เปรตวิสัย

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 17 พฤษภาคม 2021.

  1. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869

    ed0980921d27c640632b08628de0aaac.jpg
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ๑๖. สัฏฐีกูฏสหัสสเปตวัตถุ
    ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตหกหมื่นฆ้อน

    วันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระลงจากเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นเปรตตนหนึ่ง จึงซักถาม
    ด้วยคาถาว่า
    [๑๓๖] ทำไมหนอ ท่านจึงวิ่งพล่านไปเหมือนคนบ้า เหมือนเนื้อผู้ระแวงภัย
    ท่านมาร้องอื้ออึงไปทำไม ท่านคงทำบาปกรรมไว้เป็นแน่?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะทำ
    บาปกรรมไว้ จึงไปจากมนุษย์สู่เปตโลก ฆ้อนเหล็ก ๖ หมื่น ครบ
    บริบูรณ์โดยประการทั้งปวง ตกใส่ศีรษะและต่อยกระหม่อมของข้าพเจ้า.
    พระเถระถามว่า
    ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือ เพราะผลแห่งกรรมอะไร
    ท่านจึงไปจากมนุษยโลกสู่เปตโลก อนึ่ง ฆ้อนเหล็ก ๖ หมื่น ครบ
    บริบูรณ์โดยประการทั้งปวง ตกใส่ศีรษะและต่อยศีรษะของท่าน เพราะ
    ผลแห่งกรรมอะไร?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง นามว่า สุเนตตะ
    มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว ผู้หาภัยแต่ที่ไหนมิได้ นั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้
    ข้าพเจ้าได้ต่อยศีรษะของท่านแตกด้วยการดีดก้อนกรวด เพราะผลแห่ง
    กรรมนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ประสบทุกข์เช่นนี้ ฆ้อนเหล็ก ๖ หมื่น ครบ
    บริบูรณ์ โดยประการทั้งปวง จึงตกลงใส่ศีรษะของข้าพเจ้า และต่อย
    ศีรษะของข้าพเจ้า.
    พระเถระกล่าวว่า
    แน่ะบุรุษชั่ว ฆ้อนเหล็ก ๖ หมื่น ครบบริบูรณ์ โดยประการทั้งปวง
    ตกลงใส่ศีรษะและต่อยศีรษะของท่าน เพราะเหตุอันสมควรแก่ท่านแล้ว.

    ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/?26/136
     
  3. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ๑๐. คณเปตวัตถุ
    ว่าด้วยบุพกรรมของนางเปรตผอม
    พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามนางเปรตทั้งหลายว่า
    [๑๓๐] ท่านทั้งหลายเปลือยกาย มีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียด ซูบผอมมีตัว
    สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ผอมจนแลเห็นแต่ซี่โครงเช่นนี้ แน่ะท่าน
    ผู้นิรทุกข์ ท่านทั้งหลายเป็นอะไรหนอ?
    เปรตทั้งหลายตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะ
    ทำกรรมชั่วไว้ จึงไปจากมนุษยโลกมาสู่เปตโลก.
    พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
    ท่านทั้งหลายทำกรรมชั่วอะไรด้วยกาย วาจา ใจหรือ เพราะผลแห่งกรรม
    อะไร ท่านทั้งหลายจึงไปจากมนุษยโลกสู่เปตโลก?
    เปรตเหล่านั้นตอบว่า
    เมื่อสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นที่พึ่ง อันหาโทษมิได้มีอยู่ ข้าพเจ้า
    ทั้งหลายมิได้ก่อสร้างกุศลไว้แม้เพียงกึ่งมาสก เมื่อไทยธรรมมีอยู่ก็ไม่ได้
    ทำที่พึ่งแก่ตน พวกข้าพเจ้าหิวน้ำ จึงเข้าไปใกล้แม่น้ำ แม่น้ำกลับกลาย
    เป็นว่างเปล่าไป เมื่อเวลาร้อนข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปสู่ร่มไม้ ร่มไม้กลับ
    กลายเป็นแดดแผดเผาไป ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายควรที่จะ
    เสวยทุกข์อันมีความกระหายเป็นต้นนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์
    นั้น อนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ถูกความหิวแผดเผาแล้ว อยากอาหาร
    พากันไปสิ้นทางหลายโยชน์ ก็ไม่ได้อาหารอะไรๆ เลย จึงพากันกลับ
    มา ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้หาบุญมิได้หนอ เมื่อมีความหิวโหยอิดโรยมากขึ้น
    ก็พากันล้มสลบลงที่พื้นดิน บางคราวก็ล้มนอนหงาย บางคราวก็ล้มคว่ำ
    ดิ้นรนไปมา ก็ข้าพเจ้าเหล่านั้นสลบอยู่ที่พื้นดินที่ล้มอยู่นั่นเอง เอาศีรษะ
    ชนหน้าอกกันและกัน ข้าพเจ้าเหล่านี้หาบุญมิได้หนอ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
    ข้าพเจ้าทั้งหลายควรที่จะเสวยทุกข์ อันมีความกระหายเป็นต้นนี้ และ
    ทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์นั้น เพราะเมื่อไทยธรรมมีอยู่ ข้าพเจ้า
    ทั้งหลายก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ก็ข้าพเจ้าเหล่านั้นไปจากที่นี้ ได้กำเนิด
    เป็นมนุษย์แล้ว จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สมบูรณ์ด้วยศีล
    กระทำกุศลให้มาก.

    ที่มาhttps://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=26&item=130&items=1&preline=0&pagebreak=0
     
  4. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ๘. คูถขาทิกเปตวัตถุที่ ๑
    ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตกินคูถที่ ๑
    พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเปรตตนหนึ่งว่า
    [๑๒๘] ท่านเป็นใครหนอ โผล่ขึ้นจากหลุมคูถให้เราเห็นเช่นนี้ ท่านร้องครวญ
    ครางอื้ออึงไปทำไมเล่า ท่านมีการงานอันลามกเป็นแน่?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์เกิดในยมโลก เพราะได้
    ทำกรรมอันลามกไว้ จึงไปจากโลกนี้สู่เปตโลก.
    พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
    ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจหรือ เพราะผลแห่งกรรมอะไร
    ท่านจึงได้ประสบทุกข์เช่นนี้?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ชาติก่อน มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาส อยู่ในอาวาสของข้าพเจ้า ท่านมี
    ปกติริษยา ตระหนี่ตระกูล มีใจกระด้าง มักด่าบริภาษ ได้ยกโทษ
    ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายที่เรือนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังคำของภิกษุนั้นแล้ว
    ได้ด่าพวกภิกษุทั้งหลาย เพราะผลแห่งกรรมนั้น ข้าพเจ้าจึงไปจากโลกนี้
    สู่เปตโลก.
    พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
    ภิกษุที่เข้าไปสู่ตระกูลของท่าน ไม่ใช่มิตรแท้เป็นมิตรเทียม เป็นคน
    ปัญญาทราม ทำลายขันธ์ละไปแล้ว ไปสู่คติไหนหนอ?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศีรษะของภิกษุผู้มีกรรมอันลามกนั้น กุลุปกภิกษุไปเกิด
    เป็นเปรตบริวารของข้าพเจ้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าอื่นถ่ายมูตรคูถ
    ลงในเว็จนี้ มูตรคูถนั้นเป็นอาหารของข้าพเจ้าและข้าพเจ้ากินมูตรคูถ
    นั้นแล้ว ถ่ายมูตรคูถสิ่งใดลงไป กุลุปกเปรตนั้นก็เลี้ยงชีพด้วยมูตรคูถนั้น.

    ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=26&item=128&items=1&preline=0&pagebreak=0


     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ๗. ราชปุตตเปตวัตถุ
    ว่าด้วยบุพกรรมเปรตราชบุตร
    ผลแห่งกรรมทั้งหลาย ที่พระราชโอรสทำไว้ในชาติก่อนพึงย่ำยีหัวใจ
    พระราชโอรสได้เสวยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์
    ใจ และการฟ้อนรำขับร้อง ความยินดี ความสนุกสนานเป็นอันมาก
    เสด็จเที่ยวไปในสวนแล้วเข้าไปสู่เมืองราชคฤห์ ได้ทรงเห็นพระปัจเจก-
    พุทธเจ้านามว่าสุเนตตะ ผู้มีตนอันฝึกแล้วมีจิตตั้งมั่น มักน้อย สมบูรณ์
    ด้วยหิริ ยินดีในอาหารเฉพาะที่มีอยู่ในบาตร เสด็จลงจากคอช้างแล้ว
    ตรัสถามว่า ได้อะไรบ้าง พระผู้เป็นเจ้า แล้วทรงจับบาตรของพระปัจเจก-
    พุทธเจ้ายกขึ้นสูง แล้วทุ่มลงที่พื้นดินให้แตก ทรงพระสรวล หลีกไป
    หน่อยหนึ่งได้ตรัสกะพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้แลดูอยู่ด้วยอำนาจความกรุณา
    ว่า เราเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากิตวัสสะ แน่ะภิกษุ ท่านจักทำอะไร
    เรา พระราชโอรสได้เสวยผลอันเผ็ดร้อนแห่งกรรมอันหยาบช้านั้นเพรียบ
    พร้อมแล้วในนรก พระราชโอรสผู้เป็นพาลทำบาปหยาบช้าไว้ จึงได้
    ประสบทุกข์อันกล้าแข็งอยู่ในนรก ๘๔,๐๐๐ ปี นอนหงายบ้าง นอน
    คว่ำบ้าง นอนตะแคงซ้ายบ้าง นอนตะแคงขวาบ้าง เท้าชี้ขึ้นข้างบนบ้าง
    หมกไหม้อยู่สิ้นกาลนาน ทำบาปหยาบช้าไว้ จึงได้ประสบทุกข์อันกล้า
    แข็งในนรกหลายหมื่นปีเป็นอันมาก บุคคลผู้มีการงานอันลามก พากัน
    ประทุษร้ายฤาษีผู้ไม่ประทุษร้ายต่อผู้ประทุษร้ายมีวัตรอันงาม ย่อมได้เสวย
    ทุกข์อันเผ็ดร้อนอย่างยิ่งเห็นปานนี้แล เปรตผู้เป็นพระราชบุตรเสวยทุกข์
    เป็นอันมากในนรกนั้นสิ้นปีเป็นอันมาก จุติจากนรกแล้วมาเกิดเป็นเปรต
    อดอยากอีก บุคคลรู้โทษอันเกิดเพราะอำนาจแห่งความมัวเมาในความ
    เป็นใหญ่อย่างนี้แล้ว พึงละความมัวเมาในความเป็นใหญ่เสีย แล้วพึง
    ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ควรอ่อนน้อม ผู้ใดมีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    พระธรรมและพระสงฆ์ ผู้นั้นอันบุคคลพึงสรรเสริญในปัจจุบัน ผู้นั้น
    เป็นคนมีปัญญา เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสวรรค์.

    ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=26&item=127&items=1&preline=0&pagebreak=0
     
  6. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,794
    เยี่ยมครับ ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆ … ผมชอบเรื่องสุดท้ายนี้ที่คุณ @Mdef โพสต์ระบุไว้มากครับ… มันทำให้เห็นความชัดเจนในเรื่องของ “กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ” ครับ… ลึกซึ้ง แต่ เรียบง่าย ชัดเจน และ โดนใจครับ … สาธุครับ _/|\_
     
  7. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    9m7tiu.jpg
    สมัยหนึ่ง อาตมา (หลวงปู่จันทา ถาวโร) ไปวิเวกกับพระอาจารย์บุญพิน กตปุญโญ และพระจ่อย ไปอยู่ที่ถ้ำจำปา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ถ้ำจำปาอยู่บนภูพาน ในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปทำด้วยไม้ และหินอยู่มาก โยมที่บ้านกะลึมบอกว่า มีผีเฝ้ารักษาไว้ แล้วโยมก็พาไปทำที่พักให้อยู่หน้าถ้ำ พอค่ำลง ก็ทำความเพียร เดินจงกรมจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้น ก็ไหว้พระ สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่นานจิตก็รวม พอจิตสงบ เกิดแสงสว่างจ้า ไม่นานเห็นเทพบุตรตนหนึ่งมาบอกว่า

    “ท่านอาจารย์หันปลายเท้าเข้าหน้าถ้ำ นั้นเป็นทางไปพระนิพพานนะ”
    ถามเขากลับไปว่า “ทางไปพระนิพพานคืออะไร ?”
    เขาก็ว่า “พระพุทธรูปนั่นแหละ ผู้เป็น นายโก ผู้นำโลกคือหมู่สัตว์เข้าพระนิพพานได้ ทีนี้ท่านหันเท้าเข้าไปอย่างนั้นมันผิดแล้ว”

    “โอ๋...โยมเขาทำให้อย่างนั้น ต้องขออภัยด้วย พรุ่งนี้จะให้เขาทำให้ใหม่”
    เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเปรตพระ ๓ ตนเข้ามาหา เป็นคนโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มีเครายาวถึงหน้าอก เข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูบขาข้างซ้าย แล้วพูดว่า

    “ท่าน ๆ ผมกับท่านใครจะแก่พรรษากว่ากัน ?”
    ก็ตอบเขาไปว่า “หลวงพ่อนั่นแหละ แก่กว่า”

    “ก็คงจะจริงอย่างท่านว่านั่นแหละ พรรษาของผมนั้นแก่กว่าท่าน แต่ว่าคุณธรรมของท่านนั้น แก่กว่าผมนะ”

    “แก่กว่าเพราะเหตุใด ?”

    “แก่เพราะท่านเจริญธรรม เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอนผ่อนอาหาร นี่มันแก่อย่างนี้ เพราะการเจริญธรรมถูกต้อง”
    จากนั้นก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า

    “พวกท่านเป็นพระ บวชในศาสนาพุทธอันบริสุทธิ์แล้ว สมควรที่จะเจริญสมณธรรม อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ๖ ชั้น อย่างกลางก็พรหมโลก (รูปพรหม ๑๖ ชั้น) อย่างสูงก็อรูปพรหม ๔ ชั้น และอย่างถึงที่สุด ก็วิมุตติหลุดพ้นไปพระนิพพาน ข้ามโลกสงสารไปได้ เพราะมีกิจอันเดียว แต่เหตุใดท่านจึงมาเป็นเปรตค้างอยู่ที่นี่”

    “ท่านเอ๊ย...พวกข้าพเจ้าเกิดมาพบปะศาสนาในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐา (เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทร์เรืองอำนาจและสร้างวัดต่าง ๆ มากมาย) เมื่อบวชมาแล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่แนะนำพร่ำสอนให้เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอน ผ่อนอาหาร พิจารณาธาตุขันธ์ เหมือนอย่างพวกท่านในขณะนี้”

    “บวชเป็นพระตั้ง ๑๐๐ กว่าพรรษา ก็ไม่ได้ภาวนาอะไร อยู่สนุกสนาน ฉันเช้า ฉันเพล แล้วก็ทำกิจการงานต่าง ๆ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เหมือนอย่างฆราวาสญาติโยมเขา”

    “บวชมาแล้วก็ล่วงเกินสิกขาบทวินัยไตรสิกขาน้อยใหญ่เสียสิ้น ศีลวัตร ศีล ๒๒๗ ก็ล่วงเกิน จะเหลือก็แต่ปาราชิก ๔ ถึงเหลือก็เศร้าหมอง ล่วงเกินพระวินัยด้วยการขุดดิน ฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง กินข้าวแลงแกงร้อน (ฉันอาหารยามวิกาล) นั่งนอนเสื่อสาดยัดด้วยนุ่นและสำลี (ต้องอาบัติปาจิตตีย์) กินลาบดิบ ลาบวัว ลาบควาย พอญาติโยมเขาฆ่าวัวความยอยู่ในบ้าน ก็สั่งเอาเนื้อสันใหญ่ ๆ ตับ ไต เอามาลาบก้อยกินกันสนุกสนาน กินกับเหล้ากับยา สนุกสนาน”
    นั่นแหละ ขุดดินฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ กินข้าวแลงแกงร้อนก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์นะ นั่นแหละ

    “พอถึงช่วงเดือน ๑๒ เขาลงจับปลากัน ก็ให้เณรไปขอปลาและกุ้งเป็น ๆ มาลาบกินกันสนุกสนาน บางทีก็เข้าป่าหากระต่ายและอีเห็นมาหมกมาคั่ว (ทำอาหาร) กินกันสบาย”

    “ทีนี้ฤดูทำนา เขาก็มานิมนต์ไปช่วยเขาดำนา แล้วก็กินเหล้ากินยา ลาบวัวลาบควาย สนุกสนานคุยสาว (จีบผู้หญิง) นะท่าน ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ไปเก็บเกี่ยวกับเขา กินเหล้ากินยา เล่นสาว (พูดเกี้ยวผู้หญิง) สนุกสนาน เวลานวดข้าว เขาก็มานิมนต์ไปนวดกับเขา เวลาเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง เขาก็มานิมนต์ไปสวดมนต์ข้าวนะ แหม..กินเหล้ากินยาวันยังค่ำ ท่านเอ๊ย...สนุกสนาน ได้กินลาบไก่ ต้มไก่ สนุกสนาน”

    “วันพระก็ตีกลองให้ผู้สาว (หญิงสาว) มาดายหญ้าในบริเวณวัด แล้วก็เล่นสาวสนุกสนาน งานบุญพระเวสสันดร มีการละเล่นต่าง ๆ ก็เล่นสาวสนุกสนาน จับโน่นจับนี่ เมื่อมีโยมตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปสวดกุสสลา มาติกาในงานศพ มีการละเล่นในงานนั้น ก็หยิบหยอกกับผู้สาว จับก้นจับขาจับของดี ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ”

    “ทีนี้มาถึงเดือน ๕ เมษายน ขึ้นปีใหม่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกว่า เอ้า...พระเราเป็นนาคนะ ฤดูนี้เราเป็นนาค เล่นน้ำได้ ไม่เป็นบาปเป็นกรรม นั่นแหละ มันก็สนุกสนาน เล่นน้ำปล้ำผู้สาว จับอกจับก้น จับของลับกันสนั่นหวั่นไหว แต่อาจารย์ไม่ให้เสพนะ ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดความกำหนัดยินดีในกาม นั่นแหละกระทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ เสร็จแล้วก็มีการขอขมาลาโทษกัน ทำพิธีสู่ข้างเล่าขวัญ (พิธีขอขมา) อันนี้ต้องอาบัติทุกกฎนะ”

    “นั่นแหละ ความไม่ดีทั้งหลายที่พวกข้าพเจ้าทำขึ้นจึงได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นเปรตตกค้างอยู่ที่นี่”
    นอกจากเปรตพระ ๓ ตนนี้แล้ว ก็ยังมีเปรตแม่ขาวนางชี (แม่ชี) ตกค้างอยู่ที่นั้นอีกมาก
    พอถามว่า เมื่อไหร่จะพ้นกรรม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นกรรมได้ เขาก็ไม่ทราบ จึงได้กำหนดจิตถามพระธรรมว่า

    “เปรต ๓ ตนนี้ กับแม่ชีนั้น เคยเป็นญาติของเราบ้างไหม ?”

    “โอ๋...เป็นมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่มาภพนี้ชาตินี้ เขาทำกรรมไม่ดี จึงมาเกิดเป็นเปรต นั่นแหละ จงช่วยเหลือเขาเสีย ถ้าเราไม่ช่วยแล้ว ก็ไม่มีใครช่วยเขาหรอก”
    จากนั้น จึงพูดกับเปรตเหล่านั้นว่า

    “พระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำนั้น อย่าเพิ่งหึงหวงห่วงอาลัยนะ เมื่อมีพระเณรหรือญาติโยมมาเอา ก็ให้เขาไปเถิด เราจะได้พ้นจากบาปกรรมได้ เอ้า...เตรียมรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จะช่วยให้พ้นจากสภาพเปรตไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก และเมื่อข้าพเจ้าเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็มารับส่วนบุญนะ”

    เจริญสมณธรรมอยู่ที่นั่นได้ ๒ - ๓ เดือน ก็มีแม่ชีคนหนึ่งมาบอกลาว่า
    “ท่านอาจารย์ ดิฉันพ้นจากบาปกรรมชั่วช้าลามกแล้ว จะได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์อีก”
    “ไปดีเถิด จงภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ ไปที่ อ.บ้านผือ หรือที่ จ.อุดรธานี โน่นแหละดี เพราะจะมีพระกรรมฐานผ่านมามาก”

    ทีนี้พอล่วงมาถึงเดือน ๖ ก็ได้บอกพวกเปรตทั้งหลายว่า ปีนี้จะกลับไปจำพรรษากับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ที่วัดป่าบ้านหนองแซง ปีหน้า ถ้าบุญพาวาสนาส่ง จะกลับมาโปรดอีกนะ แต่แล้วก็อย่าได้ประมาท ขอให้พากันเดินจงกรม บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต ทรมานจิต ให้มันเป็นไปในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้จิตอยู่กับนักปราชญ์ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นแหละ จะเป็นจิตเกษมสำราญ พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต ไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก โดยเร็วพลัน ช่วยตัวเองนะ อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ (ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน) พึ่งคนอื่นชื่นใจเป็นบางครั้ง ไม่เหมือนดั่งพึ่งตนผลทวี ตนจะเป็นคนดี หนีทุกข์โทษภัย ในวัฏฏสงสาร มีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า ก็เพราะตนทำดี สะสมบุญดีให้เกิดมีขึ้น เพราะตนพึ่งตน อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย
    นั่นแหละ ต่อแต่นั้น ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่บัว พอออกพรรษาแล้วก็กลับมาที่เก่าอีก ไปแล้วรู้สึกว่าเป็นเบา ๆ นะ พวกเปรตทั้งหลายนั้นหายไปหมดแล้ว เมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว มีพวกเทวดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วเทศน์ให้ฟัง แล้วก็ถามเขาว่า

    “พวกเปรตพระ ๓ ตน กับแม่ชีทั้งหลาย หายไปไหนกันหมด”
    เขาก็ตอบว่า

    “ท่านมาโปรดเขา เมื่อปีกลายโน้น เขาก็ได้เจริญสมณธรรมตามอย่างที่ท่านสอนนั้น แล้วก็รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ จึงได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์กันหมดแล้วละท่าน”

    นั่นแหละ เรื่องการไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้สงเคราะห์ฝูงเปรตทั้งหลาย และผีสางคางแดงทุกอย่าง
    นี่แหละการไปเจริญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ นั้น ก็ได้ธรรมะเกิดขึ้นสอนใจ เขาเป็นอย่างไรตกทุกข์ได้ยาก เป็นเปรตเป็นผีค้างโลกโลกีย์อย่างนั้น ก็เพราะทำบาปหยาบช้าลามก ลืมตน คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต ๆ พาไปหาผล คบคนชั่วพาตัวยากจน คบใครก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็น้อมมาเป็นธรรมะสอนเรา ถ้าเราเป็นผู้ประมาทแล้ว ต่อไปก็จะไม่แคล้วคลาดจากสมบัติ อย่างที่เขาได้นะ นั่นแหละ ข้อสำคัญมั่นหมาย
     
  8. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    b0k698.jpg
    เรื่องราวปาฏิหาริย์ และการพบเจอวิญญาณของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้น ล้วนแฝงไปด้วยพระธรรมคำสอน ทำให้มองเห็นสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีแฝงไปด้วย อย่างเมื่อในปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงพอ่ฤาษีลิงดำเล่าว่า อาตมาเดินทางไปภาคเหนือ ได้ไปพักที่วัดเม็งราย จังหวัดเชียงราย คราวก่อนเคยมาพักที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว คราวนั้นอากาศหนาวเมื่อนอนลงไป ก็เห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งมีความสวยสดงดงาม กำลังหนุ่มมาโบกพัดให้ อาตมาจึงถามท่านว่า

    "อากาศมันหนาว โบกให้ผมทำไม"

    ท่านก็บอกว่า

    "ไม่เป็นไร ผมโบกให้แล้วมันอุ่น"

    และก็อุ่นจริง ๆ แต่มาคราวนี้ไม่พบพระองค์นั้น เมื่อนอนลงไปก็เห็นแต่ผีมาเป็นพันๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้เข้าฌาน เห็นผีมากมายมารับส่วนบุญกัน นอนพักทั้งสองคืนพบแต่ผีทุกคืนทั้งตอนเช้ามืดและหัวค่ำ

    เมื่อผีมาหาในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้ แต่ทว่าคืนสุดท้ายมีเรื่องพิเศษคือ คืนนั้นเห็นผีมากันมากแล้วก็ผ่านไป ก็เห็นพระสงฆ์เดินมาใหม่ประมาณสัก ๒๐๐ องค์เศษห่มผ้าสีกรัก แต่ว่าผิวไม่สวยเหมือนกับพระองค์นั้นที่เคยเห็น ไม่มีอาการผ่องใส ท่าทางการเดินสงบเสงี่ยมมาก เห็นแล้วน่าเลื่อมใส น่าไหว้น่าบูชา เดินตรงเข้ามาไม่ทันจะถึงตัวก็หายไปหมด ก็สงสัยจึงถามลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราชซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ว่า

    "พระพวกนั้นท่านจะมาเยี่ยม แล้วท่านหายไปไหน"

    ลูกศิษย์ท่านท้าวมหาราชตอบว่า

    "นั่นไม่ใช่พระอรหันต์นะขอรับ องค์ก่อนที่ท่านพบนั้นเป็นพระอรหันต์ แต่คณะนี้ไม่ใช่"

    จึงถามว่า "พระพวกนี้เป็นอะไร"

    ตอบว่า "พวกนี้เป็นเปรตขอรับ ตั้งใจจะมาขอส่วนบุญ แต่ว่ากำลังของกฎแห่งกรรมที่เป็นอกุศลยังมีอยู่มาก จึงยังไม่มีโอกาสจะรับโมทนาได้ เมื่อมาแล้วจึงได้หายไป"

    อาตมาสงสัยถามว่า "พระพวกนี้น่ะหรือเป็นเปรต และเปรตรูปร่างเหมือนพระมีหรือ"

    ตอบว่า "ถ้าหากทำความชั่วในระหว่างเป็นพระและก็ตายระหว่างเป็นพระ ก็จะแสดงภาพเดิมที่เป็นพระให้ปรากฎ"

    เมื่อท่านตอบอย่างนี้ก็นึกถึงว่าเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือแปลบาลี ก็เคยพบเปรตที่มีรูปร่างเป็นพระบ้าง เป็นเณรบ้าง เป็นนางภิกษุณีบ้าง มีไฟไหม้ตลอดตัว มีสรรพาวุธเสียบแทงอยู่ตลอดเวลาก็มีมาก มีแร้งมีกาจิกกินอยู่ตลอดเวลาก็มี จึงถามว่า

    "พระพวกนี้ความจริงจริยาก็ดีกว่าฉัน แต่ทำไมพวกท่านจึงไปนรก"

    ตอบว่า "ก็เพราะว่าห่มผ้าสีกรักแสดงตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์ ทำท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เคร่งครัดมัธยัสถ์ เหมือนกับพระเทวทัต แต่ว่าน้ำใจของท่านไม่ใช่พระ ไม่ได้ปฏิบัติให้ใจใสสะอาดตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสั่งสอน ฉะนั้นพระพวกนี้ตายไปแล้วจึงเสวยทุกขเวทนาในนรกนานพอสมควรแก่กฎของกรรม เมื่อพ้นนรกมาแล้วก็มาเป็นเปรตถึง ๑๒ ระดับ เวลานี้เป็นปรทัตตูชีวิเปรตคือเปรตระดับที่ ๑๒ แต่กรรมยังหนักอยู่จึงไม่มีโอกาสจะโมทนาได้ และก็ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้"

    อาตมาฟังลูกศิษย์ท้าวมหาราชท่านอธิบาย ก็รู้สึกสลดใจว่า

    "พระก็ชอบลงนรกมากเหมือนกันเป็นเปรตก็มาก"

    ถ้าเราจะบูชาพระก็ควรจะบูชาพระที่เป็นสุปฏิปันโน ถ้าพระองค์ใดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกธรรม และเราไปบูชาเข้าก็จะเป็นการให้กำลังใจโจร เพราะคนพวกนี้เป็นโจรปล้นความดีของพระพุทธศาสนา และก็ปล้นความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วย.."
     
  9. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    188895184_2942914289277444_157150830312603470_n.jpg
    สมัยที่หลวงปู่ดู่ยังทำตะกรุดอยู่นั้น ท่านเล่าว่าทำยากมาก
    เพราะต้องว่าอักขระให้ครบทุกตัวขาดไม่ได้ จึงเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย
    ถึงกับมาขอให้ท่านทำให้ ท่านจึงถามความประสงค์ว่า
    "จะให้ทำแบบไหน แบบชาวบ้านธรรมดา ขุนนาง ท้าวพระยา
    หรือแบบพระมหากษัตริย์ หมายถึง ตะกรุดพระมหาจักรพรรดิ"
    เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า
    อยากได้อย่างที่พระมหากษัตริย์ใช้

    หลวงปู่เล่าว่า
    "ไม่นานก็เอากลับมาคืนหมดข้าเลยโยนใส่สระน้ำมนต์หน้าวัด"
    เมื่อผู้เขียนเรียนถามถึงเหตุผลการนำกลับมาคืน
    ท่านจึงเล่าต่อว่า
    "ก็ได้ไปแล้วเอาไปกินเหล้า ก็จะฟันแต่คนเขา
    พระเจ้าแผ่นดินฆ่าคนได้หรือ"
    ท่านพูดแล้วหัวเราะ และบอกว่า "ของที่ดีที่สูง คนนำไปใช้
    ก็ต้องทำจิตของตนให้สูงตามไปด้วย ต้องมีศีลจึงจะได้ผล"
    เกี่ยวกับตะกรุดนี้เคยมีคนนำไปลอง ซึ่งหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า

    "เป็นพวกลาว แถววัดตะโหนด พวกนี้เขามีวิชาทำลายของขลัง ของขลังใครก็ตาม ถ้าเขาจับแล้วแตกทุกราย รายของข้านี่เขาได้ไปแล้ว ก็เอาไปจับแต่ไม่แตก กลับขึ้นทิ่มหน้าทิ่มตาเสียหน้าแหกไปหมด"
    แสดงถึงอำนาจคุณพระกับอำนาจใฝ่ต่ำ ธรรมย่อมชนะอธรรม
    ผู้เขียนจึงเรียนถามต่อว่า แล้วเขาไม่โกรธเอาหรือครับ

    ท่านตอบว่า
    "โกรธซิ วันนั้นข้านั่งกรรมฐานรู้สึกว่าจิตใจเป็นอย่างไรไม่รู้
    จึงเดินออกมาหน้ากุฏิ มองไปที่หลังคากุฏิ ตักน้ำมนต์สาดขึ้นไปได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ แสดงว่าเขาคงทำมา กะเอาเราให้ตาย"

    ท่านพูดเสร็จแล้วก็หัวเราะ แถมยังเสริมอีกว่า
    "พวกที่เรียนของเหล่านี้น่ะ เขาปรารถนาอเวจีเป็นที่พึ่งทั้งนั้น ต้องฆ่าพระหรือเณร ไม่ก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่จึงจะขลัง ส่วนใหญ่มักจะฆ่าพระหรือเณร ข้าเองยังเกือบได้เรียนกับเขาเลย เขาเรียกว่า วิชาปอบ"

    เมื่อท่านพูดจบผู้เขียนก็ซักว่า วิชาปอบเป็นอย่างไร เรียนได้หรือ

    ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า
    "มีลาวคนหนึ่ง เขามาที่วัดสะแก เขามาบอกข้าว่า ผมมีวิชาบิดไส้ บังฟันต้องการจะมอบให้ ผมมองยังไม่เห็นคนไหน จะเรียนได้นอกจากท่าน แน่ะ...ยอเราเสียด้วย ข้าก็รับเอาไว้ยังไม่ได้เรียน วางไว้บนหิ้งบูชาพร้อมเงิน ๑ สลึงเป็นค่าครู คืนแรก
    ก็ฝันว่าออกไปจะกินควายกับเขา คืนที่สอง...ฝันว่าออกไปกินไส้ควาย ตอนเช้าเขามาบอกว่าควายบ้านที่ฝันนั้นตาย เลยนึกว่าวิชานี้ไม่ดีแน่ เดี๋ยวจะไปฆ่าคน ต้องเป็นวิชาปอบแน่ๆ ก็เลยเอาลงมาจากหิ้งไปเผาไฟ ลาวคนนั้นนอนอยู่หลังวัด เขารู้ตอนเดินผ่านกุฏิ ไม่ยอมมองหน้า ค้อนให้เสียด้วย เออ...เกือบไป เกือบได้เรียนวิชาปอบเสียแล้วเรา"
    แสดงว่าวิทยาการทางไสยดำนั้นมีจริง แต่เป็นไปในด้านของการทำลายล้างบุคคล ซึ่งจัดเป็นบาปอย่างยิ่ง พระอาจารย์ทางไสยดำนี้ ส่วนใหญ่เมื่อตายไปจะเป็นมหิทธิกาเปรต ซึ่งเป็นผลเศษกรรมจากบุคคลที่ เมื่อคราวเป็นมนุษย์ชอบเล่นของคุณไสยฝ่ายต่ำ

    Cr. ส่วนหนึ่งจาก อภิญญาสมาบัติ ทิพย์แห่งจิต
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ : อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ผู้เขียน
     
  10. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    201442739_3086303224979510_33886195988477256_n.jpg
    ทำบุญมากมายแต่ตายไปเป็นเปรตเสือ เพราะกรรมอะไร?

    ความโลภเป็นเหตุให้คนทำกรรมชั่ว ครั้นตายแล้วก็เป็นเหตุแห่งการตกนรก พอพ้นนรกมาแล้วก็มาเป็นเปรตเฝ้าทรัพย์สมบัติอันหวงแหนของตนที่เก็บเอาไว้ฝังเอาไว้ เช่น เปรตงูเหลือมนอนขดเฝ้าสมบัติมิได้ไปไหนมาไหน...ความโกรธทำให้คนเสียคนกลายเป็นคนชั่ว เช่น ไปฆ่าคนเพื่อเอาทรัพย์สมบัติเพื่อผ่อนคลายโทสะของตนเผาบ้านเผาช่องบุคคลอื่น บางคนทำบุญทำทานกันใหญ่โตมโหฬารแต่เสียเพราะความโกรธความมีโทสะความโกรธไหม้กุศลผลบุญจนหมดสิ้น เมื่อหมดบุญหมดกุศลบาปก็พลอยทวีคูณขึ้นผลทานก็หนีผลศีลก็ไม่มีผลภาวนาก็หนีเข้าป่าไปหมด ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรตแต่ไม่ใช่เปรตงูเหลือมแต่กลายเป็นเปรตเสือเพราะความโกรธตัวเป็นคนปากมีหนวดเหมือนเสือตีนมือเป็นเสือเหมือนเสือจริงๆ...

    หลวงปู่ขาว เคยถามเขาว่า “ทำไมหรือคุณโยมจึงมาเป็นเสือทำบุญจนจะหมดตัวอยู่แล้ว”

    เปรตเสือตอบว่า.. ”ดิฉันโกรธมาก เมื่อความโกรธมันขึ้นมาอยู่ที่หน้าตาดิฉันมองไม่เห็น ใครเลยด่าพระด่าเจ้าด่าข้าทาสบริวารด่าลูกด่าหลานด่าผัวด่าลูกด่าเชื้อด่าชาติของที่เราเคารพนับถือมีคุณค่าแต่เก่าก่อนยกขึ้นมาด่าจนหมดสิ้น เป็นเพราะความโกรธตัวเดียวทำให้ดิฉันหมดความดีคืออริยทรัพย์ตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเสือเสวยทุกขเวทนาเป็นเปรตเสืออยู่อย่างนี้แหละ” เปรตแม่เสือกับเปรตงูเหลือมต่างกันคือเปรตงูเหลือมมีทรัพย์เฝ้ายังมีความสุขและยินดีในทรัพย์สมบัติแต่เปรตเสือไม่มีอะไรจะเฝ้าเพราะความโกรธเผาหมดเผาทั้งหัวใจเปรตให้ร้อนดังไฟสุม..!!

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล

     
  11. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869

แชร์หน้านี้

Loading...