@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQmTHfNjIcgUIBMqdHCPkV_iDqf-DSJK3gM7ycchFHr7n7b7c5SvrIcaLL1eDe2LimY&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พันธุ์เทพ กรุงวงศ์
    30 กันยายน เวลา 22:49 น.
    หลวงพ่อเงินไหลมา

    พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อยืนองค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง ชื่อของท่านคือ "หลวงพ่อไหลมาเทมา" เท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เขาลงว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" บางรายก็บอกชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมา" ต้องบอกว่าเขาพอใจแค่นั้น

    ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงว่าไว้ก็จะเป็น "หลวงพ่อไหลมาเทมา" คือเรื่องดีทุกเรื่องจะไหลมาเทมา แต่พวกนั้นเขาจำกัดจะเอาเรื่องเดียว พอนาน ๆ ไปแล้วชื่อก็จะเพี้ยน..เปลี่ยนไปเรื่อย

    เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนเมษายน ๒๕๕๕
    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    เรามักจะเห็นการกระทำที่เป็นคำพูด และการแสดงออกอยู่บ่อยๆ ส่วนการกระทำที่เป็นการนิ่ง ที่เรียกว่ามีอุเบกขานั้นมักไม่ค่อยได้เห็นกัน

    ในเรื่องการสร้างอุเบกขาธรรมขึ้นในใจนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่เมื่อได้เข้ามารู้ธรรม เห็นธรรม ได้พบเห็นสิ่งแปลกๆ และคุณค่าของพุทธศาสนา มักเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มากๆ โดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่าเขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด

    หลวงพ่อท่านบอกว่า "ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลาง ระหว่างคนสองคน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อ แล้วเขาเป็นคนจุดไฟ... บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาจะพาตกเหว...

    โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    c_oc=AQl6U3O87TjDJXlsKJAOSMV8s2aCmQk_lEGN64Tj8WN8MOcNfgPp_NcV8Dfc87DC1LY&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    *************************************
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    บัญชีสามบัญชี


    วันนี้แปลก ท่านพระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดีท่านมาแต่งเต็มอัตราเลย ก่อนท่านมาขนลุกซู่ทั้งตัว หลังจากนั้นเห็นนายบัญชีท่าน ก็ถามท่านว่า "คนที่เจริญกรรมฐานนี่จะมีผลอันดับสูงสักกี่คน" ท่านบอกว่า "นี่ ท่านบอกว่านิพพานใช่ไหม" บอก "ใช่" บอก "บัญชีนิพพานไม่ได้อยู่ที่ผม บัญชี มี ๓ บัญชี" เพิ่งรู้วันนี้คือว่า บัญชีขึ้นๆลงๆ ได้แก่นายบัญชีใหญ่ ที่พระยายม ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ใครจะไปพรหมท่านก็รู้ พรหมโลกีย์นะ ผู้ทรงฌานโลกีย์จะไปสวรรค์ท่านก็รู้ จะไปนรกท่านก็รู้ บัญชีเขามี แต่ว่า บัญชีสวรรค์กับพรหมโดยเฉพาะ อยู่ที่ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เลขาพระอินทร์

    อีกบัญชีหนึ่ง อยู่ที่ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า "ถ้าบัญชีพระอริยเจ้าเบื้องสูงต้องที่ผม ใครจะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานอยู่บัญชีนั้น และใครที่เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงอยู่ในบัญชีนั้น" ความจริงเพิ่งรู้เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นมาก่อน คือวันนี้แปลก พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดีท่านมาเต็มอัตรา แต่งเต็มอัตราเลย คือเครื่องแบบของเทวดากับพรหม มี ๓ ประการ คือ

    ✔ชุด ๑ ปล่อยตัวเหมือนกับมนุษย์ นุ่งกางเกงใส่เสื้อธรรมดา บางทีก็ลืมใส่เสื้อเสียบ้าง ทำสะดือจุ่น
    ✔ชุด ๒ เครื่องแบบปกติ มีชฎาเหมือนกัน แต่ไม่แวววาวเหมือนกับปักดิ้นด้านน่ะ
    ✔ชุด ๓ เครื่องแบบเต็มอัตรา เต็มยศ

    วันนี้มาเต็มยศหมด พระยายมเพิ่งเห็นวันนี้นะ (๘ ต.ค. ๒๕๓๑) สว่างมาก สว่างทั่วจักรวาล มาคู่กัน ก็เลยบอกว่า "ลุงสว่างมาก" ท่านก็บอกลุงใหญ่ "ลุงใหญ่" หมายถึงนายบัญชี ลุงจริงๆของฉันนะ แต่พระยายมน่ะพี่ชาย เป็นพี่ชายมาในชาติก่อน ฉันก็ไม่รู้ ท่านบอกเหมือนกัน เมื่อปี ๒๕๐๘

    บัญชีนี่มีสีไม่เหมือนกัน บัญชีพระยายมเป็นหนังสือ ๓ สี ถ้าสีแดงแสดงว่าโทษหนัก ถ้าสีน้ำเงิน โทษปกติธรรมดา ความชั่วก็มีความดีก็ปรากฏก้ำกึ่งกัน ถ้าอักษรสีทอง ประเภทนี้ลงนรกไม่ได้ อาจจะต้องผ่านที่นั้นแต่ลงไม่ได้ ไม่ใช่กระดาษทองนะ เป็นตัวหนังสือสีทอง

    ➰ บัญชีสวรรค์ไม่ต้องห่วง เขาสีทองทั้งหมด ทีนี้อีกบัญชีหนึ่งบัญชีพิเศษ เป็นบัญชีของท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นสีเพชร แพรวพราวเป็นระยับเลย เหมือนกับเพชรสะท้อนแสงพระอาทิตย์น่ะ ก็ถามว่า "บัญชีท่านเขียนแบบนี้เรอะ" ท่านบอก "บัญชีผมเขียนแบบนี้ มีบัญชีตั้งแต่พระอริยเจ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป และอยู่ชั้นอุทธังโสโต คือชั้นที่ ๑๒ ขึ้นไป ถึงบัญชีนิพพาน..."

    สำนักพระยายมกันไม่ให้ลงนรก ไม่ใช่ผลักให้คนลงนรก โดยมากเมื่อพูดถึงบาป รับไปหลายๆ ข้อ รับบุญข้อเดียวท่านบอกให้ไปสวรรค์ก่อน... เมื่อวันออกพรรษานอนๆ ภาวนาอยู่ เห็นลุงทั้งสององค์ท่านมา นุ่งผ้าไหมสวย ก็เลยถามว่า "ลุง วันนี้หนุ่มเหมือนเด็กอายุ ๑๘ ท่านบอกว่าวันนี้ผมปลอดภาระนรกการครับ" รู้จักนรกการไหม อย่างคนรับราชการบอกวันนี้วันหยุดราชการ ที่นั่นเขาปลอดนรกการ ถามว่า "ลุงปลอดกี่วันล่ะ" บอก "ปลอด ๓ วัน คือวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ กับแรม ๑ ค่ำ" ก็เลยถามว่า "ปีหนึ่งมีการปลอดกี่ครั้ง" ท่านบอก "๔ ครั้ง วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆะ วันวิสาขะ" หมายความว่าใน ๔ จุดไม่มีการสวบสวนกัน ก็ถามท่านว่า "ถ้าลุงไม่มีการสอบสวนก็แสดงว่าผู้ที่ตาย ยังเรียกว่าสัตวร์นรกไม่ได้นะ เพราะเขายังไม่แน่ว่าผิดหรือไม่ผิด ฉะนั้นผู้ที่รอการสอบสวน ลุงปล่อยเขาเป็นอิสระใช่ไหม"

    ท่านบอกว่า "ใช้คำว่าปล่อยน่ะไม่ถูก เพราะทุกคนเขาเป็นอิสระหมด ไม่ถือว่าเป็นนักโทษ แต่ว่าเท่าที่เขาไปรวมอยู่ที่นั่น เขาทราบว่าจะมีคนสักคนหนึ่งคอยช่วยเหลือเขาไม่ให้ลงนรก เขาไปรอการสอบสวน เราไม่สอบสวนเขาก็ไปตามเรื่องของเขา ไปหาญาติ" ก็เลยถามว่า "ในขณะที่เขาออกมาได้อย่างงั้น และก็ถ้าญาติเขาจะบำเพ็ญกุศลให้ จะได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "ถ้าญาติฉลาด ทุกคนได้หมดและก็ไม่ต้องลงนรก " ถามว่า "ทำยังไง" บอกว่า "ทำบุญอุทิศเฉพาะ ออกชื่อตรงคนนั้นเลย แต่มันก็ไม่แน่นัก บางทีบาปหนาบางทีไม่ได้รับ" ท่านบอกให้ฝากพระยายมว่า "การอุทิศส่วนกุศลคราวนี้ ถ้าบุคคลไม่ได้รับ ขอฝากพระยายมไว้ด้วย ถ้าพบคนนี้เมื่อไหร่ ขอให้บอกเขาให้โมทนาทันที อันนี้ถ้าเขาผ่านสำนักผม ผมจะบอกให้เขาโมทนาทันที"

    สองลุง นายบัญชีกับลุงพุฒิ ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเอาบัญชีมาให้ดู บอก "นี่บัญชีเล่มนี้ บัญชีสีทอง" เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้เอาบัญชีมาขาย ท่านบอก "ถ้าสร้างบัญชีองค์ปฐมลงบัญชีนี้โดยเฉพาะ" ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก หรือไง ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นของพระพุทธเจ้าทั้งหมดและการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม อย่างคนมีเงินน้อยเอาสตางค์ ๙ สตางค์ ๑๐ สตางค์ไปใส่แทน อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่า "บัญชีสีทองหมายถึงอะไร" ท่านบอกว่า "มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด"

    ⚘ที่ไปนิพพานเร็วมากเพราะเขาเข้าบัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

    ✴✡หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี
    ✒✏จากหนังสือ พ่อสอนลูก เล่มที่ ๒ ฉบับที่ออกเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ หน้าที่ ๑๓๖ - ๑๓๙


    *************************

     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    *สารพัดธรรม(ทำ)*
    "หลวงปู่ตื้อฯ ท่านสำเร็จอภิญญา ๖...สามารถเทศนาแสดงถึงสถานที่ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ได้อย่างพิสดาร ทั้ง ๑๐ ชาติ"

    》เทศน์การสร้างพระบารมี ๑๐ ทัศ ของพระพุทธเจ้า สมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพราะ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านมีอภิญญา ๖ จึงได้เทศนาแสดงถึงสถานที่ต่างๆ ที่พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ไว้อย่างพิสดาร รวมทั้งเทศนายืนยันพระสิทธัตถะราชกุมารเมื่อประสูตรแล้ว ทรงพระดำเนินได้ ๗ ก้าวทันที เพราะจากการสร้างพระบารมี ดังนี้

    "ทานบารมี พระเวสสันดร อยู่นครจำปาศักดิ์ ทานลูก ทานเมีย ทานช้าง เขาไล่หนีไปอยู่ป่า ทานชาลี - กัณหา ทานพระนางมัทรี ตายแล้วเกิดใหม่
    ศีลบารมี พระภูริทัตต์ พญานาคเผือก เกิดขึ้นจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอจอมทอง ภูริทัตต์จำศีล นาคเผือก ตายเหมือนกันนะ จิตไม่ตาย
    เนกขัมมบารมี พระเตมีย์ใบ้ พรหมโลก เมืองลังกา ออกบวช ไม่มีเมีย ตายแล้วเกิดอีก
    ปัญญาบารมี พระมโหสถ กรุงเทวทหะ มีเมีย มีลูก ๔ หญิง ๒ ชาย ๒ ตายอีก
    วิริยบารมี พระมหาชนก ตกน้ำ เป็นไทเงี้ยว มีเมียอย่างมนุษย์ มีลูก ๔ คน ตายอีก
    ขันติบารมี พระจันทกุมาร ไม่มีเมีย ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ตายอีก
    สัจจบารมี พระวิฑูรบัณฑิต กรุงสุโขทัย อันนี้ก็บ่มี (ไม่มี) เมีย ตายอีก
    อธิษฐานบารมี พระเนมิราช ลูกพระเจ้าบุปผาวดีนครเมืองอังวะ ขันธ์จะขาด ฆ่าก็บ่ (ไม่) ตาย พระอินทร์มาช่วย ตายอีกนั่นแล้ว
    เมตตาบารมี พระสุวรรณสาม มอญเมืองหงสา อิสรบัณฑิต มีเมีย ตายจากนั้นไปพรหมโลก
    อุเปขาบารมี พระพรหมนารท กรุงกบิลพัสดุ์
    นี่ละ หัวใจพระศาสนา

    พรหมองค์ที่หนึ่ง พระเจ้าสุทโธทนะ พรหมองค์ที่สอง พระเจ้าสิริมหามายา ลงมาเกิดเมืองกบิลพัสด์ พระเจ้าพิมพิสารอยู่ด้วยกัน มหาพรหมลงมาเกิด เป็นลูกของพระเจ้าจักรพรรดิ เกิดมาแล้วน่ะ เดือน ๖ เพ็ญ วันพุธ คุณยายไปสวนดอกไม้ คลอดพระราชบุตรเสด็จเจ็ดก้าวตีน ปราชญ์ไทยว่าเสด็จเจ็ดพระนคร ไม่ใช่ทั้งนั้น
    ทานบารมีเป็นทานที่หนึ่ง อานิสงส์เวสสันดร ศีลที่สอง เนกขัมมะที่สาม ปัญญาที่สี่ วิริยะที่ห้า ขันติที่หก สัจจะที่เจ็ด เสด็จเจ็ดก้าวตีน"《

    ***ขออนุโมทนา ขอขอบคุณเจ้าของภาพและข้อความ ขออนุญาตเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่มีความศรัทธา ข้อความข้างบนนี้เป็นส่วนหนึ่ง จากหนังสือ "ประวัติ ท่านพระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม" มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หน้า ๓๒๖ - ๓๒๗ สาธุๆๆ***

    c_oc=AQn0RZbd2PeWDl34tan4mTPboX5rZX2IOh01ecvflnnbTFbxOzKgImgzfMw9tZjQaPo&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    ****************************************


     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    อย่าประมาทว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่

    ถาม : ...................................
    ตอบ : สำคัญตรงที่ว่าทำจริงไหม ? ถ้าทำจริง ๆ ก็อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้..ให้ตายลงไปดูสักทีสิ ...(หัวเราะ)... ส่วนใหญ่พวกเรายังทำไม่จริง จนหลวงพ่อท่านระอา..หนีไปแล้ว..! มัวแต่มั่นใจว่าท่านจะอยู่อีกเป็นร้อยปี เออ...มั่นใจไปเถอะ วันไหนฟ้าฝนผิดปกติอาตมาจะลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานรอเลย...ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปแล้วหรือยัง..? ...(หัวเราะ)... เตรียมส่งท่านอยู่เสมอ แต่บอกคนอื่นไม่ได้หรอก บอกคนอื่นเขาจะหาว่าอาตมาแช่งหลวงพ่อ เขาจะด่าเอา

    เมื่อเช้ายังคุยกับโยมที่มาเลี้ยงอาหารเช้า เขาไปบวชอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ก็บอกเขาว่า ลองทบทวนดูว่าช่วงที่บวชอยู่กับช่วงนี้กำลังใจต่างกันอย่างไร ? ช่วงก่อนบวชกับช่วงนี้มีอะไรที่ก้าวหน้าบ้าง ? อย่าลืมว่าถ้าเราทำงานทำการอยู่ ก็ยังต้องมีการประเมินผลตลอด เพื่อจะได้รู้ว่าได้กำไรขาดทุนเท่าไร ? แล้วเราเป็นนักปฏิบัติถ้าหากว่าไม่มีการทบทวนกำลังใจของเรา เราอาจจะเสียท่ากิเลสเมื่อไรก็ได้

    เขาก็เล่าให้ฟังว่ากำลังใจเป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ อาตมาบอกพวกเขาว่า พวกคุณประมาทอยู่จุดหนึ่ง ประมาทว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ ในเมื่อคิดว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ พวกคุณก็ทำกันด้วยความสบายใจเลย

    ในสมัยที่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาคิดอยู่เสมอว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอาจจะตายเสมอ เพราะฉะนั้น..อะไรที่อาตมาเร่งรัดได้ก็เร่งรัด อะไรที่อาตมากอบโกยได้ก็กอบโกย พยายามทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    พวกคุณประมาทเกินไป คิดอยู่เสมอว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ ตัวเองยังจะตายเลย ไปมั่นใจว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ได้อย่างไร ?

    นั่นเป็นการประมาทเกินไป อะไรที่ทำได้ให้รีบทำ โดยเฉพาะพวกเราเป็นรุ่นที่ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง สิ่งใดที่หลวงพ่อสอนไว้เราย่อมมั่นใจแล้ว ถ้าหากว่าเป็นรุ่นลูก ๆ ใครบอกอะไรถูกอะไรไม่ถูก เราก็จะเข้าใจ เราก็จะรู้อยู่ เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเรามีพื้นฐานดีมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เร่งทำเอาไว้ ถึงเวลาเหยียบคันเร่งได้แล้ว แต่ไม่ใช่เร่งอย่างเดียวนะ ให้มีตัวพอเหมาะพอดีด้วย จังหวะไหนควรเร่ง จังหวะไหนควรผ่อน ถ้าทำพอดีก็จะก้าวหน้าเร็ว

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม

    c_oc=AQkjlmaRTezPXWEce91c06_YkyM1ouiS4yIy0FQpaxChDGNucrldCZ-XnOKCUMBxxm8&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQkk5_nVr86pZi1N5lcxmB64fv0YHWZS_s3B13XE7UlZpEsA58cPKC0i_3lK7U27HDQ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    เรื่อง "อย่ามีนิสัยอย่างหมาขี้เรื้อน"

    (คติธรรม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุง ท่านเทศน์บนศาลาว่า

    "ผมนี่นะเลี้ยงหมาไว้ฝูงหนึ่ง ไอ้หมาพวกนี้มันเป็นหมาขี้เรื้อนกันแล้วมันก็คัน มันก็เกาตัวมันแหละ มันลุกสบัดไป แล้วมันก็บอกว่าที่นี่ไม่ดี มันก็ไปนอนที่อื่นอีก แล้วมันก็เกาตัวมันเองอีกแล้วมันก็โทษว่าที่นี้ไม่ดี ไอ้หมาฝูงนี้มันไม่โทษตัวมันเองหรอก มันโทษว่าที่ไม่ดี มันจะต้องย้ายที่ไปเรื่อยๆ"

    แหม โยมคิดดูเถอะ บนอาสนสงฆ์นั่งคอตกเลยหมาฝูงนี้ ท่านบอกไม่โทษตัวมัน หมายความว่า ความคิดฟุ้งซ่านมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่สถานที่ สถานที่เขาอยู่เฉยๆ จิตของตัวเราเองเท่านั้นแหละไม่ภาวนา ไม่ให้จิตมันสงบ แหม ด่าเสียถอนกลดกันหมดเลย โอ ท่านมีวิธีสอนเจ็บแสบเหลือเกิน (นักภาวนาบางท่านเอาแต่โทษสถานที่ว่า ที่นั่นที่นี่ภาวนาไม่ดี ครูบาอาจารย์ไม่ดีบ้าง แต่ไม่เคยโจทก์โทษตนเองเลย)

    (จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๖๐)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQmuC0SlhvTUxvPnKmfZKyFrF-7-VayRL5S1EvWQa5ZZz-CSCmvTTHp3D5-UOnPG2R4&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    ถ้าใครศึกษาพระไตรปิฎก
    แล้วสงสัยว่าการบำเพ็ญบารมี
    แห่งมหาโพธิสัตว์ผู้ควรแก่การบรรลุ
    พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    ในอนาคตกาลเป็นอย่างไร
    ให้มาดูมหาทานแห่งองค์รัชกาลที่ ๙ นี้
    แล้วจะเข้าใจ และจะเชื่อว่าพระโพธิสัตว์
    มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน แต่มีจริง
    และพวกเราก็เกิดทันยุคของพระองค์ท่าน!

    รากอันเป็นที่สุดของกษัตริย์
    คือเมตตาการุณยจิตอันปราศจากประมาณ
    พูดให้ง่ายคือชอบช่วยคนไม่เลือกหน้า

    การที่พระราชาไทยองค์ปัจจุบัน
    ทรงเป็นกษัตริย์โดยปัจจุบันกรรม
    มิใช่เพียงกษัตริย์เพราะอดีตกรรมส่งมากำเนิด
    เช่นนี้เท่ากับพระองค์ท่านทรงช่วยให้เรา
    ตอบลูกหลานได้ง่ายขึ้น
    ว่าทำไมไทยเราจึงยังควรเทิดทูนระบบกษัตริย์
    แตกต่างจากราชวงศ์อื่นในบางประเทศ
    ที่อาจถูกล้อเลียนหรือกล่าวพาดพิงถึง
    อย่างไม่ต้องเกรงใจหาใครลุกฮือขึ้นประท้วงเอาเรื่องไม่ได้

    นั่นก็เพราะคนยุคนี้ดื้อเกินกว่า
    จะเทิดทูนบุคคลที่ปราศจากคุณงามความดี
    คนยุคนี้ไม่แยแสยศถาบรรดาศักดิ์
    เพียงเพราะเกิดในวังอีกต่อไป
    ใครจะอยู่ในหัวใจคนยุคนี้ได้
    ก็ต้องดูแบบอย่างจากกษัตริย์ไทยพระองค์นี้แหละ

    ภาพเดียวแทนพันคำ
    ในหลวงรัชกาลที่ ๙
    ท่านเป็นกษัตริย์ให้ดู
    ว่ากษัตริย์เขาเป็นกันอย่างนี้
    แค่ให้เด็กๆของเราเห็นจากโทรทัศน
    ์ว่าพระองค์ทรงทำอะไร
    ให้อะไรกับพสกนิกรบ้าง
    เด็กๆก็จะเงียบเสียงแห่งความสงสัย
    และหันหน้าไปบอกต่อกันรุ่นต่อรุ่น
    ว่าพระมหากษัตริย์คือใครในแผ่นดิน
    และเหตุใดจึงไม่น่าแปลกใจ
    หากทั้งโลกจะไม่ลืมพระองค์ไปจนสิ้นกาลนาน

    ดั ง ต ฤ ณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQkpaF3QtLOBfgLbzaNv0FLoIyRQJX_a7x7gmiuzIEJr3DPfNgSn5l-wsO9aIcvmxKs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด"


    พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เกาะพระฤๅษี ทางเหมืองสองท่อลงทุนปักเสาไฟฟ้าเข้าไปเอง เขาลงทุนปักเสาเดินสายไฟลงหม้อแปลงเอง หมดไปหลายสิบล้านบาท การไฟฟ้ามีหน้าที่ขายไฟให้อย่างเดียว ฉะนั้น..ไฟห้ามดับเด็ดขาด ถ้าไฟที่นั่นดับ การไฟฟ้าจะโดนปรับเป็นนาที เขาทำสัญญากันไว้

    สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีสบายใจมาก ขนาดต้นไม้ใหญ่ล้มทับสายไฟขาด ๓ เส้น กระชากเสาหักล้มไป ๕ ต้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวันก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้าเป็นที่อื่นไม่มีทางเสร็จ เป็นวัน ๆ ก็ไม่เสร็จ แต่ที่นั่นต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จโดนปรับเป็นนาที มีสรรพกำลังเท่าไร ต้องระดมกันมาหมดเลย งานที่ยากเย็นแสนเข็ญ ทำที่อื่นอาจใช้เวลา ๓ วันเสร็จ ที่นั่นครึ่งวันก็เสร็จแล้ว

    แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือสภาพการรู้ของจิต อาตมานอนหลับอยู่ ไฟฟ้าช็อต..หม้อแปลงระเบิดบึ้ม..! ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ก็รู้ว่าช็อตตรงไหน ใกล้ไกลเท่าไร เดินไปดูได้เลย ตรงตามที่รู้เลย พอหม้อแปลงระเบิด ไฟดับหมดทั้งเกาะ อาตมาก็คว้าไฟฉายไปดูว่าจริงหรือเปล่า อีก ๒๐ กว่านาทีรถวิ่งมาถึงแล้ว แก้ตรงนั้นแหละ หลับอยู่เฉย ๆ ก็เห็นภาพชัด ๆ เลยว่าช็อตตรงไหน อย่างที่โยมเมื่อเช้าถามว่า เอาเหตุปัจจัยอะไรมารู้ เพราะตัวเองไม่ได้ตั้งใจอยากรู้สักหน่อย ?

    อาตมาบอกว่าเกิดจากคำอธิษฐานกรรมฐานของพวกเราที่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" ก็ตัวเองไปอธิษฐานเอาไว้ทุกครั้งที่สมาทานพระกรรมฐาน ถึงเวลาสภาพจิตจึงทำงานเอง"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQmQ3aGTvQ7hc7BgLW8PIXlm5VjCryY0jLs9TT-T_OKCOtuzQL-xqA6MzfRTOW_roCs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    "พระราหู โดยสภาพแท้จริงแล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แปลว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พระราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ในสมัยนั้นสามพี่น้องได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ก็ตั้งใจจะไปทำบุญ พระอาทิตย์ถวายข้าวด้วยขันทอง จึงมีรัศมีกายสว่างเหมือนทองคำ ส่วนพระจันทร์ถวายข้าวด้วยขันเงิน จึงมีรัศมีกายสว่างเหมือนแผ่นเงิน ส่วนพระราหูถวายข้าวด้วยกะบุง อานิสงส์เลยตัวดำมืด

    ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระราหูเป็น ๑ ใน ๘ จอมอสูร มีร่างใหญ่มาก ช่วงกลางระหว่างคิ้วซ้ายถึงคิ้วขวากว้าง ๑ โยชน์ พระราหูได้ยินคุณของพระพุทธเจ้า อยากจะไปกราบ แต่ตัวเองตัวใหญ่ กลัวว่าไปแล้วต้องก้มมองพระพุทธเจ้า เป็นการไม่เคารพ พระพุทธเจ้าทรงทราบ เลยเสด็จไปขวางทาง เนรมิตพระวรกายท่านใหญ่กว่าราหูอีก

    พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดก็มีความพอดีอยู่เสมอ ไปไหนท่านก็ไม่ต้องก้มพระเศียรให้ใคร ราหูจึงตรัสสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ตัสสะ ตัสสะ” จึงเป็นที่มาของคำว่า ตัสสะ ในบทบูชาพระพุทธเจ้า (นะโม ตัสสะฯ)"

    คัดลอกข้อความเพียงบางส่วนมากจาก
    เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ : เก็บตกจากภูเก็ต เดือนธันวาคม ๒๕๕๒

    ถ่ายภาพจาก วัดท่าขนุน
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQno4OveGVagSAO1eX5zI2eQ10_sFG5mMKDq26JdjCohsH-pKgakEjMl1t9qdTMgQ7E&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    สมเกียรติ์ อนัตตา

    มโนมยิทธิของหลวงปู่ดู่

    ผู้ที่เคยเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่ดู่ทุกคนจะรู้ดีว่าเบื้องต้นที่หลวงปู่ดู่สอนคือการทำให้จิตแนบแน่นอยู่กับคำภาวนาคือ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ถ้าจิตแนบแน่นดีย่อมเกิดแสงโอภาสเป็นแสงสว่างแห่งความเป็นทิพย์ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นย่อมสามารถเห็นพุทธนิมิตเป็นภาพพระพุทธองค์ และอาจได้ยินในใจขึ้นมาเป็นเสมือนหนึ่งว่าได้รับฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ โดยเบื้องต้นนั้นหลวงปู่จะบอกนำให้รู้สภาวะแต่ละอย่าง เพราะจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ที่หลวงปู่แนะสอนต่างๆนั้นก็ล้วนเป็นการทำมโนมยิทธิเฉกเช่นเดียวกันกับของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นแนวทางอุบายที่คล้ายกันใกล้เคียงกัน กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่สอนไว้ก็เป็นมโนมยิทธิหรือการสร้างฤทธิ์อำนาจทางใจนั่นเอง

    คำว่า "มโนมยิทธิ" เป็นศัพท์ในพระพุทธศาสนา แปลว่า "ฤทธิ์ทางใจ" จัดเป็นข้อหนึ่งในอภิญญาทั้ง ๖ คำว่ามโนมยิทธิเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเมื้อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนำแนวทางอุบายนี้มาเผยแพร่ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้มาฝึกรู้ว่าสวรรค์ นรก บาปบุญคุณโทษและพระนิพพานมีจริง โดยแนวทางในการฝึกนั้นอาศัยกำลังสมาธิพอประมาณ แล้วเอาคุณพระพุทธเจ้ามาโปรดช่วยรวมทั้งเทพยดาทั้งหลาย มีครูแนะนำใกล้ชิด ผู้ที่ฝึกก็พอจะถอดจิตออกไปดูนรก สวรรค์ได้ตามประสงค์

    การฝึกมโนมยิทธินั้น คือการเอาจิตส่วนหนึ่งถอดไปดูสถานที่ต่างๆแต่ไม่ได้ถอดออกไปทั้งร่าง ดังนั้นผู้ที่เข้าสมาธิแบบมโนมยิทธิส่วนหนึ่งรับรู้เรื่องโลกทิพย์ และส่วนหนึ่งเอ่ยปากบอกครูฝึกตามที่เห็นได้ ถ้าถอดออกไปหมดก็ออกมาพูดไม่ได้ แต่นี่สามารถโต้ตอบขณะเข้าสมาธิอยู่ จึงเป็นการใช้กำลังจิตส่วนหนึ่งเข้่าสู่โลกทิพย์เพื่อไปรับรู้เรื่องราวแล้วเล่าออกมาเป็นฉากๆแจ้งให้ครูผู้ฝึกรู้ได้

    หลวงปู่ดู่เองท่านก็ฝึกอุบายนี้ให้แก่ศิษย์ เพื่อให้ศิษย์มีกำลังใจในการได้พบได้เห็นพระพุทธเจ้าผ่านทางสมาธิจิตที่ใช้แนวมโนมยิทธิ และที่สำคัญจะทำให้เกิดความก้าวหน้าในการทำสมาธิได้เป็นอย่างดี

    หลวงปู่ดู่ฝึกสมาธิโดยให้ศิษย์กำพระ เพื่ออาศัยพลังงานจากองค์พระช่วยให้จิตเข้าสู่กระแสสมาธิได้เร็วขึ้น และกำหนดให้ผู้ทำพบแสงโอภาสและพระพุทธองค์ หรือขึ้นไปแดนนิพพาน ใครที่เคยฝึกกับหลวงปู่รู้เรื่องนี้ดีทุกคน แม้ในปัจุบันผู้ที่ตั้งใจฝึกก็ย่อมสามารถเอาจิตของตนไปกราบหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ได้ด้วยตนเอง แนวทางของหลวงปู่ดู่เริ่มจากการภาวนาไตรสรณคมน์ ของหลวงพ่อฤๅษีคือ "นะมะพะทะ" อย่างไรก็ตามเมื่อภาวนาจนจิตได้ระดับความสงบแล้ว ไม่ว่าภาวนาแบบไหนก็ไปถึงกันได้หมด เพราะคำภาวนาเป็นเหมือนบันไดที่จะก้าวออกไป หรืออุบายเพื่อให้จิตเข้าถึงระดับสมาธินั่นเอง

    @ หนังสือ.....
    อัศจรรย์สมาธิพระโพธิสัตว์
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    * ทิพยจักร *
    ขอบคุณที่มา
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQn14ZEtxLRHSJIWxbagth-K7VFYckeM_ig51K2u-i4zPgvlaq3U6LSIfIw9JcG4yro&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    หมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง

    เรื่องหมาต้องถามหลวงพี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) หลวงพี่ชลอเขาเลี้ยงหมา มีเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท และพี่ชลอเขาจะเป็นคู่รักคู่แค้นของเจ้าใหม่

    เจ้าใหม่เป็นหมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง ผิดท่าผิดทางเมื่อไรเป็นกัดแหลก ขนาดหลวงพ่อตี เขายังกรรโชกใส่ อาตมาก็กะจะเล่นงานให้ร่วงอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อท่านห้าม บอกว่า "ปล่อยมัน..เจ้านี่ชาติก่อนเป็นทหาร ตายตอนกำลังตะลุมบอนอยู่ เพราะฉะนั้น..มันแยกมิตรแยกศัตรูไม่ออกหรอก"

    เห็นคนเงื้อไม้ เจ้าใหม่กระโดดใส่เลย ตบะของเขาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก ขนาดอาตมาที่ว่ามั่นคง..ไม่กลัวนะ ยังรู้สึกว่าไอ้นี่น่ากลัว

    เวลาเช้า ๆ เจ้าใหม่จะวิ่งนำรถหลวงพ่อเข้ามาที่หน้าตึก อาตมาจะยืนรอรับหลวงพ่อที่หน้าตึก เจ้าใหม่จะพุ่งเข้าใส่เลย จะมีท่านน้อยยืนอยู่ด้วย ท่านน้อยจะรีบตะโกน "เฮ้ย ..ไอ้ใหม่ กูเอง ๆ..!" ต้องบอกเขาก่อน แต่อาตมาไม่ได้บอก พอเขาพุ่งจะเข้าใส่ อาตมายืนเฉย เขาก็หยุดคำรามอย่างเดียว แต่ถ้าขยับหนีตอนนั้นเขาจะกัดทันที เพราะอาตมาขี้เกียจส่งเสียง จึงได้แต่มอง มีปัญญาก็กระโดดมาสิ กะว่าเตะทันอยู่แล้ว..!

    ใครอยากรู้เรื่องความดุของเจ้าใหม่นี้ ต้องไปถามหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน) หลวงพี่วิรัชกับเจ้าใหม่เป็นคู่รักคู่แค้นกัน ในฐานะที่หลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ เจ้าใหม่เป็นเจ้านาย เจ้าใหม่นึกอยากจะกัดเมื่อไรก็กัดเลย

    เจ้าใหม่เอาแต่กัดหลวงพี่วิรัช หลวงพี่วิรัชจึงไปสั่งคนงานเหลาไม้ไผ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๒ เมตร กะว่าจะตีกับเจ้าใหม่ พอถึงเวลาหลวงพี่วิรัชถือไม้มา เจ้าใหม่โฮกใส่ หลวงพี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อน ไม้หลุดมือ ปล่อยให้เจ้าใหม่กัดแต่โดยดี...

    เราลองคิดดูว่า คนที่ติดอาวุธพร้อมรบ พอหมาแฮ่ใส่ แล้วมืออ่อนตีนอ่อน ร่วงไปให้มันกัด หมาตัวนั้นต้องน่ากลัวขนาดไหน ? เจ้าใหม่นี่สมกับเป็นนักรบจริง ๆ พอเราตีเขาจะดึงตัวหนีนิดเดียว ไม่ได้หนีไกล พอดึงตัวให้พ้นปลายไม้แล้วกระโดดสวนเลย..!

    เจ้าใหม่เห็นหลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ แต่เห็นหลวงพี่ชลอเป็นศัตรู เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าใหม่ข้ามแดน เดินไปทางด้านหลังหอฉันหลังใหม่ ก็คือท่าน้ำที่ลงไปเลี้ยงปลากัน เขตนั้นกลุ่มพวกเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท เขาเป็นใหญ่อยู่

    พอเจ้าใหม่ไป หมา ๕ - ๖ ตัวที่นั่นก็ลุย เจ้าใหม่ก็สู้ แต่มาเป็นเรื่องตรงที่ว่า หมา ๕ - ๖ ตัวรุม ๑ ตัว ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว แต่พอหมาตัวเองเสียท่าถูกกัด หลวงพี่ชลอกลับตีเจ้าใหม่เพื่อช่วยหมาของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าใหม่จำสุดชีวิตเลย เจอหลวงพี่ชลอเมื่อไรจะต้องกัดให้ได้..!

    ถ้าหลวงพี่ชลอออกมาตรงหน้าตึก ไม้จะต้องไม่ห่างมือ เจ้าใหม่นั้นน่ากลัวขนาดที่ว่า เมื่อกัดต่อหน้าไม่ได้ เพราะว่าพี่ชลอมีไม้คอยตีกันไว้ เขาก็จะอ้อมไปไกลแล้วย่องมาข้างหลัง..!

    พอเห็นแล้วอาตมาก็คิดว่า เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ นั้น กัดกินสรรพสัตว์ทุกหมู่ทุกเหล่าจริง ๆ ขนาดหมายังโกรธยังพยาบาทขนาดนั้น อย่างว่าแหละ..เจ้าใหม่เป็นทหารเก่า และตายตอนที่กำลังตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะฉะนั้น ใครขยับผิดท่าผิดทาง โดนกัดทั้งนั้น เจ้าใหม่ก็เลยทำสถิติกัดโยมที่จะมาเลี้ยงเพลพระไปเยอะมาก

    ท้ายสุด คณะกรรมการสงฆ์ก็ลงมติว่า เอาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ดีกว่า เขาตั้งใจว่าจะช่วยกันต้อนเจ้าใหม่เข้ากรง แล้วเอามาปล่อยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวเทศบาลก็จัดการเอง..!

    ทันทีที่ลงมติเสร็จ เรื่องไปถึงหลวงพ่อ จริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านรอจังหวะอยู่ ท่านบอกว่า "หมาดุมีประโยชน์ ขโมยมันจะเกรง เอ็งก็ปล่อยตอนกลางคืนสิ ขโมยจะได้เข้าวัดไม่ได้ ถ้าจะขังก็เอาเฉพาะกลางวันเท่านั้น"

    ดังนั้น..โครงการพาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ จึงต้องระงับ ครั้นจะไปขังแล้วปล่อยตอนกลางคืน ก็คงจะไม่มีใครขังหรอก พี่ ๆ เขาก็ไม่มีใครไม่เอา อาตมาก็ไม่เอา กลัวว่าจะเจอหมาอาฆาตคอยตามราวี กลายเป็นว่าต้องปล่อยท่านใหม่ให้กร่างทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนเดิม

    อาตมาต้องติดอาวุธยาว..ใช้หนังสติ๊ก ถ้าเจ้าใหม่แฮ่ใส่โยมเมื่อไรอาตมาก็ยิง..! เจ้าใหม่นี่อึดมากนะ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ไม่เคยร้อง จะสะดุ้งหน่อยเดียว แล้วก็หลบไป เพราะเขารู้แล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ก็จะเลี่ยงไปเอง

    วันดีคืนดีคุณใหม่ก็เป็นขี้เรื้อน ขนร่วงทั้งตัว อาตมาเห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงไปซื้อกำมะถันผงมา เอากำมะถันผงมาสัก ๒ กำมือใหญ่ ๆ เปิดน้ำมันพืช น่าจะประมาณ ๑ ลิตร เทลงไปให้หมดขวด คลุกให้เข้ากันก็จะกลายเป็นน้ำเหลือง ๆ ใช้ทาหมาขี้เรื้อน ทาให้ทั่ว ๆ

    อาตมาจัดการทาให้เจ้าใหม่ เขาก็รู้ตัวนะ ยอมให้ทา อาตมาพยายามรีบทาแล้ว แต่เจ้าใหม่เป็นขี้เรื้อนทั้งตัว โดยเฉพาะแถวซอกขาและใต้ท้อง จึงทำให้ช้า พอทา ๆ ไปสักพักหนึ่งยาออกฤทธิ์จะเริ่มร้อน พอร้อนเจ้าใหม่ก็ดิ้น พอดิ้นอาตมาก็ล็อกไว้เพื่อทายาต่อ พอล็อกก็โดนกัดเลย..!

    เมื่อรู้สึกว่าอันตราย เจ้าใหม่จะกัดเลย อาตมาโดนกัดไป ๑๑ เขี้ยว เข้าเฉพาะแถวฝ่ามือ ส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาเป็นรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เข้าเนื้อ

    หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า นอกข้อของดีกันไม่ได้ เพิ่งจะมาเชื่อก็ตอนโดนไอ้ท่านใหม่กัดนี่แหละ และที่กัดได้ถึง ๑๑ เขี้ยว เพราะอาตมาถือว่า มึงมีปัญญากัดก็กัดไป กูจะต้องทาให้เสร็จก่อน ก็ทายาไปเรื่อย ตกลงว่าบ้าทั้งหมา บ้าทั้งคน เท่ากับเป็นคู่รักคู่แค้นกัน

    หลังจากโดนท่านใหม่ฝังเขี้ยวได้ไม่นาน ท่านใหม่ก็หายไปเฉย ๆ

    ปกติแล้วทุกเช้าเขาจะวิ่งนำรถหลวงพ่อ เพื่อมาส่งหลวงพ่อที่หน้าตึก วันแรกที่หายไปคนก็ยังไม่สงสัย วันที่สองคนก็เริ่มระแวง เริ่มตามหาแล้ว วันที่สามตอนเช้ามืด ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาท่านหนึ่งเดินทะลุประตูเข้ามา หน้าเป็นหมาเหมือนท่านใหม่เลย

    ท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องตามหานะครับ ผมตายแล้ว" อาตมาถามว่า "เอ็งเป็นอะไรตายวะ ?" เขาบอกว่า "ตกน้ำตายครับ" แล้วก็ทำภาพให้ดู

    ก็คือแก่แล้วยังซนอยู่ พอเห็นสวะลอยน้ำมาก็ไปงับแล้วยื้อดึงขึ้นมา สวะกองใหญ่มากเขาดึงไม่ขึ้น ตัวเองก็เลยถลำตกน้ำไป ตะกายได้ไม่กี่ที ด้วยความที่แก่แล้วไม่ค่อยมีแรง เขาก็เลยจมน้ำ

    ตอนที่เขาทำภาพให้ดู เป็นวันที่สามแล้ว ลอยอืดแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งภาพมาชัด ก็เลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องชัดขนาดนั้นก็ได้ แล้วมีธุระอะไร ?" เขาบอกว่า "ถ้าจะสงเคราะห์ ก็ช่วยถวายสังฆทานให้ผมด้วยครับ"

    แล้วเขาก็บอกว่า "บอกพวกทหารตำรวจด้วยว่าไม่ต้องตามหาหรอก ผมตายแล้ว" ตอนเช้าพอส่งหลวงพ่อขึ้นตึก อาตมาบอกพวกทหารตำรวจว่าท่านใหม่ตายแล้ว เมื่อเช้าเขามาบอกว่าตายแล้ว ไม่ต้องไปหาหรอก

    พวกทหารเขาเชื่อที่อาตมาพูด แต่มีคนสงสัยก็คือหลวงพี่วิรัช

    ตอนบ่ายหลวงพ่อออกรับแขก หลวงพี่วิรัชจึงฉวยโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า "พระเล็กบอกว่าท่านใหม่ตายแล้วนะครับ" หลวงพ่อบอกว่า "เออ..ตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติจะต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะว่าเขาเป็นพระโพธิสัตว์

    แต่ที่ไปอยู่ดาวดึงส์เพราะว่า ถ้าอยู่ชั้นดุสิตเดี๋ยวโดนนิมนต์ไปเทศน์ที่เทวสภา ท่านใหม่ขี้เกียจเทศน์เลยไปหลบอยู่ดาวดึงส์ อีกไม่นานก็จะมาเกิดใหม่" ส่วนใหญ่พระท่านจะให้หลวงพี่วิรัชไปถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ ไม่มีหรอกที่จะเชื่ออาตมาเสียทีเดียว

    สรุปว่า พอท่านใหม่ตาย แทนที่จะไปหาคนอื่น กลับมาหาคู่รักคู่แค้นอย่างอาตมา ขอให้ถวายสังฆทานให้ด้วย วันนั้นอาตมาก็ฝากทหารไปถวายสังฆทาน

    ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องมาหน้าเป็นหมาด้วย เขาบอกว่า "ถ้ามาหน้าเป็นเทวดา เดี๋ยวจะจำผมไม่ได้" ลองนึกถึงคนที่แต่งตัวเป็นลิเกแล้วมีหัวเป็นหมา จะดูตลกแค่ไหน ?

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสนั้นกินทั้งคน ทั้งสัตว์ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกรูปนาม ไม่เว้นเลย หมู หมา กา ไก่ โดนกินหมด

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : www.watthakhanun.com
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQlsUYWLsdx9UHcTZW9e6J0jxCD-s9TSrCymL1OfLpMH7n6aYLN9YdkM5-hYwTu1LFU&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี


    ถาม : ทานที่มาจากวัตถุ กับทานที่เราทำอย่างธรรมทาน อภัยทาน อานิสงส์นั้นเทียบกันได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ทานทั้งหมดอยู่แค่กามาวจร ก็คือไม่สามารถจะเกินเทวดานางฟ้าไปได้ ยกเว้นว่าเราสามารถทำจนเป็นฌาน ก็สามารถเป็นรูปาวจร คือเกิดเป็นพรหมได้ แต่ถ้าหากว่าทำโดยที่สามารถปล่อยวางได้ มีอุเบกขา ก็เป็นส่วนที่ทำให้เราหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น...ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำของเรา แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดยังเป็นแค่ทานเท่านั้น ยังมีศีล ยังมีภาวนา ที่สูงกว่านั้นอีก
    ...........................................
    ๖๐ ปี พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ..........................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQkJWFf93wRFR7w46VHRMnhOa9RI7ke1qeoFa-z0swS6jH3MYfGaMK5MCV3N_JlclFc&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ เรื่องอื่นไม่ต้องไปกังวล

    ถาม :
    รู้สึกกังวลใจ ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลล่วงหน้า จำเอาไว้ว่าคนเรามีบุญมีกรรมเป็นของตัวเอง ถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรถึงเวลามันก็ต้องมีคนช่วยเหลือ ถ้าหากวาระกรรมเข้ามาตัดรอน ต่อให้มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ก็อาจจะต้องสูญเสียไปหมด อย่าไปห่วงเลย มีหน้าที่ทำดีละชั่วเท่านั้น

    ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ เรื่องอื่นไม่ต้องไปกังวล เพราะว่ายังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่า อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปคำนึงถึงอดีต เพราะมันผ่านมาแล้ว รถที่มันวิ่งเลยไปแล้ว เราขึ้นไม่ได้หรอก นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้หรอก ปจฺจุปนฺเนน ยาเปนฺติ เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น เพราะว่ารถขบวนนี้ที่จะออกเราจึงจะขึ้นมันได้

    เราถึงได้มีวันเดียวและตอนนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นช่างมัน

    ถาม : กังวลว่าตัวเองจะไม่มีอะไร ?
    ตอบ : คนไม่มีอะไรเลยอาตมาขอยืนยันว่าน่าอิจฉามาก ไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีอะไรจะเสีย

    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQlhspdxh_EF6MFn6RDTi0RFFb5j6X7KSNEi1kQfbOeIjgr99EHb08c98gj1g8812HM&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ******************************************************

    มนตราเพื่อกำจัดอุปสรรค

    " โอม อาโลลิกะ สวาหา "


    มนต์นี้เป็นปัญญาทั้งหมด
    ของพระพุทธโพธิสัตว์ แห่งตระกูลปัทมะ
    เป็นมนต์ที่แสดงออกถึงกาย วาจา ใจ
    ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

    1. หากสามารถท่องมนต์ 3,500 ครั้ง
    มนต์นี้จะสร้างความเมตตาให้กับผู้สวดท่อง ผู้ที่ได้สัมผัส
    หากพบหน้าผู้ที่สวดท่อง จะบังเกิดจิตเอื้ออารี
    พ้นจากภัยคุกคาม

    2. หากสามารถท่อง 8,000 ครั้ง
    วจีกรรมที่ก่อจะค่อยๆ ดับสิ้นลง

    3.หากสามารถท่อง 10,000 ครั้ง
    สิ่งที่ปรารถนาจะสำเร็จ บุญกุศลจะค่อยๆเพิ่มพูน

    4.หากสามารถท่อง 100,000 ครั้ง
    ภายใน14วัน อุปสรรคทั้งมวลที่ติดขัด จะสิ้นสลายไป

    5.หากท่องครบ 84,000 ครั้ง เรื่องต่างๆที่มุ่งหมายไว้
    เช่นกระทำเพื่อการค้า การศึกษาหาความรู้ การสอบ จะบรรลุวัตถุประสงส์ได้โดยง่าย ยกเว้นแต่เรื่องเดียว คือ เรื่องความต้องการทางเพศ ที่มนต์นี้มิอาจตอบสนองให้บรรลุ

    6.หากเป็นไข้หนาวสั่นโดยอยู่ไกลจากหมอ
    พึงสวดมนต์นึ้ลงที่ฝ่ามือ จากนั้นถูฝ่ามือให้ร้อน แล้วทาบลงที่หน้าผาก พิษไข้จะทุเลาเพราะคุณแห่งพระอวโลกิเตศวร

    7.เมื่อคุณจะแปรงฟันในยามเช้าหลังตื่นนอน
    โบราณใช้ไม้สีฟัน แต่ปัจจุบันใช้แปรงสีฟัน
    พึงเสกธารณีนี้ลงบนแปรงสีฟัน 21 จบ
    จะทำให้คุณมีโวหารในการพูด มีวาจาที่มั่นคง
    ผู้ฟังจะมิเกิดจิตอกุศลจากเสียงของคุณ

    8.หากคุณจะถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา หรือมอบแก่ผู้ที่คุณเคารพ พึงเสกดอกไม้ด้วยมนต์นี้ กลิ่นของความหอมของดอกไม้ที่ผ่านการสวดบูชาด้วยมนต์นี้ จะยังให้เกิดความปรีดา ปราโมทย์แก่ผู้ที่ได้รับ

    น้อยที่สุดพวกเธอก็ควรสวดในทุกๆวัน ที่เธอนึกขึ้นได้
    อย่ามัวแต่ใช้เวลาไม่คุ้มค่าไปวันๆ เธอจะได้ใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างมีความสุข เสมือนว่าเธอกำลังเดินตามรอยเท้า
    ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อันเป็นแผนที่ที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากทุกข์นั่นเอง

    ธรรมเทศนาของพระธรรมจารย์ไห่เทา
    แปลถวายพระรัตนตรัย โดย อู๋จิ้นเติง

    #ทีนี้น้อยที่สุดขณะเธอหยิบแปรงสีฟันพึงระลึกถึงกวนอิม
    #บีบยาสีฟันว่ามนต์โอมอโลลิกะสวาหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    #แปรงฟันก็ยังปฏิบัติธรรมได้พบพระกวนอิมได้ทุกๆที่
    #ง่ายขนาดนี้แล้วเธอยังจะไปไหนกันอีก
    #แน่นอนละว่าเธอจะไม่คลาดแคล้วไปจากสุขาวดีอย่างแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQkwh8vudOLctPOAieXCOp4cXOXyzeWrMyumUyckWQlTZuUbPFBXJ0TDyc_ruZchzqk&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.png
    พระโพธิสัตว์


    ตั้งน้ำอธิษฐานรักษาโรคได้อัศจรรย์ของ
    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด กรุงเทพ

    การเตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อยมิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์
    เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น

    คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้
    “ข้าพเจ้าตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือนเป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์...(นอกจากนี้พูดเอาเองตามชอบใจ)...”

    เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์
    ของที่ให้อธิษฐานเองนอกจากน้ำ ศิษย์บางท่านได้กล่าวว่าความจริงยังมีไพลอีกอย่างหนึ่งที่ท่านอนุญาตให้ลูกหลานหรือศิษย์อธิษฐานเองได้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการอธิษฐานน้ำ

    วิธีใช้ของอธิษฐานบางอย่าง ของอธิษฐานทุกชนิดย่อมใช้ประโยชน์ตามของนั้น ๆ แต่มีระเบียบในใบตั้งน้ำของคุณแม่กล่าวถึงรายการพิเศษอยู่บ้าง ขอนำมาลงไว้ ท่านกล่าวว่า “ปูนต้องนำมาให้อธิษฐานให้ พริกไทยใช้รับประทานวันละเม็ด ไพลใช้รับประทานครั้งหนึ่งเท่าศีรษะมือ โขลกให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำอธิษฐานพอสมควร ถ้าเป็นบิดเติมน้ำปูนใส ถ้าท้องผูกเติมเกลือแล้วไม่ต้องใช้น้ำปูนให้ใช้น้ำอธิษฐานค่อนแก้วดื่มก่อนนอนจะถ่ายได้”

    คำอธิษฐานทั่วไป “ข้าพเจ้าสมมุติว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลของเหล่านี้ให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทิพย์ ใช้รักษาโรคให้หายทุกชนิด ให้มีแนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน” (ปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานตามไปด้วย)

    ผู้เป็นลูกหลานและศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม หรือผู้เคารพเลื่อมใสนั้น แม้คุณแม่บุญเรือนจะวายชนม์ไปแล้ว ก็ยังคงตั้งน้ำอธิษฐานให้มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้รับประทานได้เช่นเดิม ขอทุกท่านที่เคยทำไปแล้วก็โปรดทำต่อไป ส่วนผู้ไม่เคยทำก็ได้โปรดลองทำดูติดต่อกันไปหลาย ๆ เสาร์ แล้วท่านจะประหลาดใจในผลของน้ำอธิษฐานอย่างน่าพิศวงทีเดียว เช่น เด็กในบ้านที่เคยเจ็บป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้งอย่างคาดไม่ถึง
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQmp16nwKo7qPA-URoH8uGe1pGiPZnsuq9FUngAaDgz7h2DHUp3XBoCWL4e883aOBkg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ สงเคราะห์โดยไม่มีประมาณได้จริง ๆ หรือเปล่า +++

    ถาม :
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราให้ของแล้ว เขาจะตอบแทนเรามาในทางที่ดี ?

    ตอบ :
    ให้ไปตามปกติ ส่วนให้แล้วเขาจะตอบแทนอย่างไร #เราก็รับเอาไว้ตามระเบียบแค่นั้นเอง ก็ในเมื่อเราตั้งใจสงเคราะห์คนอื่นเขา ถึงเวลาอะไร ๆ ดีหรือไม่ดีตอบแทนมาก็ทน ๆ เอา #เป็นการพิสูจน์ว่ากำลังใจของเราเป็นอัปปมัญญา #ก็คือสงเคราะห์โดยไม่มีประมาณได้จริง#หรือเปล่า ถ้ายังเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ก็ยังใช้ไม่ได้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘


    พุทธานุสติ ธรรมทาน ท่าขนุน
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQlsjtQWiAkMd-NFLVal0ltotwiXkXOrK3E7aNxPUpH_Nx3ODlR3XXn2IVtoZ7XLdac&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQkLjLoMqDgZkLlugzBpsPqi0z5CRXm7kKYTqfAC_OQkWEj4y00kYj91i7yjiKYjFT8&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQl8Y3e4SPzJhAVT7AJiwwUSuhsfuSiDd6sqEXGEWa7dPJaNeSpnrQH8wFxbL4BxNvI&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    คุณรู้จักความดีของเต่าบ้างไหม ? เต่าอยู่ในน้ำได้ อยู่บนบกก็ได้ เต่าเป็นสัตว์ ๒ โลก มาเห็นอะไรบนบกจึงไปเล่าให้ปลาในน้ำฟัง เล่าให้ตายปลาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าปลาไม่เคยขึ้นบก

    ถึงได้บอกว่า นักปฏิบัติรู้เรื่องอะไรอย่าไปเล่าให้คนอื่นฟัง คนที่ไม่ได้ทำเองไม่รู้เรื่องด้วยหรอก นกบินอยู่บนฟ้า ไปบอกปลาในน้ำว่าข้างบนหน้าตาเป็นอย่างไร ปลาไม่เชื่อหรอก เพราะว่าปลาเห็นแต่ในน้ำนั่นแหละ ขนาดน้ำปิดลูกตาปลาอยู่ ปลายังไม่เห็นเลยว่าน้ำเป็นอย่างไร

    ความดีของเต่าอย่างที่ ๒ คือ เดินช้า แต่มีใครเคยเห็นเต่าเดินถอยหลังไหม ? ไม่เคย..เต่าเดินช้าอย่างไรไม่ว่า แต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว ต้องเลียนแบบเต่าให้ได้นะ

    ความดีของเต่าอย่างที่ ๓ เหมาะสำหรับนักปฏิบัติอย่างมากเลย เต่ามี ๑ หัว ๔ ขากับอีก ๑ หาง ถ้าเปรียบเทียบกับของเราก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างพอดี อันตรายเกิดขึ้นมา เต่าหดอวัยวะหมดเกลี้ยงเลย อันตรายไม่ผ่านไปเต่าก็ไม่โผล่ออกมา หัดรู้จักเลียนแบบเต่าบ้าง ที่เราว่าโง่เง่าเต่าตุ่นน่ะ เต่าฉลาดกว่าเราเยอะเลย พวกเรานี่ชอบยื่นหัวออกไปให้เขาฟัน อยู่ในวัดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบสึกออกไป สมควรโดน..! กลายเป็นยำเต่าไปเถอะ

    ฉะนั้น..ในเมื่อเห็นความดีของเต่า ก็ให้เลียนแบบไปบ้าง ถ้ารู้จักคิด..ทุกสิ่งรอบด้านของเรา เอาขึ้นมาคิดให้เกิดเป็นตัวปัญญาได้หมด เพียงแต่ว่าเป็นปัญญาแบบไหน ? ปัญญามี ๓ ประเภท สหชาติกปัญญา ปัญญาที่ติดตัวมาพร้อมกับการเกิด อีกศัพท์หนึ่งเขาเรียกว่าสัญชาตญาณ รู้จักวิธีกิน รู้จักวิธีนอน รู้จักวิธีหลบภัย รู้จักการสืบพันธ์ุ เป็นสัญชาตญาณเลย เพราะสั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า

    ปัญญาอย่างที่ ๒ เรียกว่า ปาริหาริกปัญญา เป็นปัญญาที่มาศึกษาเรียนรู้เอาในปัจจุบันนี้ ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้อ่านมา ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา พ่อแม่อบรมมา ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองอีกอย่างหนึ่ง รวมแล้วเป็นปาริหาริกปัญญา

    ปัญญาตัวสุดท้าย เรียกว่า เนปักกปัญญา เป็นปัญญาที่หาทางเอาตัวรอดจากวัฏสงสาร พยายามเสาะหาว่าทางไหนที่จะพ้นทุกข์ จนกระทั่งในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็พบ แล้วนำมาบอกต่อ คือ มรรค ๘ ย่อลงมาเหลือ ศีล สมาธิ และปัญญา"

    คัดลอกข้อความเพียงบางส่วนมากจาก
    พระอาจารย์ให้โอวาทก่อนพระสึก ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗

    ถ่ายภาพจาก วัดท่าขนุน
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    "การปฏิบัติธรรม เราไม่จำเป็นต้องไปอวดใคร ทำ..แต่อย่าอวดใคร เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมนั้นคนเขามองเป็น ๒ อย่างด้วยกัน อย่างที่ ๑ ก็คือเห็นเป็นผู้วิเศษ แล้วก็จะมากวนเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน

    อีกอย่างหนึ่งคือเห็นว่าเราบ้า ถ้าเขาเห็นเราบ้าเฉย ๆ แล้วไม่ยุ่งกับเราก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ส่วนใหญ่คอยตามว่า เพราะฉันเป็นคนดี ในเมื่อฉันเป็นคนดีก็ต้องเฉ่งคนบ้าให้ได้ คราวนี้คุณเห็นแล้วหรือยังว่าโลกเราเป็นอย่างไร ?"

    คัดลอกข้อความเพียงบางส่วนมากจาก
    พระอาจารย์ให้โอวาทก่อนพระสึก ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗


    ถ่ายภาพจาก วัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...