เสริมกำลังใจ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 9 พฤศจิกายน 2010.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    a.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 เมษายน 2016
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน


    "เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ (ในหลวง)
    ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีเป็น
    ปรมัตถบารมี เหลืออีก ๕ ชาติ
    และที่พระองค์ทรงปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่
    ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก
    ต้องบำเพ็ญถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป
    นี่เกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว แสนกัปอาจยังไม่ครบ
    จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"



    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤษภาคม 2016
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน


    "พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญ
    ว่าควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ แล้วมันดีเอง
    ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา
    การที่เราดี เพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ
    นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว"


    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    [​IMG]
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    เชื่อหลวงปู่สุดหัวใจ แต่ทำไมยังไม่เป็น

    เชื่อหลวงปู่สุดหัวใจ แต่ทำไมยังไม่เป็น"



    คำถามนี้ชวนให้นึกถึงตอนที่หลวงปู่สอนผม
    ช่วงมาหัดภาวนากับท่านใหม่ ๆ
    หลังจากที่ท่านสอน "บทเรียน บทแรก"
    ท่านทำให้ผมหลับตา "เห็น" ภาพพระพุทธเจ้า
    ตอนกลางวันต่อหน้าท่าน ที่วัดสะแกแล้ว
    จากนั้นเป็นเวลานานนับปี
    ที่ผมไม่เคยเห็นภาพอย่างวันนั้นได้อีก
    อยากเห็น อยากทำให้เป็น มาถวายหลวงปู่
    ทำเท่าไร ๆ ก็ยังไม่เห็น ไม่เป็น
    เมื่อมากราบหลวงปู่ท่านได้แต่บอกว่า
    "หมั่นทำเข้าไว้ ๆ ข้าล่ะทำมา ๕๐ ปี
    ทำจนหายอยากแหละแก"
    ผมมานั่งนึก ...
    อ้อ! เราเพิ่งทำแค่ปีเดียว
    จะเอาให้ได้สักเท่าไรเชียว
    อีกครั้งหนึ่ง นึกอยู่ในใจต่อหน้าหลวงปู่
    "ทำไมไม่เป็น (อย่างที่ท่านบอก) เสียที"
    หลวงปู่ตอบทันที เหมือนได้ยินความคิดผม
    "ตอนเกิดมาจากท้องแม่นี่
    แกพูดได้เลยมั้ย
    ปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน แกเชื่อจริงมั้ยล่ะ
    เหมือนจะเชื่อ
    พอทำ ๆ ไปหน่อย ก็คลาย
    ยังเชื่อไม่จริง
    ถ้าทำจริง
    ข้ารับรองว่าต้องได้"
    เล่าไว้เป็นกำลังใจกัน
    วันที่ยังมีลมหายใจ ได้กราบพระอีก ๑ วัน



    ที่มา : (Admin) luangpudu.com / luangpordu.com




    [​IMG]
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    ช่วยกันไลค์และแชร์ !! ความมีน้ำใจของพี่ผู้ชายท่านนี้ ขาพี่เดินไม่ได้ ต้องเคลื่อนคลานไปมา พอคุณพี่ท่านนี้เคลื่อนคลานผ่านหน้าร้านที่มีต้นกฐินตั้งไว้อยู่ พี่ตะโกนเรียก "เอาไม้ให้หน่อย อยากทำบุญ " ผมถึงกับซึ้งกับน้ำใจคน ถึงแม้ร่างกายจะไม่ปกติ แต่จิตใจพี่ดีกว่าหลายๆคนที่ปกติเสียอีก


    [​IMG]


    เพื่อนส่งภาพเล่าเรื่องมาให้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,511
    39406237_1004539743041249_7352106445854212096_n.jpg
     
  9. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,511
    45506210_1050760818419141_3639559787756126208_n.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    c_oc=AQnE5Ne6BkvNXCBEX7-pzKasIaPIYxb7yVtAMFoIht6IwHsfYqz4mFZJ6uAVQwjV4yQ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นกำลังใจในระดับปรมัตถบารมี ก็คือกำลังใจสูงสุด
    ซึ่งแปลว่าเราสามารถที่จะเร่งรัดตนเองให้เข้มข้นกว่านี้ ให้เคร่งครัดมากกว่านี้ แต่เราก็ทำตนเหมือนคนมีเวลามาก ก็คือไม่ได้เริ่ม ไม่ได้เร่งเสียที

    อย่าลืมว่าความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน ความตายมาประชิดติดตัวแล้ว ยังประมาทว่าเวลาเหลืออีกมาก สมควรหรือไม่สมควร เราก็ค่อย ๆ พิจารณาดู

    การเกิดมาเป็นมนุษย์ยากเหลือแสน ท่านเปรียบว่าเหมือนเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง ไปทิ้งอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม มีแอกเล็ก ๆ ที่พอสวมคอเต่าได้ทิ้งอยู่ในนั้นด้วย ระยะเวลา ๑๐๐ ปี เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๑๐๐ ปีโผล่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าศีรษะสวมแอกพอดีถึงจะมีสิทธิ์มาเกิดแค่ครั้งหนึ่ง เราเกิดยากได้ขนาดนี้ จงอย่าได้ปล่อยชีวิตให้สูญเปล่า

    การที่จะได้พบพระพุทธศาสนาก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าเวลาที่โลกอยู่ในช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา มีมากกว่าจนประมาณไม่ได้ ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะได้ฟังธรรมก็แสนยาก เรามาลองพิจารณาดูว่า บุคคลทั่วไปในประเทศไทย ๖๘ ล้านคน ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ มีสักกี่คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นปกติ ? ได้ฟังธรรมแล้วจะเกิดความเลื่อมใสก็แสนยาก เลื่อมใสแล้วจะมีโอกาสปฏิบัติธรรมก็ยาก หลายคนตั้งใจจะมาวัดเมื่อไร ก็มักจะมีอุปสรรคขัดขวางจนมาไม่ได้ทุกที

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเรายังมัวแต่ประมาทอยู่ ถ้าหากว่าตายวันใดแล้วไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็แปลว่าชีวิตนี้เป็นหมันและสูญเปล่า โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรและแม่ชี ที่ถือว่าเป็นนักบวช มีโอกาสมีเวลาในการปฏิบัติมากกว่าญาติโยมหลายเท่า แต่กลับปล่อยให้ระยะเวลาผ่านไปวัน ๆ โดยไม่ได้ทุ่มเทจริงจัง ต้องบอกว่าถ้าเราไม่ตายเสียก่อน ก็ครูบาอาจารย์อาจจะตายเสียก่อน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วมาคร่ำครวญว่าเรายังไม่ได้อะไรเลย แล้วจะไปโทษผู้ใดได้ ?

    เวลายิ่งน้อย ควรที่จะยิ่งทุ่มเทให้มากเข้าไว้ กอบโกยให้มากที่สุด เพื่อที่ถึงเวลาเราจะได้มีเสบียงในการเดินทางข้ามวัฏสงสารไปให้ไกลที่สุด ซึ่งหมายถึงว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายไปมากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องเกิดใหม่ครั้งต่อไป เป้าหมายของเราก็จะได้ไม่ไกลมากนัก
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    c_oc=AQmi9J28GD1OvezXHkburttx3iIc7LDMxgZ6haWV4asPHeXtY41wVPT9F2uTrEegJ2U&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    ตั้งแต่สวดบทจักรพรรดิ์มา มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นไหมคะ

    ส่วนตัวเป็นเรื่องที่แปลกและอัศจรรย์ ที่ไม่ทราบว่าจะไปปรึกษาใครได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีก่อน มีคนส่งลูกแก้ว จักรพรรดิ์มาให้ที่บ้าน ก็ไม่ได้คิดอะไีร เพราะส่วนตัว ก็ปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นมาตลอด ในคืนนั้นเองคืน ฝันเห็นหลวงปู่ดู่ ซึ่งในฝันสว่างมาก ท่านกวักมือเรียกให้เข้าไปหา และถามไถ่แบบมีเมตตามาก รู้สึกอัศจรรย์ตรงที่ ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่ ทำไมมันชัดเจนขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่คิดจะสวดบทจักรพรรดิ์ เพราะคิดว่า สวดบทไหนคงไม่สำคัญเท่าการปฏิบัติ แต่ก็ศัทธาค่ะ เลยปริ้นท์ บทสวด ออกแจกจ่ายคนที่มีปัญหาและหาทางออกไม่เจอในชีวิต พอเขาไปสวดก็ดีขึ้นกันหมด ส่วนตัวดิฉัน ก็ยังไม่สวด จนผ่านไปหลายปี และเริ่มมีปัญหาเข้ามามากมาย ให้รู้สึกท้อมาก ในคืนนั้นเอง กำลังกลับที่พัก(ไปพัก ตจว ) ตาเหลือบไปเห็นลูกแก้ว ในโพรงหญ้าทั้งรกและมืดแต่ก็มองเห็น และสงสัยว่า คือลูกแก้วอะไร ทรงมันแปลกดี มันมีครึ่งเดียว ด้วยความสงสัย เลยเก็บมาที่พักด้วย ในคืนนั้นเอง ก็ฝันเห็นหลวงปู่ดู่เป็นครั้งที่สอง ในรอบหลายปีค่ะ ในฝันท่านกำลังสอนกรรมฐานคนจำหนึ่งในห้อง คล้ายๆตึกแถว ที่เขานิมนต์ท่านไป พอท่านเทศน์ พระผง ที่ท่านกำอยู่ในมือ แตกตัวเป็นพระธาตุ คนเก็บกันชุลมุน พอตื่น รู้สึกแปลก ว่าทำไมฝันเห็นท่าน เลยไปถามเจ้าของบ้านว่า ลูกแก้ว แบบนี้ได้มาจากไหน เจ้าของบ้านบอก "อ่อ สมัยสร้างบ้านแรกๆ ขอมาจากวัดถ้ำเมืองนะ เอามาหว่านรอบบ้าน ให้เป็นมงคล" ตอนที่ฟังเขาพูดจบก็ช็อคไปบ้างค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอของจริงแบบนี้ สรุปเราไม่ได้ฝันเพ้อเจ้อไปหลังจากนั้น เลยเริ่มพิจารณาตัวเองแล้ว ว่า หลวงปู่ท่านคงอยากให้สวดหรือเปล่า ก็เลยเริ่มสวดบทจักรพรรดิ์ค่ะ ในคืนแรกที่สวด จิ้งจกร้องทักทั้งบ้านเลย แต่ก็ยังไม่เข้าใจ มันคงร้องเป็นปกติ สวดทุกวัน บางคืนสวดเสร็จมีเรื่องอัศจรรย์มาก คือตอนก่อนใกล้จะหลับ เห็นตัวเอง ลอยลิ่วไปบนอวกาศ (จะว่าเพี้ยนก็ได้นะคะเจอมาแบบนี้) เห็นหมู่ดาวต่างๆสวยงามมาก และได้ยินเสียงดนตรี ที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเพราะจับใจเหลือเกิน มีเสียงคนร้องด้วย แต่ไม่ใช่ภาษาเราค่ะ แต่ตอนนั้น รู้สึกตัวหมดทุกอย่างแค่ลืมตาไม่ได้ ใจเป็นปีติมาก จนลืมตาขึ้น นึกปลื้มใจ นี่คืออะไรหนอ เราเกิดมากี่ปีกี่ชาติไม่เคยเจอเรื่องราวแบบนี้มาก่อน เล่าให้ใครฟังเขาคงไม่เข้าใจขะหาว่าบ้าได้ และเป็นอีกหลายครั้ง บางคืนถึงกับดิ่งลงข้างล่าง ไปเจอเขากำลังลงโทษกัน (คงจะทราบนะคะว่าที่ไหน ไม่อยากเอ่ย)
    หลังจากที่สวดบทจักรพรรดิ์ ชีวิตก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ ได้งานที่ดีมาก และมีคนยื่นมือมาช่วยเหลือตลอด
    ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นประสพการณ์ส่วนตัว ที่เจอมา สำหรับท่านที่ท้อแท้ในชีวิตอยู่ อย่าท้อค่ะ สวดต่อไปปฏิบัติต่อไป เดี๋ยวก็ดี หลวงปู่ท่านคอยช่วยอยู่ แต่จะให้สำเร็จผลจริงๆเราต้องมีทุนเดิมด้วย พยายามรักษาศีลให้ครบ ท่านจะช่วยได้ไวนะคะ


    ***********************************

     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    บนเส้นทางการสร้างบารมี


    baramee.gif
    ๑.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    การที่เราจะได้อะไร หรือจะพบความสำเร็จ
    ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบง่ายๆ นั้น
    ย่อมไม่มีสำหรับเรา

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น มีขึ้น ที่จะได้มา
    จะต้องใช้ความอดทน ความพากเพียรพยายาม
    และใช้สติปัญญาอย่างสูงสุด เข้าแลกเสมอ ถึงจะได้มา.

    ๒.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    บนเส้นทางที่เราเดินนั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม
    เต็มไปด้วยก้อนหิน ก้อนกรวดที่แหลมคม
    เต็มไปด้วยอุปสรรค และปัญหานานัปประการ

    บนเส้นทางที่เราเดินนั้น
    ไม่ได้ปูด้วยพรม โรยด้วยกลีบกุหลาบใดๆทั้งสิ้น
    จำต้องเดินด้วยความระมัดระวัง
    มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา.

    ๓.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    ความรู้สึกท้อแท้ ท้อถอยก็ดี
    ความรู้สึกหมดหวัง สิ้นหวังก็ดี
    สามารถเกิดขึ้นได้เสมอกับจิตใจเรา
    และเมื่อมีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้น
    ให้พึงคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาของจิตใจ
    ที่ยังไม่ได้มาตฐาน ที่ยังไม่ถึงบุญ ยังไม่ถึงขั้น
    ถือเป็นเรื่องปกติที่ติดตัวเรามา หลายภพหลายชาติแล้ว

    ให้คิดเสียใหม่ว่า ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ คือ
    พลังงานที่จะช่วยบ่มเพาะ ช่วยให้เกิดพลังปัญญา
    เกิดกำลังใจอย่างสูงสุดแก่เราได้เป็นอย่างดี.

    ๔.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    ความสะดวกสบายสำหรับชีวิตเรานั้นย่อมไม่มี

    อย่าได้คิด อย่าได้โหยหา แสวงหา ในความสะดวกสบาย
    เพื่อนำมาปรนเปรอเสพสุขเป็นเด็ดขาด
    เพราะเมื่อเราคิดเช่นนั้นเมื่อไร
    เราก็จะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนทันที

    จงมีชีวิตอยู่อย่างปกติ อย่างมีความสุข
    ในสิ่งที่มี ที่ได้ ที่เป็น
    ในความไม่สะดวกความสบาย
    ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี.

    ๕.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    โลกส่วนโลก เขาส่วนเขา เราส่วนเรา
    จะนำมาเปรียบเทียบเคียงกันไม่ได้
    เพราะมันเป็นเรื่องของคนละบุญ คนละวาสนา คนละบารมี
    คนละความสามารถ และคนละโอกาส
    จะให้ดีเท่าเขา จะให้สำเร็จเท่าเขา จะให้ได้เท่าเขา นั้นเป็นไปไม่ได้
    จงพอใจในสิ่งที่ตนได้ ในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนเป็น.

    ๖.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะทำให้เรา
    พบกับความเสื่อม ความฉิบหาย ความเดือดร้อนได้
    นอกจากจิตของเราที่คิดผิด หลงผิด

    จิตที่คิดผิด หลงผิด
    นั้นคือ เหตุที่จะทำให้เรา
    พบความเสื่อม ความฉิบหาย ความเดือดร้อนได้

    จิตที่ไม่เชื่อในบาปบุญคุณโทษ
    จิตที่ไม่เชื่อในกรรมเวร
    จิตที่ไม่เคารพในพระธรรมคำสั่งสอน
    จิตที่วิ่งตามอารมณ์ของกิเลส
    จิตที่มากด้วยมานะ ตัณหา ทิฏฐิ
    นั้นแหล่ะ คือ จิตที่คิดผิด จิตที่หลงผิด.

    ๗.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆ ว่า…
    ชีวิตเรานั้น มีอยู่พียงแค่วันเดียวเท่านั้น
    พรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเรา
    และในวันเดียววันนั้น คือ วันที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา

    ลมหายที่เราหายใจเข้า และหายใจออกนั้น
    คือ พลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้
    เพียงเพื่อให้คิดดี ทำดี พูดดีเท่านั้น
    ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อื่นใดทั้งสิ้น.

    ๘.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆ ว่า…
    การกระทำทุกๆการทำ ทุกๆคำที่พูดออกไป
    แม้แต่จิตที่คิดด้วยก็ตาม

    จงให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข
    แก่เทวดา และมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย

    และเมื่อคิดแล้ว ทำแล้ว พูดแล้ว
    ก็จงอย่าได้หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
    จงมองให้เห็นแม้กระทั้ง ภาพที่กำลังหยิบยื่นไป
    เขารับไปได้ไม่กี่วินาที แล้วเขากลับมาด่าเสียๆหาย
    ก็จงอย่าได้เสียใจ อย่าได้น้อยใจ
    ในความดีที่เราได้ทำไปเป็นเด็ด

    เพราะเมื่อเราเสียใจ เสียดาย หรือไม่พอใจ
    มันจะเป็นเหตุให้บุญบารมี คุณธรรมเรา
    เสื่อมได้ หมดได้ หกได้ หายได้.

    ๙.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆ ว่า…
    ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างที่เราทำลงไปนั้น
    อย่าได้หวังว่าจะมีใครเห็นดีเห็นงามด้วย
    หรือจะรอใครมาให้กำลังใจเด็ดขาด

    ทุกขณะจิตควรน้อมนึกถึงแต่พระพุทธเจ้า
    พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์เท่านั้นก็พอ

    เมื่อเราคิดถึงท่านเหล่านั้น
    เราจะได้รับพลังอันบริสุทธิ์จากท่าน.

    ๑๐.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆ ว่า…
    สิ่งที่เราทำลงไปนั้น
    จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม จงอย่าได้ไปกังวลกับมัน
    จงพยายามทำให้ดีที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด

    มันไม่เสร็จในชาตินี้ ชาติหน้าก็ต้องสำเร็จ
    งานทุกๆงาน จะต้องใช้ความพากเพียรพยายามทั้งสิ้น

    ตัวงาน คือ ครู คือ อาจารย์ คือ พระธรรม
    ที่จะคอยสอน คอยแน่ะเราให้เกิดปัญญาได้เป็นอย่างดี.

    ๑๑.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่เป็นไปดั่งใจปรารถนา
    ย่อมไม่มีอะไรที่แน่นอนเสมอไป
    ย่อมไม่มีการได้อะไรที่ได้มาเปล่าโดยไม่ต้องลงแรง
    นอนนั่งอยู่เฉยๆไม่ก้าว ย่อมไม่ถึงเป้าหมาย.

    ๑๒.
    ขอจงจดจำไว้เสมอๆว่า…
    ความเพียรเท่านั้นเป็นตัวสำเร็จ
    นอกจากความเพียรแล้วอะไรก็ช่วยเราไม่ได้
    “แม้ไม่เห็นฝั่ง ก็ยังว่าย”
    นั่นคือ หัวใจของนักสร้างบารมีที่แท้จริง.

    วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
    12.25.2015


    **************************************


    https://www.watphramahajanaka.org/บนเส้นทางการสร้างบารมี/
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    หลวงปู่เคยเล่าว่าสมัยที่เป็นฆราวาสท่านจนมากไม่มีเงินจะทำบุญเลยท่านไปนั้งตากแดดเป็นชั่วโมงๆจนเหงื่อท่วมกายแล้วเดินไปที่โบสถ์ไปที่หลังพระประธานน้อมเอาศรีษะที่ชุ่มเหงื่อพร้อมสองมือแนบลงที่หลังพระประธานและกล่าววาจา ข้าพเจ้าไม่มีทานอันใดมาถวาย ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเหงื่อจากการตากแดดขอถวายเป็นพุทธบูชา...ในขณะเมื่อสิ้นคำอธิฐานนั้นแผ่นดินถึงกับสะเทือนในมหาปฎิญานของหลวงพ่อในสมัยนั้น หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล พระมหาเถระผู้มีจิตเมตตาหาที่สุดมิได้(พระมหาโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์แล้ว)

    • ประวัติหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล โดยสังเขป

    ...หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล เป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ปัจจุบันท่านมีอายุ ๘๕ ปีแล้ว(วันคล้ายวันเกิดท่าน เมืวันที่ ๓ ส.ค) ท่านมีปฏิปทาเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านในเขตจังหวัดพะเยาและจังหวัดใกล้เคียง ท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน มีความเคร่งครัดต่อการฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยกิตติศัพท์ แห่งคุณงามความดีที่ท่านได้ฟื้นฟูสภาพจากสำนักสงฆ์วิปัสสนาที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นวัดที่โดดเด่น คือ วัดอนาลโยทิพยาราม จนเป็นที่นับถือเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อไพบูลย์ ในสมัยที่หลวงปู่หลวง ยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยกล่าวยกย่องหลวงพ่อไพบูลย์ไว้หลายประการ เช่น

    ๑.หลวงพ่อไพบูลย์ เป็นพระที่เก่งนิมิตจากการปฏิบัติธรรม แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงโปรดให้พระอาจารย์ไพบูลย์ แปลพระนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมของพระองค์บ่อยครั้ง

    ๒.หลวงพ่อไพบูลย์ เป็นพระที่เปี่ยมด้วยจาคะเสียสละด้วยการให้ ไม่ว่าจะเป็นให้ทาน ให้อภัย เป็นพระสุปฏิปันโนที่ปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาล

    ชีวประวัติหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล
    หลวงพ่อไพบูลย์ ท่านมีนามเดิมว่า “ไพบูลย์ สิทธิ” เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๔๗๗ เป็นบุตรของคหบดีชาวอำเภอเกาะคา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายกองแก้ว และ นางคำสิทธิ ด้วยความที่โยมพ่อของท่านมีอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณ ทำให้เด็กชายไพบูลย์เกิดความเคยชินและคุ้นเคยกับภาพชีวิตที่วนเวียนอยู่กับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครสามารถห้ามความตายหรือหนีพ้นความตายได้

    ท่านเล่าว่าในช่วงนั้นจิตใจของท่านไม่รู้เป็นอย่างไร เพราะนอกจากท่านคิดอยู่แต่จะหาทางออก หาวิธีให้หลุดพ้นจากวงเวียนชีวิตแล้ว ท่านยังมีความสงสารไม่อยากเห็นความเจ็บ ไม่อยากเห็นความตาย ไม่อยากให้ใครเจ็บและไม่อยากให้ใครตาย

    ดังนั้นเมื่อท่านเห็นคนเจ็บมาให้พ่อของท่านรักษา ท่านก็จะรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วย บางครั้งเมื่อท่านเห็นว่ามีชาวบ้านเอากุ้งหอยปูปลาใส่ข้องใส่กระบุงมาวางขาย ท่านก็จะรบเร้าแม่ของท่านให้ซื้อไปปล่อย

    ชะรอยพ่อแม่ของท่านคงจะจับสังเกตุอุปนิสัยของลูกคนเล็กมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ พ่อแม่ของท่านจึงมักจะเล่าเรื่องถวายและขอความคิดเห็น ซึ่งความเห็นของแต่ละองค์ล้วนสอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกันว่า

    “ลูกชายคนนี้ต้องบวช เพราะวาสนาบารมีของเขาสร้างสมอบรมมาทางนี้”

    อย่างไรก็ตามครับ ด้วยปกติวิสัยของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมอยากเห็นลูกของตนได้ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าการออกบวชนั้นก็ดีและประเสริฐอยู่แล้ว แต่ก็หาสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้ เพราะเหตุการณ์ข้างหน้ามีความเสี่ยงอยู่เสมอ

    ใครจะไปรับรองได้ว่าหากลูกของตนเกิดบวชไม่ตลอดรอดฝั่งและสึกออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา การเข้าไปต่อสู้ในโลกของฆราวาสที่ต้องแข่งขันกันนั้น มันจะเป็นการช้าไปหรือเปล่า ทางที่ดีคือควรจะเรียนหนังสือให้จบเรียบร้อยก่อนแล้วจึงบวช

    ด้วยเหตุผลนี้แหละครับ เส้นทางชีวิตในทางโลกของเด็กชายไพบูลย์จึงดำเนินไปตามแนวทางที่พ่อแม่ของท่านได้วางไว้ คือเรียนหนังสือจนจบและออกไปทำงาน จนเมื่ออายุครบบวชท่านก็ได้บวชตามประเพณีของลูกผู้ชาย

    ในขณะที่พ่อแม่ของท่านมีความคิดว่าการบวชจะทำให้ท่านเป็น “คนสุก” ของสังคม เมื่อสึกออกมาจะได้ตั้งครอบครัวและมีบุตรสืบสกุลต่อไป ในทางกลับกันตัวท่านเองก็มีความคิดว่าการบวชครั้งนี้เป็นแค่การชิมลางถือเป็นการซ้อมใหญ่ไปในตัวเท่านั้น

    ในวัยเยาว์ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ จ.เชียงใหม่ เรียนจบชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ ๖ ก่อนไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตน จนเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๐๗ อายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้ปิดฉากชีวิตในทางโลกด้วยการอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดป่าสำราญนิวาส ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยมีพระครูธรรมวิวัฒน์ วัดเชตวัน จังหวัดลำปางเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “สุมังคโล” ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้มีมงคลดีพร้อม"

    หลังจากที่หลวงพ่อได้จำพรรษาและศึกษาธรรมกับ “หลวงปู่หลวง กตปุญโญ” เจ้าอาวาสวัดป่าสำราญนิวาส จนเข้าถึงแก่นธรรมได้ระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงได้ขยายความเข้าใจเพิ่มเติมโดยการออกเดินธุดงค์ตามป่าเขาและตั้งใจทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว ท่านว่าเมื่อนั่งภาวนาและเกิดนิมิตผุดขึ้นมาในดวงจิต อย่าได้ตื่นเต้นคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ให้มีสติคุมรู้เท่าทันและพิจารณาด้วยหลัก ๒ ประการ คือ

    ๑.ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน

    ๒.อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณาเหตุให้เกิดทุกข์ ธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์

    หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล ท่านว่า… “สิ่งที่จริง ก็รู้เอง สิ่งที่ไม่จริง ก็แยกแยะได้”

    เมื่อมีความก้าวหน้าจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ออกท่องธุดงค์ไปจำพรรษาในภาคอีสาน และกลับธุดงค์ขึ้นมาแถบป่าเขาในเขตเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย

    พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโลได้มีโอกาสไปร่วมงานถวายเพลิงศพพระอาจารย์สม ที่ อ.แม่เมาะ ได้พบกับ พระอาจารย์ทอง ที่เดินทางมาจากวัดอโศการาม จึงได้ชักชวนพระไพบูลย์ออกเดินธุดงค์หาความวิเวก คณะของหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโลท่านได้ผ่าน มาถึง จ.พะเยา ได้พักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่วัดร้างและจำพรรษา ณ วัดร้างแห่งนี้ ชาวบ้านแถบนั้นได้มาทำบุญฟังเทศน์ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา พากันอาราธนาให้ท่านอยู่ ช่วยบูรณะวัดร้างขึ้นใหม่ อยู่ช่วยปฏิสังขรณ์วัดร้าง จากสภาพวัดร้าง จนมีสภาพดีขึ้นตามลำดับ พร้อมกันนี้ได้ยื่นหนังสือขอสร้างวัดไปยังกรมการศาสนา ได้รับอนุญาต ให้สร้างเป็นวัดในพระพุทธศาสนา มีนาม "วัดรัตนวนาราม"

    ต่อมาได้มี ชาวบ้านจากบ้านสันป่าม่วง บ้านสันบัวบก บ้านสันป่าบง เข้ามาอาราธนาท่านไปดูสถานที่สำคัญ บนดอยสูง ฝั่งกว๊านพะเยาด้านตะวันตก เพื่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์ไว้เป็นที่บำเพ็ญกุศลของชาวบ้าน ท่านเป็นพระป่ากรรมฐานที่เน้นการปฏิบัติและการพัฒนาควบคู่กันไปครับ โดยเฉพาะกับการอนุรักษ์ป่าเขาลำเนาไพรให้คงอยู่ในสภาพเดิมตามธรรมชาติท่านถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ท่านชอบบอกเสมอ ๆ ว่า… “รู้ไหม..พระพุทธเจ้าท่านประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ทรงแสดงปฐมเทศนาก็ในป่า และท้ายที่สุดท่านเสด็จปรินิพพานก็ในป่าเช่นกัน”

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังทรงมีชีวิตอยู่เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะแก่ผู้ใด หากพระองค์ทรงสังเกตุว่าบุคคลผู้นั้นยังเป็นผู้ที่มีความตระหนี่และความหวงแหนอยู่ในใจ พระองค์จะเริ่มสอนในเรื่องของการให้เป็นเรื่องแรก ทั้งนี้เพื่อเป็นการซักฟอกจิตใจของผู้นั้นให้มีความละเอียดสะอาดสดใสเสียก่อน จากนั้นพระองค์จึงจะแสดงธรรมที่ลึกซึ้งเป็นลำดับต่อไป

    “พวกกระผมไม่ขัดข้องที่ท่านจะมาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพื่อบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าพระคุณเจ้าจะสร้างวัด ก็ขอให้สร้างเป็นวัดหลวงปู่ขาวเถิด พวกกระผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

    คำขอเพียงข้อเดียวของ “เจ้าพ่อดำ” เทพวิญญาณเจ้าที่ ณ ป่าเขาบริเวณนี้

    เจ้าพ่อดำได้ขอความเมตตาจากหลวงพ่อเพียงหนึ่งข้อ หลังจากที่หลวงพ่อได้ตัดสินใจรับนิมนต์ชาวบ้านสันป่าบง ในการพัฒนาป่าเขาแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เขากล่าวว่าเขาเป็นใหญ่แถบนี้มานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมอ่อนน้อมให้ใคร แต่ที่ยอมลงให้หลวงพ่อก็เพราะเห็นในความตั้งใจจริงและยอมพ่ายต่อกระแสความเมตตาของหลวงพ่อที่แผ่ออกมา เขาว่ากระแสความเมตตาของหลวงพ่อเยือกเย็นนัก

    ก่อนหน้านี้ประมาณ ๓ ปี หลวงพ่อได้จำพรรษาและบำเพ็ญเพียรในฐานะประธานสงฆ์อยู่ที่ “วัดรัตนวนาราม” จนคืนหนึ่งหลังจากที่ท่านเสร็จสิ้นภารกิจต้อนร้บญาติโยมจากแดนไกล ท่านได้เข้าสมาธินั่งภาวนาตามปกติ ระหว่างที่กำลังเจริญภาวนาอยู่นั้น ท่านได้นิมิตเห็นทรายทองจำนวนมากกำลังไหลจากยอดเขาสูงลงมาสู่วัดรัตนวนาราม

    ท่านเล่าว่ารังสีแสงของทรายทองที่ไหลลงมาดั่งสายน้ำนั้นได้ท่วมท้นอาบวัดรัตนวนารามทั้งวัดจนกลายเป็นประหนึ่งวัดทองคำ และเมื่อท่านได้มองทวนรังสีแสงสีทองย้อนขึ้นไป ท่านจึงพบว่าแท้จริงแล้วทรายทองทั้งหมดนั้นได้ไหลลงมาจากยอดเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกว๊านพะเยานั่นเอง

    ด้านทิศตะวันออกของกว๊านพะเยา เป็นที่ตั้งของ “วัดรัตนวนาราม”

    ด้านทิศตะวันตกของกว๊านพะเยา เป็นป่าเขาและมียอดดอยสูงชื่อว่า “ดอยม่อนแก้ว”

    ชาวบ้านสันป่าบงเชื่อว่า “ดอยม่อนแก้ว” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะที่นั่นชาวบ้านมักจะเห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมล่องลอยไปมาอยู่บนยอดดอย แสงนั้นบางทีก็สว่างเรืองรอง บางทีก็สว่างจ้าเป็นสีเหลืองสดอาบทั้งดอยจนกลายเป็นดอยทองคำ และที่สำคัญคือเหตุการณ์แบบนี้ชอบที่จะปรากฏให้เห็นในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

    นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวยังได้ชื่อว่า “เป็นที่แรงและมีผีดุ” ชาวบ้านบางคนได้เล่าไว้ว่า หากพวกเขาไปทำไร่ทำนาในบริเวณนั้น พอถึงตอนเย็น พวกเขาจะต้องรีบกลับออกจากสถานที่แห่งนั้น เคยมีบางคนไม่เชื่อและไปเผลอนั่งหลับ ก็จะมีคนร่างกายสูงใหญ่ตัวดำ มากระตุกขาหรือคอยแหย่ให้ตื่น เล่นเอาบางคนตกใจถึงกับเสียสติ เจ็บไข้ได้ป่วยและบางรายก็ถึงกับเสียชีวิต

    สำนักสงฆ์อนาลโย สำนักสงฆ์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นจากการใช้เพิงผาเป็นที่ปฏิบัติธรรม ค่อยๆ ปรับปรุงโดยเพิ่มยกแค่ให้สูงพอกันสัตว์เลื้อยคลาน ต่อมาก็เป็นกระต๊อบ มีฝา มีหลังคา จนในที่สุดได้พัฒนากลายมาเป็น “วัดอนาลโยทิพยาราม” ในปัจจุบัน

    ทุกวันนี้นอกเหนือไปจากการมีชื่อเสียงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่แล้ว ความสงบภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ความร่มรื่นของป่าเขาน้อยใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ และความสวยงามของภูมิทัศน์รอบ ๆ ที่ได้พัฒนาให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ทำให้วัดอนาลโยทิพยารามแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดพะเยาด้วยครับ

    คำว่า “อนาลโย” เป็นฉายาของ “หลวงปู่ขาว อนาลโย” วัดถ้ำกลองเพล

    หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล กล่าวว่า หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมอันสูงส่ง มีคุณธรรมอันล้ำเลิศ คนหูหนวกก็คงเคยเห็นท่าน คนตาบอดก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน คงจะมีแต่คนที่ทั้งหูหนวกและตาบอดเท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและไม่เคยเห็นท่าน

    สำนักสงฆ์แห่งนี้ ในเวลาไม่นาน ได้รับการยกฐานะให้เป็นวัด ชื่อ “วัดอนาลโยทิพยาราม” ได้รับประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการ อนุญาตให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๐

    แม้ทุกวันนี้ หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโยทิพยาราม จะดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ แต่วัตรปฏิบัติท่านยังคงเรียบง่ายดุจเดิม ยังคงให้การอบรมศีลธรรมแก่สาธุชนที่เข้ามาทำบุญฟังธรรม เน้นให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระ พุทธศาสนา ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้เป็นปกติสุขในสังคม แม้สังขารเริ่มโรยราไปบ้างตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังเข้มแข็ง เป็นบุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยแท้
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,509
    วิธีแก้ความท้อถอย หมดกำลังใจในการปฏิบัติธรรม

    ถาม : ช่วงนี้รู้สึกว่าขาดความมั่นใจ กำลังใจอ่อน ไม่ทราบว่าจะช่วย...กำลังใจได้ ?
    ตอบ : ไปนรก ไปดูเอาไว้แล้วบอกตัวเราเลยว่า ถ้าหากยังท้อถอยหมดกำลังใจ เอ็งต้องมาที่นี่แน่ ๆ เลย อยากมานักใช่ไหม ?

    ถาม : จริง ๆ พอถึงจุดหนึ่งไม่เสื่อมแล้วครับ คือ ตรงจุดที่ว่า ถ้าเมื่อไรเราถึง ถ้าเกิดเจออะไรสักอย่างที่เราตรงนั้นได้ปวารณาตัวว่า ต่อไปนี้จะ...พูดง่าย ๆ ว่า จะยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิตได้ พอถ้าถึงตรงนั้นแล้ว เราไม่เสื่อมแล้ว ?
    ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าสู่จุดของโคตรภูพระโสดาบันเมื่อไร มีแต่จะเจริญขึ้น เพราะว่าลักษณะนั้น เขาเรียกว่า โสดาปฏิมรรค เริ่มเป็นหนึ่งในพระอริยเจ้า ๘ ลำดับ คำว่า อริยะ แปลว่าเจริญโดยฝ่ายเดียว จะไม่มีการเสื่อมลงอีก

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา www.watthakhanun.com

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...