แหละ ก็ยังมาคิดว่า เราจะได้พระประธานองค์ไหน ไปตั้งเอาไว้ให้ญาติโยม ได้กราบไหว้ สักการบูชา

    ก็เลยเอาพระปางห้ามญาติ เพราะคนแถวโน้น ไม่ค่อยจะถูกกัน คิดว่าจะเอาเงินสักสองหมื่นบาท ไปซื้อน้ำมันให้หน่วยเจาะ จะเอาเงินที่ไหน เพราะไม่มีสักบาท พอระลึกนึกถึงอยู่ในใจเท่านั้น ประมาณ 10 นาที ก็มีโยมคนหนึ่ง มาจากกรุงเทพฯ นั่งเครื่องบินมา แล้วก็ถือกระป๋องสังฆทาน พร้อมกับพระพุทธรูป ปางห้ามญาติ 2 องค์

    โยมบอกว่า จะมาทำบุญกับหลวงพ่อ เอาพระปางห้ามญาติมาถวาย และมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อด้วย ประมาณสักชั่วโมงหนึ่ง เขาก็ถามว่า หลวงพ่อมีอะไรจะสร้างไหม หนูจะถวายปัจจัยให้หลวงพ่อ สักห้าหมื่น ก็เลยบอกโยมไปว่า พอดีจะหาปัจจัย ไปซื้อน้ำมันไปช่วย หน่วยเจาะที่บนภูมุกดาหาร โยมจะถวายห้าหมื่น

    หลวงพ่อก็เลยบอกว่า รับไม่ได้นะห้าหมื่น คงจะรับสองหมื่นก็พอ เพราะปรารถนาอยู่แค่สองหมื่น โยมก็งงเหมือนกัน จะถวายห้าหมื่น แต่อาตมารับไว้แค่สองหมื่น โยมก็ไปเบิกตังค์มาให้ แล้วก็ขึ้นไปหาหน่วยเจาะ หน่วยเจาะได้เจาะน้ำ ตั้งแต่เช้า ถึงบ่ายสามโมงเลย ฝุ่นนี้คลุ้งกระจายไปหมด อาตมาก็ไปยืนดูอยู่ คิดในใจว่า ถ้าไม่เจอน้ำ นี่ผิดหวังแน่ เพราะว่าจิตของคนแถวนั้น มีแต่การพนันขันต่อ มีแต่มิจฉาทิฐิ มีแต่ความเห็นผิด ทำยังไงหนอ ถึงจะทำให้จิต ของญาติโยม แถวนี้เป็นบุญกุศลได้

    ถ้าไม่เจอน้ำ ก็ทำให้คนจิตเป็นบาปเยอะเลย อาตมาก็เลยอธิษฐานจิตว่า ….ด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ขนาดนี้ ขอให้ได้เจอน้ำเถอะ น้ำก็ผุดขึ้นมาเลย …เจาะได้ 73 เมตร น้ำก็ผุดขึ้นมา เจาะลึกลงไป 100 เมตร น้ำนี่ใสดื่มได้เลย สะอาดเย็น และก็ไม่เคยขาด ทุกวันนี้ก็ไม่มีขาด จ่ายได้ทั้งภูเลย ชาวบ้านเขาไม่ได้เรียกว่า น้ำบาดาลนะ เขาเรียก น้ำพิสดาร

    พอได้น้ำเสร็จ อาตมาก็คิดว่า จะไปสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่ อยู่ที่บนภู จะขึ้นไปจำพรรษาที่นั่นด้วย ปีนั้นปรารถนาจะไปสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แต่ไม่มีเงินสักบาท แต่ว่าจะไปสร้าง และอยู่จำพรรษาที่นั่น ออกพรรษาก็คงจะมี งานกฐิน พอที่จะได้สร้างพระ ไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็เลยพูดกับพระแถวนั้นว่า ถ้ามีเงินสักสามหมื่นนี่ ทำแท่นพระข้างล่างเสร็จไหม ไม่ถึง 3 วัน มีคนเอาตังค์ 3 หมื่นมาถวายให้ ก็ได้ทำแท่นพระเสร็จ พอทำแท่นพระเสร็จ ก็คิดอีกนะว่า ถ้ามีตังค์สักแสนหนึ่ง ได้สร้างองค์หลวงปู่ใหญ่เสร็จแน่ๆ ภายในหนึ่งอาทิตย์

    ก็มีโยมเอาเงินไปถวายให้อีก ก็ได้สร้างพระ แล้วก็มีโยมเป็นด็อกเตอร์ อยู่ที่สวนสุนันทา ขึ้นไปปฏิบัติธรรมด้วย โยมก็ถวายเงินทำบุญกับอาตมา อาตมาอยากไปทำบุญที่ไหน โยมเขาจะถวายให้ อาตมาบอกว่า แพงนะ เพราะตอนนี้วัดกำลังจะสร้างเมรุเผาศพอยู่ข้างล่าง ที่วัดร้างนั่นแหละ ยังขาดเงินอยู่ประมาณ 3 แสน

    เขาก็ว่า เท่าไหร่ผมก็จะถวายให้ โยมก็เอาเงินมาถวาย 3 แสน แล้วก็นิมนต์อาตมา ลงมาข้างล่าง ก็เลยไม่ได้ขึ้นจำพรรษาที่นั่น ขึ้นไปวันที่ 11 ก็ลงมาวันที่ 11 เดือนหนึ่ง เต็มๆ พอขึ้นไปอีกเที่ยวหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่ ก็เลยมากราบบอกว่า หลวงพ่อ น้ำก็ได้ หลวงปู่ใหญ่ก็ได้ ยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง พวกผมขอหลวงพ่อหน่อย ก็เลยถามว่า โยมจะเอาอะไร

    เขาก็ว่า พวกผมอยากจะได้ ไฟฟ้าขึ้นบนภู อาตมาก็ว่า เอ้า ...อยากจะได้ ก็ตกลง พอตกลงเท่านั้นแหละ เช้าๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไปขอไฟ ตกบ่ายๆ อาตมาก็ให้รถลงมาข้างล่าง เพราะว่าไปอยู่ใน กลางป่า กลางเขา ลงมาประมาณสัก 50 กว่ากิโลฯ ลงมาที่ตีนเขาวง อาตมาก็เดินขึ้นไปนอนอยู่บนเขา กับลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ข้างบนนี่ ทั้งลมหนาว ต้องก่อไฟผิงทั้งคืน พอตอนเช้าอาตมาก็เปิดโทรศัพท์เอาไว้ เสียงโทรศัพท์สายแรก ที่โทร ไปหาอาตมา หลังจากเปิดเอาไว้ ไม่ถึงครึ่งนาที เสียงในโทรศัพท์บอกว่า ….ผมมากราบหลวงพ่อ ผมไม่เจอหลวงพ่อ ผมจะขึ้นไปกราบที่มุกดาหารนะ

    อาตมาก็ถามว่า โยมมาจากไหน เขาว่าผมอยู่ที่อุบลฯ ซึ่งเด็กคนนี้ สมัยเป็นนักเรียน เขาเคยมาอยู่กับอาตมา เคยมาฝึกปฏิบัติ พอเรียนจบแล้ว ก็กลับมาบวช แล้วก็ ไปทำงาน ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนหลังก็ไปมีครอบครัว 11-12 ปี ที่ไม่ได้เจอกัน

    อาตมาก็ถามว่า ไปวัดถูกไหมล่ะ ไปถูกครับ มีบริวารเยอะแถวนั้น อาตมาก็ถามว่า บริวารอะไร เขาก็ว่า ผมเป็นหัวหน้าการไฟฟ้าอยู่เขตนั้น นี่ 12 ปีนะ ที่ไม่ได้เจอกัน แล้วเขาก็เลยขึ้นไปหาอาตมาที่ ภูบ้านไร่ แล้วก็เลยบอกให้เขา เอาไฟฟ้าขึ้นให้ ก็เลยเขียนเรื่องไปบอกหมู่ บอกคณะ แล้วก็ส่งหนังสือไปทางกรุงเทพฯ ก็ได้รับอนุมัติภายใน 2 เดือน ก็เดินสายไฟ ขึ้นไปบนยอดเขา 2 กิโลฯ กว่าๆ ชาวบ้านก็พนันขันต่อ กันอีกเหมือนเดิมว่า ขอเป็นปี สองปี ก็ยังไม่ได้ แค่เดือนจะมาได้ยังไง พอเห็นเสาไปลง สายไปลงนั่นแหละ ถึงได้รู้กัน

    ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศล
    นี่แหละ อานุภาพแห่งบุญ อานุภาพแห่งกุศล และเทพเทวดา ก็คอยอนุโมทนา คอยช่วยเหลือตลอดเวลา หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งไปเที่ยวธุดงค์ ก็ยิ่งเห็นเยอะ วิญญาณที่ดีก็มี วิญญาณที่ประสงค์ร้ายก็มี แต่ก็สู้คุณงามความดีของเราไม่ได้ เราไม่มีอคติ ไม่โต้ตอบ มีแต่แผ่เมตตาให้ ก็มีแต่ความสุข ความเยือกเย็น วันแรกๆ นี่เขาจะมาทดสอบเรา วันต่อไปก็มีแต่เครื่องหอมมาให้ มาถวาย ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

    อยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน มาวันแรก เขาก็มาเล่นงานอาตมาเหมือนกัน อยู่ที่ป่าช้า สมัยก่อนยังไม่มีอะไร ทั้งเผา ทั้งฝังเต็มไปหมด ระเกะ ระกะไปหมด ทั้งป่ารก ป่าหนา อาตมาอยู่องค์เดียว อยู่ตามโคนไม้ ตามหลุมศพ มาวันแรก เขาก็เล่นงานอาตมา กระโดดมาจะฆ่าอาตมาอย่างเดียว อาตมาแผ่เมตตาให้ เขาก็ไม่เอา ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีหนึ่ง ตีสอง ถึงได้หายไปเฉยๆ

    จิตเป็นธรรมตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก
    สมัยก่อน จิตของวิญญาณต่างๆ ก็เป็นมิจฉาทิฐิ กว่าจะคลายลงไปได้ก็ลำบาก เราเหมือนกัน สมัยก่อนก็ไม่มีใครฝึกหัดปฏิบัติ มีอาตมาองค์เดียวที่ออกมาอยู่ป่า อยู่เขา เพราะว่าอะไร เพราะจิตของอาตมามันว่างตั้งแต่เป็นฆราวาส ว่างมาตั้งแต่เป็นเด็ก 6-7 ขวบ ก็ว่างแล้ว ก่อนที่จะออกบวช ก็ปลงขันธ์ห้าได้หมดแล้ว

    แต่ไม่รู้ว่า จิตของตัวเองเป็นธรรม เพื่อที่จะมาแสวงหาธรรม พอบวชได้ประมาณ 17-18 วัน จิตก็เลยดีดออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ร้องอ๋อขึ้นมา เราลองใช้ความคิดแค่นี้เอง ให้จิตเราว่าง พอปลงผมวันแรก สติก็สั่งเลย ให้เราหาเครื่องอยู่ให้เจอ ถ้าหาเครื่องอยู่ไม่เจอ การบวชเป็นพระก็จะลำบาก

    ก็เร่งทำความเพียรตั้งแต่วันแรก ยิ่งเห็นแล้วก็ยิ่งเข้าใจ แล้วก็ยิ่งสร้างความเพียร หนัก ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำตามความเข้าใจ เดินปัญญา ละกิเลส ตรงนี้สำคัญ การดับการละของพวกเราไม่มี แล้วจะไปแสวงหาแต่ธรรมจะได้ยังไง การแยกรูป แยกนามของเราไม่มี จะเข้าใจเรื่องจิตได้ยังไง

    สติก็ยังไม่รู้จักสร้าง มันจะไปได้ยังไง สร้างสติให้ต่อเนื่อง รักษาสติให้ต่อเนื่อง รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักทำความเข้าใจ อยู่ตลอดเวลา แล้วเป็นคนขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถ้าคนเกียจคร้าน จ้างก็ไม่เข้าใจ ก็จะไม่รู้ ไม่เห็น อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์ แก้ไข ปรับปรุง ความทุกข์เกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต มันเป็นอย่างไร เราต้องศึกษา ค้นคว้าให้ละเอียด นิวรณ์ธรรมต่างๆ เป็นอย่างไร ความว่าง ความสงบเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่ค้นคว้า แล้วใครจะทำให้เราล่ะ

    ธรรมนั้นมีอยู่ประจำโลก จิตของเรานั้นคือองค์ธรรม
    แม้แต่จับชายจีวรของพระพุทธองค์อยู่ ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่สนใจ เราจะไปเข้าใจได้อย่างไร ธรรมะนั้น มีอยู่ประจำโลก พระพุทธองค์ ท่านเป็นคนค้นพบ เราถึงยกไว้สู่ที่สูง เป็นบรมศาสดา ท่านเอามาจำแนกแจกแจง ธรรมะนั้นก็มีอยู่ประจำโลกกัน จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม

    แต่เวลานี้ก็ยังหลงอยู่ ยังหลงเกิด ยังหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็ต้องพยายามคลายออกให้มันหมด พวกกิเลสที่มาทีหลัง เพราะจิตเดิมแท้นั้นมันไม่มีกิเลสหรอก สะอาด บริสุทธิ์ ก่อนที่จะคลายกิเลสได้ บารมีของเราต้องเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเราต้องเต็มเปี่ยม เอาออกให้หมด อย่าไปกลัวอด กลัวลำบาก ยิ่งเอาออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเยอะ คลายออกให้มันหมด ก็จะรู้ความเป็นจริง แต่พวกเราไม่ยอมคลาย อาจจะคลายอยู่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่คลายหมด ต้องคลายออกให้มันหมด คลายความคิด คลายอารมณ์ คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายกิเลส สำรอกกิเลส ออกให้หมด ทีนี้ เราจะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ ก็ไปทำหน้าที่แทนทุกสิ่งทุกอย่าง

    ปรารถนาให้ญาติโยมหมั่นปฏิบัติ
    ญาติโยมท่านใดมีโอกาส อยากไปฝึกปฏิบัติ ก็ขอเชิญมาที่นี่ก็ได้ หรือจะไปที่มุกดาหารก็ได้ บนภูบ้านไร่ ที่นั่นบรรยากาศดีมากทีเดียว หรือจะไปที่เขาใหญ่ วัดถ้ำสันติธรรม อาตมาก็มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ที่นั่น ไปซื้อที่ ขยายที่เอาไว้ ให้ปลูกต้นไม้ครบ 4-5 ไร่ ตรงหน้าถ้ำก็น่าอยู่ เหมือนกัน

    มีโอกาสจะไป พังโคน ได้สร้างวัดเอาไว้ที่พังโคน เลยพังโคนไปทางวานรนิวาส ประมาณ 15 กิโลฯ พระฝรั่งท่านซื้อที่ถวาย เอาไว้ประมาณ 300 กว่าไร่ ก็สร้างวัด สร้างอะไรอยู่ที่นั่น ซึ่งก็น่าปฏิบัติเหมือนกัน

    เวลามีค่า อย่าปล่อยให้สูญเปล่า
    ถ้าเราเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ ไปสร้างประสบการณ์ ไปหาประสบการณ์ อย่าปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะเสียดายเวลามากทีเดียว จะไม่อยากปล่อยเวลาทิ้ง ทั้งภายนอก ภายใน เราจะสร้างคุณประโยชน์ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ ทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ทั้งทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอก ฝากฝังไว้กับสมมุติ คนรุ่นหลังมา ก็จะได้มาสร้าง มาสานต่อ เหมือนกับพ่อแม่ฝากฝังทรัพย์ไว้ให้ลูก ต้องพยายามกันนะ

    สรุปสุดท้าย ก็ขอย้ำเรื่องจิต (ให้ตามดูจิตทุกขณะ)
    ปกติอาตมาไม่ค่อยอยากจะพูด พูดน้อย แต่เหตุการณ์สมมุติให้พูดถึงได้พูด ไม่อยากจะพูดเลย ถ้าพูดตามความจริง อยากจะดูอยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

    วันนี้ก่อนที่จะรับประทานอาหาร จิตนิ่งหรือเปล่า หรือว่าจิตเกิดความอยาก กายหิว จิตเกิดความอยากไหม จิตถึงบ้าน วันละกี่เที่ยว เราปรับปรุงแก้ไข ตัวเราเองได้แล้วหรือยัง เราเคยใช้อารมณ์กับแม่บ้าน กับหมู่ กับคณะ กับเพื่อนฝูง เรารู้จักสงบ รู้จักนิ่ง มีเหตุผลหรือไม่ เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์แก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง

    วันนี้อาตมาขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญ

    _14_201.jpg

    _13_137.jpg
    พระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานภายในวัดป่าธรรมอุทยาน
     
  14. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +150
    ถ้าเอ็นยึดทำไงให้หายคะ มียาแก้รึป่าว
     
  15. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ทุกท่านปลอดภัยกันนะครับ ผมอยู่นครปฐมนี้ ดงไวรัสมรณะเลย
    บุญรักษาครับทุกคน
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ต่อ(9)จากใจลูกศิษย์ถึงหลวงพ่อกล้วย

    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น


    พระพุทธรัตนมณีมหาปฏิมากร (หลวงปู่ใหญ่)
    วัดป่าธรรมอุทยาน

    _11_183.jpg


    จากใจลูกศิษย์ถึงหลวงพ่อกล้วย


    คุณชลัช มานะเลิศ อายุ 75 ปี
    หลวงพ่อคือผู้มีเมตตาธรรม

    เพิ่งรู้จักหลวงพ่อได้ไม่นาน ลูกแนะนำ ศรัทธาในปฏิปทาของหลวงพ่อ ท่านเป็นคนตรงๆ จริงๆ แล้วก็มีเมตตา ลูกป้ามาบวชก่อน แล้วลูกเขาก็ประทับใจในบรรยากาศ ที่นี่ว่าเป็นที่ที่สงบ แล้วป้าก็ตามมาปฏิบัติธรรมด้วย ตอนเช้าก็ได้ทำบุญด้วย ป้าเป็นแฟนหนังสือโลกทิพย์ด้วยนะคะ ตั้งแต่โลกทิพย์ออกมาใหม่ๆ เลย หนังสือโลกทิพย์ทำให้ป้าได้รู้จักพระอริยะ สายที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ซึ่งเราเองไม่สามารถ ที่จะไปค้นคว้า ได้อย่างนั้น แต่เราอาศัยจากหนังสือโลกทิพย์ ทำให้เราได้รู้จักพระอริยะต่างๆ

    สำหรับหลวงพ่อท่าน เป็นพระที่ปฏิบัติจริง แล้วก็มีเมตตา ต่อคนที่มาปฏิบัติ แล้วสถานที่พักก็สะดวกดี เงียบสงบ ตอนเช้าได้ใส่บาตร และท่านก็แสดงธรรม ให้เราฟังก่อนที่จะฉันอาหาร ทำให้เราได้สงบจิต สงบใจ ช่วงขณะนั้น ซึ่งตรงกับใจป้าเลย

    คุณพรรณงาม วัดสันตชาติ อายุ 59 ปี (กรุงเทพฯ)
    หลวงพ่อคือพระผู้ไม่สะสมทรัพย์

    ที่รู้จักหลวงพ่อ ก็เพราะลูกๆ เขาแนะนำ แรกๆ ที่เขาบอก ป้าก็ไม่ได้มา แต่พอป้าเพท ที่เขามาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ กลับไปกรุงเทพฯ เขาก็มาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออ่านสอนอย่างนี้ๆ ป้าเห็นว่าดี ก็เลยมาสัมผัสดู ป้าเพิ่งมา 2 ครั้ง ป้าอยู่แถวลาดพร้าว ประทับใจท่านหลายอย่าง คิดว่า ท่านเป็นอริยะแล้ว ท่านปฏิบัติตัวแบบ ไม่เอาอะไรเลย ป้าคิดว่า พระแท้ๆ ต้องไม่เอาอะไร ไม่สะสมอะไร คือไม่ต้องเอาอะไรเลย

    แล้วก็ชอบบรรยากาศที่วัดด้วย ต้นไม้ร่มรื่น ครั้งที่แล้ว ป้ามาอยู่ประมาณ 17 วัน ครั้งนี้ คิดว่า จะอยู่เป็นเดือน เพราะเรายังปฏิบัติไม่ได้ ธรรมะไม่ใช่ของง่าย ต้องใช้เวลาที่จะศึกษา นี่ป้าก็กำลังศึกษาอยู่ และป้าก็ปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่คิดว่า นี่คือแนวทางที่เราเข้าใจ แล้วก็จะปฏิบัติต่อ ส่วนลูกๆ ของป้า เขาก็ทำงาน แต่พอวันหยุด เขาก็มาปฏิบัติธรรมกัน

    หลวงพ่อท่านเป็นคนเมตตา และสบายๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ แล้วท่านก็ไม่มีพวกเดรฉานวิชา พระเครื่อง พระบูชา ตู้บริจาคไม่มีเลย …คือคนเรา อยากทำบุญนี่ มันต้องทำด้วยจิตที่เป็นกุศลจริงๆ ไม่ใช่จะต้องเอาตู้มาตั้งไว้ที่หน้าวัด อะไรอย่างนี้ แจกซองผ้าป่า หรือ บอกบุญอะไรใคร ชอบตรงที่ท่านไม่บอกบุญ แต่พอถึงเวลา ก็มีคน
    เอามาถวายท่าน คือเราเห็นความบริสุทธิ์ของท่าน ในความรู้สึกของป้า จิตของท่านบริสุทธิ์ถึงขั้น อริยะพอสมควร เท่าที่ป้าได้สัมผัสนะคะ เพราะป้าก็เรียนธรรมะมา รู้สึกว่าท่าน คงจะได้ตรงนี้ เพราะท่านไม่เอาอะไรเลย พอได้อะไรมาปุ๊บ ท่านก็จะนำเอามาสร้างอะไรให้เป็นประโยชน์ กับส่วนรวม

    คุณสมบุญ นามวงศ์
    หลวงพ่อผู้มีแต่ให้

    รู้จักหลวงพ่อมานานแล้วค่ะ รู้จักตั้งแต่เป็นฆราวาส หลวงพ่อท่านมีพี่น้อง 5 คน แต่ตายไปคนหนึ่ง พี่มาอยู่ปฏิบัติกับท่าน 20 กว่าปี ได้ซาบซึ้งในธรรมของท่าน แล้วปฏิปทาท่านเป็นผู้เสียสละ มีแต่ให้ แล้วก็มีแต่ทำ

    ทำอะไรก็ไม่เคยหวัง จะได้ จะเอาอะไรจากใคร แล้วก็ไม่เก็บสะสมอะไร ใครเอาของมาบริจาค มาถวาย ท่านก็ทำทานต่อ แรกๆ ที่ท่านมาที่นี่ เป็นป่ารกมาก เพราะเป็นป่าช้า ท่านชอบความสะอาด ความเป็นระเบียบ มันถูกกับจริตของพี่

    ทำไมท่านมีแต่ทำ ปกติพี่ก็เห็น ก็อยู่กับพระธุดงค์มาเยอะ ก็สังเกตว่า ท่านทำอะไร ทำไมท่านดูแปลกกว่าทุกองค์ที่ผ่านมา ในป่าช้านี้ ทำความสะอาด เก็บใบไม้กิ่งไม้ ใบหญ้ามันรกมาก แล้วก็มีแต่หลุมศพ เต็มไปหมด เรียงรายกันอยู่ ท่านก็ทำของท่านไป แล้วเวลาสอนธรรมะ ท่านก็สอนแต่ธรรมชาติ

    หลวงพ่อท่านจะรักต้นไม้ ปลูกต้นไม้ แต่ที่นี่ปลูกอะไรก็ไม่ค่อยโต เพราะมันแห้งแล้งกันดาร ปลูกกี่ชุด กี่ชุด ก็ไม่เหลือ หลังๆ ท่านก็ปลูกต้นไผ่ ทำแต่งาน พี่ไม่ค่อยเห็นท่านเดินจงกรมนะ แต่ก็มีแต่หลักธรรมมาสอน สอนธรรมะแบบธรรมชาติมาตลอด ญาติโยมมาก็สอนคำเก่านี่แหละ หลายปี หลายชาติ ก็สอนแบบนี้

    ท่านบอกว่าธรรมของท่านมันทำง่าย เพราะตัวท่านก็ทำมาแต่เด็กๆ ท่านให้ทาน ใครมาขออะไรท่านให้หมดถึงไม่ขอ ท่านก็ให้ แล้วก็ไม่เก็บสะสมอะไร ที่กุฏิท่าน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ผ้าสบง จีวรที่จำเป็นต้องใช้ คือมันผิดกับองค์อื่น ที่พี่เคยเห็น หรือ เคยสัมผัสมา ท่านมีแต่เสียสละ แล้วประทับใจหลวงพ่อตรงที่ ท่านไม่ให้พูดเรื่องคนอื่น ให้ดูตัวเอง ให้พิจารณาดูตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้น

    ถ้าตาเห็นรูปข้างนอก อย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษ ให้ดูตัวเองว่า จิตไปเพ่งโทษเขาไหม จิตมันมีอคติไหม จิตมันมีรอยมลทินไหม ประทับใจที่สุดคำนี้ เพราะดูๆ ไป มันก็จริงอย่างที่ท่านสอน เรายังติดขัดตรงไหน ท่านก็แก้ ท่านก็บอก ช่วงเช้า ท่านจะเทศน์ทุกเช้า ก่อนที่จะฉันข้าว จะอบรมธรรมะก่อน ให้ทำสมาธิแบบธรรมชาติ ทำอะไรก็ตามธรรมชาติ ให้ธรรมชาติที่สุด เดินก็ให้เป็นธรรมชาติ

    ให้รู้อริยาบถ รู้กาย รู้จิต แล้วก็ให้หันมาดู ความปกติของจิต ทำยังไงถึงจะปกติ สอนการให้อภัยทาน อโหสิกรรม เมตตา เพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกัน ทุกคนเสมอภาคกันหมด มีธรรมชาติหมดทุกคน เพียงแต่เขา ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ฝึกสติของเขาเท่านั้นเอง

    ให้สงสารเมตตาเขา เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านให้ความเมตตา เหมือนกันหมด ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ถ้าเข้ามาในวัดนี้ ท่านให้ละอัตตาตัวตน ตรงนี้แหละ มันถูกกับจริตพี่ พี่อยู่วัดประจำทุกวัน เป็นโยมอุปัฏฐากท่าน

    ในความทรงจำของศิษย์คนหนึ่ง
    อ.คำดี จุลโสม (พ่อครู)

    วัดป่าหรือสำนักสงฆ์ธรรมอุทยาน ตั้งอยู่ที่ป่าช้าของหมู่บ้านสำราญ และบ้านเพี้ยฟาน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เรื่องเดิมก่อน พ.ศ.2527 ข้าพเจ้าไม่ทราบชัด จึงไม่สามารถ จะนำมาเล่าได้ ทราบเพียงว่า ช่วง พ.ศ.2527 ที่ป้าช้าของหมู่บ้านนี้ มีพระธุดงค์ มาพักเป็นประจำ แต่ไม่ถาวร มาอยู่เพียงเวลาสั้นๆ

    ในปีแรกที่ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อสำราญ เป็นช่วงเวลาที่ท่านกลับจากจำพรรษาที่วัดถ้ำแสงเพชร จังหวัดอำนาจเจริญ แล้วเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ได้กลับมาเยี่ยมญาติในหมู่บ้านเพี้ยฟาน และได้มาพักในป่าช้าแห่งนี้ตามนิสัยของพระธุดงค์ ในปี พ.ศ.2527 นั้น

    ข้าพเจ้าเป็นประธานกลุ่มโรงเรียน กลุ่มสำราญ โดยสำนักงานตั้งอยู่ที่โรงเรียนบ้านสำราญ จึงได้นำคณะกรรมการกลุ่มโรงเรียนมาประชุมที่ศาลาพักศพในป่าช้านี้ และมีโอกาสได้พบท่านโดยบังเอิญ ต่อมาได้พยายามมาหาท่านบ่อยๆ เมื่อได้รู้จักท่านดีแล้วก็เกิดศรัทธาในตัวท่าน

    คืนแรกที่ข้าพเจ้าได้มาพักค้างคืนในป่าช้าแห่งนี้ ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปอยู่ในกระท่อมเล็กๆ กลางป่าช้า ภายในกระท่อมมีแคร่ไม้ไผ่ คร่อมหลุมศพที่เขาก่ออิฐก่อปูน มีรู และมีกลิ่นด้วย คงจะเป็นที่พักของท่านเพราะมีมุ้งกลดของท่านกางไว้ ท่านคงสละให้ข้าพเจ้าพัก ส่วนท่านไม่ทราบว่าไปพักที่ไหน ในคืนนั้น หลังเที่ยงคืนจึงได้หลับนอน เพราะเจอประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอยากให้ที่นี่เป็นวัด จึงได้มาคลุกคลีกับท่าน เริ่มต้นบุกเบิกกับท่าน อยากให้ท่านอยู่เป็นหลัก ท่านเคยชักชวนให้ข้าพเจ้าบวชหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าไม่รับคำชวนจากท่าน เพราะเกรงว่าท่าน จะมอบงานให้แล้วท่านจะหนีไป

    สำหรับคำว่า ธรรมอุทยาน แปลเอาความว่า สวนธรรม หรือสวนแห่งพระธรรม ขณะนี้เห็นเด่นชัดตามชื่อ เพราะในสวนธรรมแห่งนี้กำลังผลิดอกออกผลให้เหล่าพุทธบริษัททั้งไกล และใกล้ ได้เก็บหมากผลอย่างเต็มอิ่ม (ยกเว้นประเภทมดแดงเฝ้ามะม่วง)
     
  17. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    "ใช้พลังจิตกอบกู้วิกฤตพอไหวไหม"


    "นี่คือวิบากใหญ่หลวงของชาวโลก"

    "คำทำนายทายทักของเกจิอาจารย์ใกล้เป็นจริง"

    "นี่คือสงครามเชื้อโรคเต็มรูปแบบ"

    "กรูคนหนึ่งไม่เชื่อว่าโควิคนี้มาจากธรรมชาติ"

    "กรูเชื่อว่าเชื้อโรคนี้มาจากฝีมือมนุษย์"

    "มนุษย์ไม่สูญพันธุ์ แต่อาจกลายพันธุ์เพราะ?"

    "โควิคอาจศิโรราบด้วยสมุนไพรไทย"

    **เชิญเข้ามาร่วมแสดงมุมมองตามหัวข้อข้างบนนี้**
    "อาจช่วยคลายเครียดได้ระดับหนึ่ง"





    *ข่าวจากเตามรณะ**

    มาถึงทวีปเอเซียเรียบร้อย "ไวรัสพีนธุ์เปรู แลมบ์ดา"
    ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมนายแพทย์ทวีศิลป์ โฆษก ศบค. ถึงเริ่มถอดใจเรื่องไวรัสโควิด ในประเทศไทย เพราะประเทศไทยอ่อนแอและหย่อนยานที่สุด ที่เชื้อไวรัส ทุกสายพันธุ์จะเข้ามาระบาดในประเทศไทย ได้อย่างสบายๆ
    สายพันธุ์เปรู แลมบ์ดา มีจุดกำเนิดการกลายพันธุ์ชนิดรุนแรงที่สุดในประเทศเปรู และปัจจุบันมีการระบาดไปทั่วโลกถึงกว่า 30 ประเทศแล้ว การพบการระบาดของสายพันธุ์นี้ที่ประเทศออสเตรเลีย มันจึงง่ายมากที่จะระบาดเข้ามาสู่ประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีคนไทยอาศัยอยู่ออสเตรเลียจำนวนมาก ที่เข้าออกประเทศไทยเป็นว่าเล่น
    สายพันธุ์เปรูแลมบ์ดา โหดร้ายกว่าสายพันธุ์อินเดียเดลต้าที่กำลังระบาดหนักในประเทศไทยเยอะแบบไม่เห็นฝุ่น แถมยังมีความสามารถในการหลบหลีกวัคซีน ได้ดีกว่า สายพันธุ์อินเดียเดลต้าพลัสเสียอีก กล่าวคือ อินเดียเดลต้าพลัสว่า เหนือกว่า อินเดียเดลต้าธรรมดาที่ วัคซีนหลายยี่ห้อในทั่วโลกเอาไม่อยู่ แต่สายพันธุ์เปรูแลมบ์ดา โหดกว่านั้นอีกคือ
    1.ติดเชื้อเร็วกว่าทุกสายพันธุ์
    2.อัตราการตายสูง ของผู้ติดเชื้อ
    3.ไม่มีวัค ซี น ในโลกนี้ป้องกันได้
    4.ฉีดวัค ซี น ยี่ห้อไหน ก็ติดและตาย แถมยังแพร่เชื้อได้ต่อๆกันไปไม่มีหมด
    5.เปรูแลมบ์ดา ยังสามารถกลายพันธุ์ได้เรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง และสามารถเข้ากันได้ดีกับไวรัส สายพันธุ์อื่นๆ
    6.อาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ยากที่ผู้คนจะรู้รับรู้ได้ว่า ได้รับเชื้อมาแล้ว
    7.ฟักตัวเร็ว ขยายเชื้อเร็ว เสียชีวิตเร็ว
    8.หลบหลีกภูมิกันได้แบบสมบูรณ์แบบ
    นี่คือไวรัสสายพันธุ์นักฆ่า ที่น่ากลัวที่สุดในโลกในเวลานี้

    เดชา นฤนารท
    7/7/64 10.30 น.
     
  18. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ได้ยินคนที่มาหาหัวหน้าผมบอกว่า ไวรัสตัวนี้โดนตัดแต่งพันธุกรรม
    อึดทนเหมือนเอดส์ และบวกโรคซาร์เข้าไปด้วย ทำให้โหดมาก
    และกลายพันธุ์ตาม DNA ของคนแถบที่ติด
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใช้น้ำมันมะพร้าวค่อยๆใช้มือนวด
    แต่กรณีถ้ารู้สึกปวดกระดูกร่วมด้วยก็ให้ใช้นำมันมะพร้าวเหมือนเดิม
    แต่ให้ใช้ไม้เนื้อแข็งนวดแทน
    ปล.นวดเบาๆ น้ำมันมะพร้าว + ไม้เนื้อแข็ง มีคุณสมบัติ
    ในการหนุนสร้างมวลกระดูกได้ โดยเฉพาะกรณี
    ที่ใครชอบเสียวๆหรือปวดกระดูกเวลาที่อากาศเย็นๆ
     
  20. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +150
    แล้วถ้าเอ็นยึดจากขาหักล่ะคะพี่ กระดูกก็ยังติดไม่สนิท เอ็นก็ยึดอีก ใส่เหล็กดามอ่ะค่ะ :(:(
     

แชร์หน้านี้

Loading...