ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฮ่องกงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มวานนี้ 4 ราย รวมถึงเด็กวัย 2 ขวบ

    ฮ่องกงประกาศพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 4 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งทั้งหมดเพิ่งเดินทางกลับมาจากอังกฤษ ทำให้มียอดสะสมรวม 1,033 ราย รักษาหายเพิ่ม 28 ราย รวมเป็น 677 ราย

    Dr Chuang Shuk-kwan หัวหน้าสาขาโรคติดต่อของศูนย์คุ้มครองสุขภาพได้เปิดเผยว่ามีประชาชนราว 300 คน ที่ต้องเข้าพักที่โรงแรม Regal Oriental Hotel ย่าน Kowloon City ที่ได้ถูกเตรียมพื้นที่ไว้เป็นศูนย์กักกันเชื้อชั่วคราว เพื่อรอผลตรวจเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะทราบผลในวันนี้ช่วงเที่ยง

    หลังจากทราบผล ผู้ที่ติดเชื้อจะถูกส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลและผู้ใกล้ชิดจะถูกส่งไปศูนย์กักกันเชื้อ ส่วนผู้ที่ไม่ติดเชื้อจะต้องไปกักตัวที่บ้านอีกจนครบ 14 วัน

    ในส่วนผู้ที่เพิ่งยืนยันติดเชื้อ 4 รายวานนี้ รวมถึงเด็กชายวัย 2 ขวบที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอังกฤษวันที่ 12 เมษายนและกำลังอยู่ระหว่างการกักกันเชื้อที่บ้านกับครอบครัว

    เด็กชายได้ถูกส่งตัวไปรักษาท่ี Alice Ho Miu Ling Nethersole Hospital หลังพบเชื้อไวรัสด้วยการตรวจผ่านตัวอย่างอุจจาระ ส่วนครอบครัวเด็กชายได้ถูกส่งตัวไปกักกันเชื้อที่ศูนย์กักกันเชื้อ

    ส่วนอีก 3 ราย ถูกตรวจที่ศูนย์คัดกรอง AsiaWorld-Expo และพบว่าติดเชื้อหลังเพิ่งเดินทางกลับมาจากอังกฤษ

    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***


    Source : https://www.scmp.com/news/hong-kong...ronavirus-child-two-among-four-new-hong-kong?

    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นี่ก็แค่จากการตลอดสอบไวรัสจากการสุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยในเมืองหางโจว แต่ถ้าจากทั่วโลกจะกลายพันธ์ไปแล้วถึงกี่สายพันธ์

    coronavirus010.jpg

    งานวิจัยจากจีนชี้ ไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยอย่างน้อย 30 แบบแล้ว
    By เหมียวศรัทธา-22 April 2020

    มันเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะรู้สึกตัวกันแล้ว ว่าในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 นั้น ไม่ได้มีเพียงมนุษย์ฝ่ายเดียวที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพราะไวรัส “SARS-CoV-2” ที่ทำให้เกิดโรคร้ายนี้เองก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวมันเองขึ้นเช่นกัน และดูเหมือนว่ามันจะปรับตัวได้เร็วกว่าที่เราเคยคาดไว้ด้วย

    นั่นเพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในประเทศจีน ก็ได้มีการออกมาเปิดเผยในงานวิจัยชิ้นใหม่ว่า

    HHxMVuMSoWFZn6CFD9sYwR-970-80.jpg

    จริงๆ แล้วในปัจจุบันไวรัส SARS-CoV-2 อาจมีการกลายพันธุ์ย่อยออกไปมากกว่า 30 สายพันธุ์แล้ว แถมในตัวเลขนี้ กว่าครึ่งก็เป็นสายพันธุ์ที่เราไม่เคยมีการตรวจสอบมาก่อนด้วย

    ทีมนักวิจัยได้พบความจริงในข้อนี้ โดยบังเอิญ ในระหว่างทำการตลอดสอบไวรัสจากการสุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยในเมืองหางโจว สถานที่ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 สูงถึง 1,264 ราย ภายใต้เป้าหมายในการหาความสามารถในการแอบเข้าไปในเซลล์และสังหารเซลล์ต่างๆ ของตัวไวรัส SARS-CoV-2

    20200410-covid.jpg

    อ้างอิงจากรายงานที่ออกมา ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ (รวมถึงการที่ตัวงานวิจัยยังไม่ผ่านการพิชญพิจารณ์) ทีมนักวิจัยทีมนี้ ยังไม่สามารถยืนยันผลวิจัยของตัวเองได้ แต่กลับกับพวกเขากลับพบความจริงที่น่ากลัวอีกข้อในระหว่างการเก็บข้อมูลแทน

    นั่นเพราะในระหว่างเก็บข้อมูล ทีมวิจัยได้พบว่าคนไข้ที่พวกเขาสุ่มตรวจนั้น มีไวรัส SARS-CoV-2 ในร่างกายที่แต่ต่างกันรวมๆ แล้วมากกว่า 30 รูปแบบ แถม 19 สายพันธุ์ที่พวกเขาค้นพบ ก็เป็นไวรัสสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ ที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนด้วย

    coronavirus.jpg

    นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว เพราะผลที่ออกมานี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าบุคลากรทางการแพทย์ในหลายกลุ่มนั้น ยังประเมินความสามารถในการกลายพันธุ์ของไวรัส SARS-CoV-2 เอาไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก

    โดยเฉพาะเมื่อที่ทีมวิจัยบอกว่าหนึ่งในไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่พวกเขาพบบางสายพันธุ์ อาจสามารถสร้างสารสังหารเซลล์ได้เร็วว่าสายพันธุ์ที่อ่อนแอเกือบๆ 270 เท่าด้วย

    “Sars-CoV-2 ได้รับการกลายพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนการก่อให้เกิดโรคได้อย่างมีนัยสำคัญแล้ว” คุณ Li Lanjuan ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว

    “การพัฒนายาและวัคซีน แม้ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนมา แต่ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบของการกลายพันธุ์ที่สะสมเหล่านี้ด้วย เพื่อที่เราจะสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”

    ที่มา medrxiv, foxnews และ nypost

    https://www.catdumb.tv/coronavirus-mutated-into-at-least-30-different-strains-378/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2020
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เงินสำรองฯ ไปไหน
    เหตุใดจึงไม่ใช้ ในช่วงวิกฤต

    หลายคน คงมีคำถามในใจว่าเหตุใดประเทศไทยจึงไม่นำทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ในการรับมือวิกฤต covid19 ในครั้งนี้

    ก่อนจะไปถึงคำตอบ
    เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า "เงินเก็บ หรือ เงินสะสม" ของประเทศแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน โดยอาจแบ่งได้คร่าวๆ สองกลุ่ม

    กลุ่ม 1: เงินสะสมที่มาจากการเข้าดูแลกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของธนาคารกลาง จะเรียกว่า "เงินสำรองระหว่างประเทศ" เช่น ไทย จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ ทั่วไปในโลก

    กลุ่ม 2: เงินสะสมของรัฐบาล ซึ่งมาจาก 2 รูปแบบหลัก คือ รายได้จากการขายทรัพยากรธรรมชาติ (ส่วนมากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน) เช่น นอร์เวย์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต
    หรือ เงินสะสมจากการเกินดุลภาคการคลังเป็นเวลายาวนาน เช่น สิงคโปร์

    แหล่งที่มาของเงินต่างกัน ทำให้การนำเงินไปใช้ก็จะต่างกันไปด้วย

    โดยในกลุ่มที่ 1 เงินสำรองจะใช้เพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป (สำหรับชดเชยดุลการชำระเงิน และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน)

    ขณะที่ในกลุ่มที่ 2 รัฐบาลอาจเก็บไว้เผื่อความต้องการใช้ในอนาคต เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ รายจ่ายสวัสดิการ หรือจะใช้ชดเชยรายจ่ายเลยก็ได้ เช่น รัฐบาลนอร์เวย์ที่มีเงินเก็บสะสมจากการขายน้ำมันมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันใช้เพื่อชดเชยรายจ่ายการคลังถึงกว่า 20% ในแต่ละปี (นโยบายการคลัง)

    เงินสำรองของไทยที่มี จัดอยู่ในกลุ่ม 1 ที่สะสมมาจากการเข้าไปดูแลกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย

    เงินสำรองในแบบที่ 1 จึงมีไว้เพื่อใช้รักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน

    นี่จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไทย ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดำเนินนโยบายการคลังได้

    ปัจจุบันเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ที่ประมาณ 262 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563 (ข้อมูลจาก bot.or.th)

    #เงินสำรอง #covid19 #เงินสำรองมี2ประเภท #สำรองเยอะก็ไม่ฟุ้งเฟ้อนะจ้ะ #สำรองสูงสนับสนุนเสถียรภาพ

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ราคาน้ำมันดิบซื้อขายล่วงหน้าติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เหตุจากมาตรการล็อกดาวน์ COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดฮวบ ขณะที่ซัพพลายล้นทะลักกระทั่งแทบจะไม่มีคลังจัดเก็บ ล่าสุด รายงานข่าวต่างประเทศเผยว่า มีกว่า 500 บริษัทน้ำมันสหรัฐฯที่เข้าคิวล้มละลายหลังราคาน้ำมันดิบโลกติดลบดังกล่าว

    ** บิสซิเนส อินไซเดอร์ ระบุว่า สหรัฐฯเป็นประเทศที่เผชิญกับสถานการณ์น้ำมันสต๊อกล้นคลังที่รุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    บลูมเบิร์ก รายงานว่า ราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าร่วงลงอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อขายสัญญาในตลาด โดยล่าสุด บริษัท Hin Leong ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของสิงคโปร์กำลังประสบปัญหาขาดทุนจากการซื้อขายสัญญาน้ำมันล่วงหน้ากว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้บริษัทแห่งนี้ได้ยื่นขอล้มละลายเพื่อพิทักษ์สินทรัพย์จากกรณีการติดค้างชำระหนี้ธนาคารมากกว่า 20 แห่ง มูลค่ารวม 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในทำนองเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงนี้ก็ได้ส่งผลต่อบริษัทน้ำมันสหรัฐซึ่งมีภาระหนี้ที่สูงมากด้วยเช่นกัน โดย ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างอิงบทวิจัยจาก Rystad Energy ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลให้บริษัทน้ำมันในสหรัฐ 533 แห่งถูกยื่นฟ้องล้มละลาย โดยบริษัทเหล่านี้มีหนี้สินรวมราว 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 และอีก 177,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 ที่จะถูกเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้.
    ----------------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://www.prachachat.net/world-news/news-453305

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่1ประเทศสิงคโปร์ล้มละลายสรุปย่อเรื่องราวการล่มสลายของบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลก

    1.Hin Leong เป็นบริษัทค้าน้ำมันที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่เรารู้เรื่องภายในของบริษัทแห่งนี้น้อยมาก ก่อตั้งขึ้นในปี 2506 โดยผู้อพยพชาวจีนฮกเกี้ยนในสิงคโปร์ชื่อว่า OK Lim หรือ Lim Oon Kuin ที่ต่อมา ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี บริษัทนี้ คือยักษ์ใหญ่ระดับโลก ในด้านการขนส่งเชื้อเพลิง โดยมีฐานบัญชาการอยู่ในสิงคโปร์

    2.ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา Hin Leong (ออกเสียงแบบภาษาจีนกลางว่า ซิงหลง) กลายเป็นหนึ่งในบริษัทค้าน้ำมันที่น่าเชื่อถือที่สุด มีรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นชื่อในเรื่องเหลี่ยมการต่อรองระดับเซียนที่ทำให้คู่เจรจาถึงกับเหงื่อตก

    3.เพราะบริษัทนี้เก็บความลับทางธุรกิจเอาไว้อย่างดีทำให้ยิ่งใหญ่มานาน แต่ความลับไม่มีในโลก
    เมื่อจู่ๆ ตลาดน้ำมันเจอมรสุมหลายลูกติดๆ กัน รากฐานของบริษัทก็เริ่มสั่นคลอน

    4. ธนาคารต่างๆ เริ่มถามหาเงินที่กู้ไป เพราะบริษัทอื่นๆ เริ่มเจ๊งกันทีละรายๆ จนเกิดหนี้เสีย และแบงก์เหล่านี้ เริ่มได้รู้สึกทะแม่งๆ กับ Hin Leong ว่าอาจจะเข้าตาจนเหมือนรายอื่นๆ

    5.ยักษ์ใหญ่ของการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มร่อนจดหมายถึง Hin Leong เมื่อต้นเดือนเมษายน หนึ่งในนั้นคือ JPMorgan Chase & Coไปจนถึง HSBC เรียกร้องให้มีการชำระคืนเงินกู้ตราสารหุ้นกู้เอกชนเร่งด่วนทันทีแสนล้านบาท

    6.ปรากฎว่า Hin Leong ทนแรงกดดันได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่นาน เมื่อแบงก์ต่างๆ ทวงหนักมากขึ้น แต่คว้าน้ำเหลวพวกเขาจึงจ้างทนายมาเร่งรัด เท่านั้นเอง ความจริงจึงได้กระจ่างออกมา และอาจเป็นครั้งแรก ที่บริษัทที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มาตลอดยอมเปิดเผยความจริง

    7.ในที่สุด OK Lim ก็ยอมรับว่าเขาซ่อนตัวเลขขาดทุนถึงแสนล้านบาท เพราะเก็งกำไรพลาดในตลาดน้ำมันฟิวเจอร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และขอให้ศาลคุ้มครองทรัพย์สิน หรือพูดง่ายๆ คือล้มละลาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    8.สาเหตุของการเก็งกำไรผิด มาจาก Hin Leong ไม่ได้เก็งในทางตรงกันข้ามว่าราคาจะตกต่อเนื่อง แต่เดิมพันโดยเชื่อน้ำล้างส้นตีนเจ้ามือว่าโลกจะควบคุมไวรัสได้ และความต้องการน้ำมันจะฟื้นตัวจากการตกต่ำในเวลาอันสั้นราคาน้ำมันซื้อที่$70จะไป$300
    เป็นการเดิมพันที่สวนทางกับเจ้ามือ1%ส่วนใหญ่ แต่เป็นแนวทางของบริษัทนี้ แมงเม่าตัวใหญ่ที่มักจะเก็งกำไรแบบดุดันฉลาดและขยัน

    9. ปรากฎว่า Hin Leong เก็งถูกว่าจีนจะควบคุมไวรัสได้และดีมานด์น้ำมันในจีนกระเตื้องขึ้นในเดือนมีนาคม แต่คาดไม่ถึงว่าโควิด-19 จะลามออกนอกจีนไประบาดทั่วโลก โดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เมื่อโลกหยุดความต้องการน้ำมันก็หยุดเหลือ0โลกควบคุมไวรัสไม่ได้เลย

    10.นี่คือสาเหตุที่เงินในบริษัทหมดเกลี้ยง แต่ข่าวร้ายยังไม่จบแค่นั้น OK Lim บอกว่า เขาได้โขมยขายน้ำมันในคลังของบริษัทหลายล้านบาร์เรลอย่างลับๆ ซึ่งเป็นน้ำมันที่จำนองไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ทำให้ช่องว่างระหว่างสินทรัพย์ของบริษัทและหนี้สินอยู่ที่ราว 3,340 ล้านเหรียญสหรัฐ

    11.ตอนนี้ Hin Leong มีหนี้จำนวน 3,850 ล้านเหรียญสหรัฐ แสนล้านบาทมีเจ้าหนี้ 23 รายรวมถึง HSBC, Societe Generale SA, Standard Chartered Plc และ Deutsche Bank AG โดย HSBC เป็นเจ้าของหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดที่ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ธนาคารผู้ให้กู้ที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ 3 ราย เป็นเจ้าของหนี้ รวมกัน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ นั้น

    12. สำนักงานตำรวจของสิงคโปร์กำลังสืบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่แบงค์ชาติของสิงคโปร์ได้ติดต่อกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ของ Hin Leong แล้ว แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่กับแค่ Hin Leong แต่กับสิงคโปร์ทั้งประเทศ

    13. การล่มสลายของ Hin Leong มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดน้ำมันโลกและสิงคโปร์
    เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทนี้ ยังเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว

    14.Jean-Francois Lambert ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์และอดีตนายธนาคารการเงินการค้าของ HSBC กล่าวว่า “Hin Leong เป็นกลไกสำคัญในการช่วยส่งเสริมสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าน้ำมันและศูนย์กลางขนถ่ายน้ำมัน”

    15.คำถามก็คือ การล่มสลายของยักษ์น้ำมันรายนี้ จะสั่นคลอนสิงคโปร์ขนาดไหน?
    สิงคโปร์มีฉายาว่า “ศูนย์กลางน้ำมันของเอเชียที่ไร้เทียมทาน” (the undisputed oil hub in Asia) มีซัพพลายมากพอที่จะรองรับวิกฤตได้ แต่สิงคโปร์อาจจะลืมนึกไปว่าวิกฤตครั้งนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขาดน้ำมัน แต่น้ำมันล้นเกินจนไม่มีที่เก็บ และราคาลดลงเรื่อยๆ

    16. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานบอกกับ The New York Times ว่า คลังน้ำมันทั่วทั้งโลก มีความจุประมาณ 6,800 ล้านบาร์เรล และตอนนี้จุน้ำมันไปแล้วเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้หมายความว่า ศักยภาพการเก็บน้ำมันจะเท่ากันทุกประเทศ ตอนนี้พื้นที่จัดเก็บเกือบเต็มแล้วในประเทศกลุ่มแคริบเบียนและแอฟริกาใต้ และแองโกลา บราซิล และไนจีเรีย จะเต็มภายในไม่กี่วัน

    17.เรื่องคลังเก็บน้ำมันในสิงคโปร์ตอนนี้ มีการระดมเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่หลายพันลำมาเก็บน้ำมันลอยคอไว้ที่นอกชายฝั่ง แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าพอกัน คือยังมีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่เก็งกำไรผิดพลาดแล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรมอีกหลายบริษัทหรือเปล่า? เพราะหากยักษ์เหล่านี้ ล้มขึ้นมาจริง สิงคโปร์จะเจอวิกฤตสองเด้ง คือโควิด-19 ที่จู่ๆ ก็ระบาดหนักที่สุดในอาเซียน และการซวนเซของธุรกิจหลักของประเทศ สัญญาเดือนต่อไปก็จะทุบจบที่-$88.88/บาร์เรล ทำลายสถิติ-$45/บาร์เรล

    ข้อมูลจาก How an Epic Gamble Exposed the Rot Inside OK Lim’s Oil Empire
    โดยสำนักข่าว Bloomberg

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานจากประเทศสิงคโปร์
    บริษัทน้ำมันเบอร์1ของเอเชีย สิงคโปร์ซินหลง
    ใช้น้ำมันค้ำการกู้ยืม 1 แสนล้านบาท เพื่อเติมเงินเข้าถัวซื้อกองทุนน้ำมัน เงินก็เอาจากธนาคารไปแล้ว 1 แสนล้านบาท
    สาระสำคัญที่สุดคือน้ำมันที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้เป็นของธนาคารแล้ว แต่ว่าโดนขโมยไปขายหมดแล้ว
    คือธนาคารคว้าน้ำเหลว
    อาชญากรรมเกิดขึ้นและอาชญากรหนีไปแล้วพร้อมเงินสด 2 แสนล้านบาท
    ก็คือเงินของธนาคารหายไปแล้ว 1 แสนล้านบาท หลุมดำดูดทุกอย่าง โดมิโน

    史无前例油价暴跌,巨无霸油企也雪崩了,石油帮教父申请破产保护

    一波说
    2020-04-21 20:10:00
    +关注
    去App听语音播报

    林恩强,有个外号“OK林”,被誉为莆田籍石油帮教父,被称为新加坡“燃油大王”。这个“跺一脚”东南亚油价都跟着动荡的“油霸”,所遭遇的财务困难远比人们想象中要大得多。

    他旗下兴隆集团欠下银行债务约38亿美元,上周五向当地法院申请破产保护,新加坡警方开始对其公司进行调查。

    美油5月合约-37.63美元/桶,新加坡警方调查兴隆集团

    新加坡兴隆集团主席林恩强(前排右1)

    许多人眼中,“莆田系”是很另类的存在,这个地域不大且人口不多的地方,却可以在全国很多行业里傲视群雄、称王称霸。不光是民营医院、木材等,民营加油站也是莆田人的天下!

    从某种角度来说,石油是财富的代名,与黄金、美元相当,它是控制性垄断行业。

    中国民营石油的行业规模一直在不断扩大中,福建籍民营油商把持的份额曾一度占据了半壁江山,这个庞大市场中的主局者,就是新加坡燃油大王、新加坡石油交易商Hin Leong(兴隆)贸易公司传奇创始人林恩强(Lim Oon Kuin),他祖籍福建莆田,亦被誉为莆田石油帮教父。

    林恩强家族掌控的新加坡兴隆集团,是新加坡本土最大的石油贸易企业,也是国际石油贸易领域主要的石油交易商之一。兴隆贸易创办于1963年,其创始人林恩强的发迹故事,颇具传奇色彩。

    这个叱咤新加坡燃料油市场的商人,有个外号叫“OK林”,如果想要在新加坡买卖燃料油,必须要新加坡油王林恩强点头说OK。

    兴隆集团旗下油船

    近来,新加坡的燃油圈子充斥着这样的猜测:新加坡最大石油贸易公司之一兴隆贸易集团遭遇了严重的财政困难。

    受今年油价大幅下跌的沉重打击,有银行担心兴隆偿还短期债务的能力,已拒绝向新加坡私营企业兴隆贸易集团(Hin Leong Trading (Pte.) Ltd)签发新的信用证。

    兴隆贸易,是林恩强1963年创立的一家私人控股公司,是目前亚洲最大的船用燃料供应商之一,旗下的多样化资产包括130艘船舶和石油贸易、码头和仓储、燃料供应和润滑油制造等业务。

    4月21日早间新浪财经快讯,新加坡警方开始对新加坡原油交易商兴隆集团进行调查。

    兴隆燃料油供应

    负油价时代来了!

    惊诧!周一晚间WTI原油期货五月合约的结算价在收盘时跌至-37.63美元/桶,跌幅超过300%,历史上首度出现收盘价为负值的情况。

    美油的历史性下跌,引发了投资者对本季度经济放缓的担忧,这也意味着产油商为了尽快卖出原油甚至不惜倒贴给经纪商。造成5月合约价格暴跌的主因是该合约的到期日就是在周二,大部分拥有该合约的经纪商已进入结算程序,除了已支付高溢价成功把仓位换月的经纪商外,目前还持有该合约的交易者将会进入实物交割阶段。

    目前全球原油储量已经接近极限,原油几乎面临着无处可储存的尴尬境地。WTI原油期货5月合约的主要买家,是像炼油厂或航空公司等需要实际交割的实体,但目前美国大部分地区都因疫情处于封锁状态,不仅原油需求下降了,连储存空间也不够了,所以这些炼油厂和航空公司实际上也不愿交割那么多无处安放的原油,这对于当月交割的原油几乎是毁灭性的打击。

    “负油价时代”的到来,如此反常理负油价现象,印证了那句经典“地板下面,还有十八层地狱”,也可能是对当下全球经济衰颓的一种极端反映。对于处于水深火热债务危机之中的林恩强旗下这家新加坡石油贸易中最大且最神秘的公司之一Hin Leong贸易公司来说,福无双至、祸不单行,更是致命一击。

    林恩强公司旗下油罐车

    4月20日媒体报道,据知情人士透露,新加坡石油交易商Hin Leong贸易公司的传奇创始人之子称,该公司隐瞒了在期货交易中累计约8亿美元损失,这表明该公司的财务亏空比人们想象的要大得多。

    根据一封该贸易公司下属航运公司在4月17日的一封邮件,公司创始人Lim Oon Kuin的独子Lim Chee Meng还称,该公司还出售百万桶的成品油的用作抵押从银行获得贷款。

    但由于该公司持有的石油库存与向银行承诺的库存之间存在巨大缺口。分析人士称,这可能意味着,向该公司提供数十亿美元贷款作为担保的银行将蒙受巨额损失。

    新加坡,是和日内瓦、伦敦和休斯顿齐名的世界最大交易中心之一,过去3年,这个国家已见证了两大巨头公司的倒闭,即来宝集团(Noble Group)和鸿宝资源(Agritrade),假如林恩强旗下的兴隆集团也因大宗商品交易受到冲击而被迫破产倒闭,对于新加坡这个全球大宗商品交易中心,又是又一起沉重的打击。

    另据媒体报道,林恩强独子Lim Chee Meng说,他不知道近几年遭受损失的原因,他的父亲指示财务部门忽略他们的财务报表。

    上周五(4月17日),Hin Leong贸易公司及旗下油轮公司都向新加坡当地高等法院法院申请冻结债务,暂时避免债权人追讨还款。这两家公司都是林恩强家族的独资企业,事实上就是向法院申请破产保护。

    据报道,兴隆欠下银行债务约38亿美元(约296亿港元),实际二十家银行,包括汇丰控股、渣打集团、新加坡三大银行(星展银行、华侨银行及大华银行)、以及德意志银行等。此前,该公司曾就其财务状况与多家银行开个网上会议,商讨偿债事宜。

    兴隆旗下的船舶

    路透新加坡4月19日消息, 据路透见到的一份法院文件显示,新加坡石油贸易商兴隆贸易公司(HLT)的创始人兼主席林恩强在该文件中称,他指示公司不得披露几年来数亿美元的损失。

    这份有林恩强签名的书面证词在兴隆及子公司海洋油船(私营)有限公司周五提交给新加坡高等法院的文件中。该法院文件寻求延期偿还23家银行38.5亿美元的债务。

    据已公布截止于2019年10月31日的Hin Leong贸易公司Q3财报,显示其正资产净值为45.6亿美元,净利润为7800万美元。但彭博社报道中却称,其看到的文件显示,4月初,该公司告诉债权人,截止于本月初公司总负债达到40.5亿美元,资产仅剩下7.14亿美元,甚至留下至少33.4亿美元的亏空。截止于今年4月9日,该公司的资产负债表上没有任何股权。

    彭博社新闻报道中警告:“从该公司获得的数据有待核实。”另外,相关报道援引电子邮件称,被称为“OK Lim”(OK林)的创始人林恩强将从4月17日起,辞去Hin Leong、Xihe Group和相关公司的所有高管职务,同时他还辞去Ocean Tankers航运公司董事和总经理的职务。

    上述已提及,Hin Leong和Ocean Tankers公司都已向法院申请破产保护。

    新加坡兴隆集团主席林恩强(右2)

    有林恩强签名的书面证词在兴隆及子公司海洋油船(私营)有限公司于上周五(4月17日)提交给新加坡高等法院的文件中,寻求延期偿还23家银行38.5亿美元的债务。

    兴隆是亚洲最大的石油贸易商之一,文件称其损失系因油价崩跌及新冠疫情导致的。疫情一方面打击了石油的需求,也推高了兴隆的成本。

    今年77岁的一代新加坡油王林恩强在此份未公开的文件中表示,虽然截止2019年10月的兴隆财报显示净利为7820万美元,但“过去几年兴隆一直没有盈利。”

    路透首先披露了林恩强的证词,证词中除了说明了其亏损等具体情况外,林恩强也承认个人为隐匿亏损行为负责。文件中,林恩强表示,该公司“过去几年期货交易亏损约8亿美元,但财务报告中并未反映这些内容,”他说。“在这件事上,我曾经指示财务部门在财报中隐匿亏损,告诉他们如果出问题我来负责。”

    不过,路透寻求对该证词消息置评的电子邮件等方式,并未获得林恩强、林恩强的儿子、兴隆和Ocean Tankers董事林志朋(Evan Lim Chee Meng)之回复。

    从油耗子到一代油霸,石油教父“OK林”之发家传奇

    莆田市秀屿区埭头镇林氏英田宗祠

    林恩强,生于1943年,祖籍福建省莆田市秀屿区埭头镇石城村,其父亲林和义早年下南洋到新加坡经商。12岁时,母亲带着林恩强迁居新加坡。

    如今,已是77岁的林恩强,表面上是一代创始掌舵人,也挂着集团主席之职务,但多数日常管理事务已交由子女来打理。

    福建有句古谚“陈林半天下”,林姓是福建大姓之一,莆田林氏又是中华林氏主要发祥地,其中仙游林氏居多。莆田仙游林氏大宗祠,古朴大方、雄伟壮观,是“八闽四大宗祠之一”。莆田林氏,主要有金紫、阙下、九牧、游洋四大支系。

    在林恩强之祖地埭头镇,林姓也是大姓,埭头镇境内有建于唐咸通年间(公元860-873年)先祖林旻陵墓。族谱记载:林旻官承事郎,泉州通判。

    兴隆集团

    上世纪90年代,“福建油帮”逐渐做大、崛起,涌现了吴再进、郑金泉、蔡天真等民资石油巨子,可圈内人士认为,在福建油帮大佬群体中,站在顶峰上的就是“新加坡燃油大王”林恩强。

    2010年《能源》杂志一篇《揭密“石油福建帮”》文章中提及:“如果将福建石油商人比成一个依附在石油资源上的庞大帮派的话,那么林恩强的名字便是教父的化身,他的地位就如同美国电影《教父》中的维托·唐·柯里昂,话语权威,受人敬仰。”

    莆田帮在外,除了爱拼会赢,也讲求抱团,事实上,蔡天真等人均受过林恩强的提携。

    2017年2月,蔡天真(右1)嫁女宴席

    在福建民营石油帮中,林恩强是教父级灵魂人物。海澳石油创办人郑金泉,是1999年经美福石油董事长吴再进的牵线搭桥,从“OK 林”手中购入30万吨燃料油,并由此再起步的。

    同样,福建石狮祥芝镇人、泰山石化创办人蔡天真、蔡玉意夫妻于1996年南下新加坡时,也是在林恩强帮助下,一步步成为新加坡最大的私营船王,靠的也是从事石油贸易发家的。

    生于1962年民营石油大亨蔡天真1995年上榜首届福布斯中国富豪榜时,才33岁。后来,老蔡甚至夸口道:打造“中国第一油帮”,“泰山要在2007年成为中国第四大石油公司。”

    在新加坡,老蔡当年遇上的“贵人”就是新加坡兴隆集团总裁林恩强。曾有个说法,当时在新加坡,老蔡没钱的时候找他借钱,没船的时候找他借船,而且林恩强从来没有拒绝过。

    也正是林恩强的“庇护”下,当年蔡天真在新加坡的油料生意才会像滚雪球一样越滚越大,一个“半路出家”在业内名不经传的、且仅有小学文化的老蔡,才会一时声名鹊起,呼风唤雨。

    兴隆集团总裁林恩强(左3)和马尾造船公司举办签约仪式

    疫情,也牵动了许多海外莆仙人的心。今年1月,新加坡兴安会馆主席黄金春、新加坡兴隆贸易(私营)有限公司林恩强各捐赠50万元,并积极联系日本、韩国、印度的客商,购买医用防护物资。

    多年来,林恩强家族除关心家乡建设及公益事业外,也和福建不少企业有合作关系。比如,2018年1月,兴隆集团与马尾造船公司签订6+4艘23500DWT成品油船,提高了马尾造船厂在成品油船建造方面的声誉和市场占有率。

    林恩强家族运营着新加坡最大的油船船队,昔日,手握雄厚资本的他,俨然成为新加坡燃料市场上“庄家”之一,“OK林”外号似乎是“油霸”代名词。可早年,林恩强从莆田埭头老家初到新加坡,仅读书至初二就辍学回家跑船贩鱼。

    新加坡,依托马六甲海峡的地理优势,是亚洲最大的石油贸易中心,也是世界三大炼油中心之一。早年,因每天有不计其数各种货轮、游轮靠港,也出现了一批靠偷油谋生的“油耗子”。很多胆大的人,甚至和“船老大”搞好关系、串通一气,在天黑后带着油桶登船偷油。迫于生计,林恩强也做了二年“油耗子”。

    当时,人家一个晚上干一趟,胆大的他干二三趟,不过,和那些“油耗子”不同,林恩强的眼界高,一年多后他收手改从那些人手上收油,并购置油车跑生意。1963年,年仅20岁的林恩强创立了兴隆公司,那时收购来的油只是卖给新加坡郊区的部分小企业,也出售给大马一带的林场、种植园。矿场及工厂。在当时“地下”石油走私圈内已小有名气。

    新加坡环宇仓储

    1968年,林恩强购入了第一艘100吨油轮——海狮号,正式涉足供油及航运业务,上世纪70年代又进入全球石油贸易,后于80年代进入炼厂领域,兴隆也迅速崛起。

    具57年历史的资深石油贸易公司兴隆,作为新加坡及亚太地区最主要的石油产业供应商之一,和全球各大炼油厂商及油品生产国已建立了广泛、直接且稳定的网络式合作发展关系,并能为客户提供海路油品供应一体化、一站式服务。

    除油品贸易外,林恩强旗下的“环宇仓储”是新加坡最大的独立石油储存库,也是世界最大的独立油品中转基地之一。

    在油品供应链及产业链拓展中,林恩强坚持多样性经营,比如兴隆集团旗下新加坡润滑油调配厂,拥有自主品牌“优力盛”,年产量5万吨。

    兴隆企业宣传语说:“石油贸易,动力的源泉”。史无前例的原油暴跌后,这家巨无霸民营油企也开始雪崩了,向法院申请破产保护又遭当地警方调查,林恩强这个曾经叱咤风云的莆田籍石油帮教父会有喘息的机会吗?其结局如何,有待进一步观察。

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานจากประเทศสิงคโปร์
    บริษัทน้ำมันเบอร์1ของเอเชีย สิงคโปร์ซินหลง
    ใช้น้ำมันค้ำการกู้ยืม 1 แสนล้านบาท เพื่อเติมเงินเข้าถัวซื้อกองทุนน้ำมัน เงินก็เอาจากธนาคารไปแล้ว 1 แสนล้านบาท
    สาระสำคัญที่สุดคือน้ำมันที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้เป็นของธนาคารแล้ว แต่ว่าโดนขโมยไปขายหมดแล้ว
    คือธนาคารคว้าน้ำเหลว
    อาชญากรรมเกิดขึ้นและอาชญากรหนีไปแล้วพร้อมเงินสด 2 แสนล้านบาท
    ก็คือเงินของธนาคารหายไปแล้ว 1 แสนล้านบาท หลุมดำดูดทุกอย่าง โดมิโน

    史无前例油价暴跌,巨无霸油企也雪崩了,石油帮教父申请破产保护

    一波说
    2020-04-21 20:10:00
    +关注
    去App听语音播报

    林恩强,有个外号“OK林”,被誉为莆田籍石油帮教父,被称为新加坡“燃油大王”。这个“跺一脚”东南亚油价都跟着动荡的“油霸”,所遭遇的财务困难远比人们想象中要大得多。

    他旗下兴隆集团欠下银行债务约38亿美元,上周五向当地法院申请破产保护,新加坡警方开始对其公司进行调查。

    美油5月合约-37.63美元/桶,新加坡警方调查兴隆集团

    新加坡兴隆集团主席林恩强(前排右1)

    许多人眼中,“莆田系”是很另类的存在,这个地域不大且人口不多的地方,却可以在全国很多行业里傲视群雄、称王称霸。不光是民营医院、木材等,民营加油站也是莆田人的天下!

    从某种角度来说,石油是财富的代名,与黄金、美元相当,它是控制性垄断行业。

    中国民营石油的行业规模一直在不断扩大中,福建籍民营油商把持的份额曾一度占据了半壁江山,这个庞大市场中的主局者,就是新加坡燃油大王、新加坡石油交易商Hin Leong(兴隆)贸易公司传奇创始人林恩强(Lim Oon Kuin),他祖籍福建莆田,亦被誉为莆田石油帮教父。

    林恩强家族掌控的新加坡兴隆集团,是新加坡本土最大的石油贸易企业,也是国际石油贸易领域主要的石油交易商之一。兴隆贸易创办于1963年,其创始人林恩强的发迹故事,颇具传奇色彩。

    这个叱咤新加坡燃料油市场的商人,有个外号叫“OK林”,如果想要在新加坡买卖燃料油,必须要新加坡油王林恩强点头说OK。

    兴隆集团旗下油船

    近来,新加坡的燃油圈子充斥着这样的猜测:新加坡最大石油贸易公司之一兴隆贸易集团遭遇了严重的财政困难。

    受今年油价大幅下跌的沉重打击,有银行担心兴隆偿还短期债务的能力,已拒绝向新加坡私营企业兴隆贸易集团(Hin Leong Trading (Pte.) Ltd)签发新的信用证。

    兴隆贸易,是林恩强1963年创立的一家私人控股公司,是目前亚洲最大的船用燃料供应商之一,旗下的多样化资产包括130艘船舶和石油贸易、码头和仓储、燃料供应和润滑油制造等业务。

    4月21日早间新浪财经快讯,新加坡警方开始对新加坡原油交易商兴隆集团进行调查。

    兴隆燃料油供应

    负油价时代来了!

    惊诧!周一晚间WTI原油期货五月合约的结算价在收盘时跌至-37.63美元/桶,跌幅超过300%,历史上首度出现收盘价为负值的情况。

    美油的历史性下跌,引发了投资者对本季度经济放缓的担忧,这也意味着产油商为了尽快卖出原油甚至不惜倒贴给经纪商。造成5月合约价格暴跌的主因是该合约的到期日就是在周二,大部分拥有该合约的经纪商已进入结算程序,除了已支付高溢价成功把仓位换月的经纪商外,目前还持有该合约的交易者将会进入实物交割阶段。

    目前全球原油储量已经接近极限,原油几乎面临着无处可储存的尴尬境地。WTI原油期货5月合约的主要买家,是像炼油厂或航空公司等需要实际交割的实体,但目前美国大部分地区都因疫情处于封锁状态,不仅原油需求下降了,连储存空间也不够了,所以这些炼油厂和航空公司实际上也不愿交割那么多无处安放的原油,这对于当月交割的原油几乎是毁灭性的打击。

    “负油价时代”的到来,如此反常理负油价现象,印证了那句经典“地板下面,还有十八层地狱”,也可能是对当下全球经济衰颓的一种极端反映。对于处于水深火热债务危机之中的林恩强旗下这家新加坡石油贸易中最大且最神秘的公司之一Hin Leong贸易公司来说,福无双至、祸不单行,更是致命一击。

    林恩强公司旗下油罐车

    4月20日媒体报道,据知情人士透露,新加坡石油交易商Hin Leong贸易公司的传奇创始人之子称,该公司隐瞒了在期货交易中累计约8亿美元损失,这表明该公司的财务亏空比人们想象的要大得多。

    根据一封该贸易公司下属航运公司在4月17日的一封邮件,公司创始人Lim Oon Kuin的独子Lim Chee Meng还称,该公司还出售百万桶的成品油的用作抵押从银行获得贷款。

    但由于该公司持有的石油库存与向银行承诺的库存之间存在巨大缺口。分析人士称,这可能意味着,向该公司提供数十亿美元贷款作为担保的银行将蒙受巨额损失。

    新加坡,是和日内瓦、伦敦和休斯顿齐名的世界最大交易中心之一,过去3年,这个国家已见证了两大巨头公司的倒闭,即来宝集团(Noble Group)和鸿宝资源(Agritrade),假如林恩强旗下的兴隆集团也因大宗商品交易受到冲击而被迫破产倒闭,对于新加坡这个全球大宗商品交易中心,又是又一起沉重的打击。

    另据媒体报道,林恩强独子Lim Chee Meng说,他不知道近几年遭受损失的原因,他的父亲指示财务部门忽略他们的财务报表。

    上周五(4月17日),Hin Leong贸易公司及旗下油轮公司都向新加坡当地高等法院法院申请冻结债务,暂时避免债权人追讨还款。这两家公司都是林恩强家族的独资企业,事实上就是向法院申请破产保护。

    据报道,兴隆欠下银行债务约38亿美元(约296亿港元),实际二十家银行,包括汇丰控股、渣打集团、新加坡三大银行(星展银行、华侨银行及大华银行)、以及德意志银行等。此前,该公司曾就其财务状况与多家银行开个网上会议,商讨偿债事宜。

    兴隆旗下的船舶

    路透新加坡4月19日消息, 据路透见到的一份法院文件显示,新加坡石油贸易商兴隆贸易公司(HLT)的创始人兼主席林恩强在该文件中称,他指示公司不得披露几年来数亿美元的损失。

    这份有林恩强签名的书面证词在兴隆及子公司海洋油船(私营)有限公司周五提交给新加坡高等法院的文件中。该法院文件寻求延期偿还23家银行38.5亿美元的债务。

    据已公布截止于2019年10月31日的Hin Leong贸易公司Q3财报,显示其正资产净值为45.6亿美元,净利润为7800万美元。但彭博社报道中却称,其看到的文件显示,4月初,该公司告诉债权人,截止于本月初公司总负债达到40.5亿美元,资产仅剩下7.14亿美元,甚至留下至少33.4亿美元的亏空。截止于今年4月9日,该公司的资产负债表上没有任何股权。

    彭博社新闻报道中警告:“从该公司获得的数据有待核实。”另外,相关报道援引电子邮件称,被称为“OK Lim”(OK林)的创始人林恩强将从4月17日起,辞去Hin Leong、Xihe Group和相关公司的所有高管职务,同时他还辞去Ocean Tankers航运公司董事和总经理的职务。

    上述已提及,Hin Leong和Ocean Tankers公司都已向法院申请破产保护。

    新加坡兴隆集团主席林恩强(右2)

    有林恩强签名的书面证词在兴隆及子公司海洋油船(私营)有限公司于上周五(4月17日)提交给新加坡高等法院的文件中,寻求延期偿还23家银行38.5亿美元的债务。

    兴隆是亚洲最大的石油贸易商之一,文件称其损失系因油价崩跌及新冠疫情导致的。疫情一方面打击了石油的需求,也推高了兴隆的成本。

    今年77岁的一代新加坡油王林恩强在此份未公开的文件中表示,虽然截止2019年10月的兴隆财报显示净利为7820万美元,但“过去几年兴隆一直没有盈利。”

    路透首先披露了林恩强的证词,证词中除了说明了其亏损等具体情况外,林恩强也承认个人为隐匿亏损行为负责。文件中,林恩强表示,该公司“过去几年期货交易亏损约8亿美元,但财务报告中并未反映这些内容,”他说。“在这件事上,我曾经指示财务部门在财报中隐匿亏损,告诉他们如果出问题我来负责。”

    不过,路透寻求对该证词消息置评的电子邮件等方式,并未获得林恩强、林恩强的儿子、兴隆和Ocean Tankers董事林志朋(Evan Lim Chee Meng)之回复。

    从油耗子到一代油霸,石油教父“OK林”之发家传奇

    莆田市秀屿区埭头镇林氏英田宗祠

    林恩强,生于1943年,祖籍福建省莆田市秀屿区埭头镇石城村,其父亲林和义早年下南洋到新加坡经商。12岁时,母亲带着林恩强迁居新加坡。

    如今,已是77岁的林恩强,表面上是一代创始掌舵人,也挂着集团主席之职务,但多数日常管理事务已交由子女来打理。

    福建有句古谚“陈林半天下”,林姓是福建大姓之一,莆田林氏又是中华林氏主要发祥地,其中仙游林氏居多。莆田仙游林氏大宗祠,古朴大方、雄伟壮观,是“八闽四大宗祠之一”。莆田林氏,主要有金紫、阙下、九牧、游洋四大支系。

    在林恩强之祖地埭头镇,林姓也是大姓,埭头镇境内有建于唐咸通年间(公元860-873年)先祖林旻陵墓。族谱记载:林旻官承事郎,泉州通判。

    兴隆集团

    上世纪90年代,“福建油帮”逐渐做大、崛起,涌现了吴再进、郑金泉、蔡天真等民资石油巨子,可圈内人士认为,在福建油帮大佬群体中,站在顶峰上的就是“新加坡燃油大王”林恩强。

    2010年《能源》杂志一篇《揭密“石油福建帮”》文章中提及:“如果将福建石油商人比成一个依附在石油资源上的庞大帮派的话,那么林恩强的名字便是教父的化身,他的地位就如同美国电影《教父》中的维托·唐·柯里昂,话语权威,受人敬仰。”

    莆田帮在外,除了爱拼会赢,也讲求抱团,事实上,蔡天真等人均受过林恩强的提携。

    2017年2月,蔡天真(右1)嫁女宴席

    在福建民营石油帮中,林恩强是教父级灵魂人物。海澳石油创办人郑金泉,是1999年经美福石油董事长吴再进的牵线搭桥,从“OK 林”手中购入30万吨燃料油,并由此再起步的。

    同样,福建石狮祥芝镇人、泰山石化创办人蔡天真、蔡玉意夫妻于1996年南下新加坡时,也是在林恩强帮助下,一步步成为新加坡最大的私营船王,靠的也是从事石油贸易发家的。

    生于1962年民营石油大亨蔡天真1995年上榜首届福布斯中国富豪榜时,才33岁。后来,老蔡甚至夸口道:打造“中国第一油帮”,“泰山要在2007年成为中国第四大石油公司。”

    在新加坡,老蔡当年遇上的“贵人”就是新加坡兴隆集团总裁林恩强。曾有个说法,当时在新加坡,老蔡没钱的时候找他借钱,没船的时候找他借船,而且林恩强从来没有拒绝过。

    也正是林恩强的“庇护”下,当年蔡天真在新加坡的油料生意才会像滚雪球一样越滚越大,一个“半路出家”在业内名不经传的、且仅有小学文化的老蔡,才会一时声名鹊起,呼风唤雨。

    兴隆集团总裁林恩强(左3)和马尾造船公司举办签约仪式

    疫情,也牵动了许多海外莆仙人的心。今年1月,新加坡兴安会馆主席黄金春、新加坡兴隆贸易(私营)有限公司林恩强各捐赠50万元,并积极联系日本、韩国、印度的客商,购买医用防护物资。

    多年来,林恩强家族除关心家乡建设及公益事业外,也和福建不少企业有合作关系。比如,2018年1月,兴隆集团与马尾造船公司签订6+4艘23500DWT成品油船,提高了马尾造船厂在成品油船建造方面的声誉和市场占有率。

    林恩强家族运营着新加坡最大的油船船队,昔日,手握雄厚资本的他,俨然成为新加坡燃料市场上“庄家”之一,“OK林”外号似乎是“油霸”代名词。可早年,林恩强从莆田埭头老家初到新加坡,仅读书至初二就辍学回家跑船贩鱼。

    新加坡,依托马六甲海峡的地理优势,是亚洲最大的石油贸易中心,也是世界三大炼油中心之一。早年,因每天有不计其数各种货轮、游轮靠港,也出现了一批靠偷油谋生的“油耗子”。很多胆大的人,甚至和“船老大”搞好关系、串通一气,在天黑后带着油桶登船偷油。迫于生计,林恩强也做了二年“油耗子”。

    当时,人家一个晚上干一趟,胆大的他干二三趟,不过,和那些“油耗子”不同,林恩强的眼界高,一年多后他收手改从那些人手上收油,并购置油车跑生意。1963年,年仅20岁的林恩强创立了兴隆公司,那时收购来的油只是卖给新加坡郊区的部分小企业,也出售给大马一带的林场、种植园。矿场及工厂。在当时“地下”石油走私圈内已小有名气。

    新加坡环宇仓储

    1968年,林恩强购入了第一艘100吨油轮——海狮号,正式涉足供油及航运业务,上世纪70年代又进入全球石油贸易,后于80年代进入炼厂领域,兴隆也迅速崛起。

    具57年历史的资深石油贸易公司兴隆,作为新加坡及亚太地区最主要的石油产业供应商之一,和全球各大炼油厂商及油品生产国已建立了广泛、直接且稳定的网络式合作发展关系,并能为客户提供海路油品供应一体化、一站式服务。

    除油品贸易外,林恩强旗下的“环宇仓储”是新加坡最大的独立石油储存库,也是世界最大的独立油品中转基地之一。

    在油品供应链及产业链拓展中,林恩强坚持多样性经营,比如兴隆集团旗下新加坡润滑油调配厂,拥有自主品牌“优力盛”,年产量5万吨。

    兴隆企业宣传语说:“石油贸易,动力的源泉”。史无前例的原油暴跌后,这家巨无霸民营油企也开始雪崩了,向法院申请破产保护又遭当地警方调查,林恩强这个曾经叱咤风云的莆田籍石油帮教父会有喘息的机会吗?其结局如何,有待进一步观察。

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "บิลล์เกตส์ : ถือหุ้นในบริษัทยายักษ์ใหญ่ 9แห่ง"

    ... "มูลนิธิบิลล์และเมลินดาเกตส์" ได้ซื้อหุ้นในบริษัทยาขนาดใหญ่ 9แห่ง ที่มีมูลค่าเกือบ 205 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นการลงทุนที่ดึงดูดความสนใจเชิงความหมายมากกว่าขนาดของมัน

    ... ด้วยการลงทุนใน Merck & Co. , Pfizer Inc. , Johnson & Johnson และอื่น ๆ, มูลนิธิยังมีผลประโยชน์ร่วมด้านในการเงินกับผู้ผลิตยาเสพรักษาโรคเอดส์, เครื่องมือวินิจฉัยวัคซีนและยาอื่น ๆ,

    ...การลงทุนซื้อหุ้นของมูลนิธิเกตส์ใน "บิ๊กฟาร์ม่า" ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการโต้เถียงวิจารณ์กัน, เนื่องจากเกตส์สนับสนุนอย่างแข็งขันเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดสำหรับยาในประเทศยากจน

    .

    ... https://www.thebody.com/article/bill-gates-charity-buys-stakes-drug-makers

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่โทษจีนเพราะคุมโรคระบาดในประเทศไม่ได้หรือเปล่า?
    .
    ช่วง 2 -3 สัปดาห์มานี้เราจะได้เริ่มเห็นว่าหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เริ่มออกมากล่าวหาจีน ว่าปิดข้อมูล และบริหารจัดการไม่ดี จนส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส #โควิด19 ในระดับโลก
    .
    ซึ่งแน่นอนว่าทางการจีนก็ออกมาตอบโต้ว่า จีนเองก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเช่นเดียวกัน และได้มอบข้อมูล ข้อเท็จทั้งหมดไปตั้งนานแล้ว ที่สำคัญคือระหว่างที่จีนเกิดการระบาดก็ได้ทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลก และหลาย ๆ ประเทศอย่างใกล้ชิด
    .
    ทางการจีนย้ำว่า ชาติตะวันตก และสหรัฐอเมริกาควรหยุดสงครามการหาผู้รับผิดชอบหรือโทษคนอื่นกันได้แล้ว ควรจะหันหน้ามาร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้มากกว่า
    .
    แต่ดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกจะไม่หยุดง่าย ๆ เพราะประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ก็ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจีนและองค์การอนามัยโลกทุกวี่ทุกวัน
    .
    วันนี้ผมเลยอยากเอาบทวิเคราะห์น่าสนใจมาลองแชร์กันดูครับ และที่สำคัญมันค่อนข้างจะสวนกระแสการด่าจีน อยู่มากเลยทีเดียว ซึ่งบทวิเคราะห์หลายชิ้นเป็นนักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมือง และนักการระหว่างประเทศจากหลายประเทศ ที่ออกมาว่าวิจารณ์เกมของชาติตะวันตกว่ากำลังเอาชีวิตมาแขวนบนเรื่องการเมือง
    .
    งานหลายชิ้นอธิบายว่าท่าทีของทรัมป์ และผู้นำชาติยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการหันไปด่าจีน หรือองค์การอนามัยโลกนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการเบี่ยงเบนประเด็นความล้มเหลวในการจัดการและควบคุมโรคระบาดภายในประเทศ
    .
    กล่าวคือการด่าจีน หรือองค์การอนามัยโลก ส่งผลสำคัญต่อจิตวิทยาของประชาชน และมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัญหาความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่เกิดจากการทำงานของรัฐบาล พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อมีศัตรูข้างนอกร่วมกัน คนก็จะหลับตาข้างหนึ่งว่ารัฐบาลตัวเองเป็นผู้รับเคราะห์จากเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นเอง
    .
    การกระทำในลักษณะนี้ก็จะทำให้แทนที่ประชาชนในยุโรปหรืออเมริกาจะวิจารณ์รัฐบาลของประเทศตัวเองว่าจัดการกับโรคระบาดนี้ไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปโทษว่าเพราะจีนกับองค์การอนามัยโลกรวมหัวกันปิดข้อมูล ส่งผลให้เกิดการระบาดรวดเร็วในประเทศเขา
    .
    ลักษณะนี้ทำให้รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยด้วยแล้วเสียงสนับสนุนก็เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งรัฐบาลถูกวิจารณ์โดยตรงมาก ก็เสี่ยงว่าจะสอบตกในสมัยหน้า
    .
    ฉะนั้นการที่ผู้นำในอเมริกาและชาติตะวันตกแท็กทีมออกมาด่าจีนและองค์การอนามัยโลกก็เหมือนการสร้างศัตรูนอกชาติเพื่อให้คนในชาติมองไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงของความล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์ภายในประเทศนั่นเอง
    .
    ทำไมนักวิเคราะห์หลายคนจึงมองเช่นนั้น เพราะถ้าเราย้อนเวลาดูไทม์ไลน์ดี ๆ เกี่ยวกับปัญหาโควิด19 จะเห็นชัดว่าเอาเข้าจริงแล้วทั้งจีน และองค์การอนามัยโลกไม่มีการปิดข้อมูลใด ๆ และยังเตือนประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
    .
    ยกตัวอย่างเช่นในวันที่ 21 มกราคม นายแพทย์จงหนาน ชาน ผอ. หน่วยควบคุมโรคระบาดของจีนออกมาให้ข้อมูลว่าโรคอุบัติใหม่นี้สามารถติดจากคนสู่คนได้ หลังจากพบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อในจีน
    .
    ในเวลาต่อมาวันที่ 23 มกราคม องค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่า "ทุกประเทศควรเตรียมพร้อมสำหรับการกักกัน [ไวรัส] รวมถึงการเฝ้าระวังโดยเฉพาะการตรวจหาแต่เนิ่นๆ การแยกและการจัดการเคส การติดตามการติดต่อและการป้องกันการแพร่กระจาย"
    .
    ส่วนท่าทีของสหรัฐอเมริกาเองในวันที่ 24 มกราคม ทรัมป์ออกมาทวิตว่า "จีนทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมโควิด19...สหรัฐฯชื่นชมต่อความพยายามและความโปร่งใส ซึ่งมันจะทำให้ทุกอย่างราบรื่นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามของคนอเมริกันฉันอยากจะขอบคุณประธานาธิบดีสี่!”
    .
    ฉะนั้นมันไม่ใช่แค่องค์การอนามัยโลกเท่านั้นที่ชื่นชมการทำงานของจีนในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด แต่รวมถึงสหรัฐฯเองด้วย แต่ทรัมป์ก็คงลืมว่าตัวเองเคยทวิตอะไรออกไปบ้าง
    .
    ต่อมาวันที่ 27 มกราคม หน่วยงานอนามัยของสหรัฐยกระดับการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นโดยไม่แนะนำให้คนอเมริกาเดินทางไปยังประเทศจีน และวันที่ 29 มกราคม ทรัมป์ทวิตอีกรอบว่า "เพิ่งได้รับการบรรยายสรุปเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสในประเทศจีนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของเรา ซึ่งทำงานอย่างใกล้ชิดกับจีน" อ่านชัด ๆ อีกครั้งนะครับ "ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจีน"
    .
    ในวันถัดไปวันที่ 30 มกราคม องค์การอนามัยโลก ประกาศ "ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั่วโลก" หลายชั่วโมงต่อมาทรัมป์ให้ความมั่นใจกับผู้สนับสนุนของเขาว่า “เราทำงานอย่างหนักกับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด19…เราคิดว่ามันจะเป็นจุดจบที่ดีมาก”
    .
    ยิ่งไปกว่านั้นจริงอเมริกายังเป็นชาติแรก ๆ ของโลกที่เริ่มมาตรการแบนคนที่เคยมีประวัติไปประเทศจีน เข้าประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ภายหลังองค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคระบาดนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
    .
    จริงอยู่ที่ว่ารัฐบาลจีนอาจมีแนวโน้มที่จะปิดบังจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อว่ามีน้อยกว่าความเป็นจริง หรือใช้มาตรการในการควบคุมสื่อ และดำเนินคดีกับแพทย์ผู้ออกมาให้ข้อมูล แต่เรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าสหรัฐอเมริกา และชาติตะวันตกได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ระบาดตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมแล้ว
    .
    ชาติเหล่านี้มีเวลาเตรียมตัวในการรับมือกับโรคระบาดชนิดใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ จึงปฏิเสธได้ยากว่าสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขึ้นในยุโรปและอเมริกาในช่วงเดือนมีนาคม เป็นผลอย่างสำคัญจากความชะล่าใจ และไม่ใส่ใจเท่าที่ควรของรัฐบาลเหล่านั้นด้วย
    .
    ยิ่งเมื่อเราเปรียบเทียบสถานการณ์ของชาติยุโรป อเมริกา กับชาติในทวีปเอเชีย ซึ่งมีความใกล้ชิดกับจีน ก็จะเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นั้นแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งที่ประเทศในชาติเอเชียมีความใกล้ชิดกับจีนมากกว่าชาติในยุโรปเสียอีก
    .
    ฉะนั้นการเปิดศึกษาโจมตีรัฐบาลจีนและองค์การอนามัยโลก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงนำมาสู่คำถามใหญ่กลับไปว่าแล้วก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์ออกมาชื่นชมจีนนั้น สรุปแล้วอะไรคือความจริงจากปากเขากันแน่
    .
    ยิ่งไปกว่านั้นระงับเงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลก โดยระบุว่าเพราะมีแนวโน้มเข้าข้างจีน หรือถูกจีนครอบงำนั้น ก็ดูจะสวนทางกับข้อเท็จจริงที่ว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นผู้บริจาคเงินหลักคิดเป็นกว่าร้อยละ 15 ของเงินทั้งหมดในหน่วยงานดังกล่าว ในขณะที่จีนมีสัดส่วนเงินบริจาคเพียงร้อยละ 0.21 ของเงินบริจาคทั้งหมดเท่านั้น
    .
    มันจึงเกิดคำถามซ้ำๆขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วที่ชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกาออกมาด่าจีนและองค์การอนามัยโลกในช่วงนี้ เพราะตัวเองล้มเหลวอย่างหนักในการจัดการกับการระบาดของโควิด19 และสุ่งเสี่ยงจะถูกประชาชนวิจารณ์อย่างหนักหลังจบศึกนี้
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #จีน #สหรัฐอเมริกา #ยุโรป #การเมืองระหว่างประเทศ #การเมือง

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ค่าไฟ กับการ Work from Home
    -----------------------------------------

    สามสัปดาห์ในเดือนเมษายน ที่บางคนต้อง Work from Home ทำงานที่บ้าน บางคนไม่รู้ว่าจะเรียกว่า Work from Home ได้มั้ยเพราะอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำงาน เพราะที่ทำงานถูกสั่งปิด โดยบางคนเลือกที่จะกลับบ้านตามต่างจังหวัดเพื่อรอวันสถานประกอบการและภาคส่วนอื่นๆกลับมา “เปิดเมือง” อีกครั้งโดยที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และยังมีอีกบางคนที่ไม่สามารถ Work from Home ได้เลยเพราะเค้าไม่มีแม้แต่บ้านที่จะอยู่ ไม่มีแม้ข้าวที่จะกิน ไม่มีแม้แต่คนสนใจ และยังไม่คนอีกหลายหลายกลุ่มที่ยังคงต้องดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกัน ในห้วงของการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและสังคมโลกเผชิญอยู่ในตอนนี้ ภาพที่แทบทุกคนต้องใส่หน้ากาก เจลล้างมือเป็นสิ่งที่พบเจอได้แทบทุกสถานที่ อุปกรณ์วัดไข้กลายเป็นเครื่องมือจำเป็น ภาพการทำงานหนักของบุคคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานทุกภาคส่วน มาตรการลดการเดินทาง การงดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม การประกาศการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน การคัดกรองป้องกัน รวมถึงอีกหลากหลายมาตรการถูกนำออกมาใช่เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค เพื่อให้สังคมไทยกลับสู่สังคมปกติได้โดยเร็วที่สุด

    จากสถานการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักและเป็นการเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว หรือเรียกได้ว่าทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป สถานประกอบการ บริษัท ห้างร้าน ตลาดนัด ร้านเสริมสวย สถานที่ที่คนไปรวมกลุ่มกันถูกสั่งปิด หรือแม้แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนนก็ไม่สามารถเปิดได้ตามปกติต้องซื้อกลับไปกินที่บ้านเท่านั้น เพื่อทำตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคมหรือ Social distancing ที่เป็นหนึ่งในแนวทางในการลดการแพร่เชื้อ เมื่อองคาพยพในห่วงโซ่อุปทานสะดุด ผลกระทบจึงเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง การปิดกิจกรรการ การลดเงินเดือนหรือสวัสดิการ การถูกเลิกจ้าง ไม่มีการจ้างงานดังเช่นเคยมี แต่ภาระค่าใช้จ่ายยังคงมีเช่นเดิม วิกฤตทางสังคมและเศรษฐกิจครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนเปราะบางในสังคม หลายหลายข้อเรียกร้องถึงมาตรการความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและผ่านเหตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ โดยเฉพาะเงินเยียวยา 5,000 บาทที่เป็นความหวังของหลายคนเพื่อเข้าถึงเงินเยียวยาเพื่อไปต่อชีวิตในช่วงนี้ แต่กลับพบว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ผ่านการคัดกรองและได้รับการช่วยเหลือครั้งนี้ โดยเริ่มมีข้อเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือแบบถ้วนหน้า มากกว่าเลือกช่วยเหลือแค่บางคน ซึ่งยังไม่มีการตอบรับในทางนโยบาย

    Work from Home ส่งผลให้พฤติกรรมของหลายคนเปลี่ยนไป จากเดิมเคยไปทำงานหรือกิจกรรมอื่นๆนอกบ้านส่วนใหญ่จะมีเวลาอยู่บ้านเพียงช่วงก่อนและหลังการทำงานเท่านั้น เมื่อต้องอยู่บ้านทั้งวันจึงอาจไม่คุ้นชินมากนัก โลกออนไลน์หรือโลกเสมือนจริง ขยับความเสมือนจริงให้เข้าใกล้อีกขั้นหนึ่ง การทำงานการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ การประชุมออนไลน์ การขายสินค้า การสื่อสารกิจกรรม ข่าวสาร และอื่นๆเกิดขึ้นบนสื่อทางสังคมในรูปแบบต่างๆมากมาย และหนึ่งในคือประเด็นที่เกิดขึ้นแทบทุกปีในเดือนเมษายน รวมถึงปีนี้คือคำถามที่ว่า “ค่าไฟบ้านใครขึ้นบ้าง” โดยมีบางคนตั้งคำถามถึงการคิดค่าไฟฟ้า คำถามถึงความผิดปกติที่ค่าไฟเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว คำถามถึงอัตราการคิดค่าไฟแบบก้าวหน้า หรือแม้แต่เอาบิลค่าไฟมาโพสขอความเห็นหรือยืนยันว่าค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา รวมถึงบางคนพูดแบบติดตลกไปว่าเห็นค่าไฟเดือนนี้แล้วผมมั่นใจว่าบ้านผมไฟรั่วแน่นอน รวมถึงอีกหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น” แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการให้ข้อมูล ถึงหลักการการคิดค่าไฟฟ้าและสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้านเพิ่มขึ้นอย่างเป็นหลักการที่น่าสนใจ ถือเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความเห็นและแสวงหาข้อเท็จจริงได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้

    แล้ว “เดือนเมษาค่าไฟต้องขึ้น..จริงหรือ” เราลองไปรวบรวมความคิดเห็นของหลายคนบนสื่อสังคมออนไลน์ที่แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นค่าไฟในเดือนเมษายน ลองไปดูกันว่าแต่ละคนให้ความเห็นว่าอย่างไร

    คนแรกจาก เพจเฟสบุ๊ก “โธ่ ชีวิตพนักงานไฟฟ้า” แจงไฟฟ้าคิดเงินแบบอัตราก้าวหน้า ยิ่งใช้มาก-ยิ่งแพง พร้อมเผย 4 เครื่องใช้ไฟฟ้าทำค่าไฟพุ่ง โดยระบุว่า“1) การไฟฟ้า คิดเงินแบบอัตราก้าวหน้ามาตลอด ใช้เยอะจ่ายเยอะ ประโยคนี้คือ ความจริง2. ตัวแปรของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น คือ หน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นั่นคือ คุณใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเลยทำให้ราคามันก้าวกระโดด” โดยระบุว่าบ้านที่มีปัญหาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมักมีอุปกรณ์ แอร์ พร้อม คอมเพลสเซอร์ เครื่องฟอกอากาศ พัดลมไอน้ำ ตู้เย็น โดยมีการพูดถึงพฤติกรรมของผู้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าการเปิดแอร์มากขึ้น หรือการแช่ของในตู้เย็นที่มากเกินไปย่อมเป็นสาเหตุให้ใช้ไฟมากขึ้น รวมถึงอากาศที่ร้อนกว่าปกติส่งผลให้คอมเพลสเซอร์ทำงานหนักขึ้นก็เป็นผลต่อการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีการยืนยันยันว่าไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่ผิดปกติแต่อย่างใด และอธิบายการเก็บค่าไฟฟ้าแบบคิดเงินในอัตราก้าวหน้าไว้ว่า“ไฟฟ้าไม่ได้ปรับ หรือ ทำอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ฉวยโอกาสอะไรโดยไฟฟ้าการันตีราคาให้แบบนี้ใช้ไปหน่วยที่ 0- 150 หน่วย จ่ายราคาหน่วยละ 3.2484 บาทใช้ไปหน่วยที่ 151 - 400 หน่วย จ่ายราคาหน่วยละ 4.2218 บาทใช้ไปหน่วยที่ 400 ขึ้นไป จ่ายราคาหน่วยนะ 4.4217 บาท” ซึ่งมีการนำเนื้อหาจากการโพสของผู้นี้ไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆหลายช่องทาง ได้รับความสนใจและเป็นประเด็นที่นำมาสู่การแลกเปลี่ยนในสังคมออนไลน์

    แม้จะมีการสื่อสารสร้างความเข้าใจถึงการคิดเงินในอัตราก้าวหน้าออกมาแล้วนั่นแต่ยังมีการตั้งข้อสังเกตุถึงค่าไฟฟ้าที่แพงมากขึ้นหลายเท่าตัวจากหลายคนที่สื่อสารในสังคมออนไลน์ดังเช่นกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Maratree Mirattanapai ได้ออกมาโพสต์ภาพบิลค่าไฟระหว่างช่วงเดือนมีนาคมเปรียบเทียบกับช่วงเดือนเมษายนเมื่อวันที่ 20เมษายน 2563 โดยช่วงเดือนมีนาคมยอดที่ต้องชำระ 2,919.09 บาท โดยในช่วงเดือนเมษายนมียอดที่ต้องชำระถึง 83,535.80 บาท หรือเพิ่มขึ้นมาถึง 28.6 เท่าตัว ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีจำนวนมาก และมีการตั้งข้อสังเกตถึงการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ รวมถึงสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดพลาดของกระบวนการจดบันทึกหรืออุปกรณ์ และยังมีข้อเสนอให้มีการตรวจข้อเท็จจริงต่อไป

    ยังมีการตั้งข้อสังเกตของค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการโพสบิลค่าไฟเปรียบเทียบอีกหลายกรณี ดังเช่นกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Sisaket samanโพสเมื่อ 18.37 น.ของวันที่ 20เมษายน 2563 ที่ได้เปรียบเทียบถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นโดยมีการโพสเนื้อหาบางส่วนระบุว่า “เป็นอีกงานที่ทำให้รัฐบาลนี้ถูกด่าจนไม่มีชิ้นดี สาธารณชนกำลังจะชื่นชมว่ารัฐบาลทำได้ดี หยุดโควิดได้ดี แต่ความดีถูกด่ากลบด้วยค่าไฟ มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของรัฐบาลนี้น้อ อะไรๆจะดีๆ ก็มีเรื่องออกมาให้ด่ากลบความดีตลอด บ้านผมนะปกติผมจ่ายอยู่ประมาณ 600-800 บาท แต่เดือนนี้ฟาดทีเดียว 1,900 บาท ทำใจลำบากจริงๆ” เป็นอีกหนึ่งของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สะท้อนผ่านสังคมออนไลน์ถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในเดือนเมษายน

    สุนี ไชยรส(sunee)ได้โพสบิลค่าไฟฟ้าและตั้งคำถามรวมถึงมีข้อเสนอในประเด็นนี้ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวเมื่อ 14.22 น.ของวันที่ 20เมษายน 2563 โดยระบุว่า “แปลกใจเหมือนกันค่าไฟแพงลิบ ว่าจะไปขอประกันไฟฟ้าคืนก็ดูยุ่ง เลยยังไม่ทำ ...ค่าไฟแพงขึ้นมากจริงๆ ... ได้ลด..ตั้ง 3% ไม่รู้ลดทำไมแบบนี้ ..และทำไมไม่หักค่าไฟไปเลย ไม่ต้องไปรอขอคืนค่าประกันให้ยุ่งเหยิง เว็บล่ม..? หักคืนให้ทุกคนไปเลย เดือนนี้ไม่หมดสำหรับบางบ้าน ก็ไปหักเดือนต่อไป...ปวดหัววิธีซับซ้อน และไม่ได้ช่วยชาวบ้านได้จริงค่ะ...รัฐต้องเปลี่ยนนโยบายให้ช่วยชาวบ้านดีกว่านี้ค่ะ”

    จากการที่ค่าไฟในหลายภาคส่วนเพิ่มขึ้น มีการนำเสนอข้อสงสัยและมีการตั้งคำถาม ในยอดที่ต้องชำระที่เพิ่มมากขึ้น โดยบางคนระบุว่าพฤติกรรมการใช้หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่ได้แตกต่างจากเดือนที่ผ่านมามากนักแต่ค่าไฟกลับเพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว ประเด็นการคิดเงินในอัตราก้าวหน้าและค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น talk of the town โดยในแอฟพลิเคชั่น twitter มีการติดแฮทแท็คเพื่อการพูดคุยในประเด็นนี้ เช่น #บิลค่าไฟ #ค่าไฟแพง #ใช้เท่าเดิมเพิ่มเติมไฟแพง เป็นต้น สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นค่าไฟที่สูงขึ้นเป็นประเด็นที่สาธารณะให้ความสนใจและยังมีคำถาม

    แล้วค่าไฟแพงขึ้นจริงหรือไม่ ? ทำไมค่าไฟแพง ?

    น่าจะเป็นคำถามที่หลายคนรอคำตอบ พอๆกับคำถามที่ว่าแล้วลดค่าไฟลงได้หรือไม่อย่างไร ประเด็นนี้ได้มีนักวิชาการได้ออกมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุของค่าไฟแพงไว้อย่างน่าสนใจโดย ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้โพสต์เฟสบุคส่วนตัว Decharat Sukhamnerd โดยระะบุว่า ปัญหาราคาค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อจำเป็นต้องอยู่บ้านช่วยชาติ และการที่ต้องจ่ายแพงขึ้นตามอัตราก้าวหน้า รวมถึงคำถามว่า รัฐบาลจะลดค่าไฟฟ้าให้มากกว่า 3% ได้หรือไม่ ? โดยกล่าวถึงประเด็นความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง ที่มาจากมาตรการล็อคดาวน์ ทำให้ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าลดลงตามความต้องการการใช้ไฟฟ้าแต่ยังมีต้นทุนที่ยังต้องจ่าย ที่ เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย โดย ดร.เดชรัตน์ ให้ข้อมูลว่า “การมีกำลังการผลิตสำรองเหลืออยู่ในระบบมากเกินไป (จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าที่ควรมีกำลังการผลิตสำรองประมาณ 15%) ทำให้เราจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้า ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ กฟผ. โดยในกรณีของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบที่มีความพร้อมจ่าย เราก็เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย และก็จะถูกรวมเข้าไว้ในระบบค่าไฟฟ้า เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าของกฟผ.ปัญหาของค่าความพร้อมจ่าย หรือค่าตอบแทนในการลงทุนก็คือ แม้ว่า ปัจจุบันนี้ เราใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เราก็ยังต้องจ่ายเงินความความพร้อมจ่ายนี้ต่อไปอยู่ดี หรือเรียกว่า “ไม่ใช่ก็ต้องจ่าย” (ตามคำว่า “ค่าความพร้อมจ่าย” เลย) และรายจ่ายนี้ก็จะถูกเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค” อีกประเด็นที่มีผลต่อต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าคือราคาของก๊าซธรรมชาติซึ่งหากมีการปรับลดค่าใช้จ่ายสองส่วนนี้จะทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลดลงได้ซึ่งจากข้อมูลโดยเสนอทางออกในการลดต้นทุนไว้ว่า “การจะลดค่าไฟฟ้าลงได้ รัฐบาลก็จำเป็นจะต้องเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ทั้งในประเทศไทย และในประเทศเพื่อนบ้าน (ซึ่งบางส่วนเป็นบริษัทลูกของ กฟผ.) ให้ยอมลดค่าความพร้อมจ่ายลงมา ตามสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าที่ลดลงเพราะตรงนี้คือ ค่าใช้จ่ายมากที่สุดในระบบไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันราคาก๊าซธรรมชาติอย่างไรก็ดี เพราะค่าใช้จ่ายในการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนก็รวมค่าก๊าซธรรมชาติเข้ามาด้วย ดังนั้น ข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาก๊าซธรรมชาติ ที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมราคาก๊าซธรรมชาติไม่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงไปอย่างมาก ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

    คำตอบสำหรับเรื่องนี้คือ ราคาก๊าซธรรมชาติลดแน่ครับ แต่มันจะลดช้าลงประมาณ 6 เดือน ตามสูตรราคาคำนวณก๊าซธรรมชาติที่จะดีเลย์ตามราคาน้ำมันประมาณ 6 เดือน การออกแบบระบบราคาแบบนี้ก็เพื่อป้องกันปัญหาตอนราคาน้ำมันขึ้นแบบรวดเร็ว จะได้ไม่กระทบกับค่าไฟฟ้าเร็วเกินไปครับ
    ทางออกที่สอง การปรับราคาก๊าซธรรมชาติโดยการชดเชยราคา

    ในประเด็นนี้ รัฐบาลอาจใช้วิธีขอลดราคาก๊าซธรรมชาติในเวลานี้ และไปจ่ายชดเชยให้ราคาก๊าซธรรมชาติมันสูงขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าแทนก็ได้ หมายความว่า ทุกคนได้เงินและจ่ายเงินเท่าเดิม เพียงแต่ปรับระยะเวลาการรับเงินในช่วงนี้เล็กน้อย เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับค่าไฟฟ้าถูกลงในเวลานี้หรือหากเจรจาเรื่องลดราคาก๊าซธรรมชาติไม่ได้ ก็อาจใช้วิธีที่รัฐบาลจ่ายค่าก๊าซธรรมชาติส่วนที่ยังไม่ลดราคาลง (ตามสูตรการคำนวณ) ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าแทนก่อนในเวลานี้ แล้วรัฐบาลค่อยไปเก็บเงินคืนผ่านค่าไฟฟ้าในอีก 6 เดือนข้างหน้าก็เป็นได้”
    โดยดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด ย้ำอีกว่า “ถ้าทำ 2 ประเด็นได้ คือ การลดค่าความพร้อมจ่าย และการลดราคาก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าและชดเชยให้ผู้ขายก๊าซในภายหลัง (หรือจ่ายแทนผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าและเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้า) เราก็จะสามารถลดราคาค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 3% แน่นอน”
    การ Work from Home ยังคงต้องดำเนินต่อไป ค่าไฟที่หลายครอบครัวระบุว่าเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้ในแต่ละครอบครัวลดลง จึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลนอกเหนือจากการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 เพราะมาตรการลดค่าไฟฟ้า 3% น่าจะเป็นมาตรการที่ไม่ตอบโจทย์หรือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ จึงมีเสียงเรียกร้องถึงการช่วยเหลือเยียวยาในประเด็นนี้ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีประเด็นการพิจารณามาตรการเยียวยาการลดภาระค่าไฟฟ้า ระหว่างเดือนมี.ค. – พ.ค. วงเงิน 23,688 ล้านบาท โดยมาตรการเยียวยาค่าไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา มี 2 กลุ่ม คือ 1. มิเตอร์ไฟขนาดไม่เกิน 5 แอมป์ จะได้ใช้ฟรี 150 หน่วย หากเกินก็จะได้รับการดูแลให้ใช้ฟรีเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มนี้จะใช้ไม่เกินปริมาณ 150 หน่วยเป็นปกติ และถือว่าใช้ไฟน้อย
    2. มิเตอร์ไฟขนาดเกิน 5 แอมป์ จะมีข้อกำหนดคือ หากใช้มากกว่าเดือน ก.พ. แต่ไม่เกิน 800 หน่วย ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดือน ก.พ. แต่หากใช้เกิน 800 หน่วย แต่ไม่เกิน 3,000 หน่วย ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดือน ก.พ. บวกกับส่วนที่เกิน ซึ่งได้รับส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์ และหากใช้เกิน 3,000 หน่วย ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดือน ก.พ. บวกกับส่วนเกิน ซึ่งได้รับส่วนลด 30 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดหย่อนดังกล่าวจะมีการคืนค่าใช้จ่ายให้ในรอบบิลถัดไป

    ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการที่บรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้ในระดับหนึ่งซึ่งยังคงเป็นคำถามที่ยังต้องติดตามกันต่อไปว่า “ค่าไฟจะถูกลงกว่านี้ได้หรือไม่” หากทำตามข้อเสนอที่กล่าวมาข้างต้น และการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในการเยียวยาการคำนวณค่าไฟฟ้าฟ้าของแต่ละครัวเรือนในกรณีนี้จะทำได้มากน้อยเพียงใด ยังเป็นสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และทั้ง 3 การไฟฟ้าน่าจะมีคำตอบให้กับประชาชน เพื่อที่เราจะไม่ต้องได้มาสื่อสารประเด็น “เดือนเมษาค่าไฟขึ้น”อีกครั้งในปีหน้าและปีต่อๆไป รวมถึงประชาชนจะได้จ่ายค่าไฟในราคาที่ถูกลงเพื่อเก็บเงินไว้ต่อสู่กับ โควิด-19 ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ต่อไป

    ----------------------------------------------------------------

    - ขอบคุณเนื้อหาจากทุกท่าน
    - ภาพกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งระบบ (แยกตามประเภทโรงไฟฟ้า)
    จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นี่เป็นภาพจากจังหวัดนครพนม ภาพความเสียหาย ภาพที่ถ่ายพายุสายฟ้าเป็นภาพจริง และที่น่าเศร้าก็คือมีเด็กเสียชีวิตด้วย 1 ราย22/4/2563 จับตาดูวันนี้ ซึ่งโมเดลพยากรณ์อากาศชี้ชัดว่าวันที่ 23 นี้จะรุนแรงกว่าวันที่ 22

    พายุถล่มนครพนม!! พี่น้องถามเข้ามาว่าเป็นไงก็ตามภาพครับ ที่เสียหายหนักก็พระธาตุน้อย วัดธาตุบ้านสำราญใต้ ส่วนยอดพังถล่ม บ้านเรือนพี่น้องเสียหาย มีผู้เสียชีวิต
    .
    ภาพจากหลายๆ ท่านได้แก่ภาพของคุณ Monster Isolate ตอนพายุคลั่งฟ้าผ่าลงพื้นเป็นสายอย่างรุนแรง ได้ยินเป็นเสียงฟ้าสะท้าน พื้นดินสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหวเบาๆ ครับ ใครเลี้ยงหมาแมว ดูแลดีๆ ระวังเตลิดหลงทิศหลงบ้านกันเด้อครับ เวลามีฝนฟ้าคะนอง หมาหายกันเป็นสิบต้องมาโพสต์ตามหาเสียอกเสียใจกันอีก
    .
    สมัครเข้ากลุ่มชุมชนคนนครพนม พูดคุย ฝากข่าว แจ้งข่าว ร้องเรียน ติดตามงานบุญ หมอลำ คอนเสิร์ต โครงการพัฒนา และความเป็นไปของจังหวัด : https://fb.com/groups/Nakhon.Phanom.Province/
    .
    นอกจากนี้ที่เสียหายก็ชุมชนติดริมโขงหลายชุมชน เช่นภาพจากข่าวไอเอ็นเอ็นนิวส์ และเดลินิวส์ ที่เส้นทางจักรยานริมโขงอาจสามารถ หลังคาบ้านปลิวว่อน องค์พระธาตุน้อย ริมโขงของวัดธาตุบ้านสำราญใต้ ส่วนยอดได้พังถล่มลงมา
    .
    แล้วก็มีภาพของพี่เล็ก วัฒนศักดิ์ รองนายกฯ เทศบาลนครพนม ภาพศาลาท่าน้ำหน้าวัดพระอินทร์แปลง(ศาลาแสงสิงห์แก้ว)ต้นทางถนนใหม่เลียบชายหาดทรายทอง ฝ้าเพดาพังถล่มลงมาหมด เพราะลมแรงมากจริงๆ ยังมีความเสียหายใหญ่น้อยตามจุดต่างๆ
    .
    และที่เป็นข่าวเศร้าส่งต่อกันเยอะที่สุดเมื่อวานคือ บ้านเรือนไทยกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง ที่ภูเขาทอง ชานเมืองนครพนม พังถล่มลงมาทับหนุ่มอายุ 15 ปีเสียชีวิต ภาพจากโพสต์ทูเดย์ครับ
    .
    ช่วงนี้กลางวันอากาศร้อนมากๆ ทั้งเมื่อวานและวันนี้ร้อนจริงๆ ไม่ได้โกหก แต่ตอนเย็นกลับเจอพายุรุนแรง ทั้งลมที่พัดแรงมากจนคนปั่นจักรยานเซแทบปลิว และมีฟ้าร้องฟ้าผ่านอยู่รอบนอกเมืองดังเป็นระยะๆ ครับ ขอให้ทุกคนปลอดภัยบ้านเรือไม่เสียหายกันมากเด้อ อย่างไรบ้านเรายังโชคดีมีท่านผู้ว่าทำงานฉับไว หน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ท้องถิ่นชุมชน และพี่น้องกู้ภัยเข้าช่วยเหลือผู้เดือดร้อนกันรวดเร็วทั้งการซ่อมแซมต่างๆ แต่ไม่พังเสียหายดีที่สุด เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [ขาย. Microsoft OS และ Microsoft Office แบบเดิมน่าจะดีกว่า]

    ... "บิล เกตส์: ทดลองฉีดวัคซีนกับเด็กผู้หญิงอินเดียจนตาย?"

    ... หน้าสื่อ "มูลนิธิ Bill & Melinda Gates" ยืนยันว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพของวัคซีนที่สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน แต่นักวิจารณ์กล่าวหาว่าองค์กรนี้ส่งเสริมผลประโยชน์ของบริษัทผู้ผลิตวัคซีน

    ... ในปี 2009 ที่ "อินเดีย" มีโรงเรียนหลายแห่งที่สร้างขี้นสำหรับเด็กชนเผ่าในเขต Khammam ที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐอานธรประเทศ กลายเป็นสถานที่สำหรับ "ศึกษาการสังเกตการณ์" สำหรับ "วัคซีนมะเร็งปากมดลูก" ที่ให้แก่เด็กผู้หญิงหลายพันคน ( หรือเอาเด็กอินเดียมาเป็นหนูลองยาวัคซีน) วัคซีน Human Papilloma Virus (HPV) ได้ถูกฉีดสามรอบในปีนั้นภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่กรมอนามัย วัคซีนที่ใช้คือ Gardasil ผลิตโดย "เมอร์ค" มีเด็กผู้หญิงประมาณ 16,000 คนในเขตนั้นหลายคนอยู่ในหอพักของรัฐบาลสำหรับนักศึกษาชนเผ่า

    ... หลายเดือนต่อมาเด็กหญิงหลายคนเริ่มป่วยและในปี 2010 มีเด็กผู้หญิงห้าคนเสียชีวิต มีรายงานผู้เสียชีวิตอีกสองรายจากวาโดดารา ในรัฐคุชราต ซึ่งมีเด็กชนเผ่าประมาณ 14,000 คนที่เรียนในโรงเรียนได้รับการฉีดวัคซีนด้วยวัคซีน HPV ของบริษัท Cervarix อีกยี่ห้อหนึ่งซึ่งผลิตโดย GSK , ก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์มีรายงานว่าเด็กผู้หญิงวัยรุ่นจำนวนหนึ่งถูกส่งโรงพยาบาลในเมืองเล็ก ๆ ในภาคเหนือของ "โคลัมเบีย" ด้วยอาการที่ผู้ปกครองต่างสงสัยว่าอาจเป็นปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ต่อการฉีดวัคซีน Gardasil ของ "เมอร์ค" บริษัทยาจากเยอรมันเช่นกัน

    ... คณะกรรมาธิการด้านสุขภาพและสวัสดิการครอบครัว ที่ตรวจสอบความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาการสังเกตการณ์ในประเทศ "อินเดีย" รายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2014,

    ... "เมอร์ค" หรือ Merck บริษัทยาสัญชาติเยอรมัน เป็นหนึ่งใน 9 บริษัทยาที่ "มูลนิธิบิลล์และเมลินด้าเกตส์" ไปลงทุนซื้อหุ้นด้วย

    ... คณะกรรมการพบว่ามีการยินยอมในการดำเนินการศึกษาเหล่านี้ ในหลายกรณีวัคซีนถูกนำมาจากผู้ดูแลหอพักเองที่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเป็นการละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติอย่างชัดเจน ในอีกหลายกรณี มีการพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ปกครองที่ยากจนและเพราะไม่รู้หนังสือของพวกเขาประทับลายนิ้วมือบนแบบฟอร์มยินยอมให้ใช้ลูกหลานเขาเป็น "หนูลองยา" เด็ก ๆ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะของโรคที่ทดลองหรือวัคซีนเลย ผู้ใหญ่ให้ฉีดก็ฉีด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่าในหลายกรณี ก็ยิ่งไม่สามารถจัดหาแบบฟอร์มการยินยอมที่ถูกต้องเหมาะสม ตามกฏหมายสำหรับเด็กที่ได้รับการมาเป็นหนูลองยาวัคซีนด้วยซ้ำ

    ... คณะกรรมการบอกว่า“ เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งที่พบว่าใน "รัฐอานธรประเทศ" จากแบบฟอร์ม 9,543 ใบนั้น 1,948 ใบใช้ปั๊มพิมพ์มือ, ในขณะที่ผู้ดูแลหอพักได้เซ็นแบบฟอร์มให้เอง 2,763 ใบ, ใน "รัฐคุชราต" มี 6,917 ใบ , มี 3,944 ใบที่มีการพิมพ์นิ้วหัวแม่มือ และ 5,454 ทั้งที่เซ็นมือ หรือพิมพ์มือหัวแม่มือของผู้ปกครองเด็ก ข้อมูลเปิดเผยว่าผู้ปกครองจำนวนมากไม่รู้หนังสือและไม่แม้แต่สามารถเขียนในภาษาท้องถิ่นของพวกเขาเองได้”

    ... จากนั้นมาทางการอินเดียได้ดำเนินการสืบหาความจริงเกี่ยวกับ "การตายของเด็กหญิงชนเผ่าเจ็ดคน" ในบริบทของการศึกษาการสังเกตการณ์ในการฉีดวัคซีน จากคำสั่งศาลฎีกา โดยได้ขอให้หน่วยงานด้านควบคุมยาเสพติดแห่งอินเดีย (DCGI) และสภาวิจัยทางการแพทย์แห่งอินเดีย (ICMR) อธิบายวิธีการอนุญาตยินยอมให้เด็กมาเป็นหนูทดลองในครั้งนี้ และให้เสนอรายงานให้คณะกรรมการรัฐสภาอินเดียทราบ

    ... นักกิจกรรมด้านสุขภาพจากองค์กรพัฒนาเอกชน ที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของผู้หญิงชื่อ Sama ได้ไปเยี่ยม Khammam ในเดือนมีนาคม 2010 ใน "ภารกิจค้นหาข้อเท็จจริง" พวกเขาได้พบว่ามีเด็กผู้หญิง 120 คนที่มีอาการไม่ดี เช่น อาการลมชัก ปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดหัว และอารมณ์แปรปรวน มีบางกรณี การมาของการมีประจำเดือนเร็วเกินไปหลังจากการฉีดวัคซีน เลือดออกหนักและปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงในหมู่นักเรียนจำนวนมาก

    ... คณะกรรมการบอกว่าสำหรับการสืบสวนสรุปผลในการเสียชีวิตครั้งก่อนนั้นไม่มีความละเอียดรอบคอบ เมื่อพบว่า “ เด็กทั้งเจ็ดคนถูกสรุปว่าตายโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโดยไม่มีการสอบสวนในเชิงลึก… เช่น สาเหตุของการตายคือ ฆ่าตัวตาย จมน้ำโดยบังเอิญ (ทำไมไม่ฆ่าตัวตาย?) มาลาเรียติดเชื้อไวรัส (ไม่มีการชันสูตรศพ) ตกเลือดหนักจนตาย (ไม่มีการชันสูตร) เป็นต้น ” แต่ไม่มีกล่าวว่าตั้งข้อสังเกตว่าเด็กๆเหล่านั้นตายเพราะเป็นหนูทดลองยาวัคซีนจากบริษัทต่างชาติเลย

    ... ไม่เฉพาะในอินเดีย แต่ "วัคซีน" บางตัวเช่น Gardasil vaccine และ Cervarix ผลิตโดย GlaxoSmithKline, ได้ฉีดให้แก่เด็กหญิงในหลายประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรและอเมริกาด้วยเช่นกัน เพื่ออ้างว่าป้องกันไวรัส papilloma ของมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

    ... ศาลอินเดียได้รับการร้องเรียนจากนักรณรงค์ที่อ้างว่า การฉีดวัคซีนให้เด็กอินเดียที่ได้รับทุนจาก "มูลนิธิ Bill & Melinda Gates" จากอเมริกา ซึ่งไม่ได้รับการยินยอมจากเด็ก ๆ หรือผู้ปกครองโดยแท้จริง ดังนั้น 'การศึกษา' หรือ "ใช้เด็กอินเดียเป็นหนูลองยา" ในความเป็นจริงจึง "เป็นการทดลองใช้ยากับคนที่ผิดกฎหมาย"

    .

    ... https://m.economictimes.com/industr...rom-critics-in-india/articleshow/41280050.cms
    https://www.dailymail.co.uk/news/ar...controversial-cancer-vaccine-trial-India.html

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #พายุฤดูร้อน อำนาจเจริญหนักเลยคับเมื่อคืน...

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อเย็นวานนี้ (22/04/2020)

    เกิดพายุฤดูร้อนนานนับชั่วโมง
    ทำให้ฝนตกหนักมากบนภูทับเบิก
    อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์

    มีลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก
    จนขาวโพลนไปทั่วแลคล้ายหิมะ
    ขณะที่อากาศเย็นเฉียบ

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'เกาหลีใต้' พบผู้ป่วย COVID-19 กลับมาติดเชื้อซ้ำ แต่ยังไม่สามารถถึงขั้นแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

    Recovered Coronavirus Patients Who Test Positive Again Are Barely Infectious : South Korea

    • ในขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วย COVID-19 รายใหม่ใน 'เกาหลีใต้' มีทิศทางที่ลดลงเรื่อย ๆ ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (KCDC) ของเกาหลีใต้ ได้เริ่มการสอบสวนกรณีที่มีผู้ที่หายป่วยจาก COVID-19 ไปแล้ว กลับมาตรวจพบว่าติดเชื้ออีกครั้ง มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

    • ขณะนี้ใน 'เกาหลีใต้' พบคนไข้ที่มีลักษณะเช่นนี้แล้วมากกว่า 180 ราย และไม่มีคนไข้รายใดที่แพร่เชื้อไวรัสให้กับบุคคลอื่นอีก

    • ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ในเกาหลีใต้ใช้วิธีการทดสอบที่เรียกว่า 'ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส' หรือ Polymerase Chain Reaction (PCR) กับผู้ที่สงสัยว่าจะมีการติดเชื้อไวรัส แต่การสอบสวนผู้ที่หายแล้วและกลับมาติดเชื้ออีกนั้น KCDC ใช้วิธีการเพาะเชื้อไวรัส ซึ่งต้องใฃ้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้

    • และจนถึงขณะนี้มีการเพาะเชื้อไปแล้ว 39 ราย ผลออกมาแล้ว 6 ราย ซึ่งพบว่า 'ไม่แพร่เชื้อไปให้บุคคลอื่นอีก'...ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบหาสาเหตุว่า 'เหตุใดคนไข้ที่หายดีแล้วกลับมาถูกตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสอีก'

    • บรรณานุกรม :

    Credit : https://www.straitstimes.com/asia/e...st-positive-again-are-barely-infectious-south

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้ป่วยโควิด-19รายใหม่ 13 คน
    1. กรุงเทพมหานคร 4 คน
    2. ภูเก็ต 4 คน
    3. ชลบุรี 1 คน
    4. สงขลา 1 คน
    5. ชุมพร 1 คน
    6. ปทุมธานี 1 คน
    7. นครปฐม 1 คน

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐนิวยอร์กเพิ่งออกคำแนะนำที่น่าตื่นตะลึง แนะนำให้บรรดาผู้ปฏฺิบัติงานประจำหน่วยฉุกเฉินต่างๆ อย่าได้สนใจกู้ชีพใครก็ตามที่ชีพจรหยุดเต้นไปแล้วตอนไปถึงจุดเกิดเหตุ หลังเกิดสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19)ล้นโรงพยาบาล

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000042355
    ………………………………
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Goldman Sachs ผู้ที่ทำนายว่า ราคาน้ำมันดิบโลกจะลงมาต่ำกว่า 20 เหรียญต่อบาร์เรลไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนแม้ทางโอเปกจะมีมติลดกำลังการผลิตก็ตาม ได้ออกมาปรับมุมมองของตลาดน้ำมันเล็กน้อยโดยเชื่อว่า #การใช้น้ำมันโลกได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว

    Goldman Sachs วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งมีระบบวิเคราะห์ตลาดและข้อมูลข่าวสารครบถ้วนเป็นอันดับต้นๆของโลก ได้ออกมารายงานว่า

    1️⃣ ราคาน้ำมันได้ลดลงมาอย่างที่คาดจริงๆ แต่การที่ราคาลงมาอย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ปริมาณการผลิตของในตลาดหายไปเร็วกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่มาจากการตั้งใจลดกำลังการผลิตของโอเปกแต่จะมาจากการปิดตัวเพราะการขาดทุนของหลายหลุมน้ำมันด้วย

    2️⃣ Goldman Sachs เชื่อว่าการใช้น้ำมันของโลกได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้วแน่ๆในเดือนเมษายนนี้ โดยการใช้น้ำมันไม่น่าจะหดไปมากกว่านี้แล้ว

    3️⃣ แต่ทางด้านราคานั้นยังอยู่ในภาวะ #ติดเชื้อ เพราะการใช้อาจจะไม่ได้ปรับกลับขึ้นมาเป็น V-Shape แต่จะค่อยๆปรับตัวขึ้น ในระยะสั้นเราอาจจะเห็นแรงเทขายอยู่เป็นระยะๆและจะไม่แปลกใจถ้าราคาอาจจะติดลบได้ในช่วงส่งมอบอยู่หากสต็อกยังล้น

    4️⃣ เนื่องจากระดับสต็อกที่ยังสูงต่อให้การใช้เริ่มกลับมาเราอาจยังไม่เห็นราคาปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็วในระยะสั้น แต่เชื่อว่าในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เราจะเห็นชัดว่าการใช้น้ำมันจะเริ่มสูงกว่าการผลิตน้ำมันแล้วและระดับสต็อกจะเริ่มลดลง

    5️⃣ ในระยะยาวนั้นการลดหายไปของการลงทุนในหลุมขุดเจาะน้ำมันจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงได้ในปีหน้า Goldman Sachs จึงมองว่าราคา Brent จะกลับมาเกิน 60 เหรียญได้ภายในก่อนสิ้นปีหน้า

    6️⃣ ประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะเป็นเรื่องที่เราจะไม่ให้ความสนใจไม่ได้เลย ถึงแม้ช่วงนี้อาจจะไม่ได้สะท้อนออกมาในราคาแต่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านยังคงต้องจับตามองต่อไป

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้ทีมงานด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #OilTradingKP

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตัวเลขคนตกงานสหรัฐประกาศออกมาเพิ่มอีก 4.43 ล้านคนในคืนนี้ (Initial Jobless Claim) ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.5 ล้านคน และยังค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงบวกอยู่เล็กน้อย

    ตัวเลขการตกงานของชาวสหรัฐจากการปิดเมือง Lock Down ยังคงไต่สูงขึ้นเรื่อยๆนะครับ รวมกันใน 5 อาทิตย์ที่ผ่านมามีผู้ตกงานไปแล้วถึง 26.5 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 8% ของประชากรสหรัฐทั้งประเทศ แต่นี่ก็เป็นการประกาศอาทิตย์ที่ 4 แล้วที่ตัวเลขยังคงลดน้อยลงเรื่อยๆ

    เชื่อว่าต้นเดือนหน้าตัวเลขจะยังคงลดลงเรื่อยๆหลังจากที่บางรัฐของสหรัฐจะเริ่มมีการกลับมาเปิดเมืองและจ้างงานกลับมาอีกครั้ง ล่าสุดที่มีข่าวลือว่าทางทรัมป์อาจจะผ่อนคลายมาตรการเปิดเมือง 3 ระดับลงนั้น ทางทรัมป์ก็ได้ออกมาปฎิเสทแล้วนะครับ

    การติดเชื้อ Wave 2 จะเกิดขึ้นไหม ?

    ทางด้านตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐนั้นก็ยังคงทรงตัวไม่เกิน 3 หมื่นรายต่อวันมาเรื่อยๆ ตอนนี้นั้นคำถามไม่ได้มีอยู่ว่าในปัจจุบันไวรัสจะคุมอยู่ไหมเพราะสถานการณ์ยังดูดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คำถามคือจะมีการเชื้อระบาดรอบสองไหม ?

    #ตลาดมองว่ามีแน่ๆครับ เราอาจจะดูไม่ได้ชัดๆจากราคาหุ้นแต่สิ่งที่เราดูได้คือสัญญาณจากตลาด VIX หรือดัชนีความผันผวนนั้นเองครับ 〽️

    ถึงแม้ดัชนี VIX ในช่วงเดือนต้นๆจะลดลงมามากแล้วเพราะว่าความเสี่ยงระยะสั้นน้อยลงแต่สัญญาล่วงหน้าของ VIX ในเดือนไกลนั้นกำลังอยู่ในรูปแบบ Contango ที่ชันขึ้นเรื่อยๆ (กราฟแนบในคอมเม้นท์)

    นั้นแปลว่านักลงทุนกำลังมองว่าตลาดในอนาคต (โดยเฉพาะในเดือนกันยาและตุลา) กำลังจะผันผวนกว่าปัจจุบัน และความชันขึ้นเรื่อยๆหมายความว่าทางกองทุนเก็งกำไรยังทยอยเข้าซื้อประกัน Put Options เรื่อยๆโดยยอมจ่ายราคาที่แพงขึ้นเพื่อรักษาพอร์ตรวมเอาไว้หากจะเกิดการติดเชื้อ Wave 2 จริงๆ

    ทางเราเชื่อว่า #ตลาดนั้นไม่เคยโกหก และดัชนี VIX ที่เราเห็นนี้ก็กำลังบ่งชี้ว่ากลุ่มคนที่มีข้อมูลมากกว่าเรากำลังกลัวกับตลาดในช่วงเดือนกันยาและตุลาอยู่

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดแบบทันท่วงที แนะนำให้กดไลค์ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ ⛔️

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจนะครับ ฝากกด Like และ Share ให้ทีมเราด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #OilTradingKP

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    *ข่าวด่วน*

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ออกมาแถลงการณ์ว่า มาตรการควบคุมการสัญจร (Movement Control Order - MCO) จะขยายระยะเวลาต่อไปอีก 2 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2563

    *อัพเดทสถานการณ์ในมาเลเซียประจำวันที่ 23 เมษายน 2563*

    1. ผู้ติดเชื้อสะสม 5,603 ราย (เพิ่ม 71 ราย) รักษาหายแล้วสะสม 3,452 ราย (เพิ่ม 103 ราย) เสียชีวิตสะสม 95 ราย (เพิ่ม 2 ราย)

    2. แรงงานต่างชาติที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียและถือวีซ่าทำงานชั่วคราวประเภท Temporary Employment Visit Passes (PLKS) ซึ่งหมดอายุในช่วงที่มาตรการควบคุมการสัญจร (Movement Control Order - MCO) มีผลใช้บังคับ (ตั้งแต่ 18 มีนาคม 2563 - 28 เมษายน 2563) สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อต่ออายุวีซ่าฯ ได้โดยผ่านแอพลิเคชันออนไลน์ "My EG Services Bhd (MyEG)" สำหรับต่างชาติที่เข้ามาทำงานในลักษณะแรงงานหรือแม่บ้านและถือวีซ่าประเภทดังกล่าวจะต้องให้นายจ้างเป็นผู้ดำเนินการให้ ทั้งนี้สำหรับ Expats สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อนัดสัมภาษณ์ผ่าน ESD Online (Expatriate Services Division portal และ MyXpats (Malaysia Expatriate Talent Service)

    3. รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมมาเลเซียได้ออกมาแถลงเรื่องข่าวการลงทะเบียนสำหรับประชาชนในมาเลเซียที่ต้องการจะเดินทางกลับบ้านภูมิลำเนาในช่วงถือศีลอด (รอมฎอน) นั้น จะไม่สามารถเดินทางกลับได้ เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็นและขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีนักเรียน/นักศึกษามาเลเซียที่ประสงค์จะเดินทางกลับภูมิลำเนา รัฐบาลมาเลเซียทราบจำนวนนักเรียน/นักศึกษาที่แสดงความประสงค์แน่นอนแล้ว และบุคคลกลุ่มนี้สามารถเดินทางกลับได้เนื่องจากได้ถูกกักตัวในรั้วมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน

    4. รัฐมนตรีด้านศาสนามาเลเซียได้ออกมาแถลงการณ์ว่าในช่วงรอมฎอนปีนี้จะต้องงดการรวมตัว (gathering) และงดการจัด Ramadan Bazaar โดยขอให้สั่งซื้ออาหารด้วยการจัดส่งอย่างเดียว ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียได้จัดสรรเงินจำนวน 2 ล้านริงกิตมาเลเซีย ให้กับมัสยิดจำนวน 70 แห่งทั่วประเทศ เพื่อจัดส่งอาหารไปแบ่งปันให้แก่ครัวเรือน จำนวน 25,000 แห่ง/วัน

    5. มาเลเซียขยายเวลาเดินรถของขนส่งสาธารณะในช่วงรอนฎอน (พรุ่งนี้เป็นต้นไป) เป็นเวลา 06.00 - 10.00 น. และ 16.00 - 22.00 น.

    6. ตลาดสด (public market) ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาเปิดทำการเป็น 06.00 - 14.00 น. เพื่อให้คนมาเลเซียสามารถออกมาจับจ่ายของสดสำหรับการเตรียมออกบวชในช่วงรอมฎอนซึ่งจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป

    หากมีอัพเดทสถานการณ์เพิ่มเติม สถานเอกอัครราชทูตฯ จะมาแจ้งให้พี่น้องคนไทยทราบต่อไป

    #เราจะสู้ไปด้วยกัน

     

แชร์หน้านี้

Loading...