สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    การจัดการความโกรธถ้า
    ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว

    คือระลึกรู้ว่ากำลังโกรธให้เร็วที่สุด
    แล้วก็สังเกตุไปเรื่อยๆว่ามันส่งผลต่อกายอย่างไร
    ส่งผลต่อความรู้สึกปรุงแต่งอย่างไร
    ส่งผลต่อใจอย่างไร

    แล้วค่อยมาสังเกตุว่า มันโกรธเพราะอะไร
    มันเกิดตอนไหน. และท้ายสุด
    มาสังเกตุว่า มันดับไปตอนไหน
    และดับเพราะอะไรครับ

    ต่อไปเราจะรู้เองว่าควรเป็นอย่างไร

    โลภ โกรธ หลง มันซ่อนตัวในที่ว่างของจิต
    ตั้งแต่ก่อนที่จะมีกายนี้แล้ว

    เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจมัน เมื่อเกิดแล้ว
    ไม่ใช่ไปเรียนรู้ที่จะข่มมันไม่ให้มันไม่เกิดเลยคงเป็นไปไม่ได้

    เปรียบเหมือน
    เราไม่ได้เรียนรู้ที่จะห้ามฝนไม่ให้ตก
    แต่เรารู้จักสังเกตุก่อนที่ฝนจะตก
    และเรารู้จักกางร่ม หาที่หลบ
    เพื่อไม่ให้ตัวเราเปียกฝนนั่นหละ

    เราเรียนรู้ตรงนี้ได้ จากธรรมชาติ
    ที่พอบอกได้ว่า ฝนกำลังจะตกแล้ว
    ถามว่า เรารู้ได้อย่างไร
    ก็จากการสังเกตุธรรมชาติ
    ว่ามันมีอะไรที่จะบอกเราได้ว่า
    ฝนมันกำลังจะตก เปรียบเหมือน
    การรู้จัก สังเกตุอารมย์โกรธนั่นหละ


    ก่อนที่จะเริ่มสังเกตุเห็นธรรมชาติ
    ที่จะทำให้เราทราบได้ก่อนที่ฝนจะตกนั้น
    มันก็ต้องเคยเปียกฝนกันมาแล้วเหมือน
    กันทุกคนก่อนนั่นหละครับ
    และก่อนที่เราจะเรียนรู้และ
    เข้าใจธรรมชาติของอารมย์โกรธ
    มันก็เคยอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง
    ของอารมณ์โกรธเหมือนที่เคย
    เปียกฝนมาเหมือนๆกันมาก่อน
    ทุกๆคนนั่นหละครับ. ^_^
     
  2. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    781
    ค่าพลัง:
    +908
    ขอเรียนถามพี่นพเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เคยถามครับ ทานยาตามที่หมอสั่งก็อาการดีขึ้น และได้สวดมนต์หลายบทวันละประมาณครึ่งชม.ทุกวันรวมทั้งพยายามเจริญสติ รู้สึกก้าวหน้านิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้เหมือนอาการจะกลับมาใหม่ ไม่ทราบว่าวิบากยังเยอะอยู่รึเปล่าครับ ผมชอบใช้วิธีเบิกบุญซึ่งก็ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่ แต่ไม่ค่อยได้ใช้กรวจน้ำครับ ขอรบกวนคำแนะนำครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    วิบากมันคือกะแส
    การตัดวงจรที่ดีสุดคืออย่าเริ่ม

    อย่าเริ่ม คิด ระลึก นึกถึง วิเคราะห์ กล่าวถึง ถามหา ในเวลาเดียวกันนั้น
    เราก็มาทำการเคลียร์กะแสที่มันตกค้าง
    ที่เป็นเหตุให้ธาตุเราพร่อง(มากหรือน้อยไป)


    วิบากมันเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
    มันอยู่ในรูปของพลังงานที่มันมีประจุ
    ทั้งขั้วบวกและลบ สังเกตุที่เราจับเหล็กแล้ว
    ซ๊อตนั่นหละ.

    เราอาจะสงสัยว่า พี่ครับทำไมมันไม่หมดซักที
    มันไม่มีคำว่าหมดหรอก. เพราะถ้าในระดับ
    อนุภาคนั้น ทุกอนุภาคในจักรวาลนี้
    มันมีแรงดึงดูด
    วัตถุอื่นได้อยู่แล้วเป็นปกติของมันครับ


    กระแสวิบากมันเป็นอนุภาคหนึ่ง
    ที่เราเรียกว่า บัวซอง ซึ่งเป็นสื่อนำแรง
    กิริยามันก็คือ มันไม่ต้องการพื้นที่ใดๆ
    ยกตัวอย่าง เปรียบมันเป็นขวดน้ำ
    เราสามารถเอาขวดน้ำกี่ล้านขวดก็ได้
    ยัดเข้าไปในขวดน้ำนั้น มันจะสามารถ
    อยู่ด้วยกันได้ และมันสามารถสร้างสนามแรง
    จากขวดน้ำต่างๆที่ยัดรวมกันขึ้นมาได้

    สนานมอรงที่ว่าก็เปรียบกับการสร้าง
    กะแสพลังงานสะสม ตรงนี้เอง
    ที่เป็นเหตุให้ร่างกายเรามันพร่อง

    เกทไหม อะตอม ประกอบด้วยอนุภาค
    ๒ ชนิด ๑ เฟอมิอ้อน กับ ๒ บัวชอง
    เหอะมือเอน เช่น ขวดน้ำถ้าเอามาอีกขวด
    มันก็จะเป็นขวดที่สอง ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เหมือนบัวซอง เราเรียกองค์ประกอบ
    ของสะสาร ที่กลายเป็นวัตถุต่างๆนั่นหละ
    นอกจากนิวเคลียสและอิเลคตรอนนะ

    ดังนั้น น้ำจึงทำหน้าที่ถ่ายอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรงเหล่านั้น ที่มันมารวมเกาะที่กาย
    หนืออวัยวะเราลงสู่พื้นดิน เราเรียกง่ายๆ
    กรวดน้ำ. นี่คืออธิบายว่า ทำไมผมต้องครับพี่
    กรวดน้ำมันช่วยอะไรเราครับ
    หากเรามองในทางวิทยาศาสตร์
    น้องจะพบว่า มันมีนัยยะที่ซ่อนเร้นเอาไว้
    ซึ่งเราสามารถอธิบายได้ในรูปของแรง
    ที่ไม่ใช่ในเรื่องความเขื่อหรือศรัทธา

    แต่หากทั่วไปจำเป็นต้องใช้ศรัทธาและความเชื่อนำก่อน เพื่อสร้างอนุภาคมี่เป็นนำแรง
    แล้วไปเชื่อมกับ อนุภาคที่เราเรียกว่าวิบาก
    เหล่านั้นให้มันรวมกันก่อน แล้วจึงเอาส่วนที่เกินมันออกไป

    อีกวิธีก็คือการใช้กำลังสมาธิ
    เราได้ยินทั่วๆไป สมาธิรักษาโรคได้
    เมื่อกายตัดขาดจากจิต เราก็จะเข้าโหมด
    อรูปฌาน ซึ่งมีอากาศภายนอกเป็นตัวนำแรงเหล่านั้นออกไปจากกาย ร่างกายที่เคยพร่อง
    ก็เลยปรับสมดุลย์เป็นเหตุให้ดีขึ้นได้

    แต่ในระดับอะตอมนั้น
    เบสิคคือมันประกอบด้วย นิวเคลียส
    อิเลคตรอน. เปิดได้ตามอากู่

    แต่ในนิวเคลียสนั้น มันประกอบด้วย
    โปรตรอนและนิวตรอน ซึ่งมีอัพคว๊ากดาวน์คว๊ากที่เป็นสื่อนำแรงในตัวเองปกติ

    มันมีแรงชนิดหนึ่งในสี่ในปัจจุบันนี้เท่าที่ทางวิทยาศาสตร์ค้นพบนอกจาก(แรงดึงดูด แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้มที่มีตัวยึดอัพและดาวน์คว๊ากมักเรียกว่า กูออน)นั่นคือแรงที่เราเรียก นิเคลียร์แบบอ่อน ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ฮิกๆ อะไรนี่หละ
    ซึ่งมันประกอบด้วย เป็นเฟอมิออนที่มี สื่อนำแรงหรือ
    บัวซองถึง ๓ ตัว ๑ ตัวไม่มีประจุ ๒ มีประจุบวก ๓ มีประจุลบ. (โปรตรอนมี ดาวน์(D) ๑ อัพคว๊าก(U)๒. และนิวตรอนมี ดาวน์ ๒ อัพ ๑)
    ซึ่งมันประหลาดตรงที่ว่าพวกนี้มันสามารถ
    เปลี่ยนแปลงเฟอมิอ้อนได้และหายไปได้
    ถ้า D มันคลายประจุลบ มันจะกลายเป็น U
    ในขณะนิวตรอน(D2 u1)จะสลายตัวไป
    ถ้ามันได้หลุดออกไปจากนิวเคลียส
    เทียบคือระดับอรูปฌานนั่นหละ



    แต่ถ้า D ในนิวตรอน(d2 u1) มันคลายประจุบวกและนิวตรอนออกมา มันจะกลายเป็น โปรอนตรอน(U2 d1) เทียบคือระดับจิตธาตุ


    เพียงแต่ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถ
    เข้าถึงในต้นกำเนิดแรงในระดับของตัวจิต
    (บ้านเราคือทำสมาธิ)
    ซึ่งแม้ว่าจะเกิดแรงต่างๆ
    เจ้าก็เรียก แรง หรืออนัตกิริยา หรือแรงคู่ควบ อย่างใดอย่างหนึ่งรวมๆกันโดยไม่ได้
    สนความหมายของมัน
    บ้านเราเรียก กะแสวิบาก อรูปฌาน
    จิตธาตุ กำลังสมาธิจากจิต อะไร
    ทำนองนี้

    ปล สรุปได้ว่า ที่เราทำมันมีเหตุมีผล
    ของมันที่อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์อยู่
    เพียงแต่เราไม่ได้อยู่ในช่วงที่จะพูดให้มันเป็นสากลได้ เพราะเรามีหลายศาสนาหลายบัทธิความเชื่อ จึงได้มีการอุปโลกน์คำว่า
    ศรัทธาและความเชื่อ เอาไว้ก่อนเบื้องต้น
    เพื่อความเข้าถึงได้ง่าย
    ตามวัฒนธรรม
    แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้สอน
    ให้เรายึดเพราะถ้ายึด
    เราจะเข้าไม่ถึงต้นเหตุ
    แห่งการเกิดได้นั่นเอง


    พอเข้าใจภาพรวมๆเนาะ
    เข้าใจยังว่า ทำไมเค้าถึงบอกว่า
    พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ^_^
     
  4. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    781
    ค่าพลัง:
    +908
    ขอบพระคุณมากครับพี่นพ คงต้องอ่านหลายรอบแล้วก็ไม่รู้จะเข้าใจรึเปล่า แต่บังเอิญ(หรือไม่บังเอิญ?)จริงๆครับ ก่อนที่จะอ่านที่พี่นพตอบ ผมเพิ่งไปฟังรายการที่ทางญาติผมพูดเกี่ยวกับไอนสไตน์ เรื่องจิตและอนุภาคพระเจ้าหรือ ฮิกค์บัวซองอยู่พอดี ตกใจครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    อ่านๆดู เพราะถ้าเราฟังเรื่อง
    ใกล้เคียงความเป็นพระเจ้าอย่างเดียว
    อาจจะงงได้ และจะงงมาก
    ถ้าไม่เข้าใจกิริยาของแรงที่เกิด
    ในลักษณะที่พอเทียบกับการปฎิบัติได้
    เพราะเค้ารู้ได้ใกล้เคียงระดับจิตธาตุทางพุทธฯ
    แต่ยังไม่ที่สุดนะ เพราะพระมหาฤาษีองค์ที่ ๒
    ท่านก็สำเร็จระดับนี้ แต่ยังยกเจ้าชายฯเป็นอาจารย์
    นี้คือก่อนหน้า ๗ ปีจะตรัสรู้นะ


    เจตนาจะสื่อเฉยๆว่า การปฎิบัติทางพุทธศาสนา
    มันสามารถพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์
    บ้านเราเรียกวิบากกรรม
    คนพอมีสัมผัสเรียก วิบากหรือกะแสจร
    ทางวิทย์เรียกแรง อะไรประมานนี้

    ถ้าลองสังเกตุ อนุภาคบัวซอง
    เนื่องจากมันไม่เกี่ยวกับพื้นที่
    มันจึงไม่ต้องใช้ระยะทางและเวลาในการ
    เดินทางมาเกี่ยวข้อง คือเหนือกาลเหนือเวลา
    พอมองเห็นอะไรได้
    จากคำว่า วิบากกรรม
    วิบากและกะแสจรไหม
    และเห็นอะไรได้ จากครูบาร์
    อาจารย์ทางภพภูมิไหม


    และก็สังเกตุไหมว่าองค์ประกอบของสะสาร
    ที่รวมมาเป็นวัถตุ ตัวเรา ดาว ดวงดาว
    มันจะมีอนุภาคบัวซองเฉพาะของมันเอง
    พวกนี้แระที่เกี่ยวกับ การเป็นอยู่ของจักรวาล
    การเคลื่อนที่ต่างๆ แรงโน้มถ่วง สนามแม่เหล็ก
    แรงภายในวัถตุต่างๆ กะแสต่างๆที่เกี่ยวกับคน

    ปล. พุทธฯเราพบมานานแล้ว. วิทย์ค่อยๆตามมา
    เรื่องเดียวที่เค้าจะยังเข้าไม่ได้คือเรื่องจิต
    เพราะพุทธเราเน้นเพื่อไม่มี
    ไม่ได้พิสูจน์ทราบ เพื่อสร้าง
    ให้มันมีอะไร นั่นหละเหตุที่เค้า
    เค้ายังเข้าไม่ถึงระดับจิตธาตุ
    ก่อน ๗ ปีจะตรัสรู้


    มีพิมพ์ผิดถูกๆก็คาดๆเดาๆคำเอาเน้อ ขี้เกียจแก้
    พอดีพิมพ์จากมือถือ มันป้อนคำอัตโนมัติ ^_^


     
  6. เด็กน้อย...

    เด็กน้อย... สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +14
    กราบเรียนถามคุณอาครับ
    คือผมอยากทราบว่ากสิณกองไหนที่ผมสามารถฝึกและไปได้ไวสุด
    ผมคิดว่าตอนนี้ผมน่าจะถึงเวลาฝึกแล้วอ่ะครับ
    กราบขอบพระคุณในความเมตตาของ คุณอา ครับผม
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ลม
     
  8. atitarn333

    atitarn333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +14
    สวัสดีค่ะท่านนพ รบกวนถามเรื่องการปฏิบัติค่ะ ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิมักจะหลับ บางทีก็ฝันเลยค่ะ คือแต่ก่อนพอเห็นปิติสุขบ้าง เดี๋ยวนี้ไม่ง่วงมากก็ปวดตรงนั้นตรงนี้ แต่ระหว่างวันที่ทำงาน
    ก็พยายามดูจิตดูลมอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าความเพียรน้อยไปหรือเปล่าหรือติดอะไรอยู่บ้างรึเปล่าคะ
    และรบกวนถามอีกเรื่องค่ะ ช่วงนี้รู้สึกอยากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัวบ้างควรมีองค์ไหนถึงจะเหมาะคะ
    สืบเนื่องจากไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านมาแล้วพอจะกลับตอนเช้าจะตื่นมาแล้วมีอาการเวียนศรีษะ เป็นมาสามครั้งแล้วค่ะที่พอจะกลับแล้วเวียนหัวกลับไม่ได้ ครั้งสุดท้ายทั้งเวียนหัวและอาเจียนหนักมากค่ะ ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะอาหารการกินรึเปล่า แต่พอเป็นหลายๆครั้งเข้าชักไม่แน่ใจค่ะ รบกวนขอคำแนะนำหน่อยค่ะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    To atitarn333

    ให้เดินจงกลมสลับกับนั่งครับ
    และให้ตัดนิวรณ์เรื่องเกี่ยวกับ
    ความพยาบาท(ดูในรายละเอียดเอาเองนะ
    คือใครเคยไม่ดีกับเรามาก่อนให้อภัยและเมตตาซะ)
    เวลาทำงานระวังอย่าให้หลังโก่ง
    รักษาบุคคลิกด้วย
    ปล ห้อยพระปางรำพึงครับ
    ดูท่าบริหารกะดูก พระมหาไพวัลย์(ใน YouTube)แล้วทำตาม. ^_^
     
  10. atitarn333

    atitarn333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +14
    กราบขอบพระคุณอย่างสูงที่เมตตาค่ะ
     
  11. atitarn333

    atitarn333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +14
    ขออนุญาติถามท่านอาจารย์นพ เรื่องของการจะตัดพยาบาทเติ่มอีกหน่อยนะคะ
    1 ถ้ามีคนเคยทำไม่ดีกับเราไว้ แล้วเราจำได้ไม่ลืม แต่ไม่ได้อยากเอาคืน อย่างี้เรียกพยาบาทมั้ยคะ (แต่บางครั้งก็อยากเอาคืนบ้างเวลาโดนซ้ำ เช่นการพูดตอบโต้นิดหน่อยค่ะ ตอนขาดสติ) แต่ตอนอารมณ์ปกติไม่คิดเอาคืนค่ะอยากลืมๆไป แต่ใจจริงอยากเคลียร์กันเข้าใจแล้วกลับมาเป็นมิตรกันมากกว่าค่ะ
    2 การตัดพยาบาท ถ้าใช้วิธีเวลาที่ผัสสะมากระทบแล้วรู้ตัวว่าความโกรธกำลังก่อตัวขึ้นแล้วรีบละความโกรธทันที ทำแบบนี้ไปเรื่อยความพยาบาทใหม่จะไม่เกิดขึ้น ความพยาบาทที่มีอยู่เดิมจะค่อยจางคลายไปเองได้ เข้าใจแบบนี่ถูกต้องมั้ยคะ(ทำยากแต่ถามเอาแนวทางไว้ก่อนค่ะ ^_^)
    และบางครั้งทำใจยอมรับว่าคงเป็นเพราะกรรมที่เราต้องพบเจอเพราะเราเคยไปสร้างเหตุเอาไว้เอง อย่างนี้ถูกต้องมั้ยคะ
    3 การเจริญเมตตา วิธีไหนที่ทำง่ายและได้ผลเร็วที่สุดบ้างคะ
    4 ขออนุญาตนอกเรื่องซักหน่อยนะคะ บางครั้งที่ทุกข์สุดๆ เพราะยังอยู่ระหว่างเห็นทุกข์เห็นเหตุเกิดทุกข์ แต่ยังออกจากทุกข์ไม่ได้ บางทีอยากได้กำลังใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้างคิดแบบนี้รู้สึกแบบนี้ผิดมั้ยคะ เพราะตัวเองไม่มีเพื่อนคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติเลย พอถึงเวลาอ่อนแอบ้างก็เที่ยวคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่ไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นรับรู้หรือเปล่า ท่านอาจารย์พอจะช่วยบอกได้มั้ยคะว่าหนูพอจะมีบุญสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์องค์ใดบ้างรึเปล่าคะ (ต้องกราบขอโทษนะคะถ้าคำถามข้อนี้ไม่เหมาะสม ท่านจะไม่ตอบก็ได้ค่ะ)
    กราบขอบพระคุณล่วงหน้าในความเมตตาค่ะ
    ปล.วันนี้พยายามไม่นั่งหลังโก่ง มีลืมตัวบ้างนิดหน่อยค่ะ
    และทำตามคลิปบริหารกระดูก พระมหาสีไพรแล้วค่ะ(หาของพระมหาไพวัลย์ไม่เจอค่ะ)จะพยามทำให้ได้ทุกวันค่ะ กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เอาทีละข้อเนาะ
    เรื่องนิวรณ์ ๕ โดยเฉพาะความพยาบาทถ้าจำกัดไม่ได้
    นั่งสมาธิอย่างไร มันจะส่งผลต่อร่างกายได้เสมอ
    เพราะพวกนี้มันเป็นกระแสเชิงร้อนแบบอ่อนๆชนิดที่่เรียกว่าสะสม
    ที่มันทำให้ธาตุร่างกายเราพร่องได้ง่าย
    การจำได้ไม่ลืม และการระลึกได้
    แต่ไม่สนใจ กิริยาทางจิตที่จะส่งผลต่อ
    ความคิดและพฤติกรรมต่างกัน
    ถ้าเป็นการจำได้ไม่ลืมที่กลายมาเป็นประสบการณ์
    ความชำนาญตลอดจนการวิเคราะห์ไปสู่เรื่องเกี่ยวกับหน้าที่
    การงานและการดำรงชีพไม่เป็นไร
    แต่ถ้าการจำได้ไม่ลืมและการยังระลึกได้อยู่
    ในทางปฎิบัติถือว่าไม่ดีทั้งคู่ครับ
    เพราะจิตเรามันได้เกิดขึ้นแล้ว
    จิตเกิดเนี่ยมันไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ยังไงมันก็มีผล บ้างเรียกว่าเสวย
    ในผลที่ดีหรือไม่ดีได้อยู่
    แต่ทั่วไปเรามักจะให้โน้มไปในทางที่ดีก่อน
    เพราะว่าดีเป็นกะแสเย็น บ้างเรียกกะแสบุญ
    การมีกะแสบุญเยอะ ช่วยหนุนส่งการคลายตัวเอง
    ได้ของจิตตามธรรมชาติได้ดีกว่า
    กระแสไม่ดีซึ่งเป็นกะแสร้อน
    ในทำนองเดียวกัน การเพิ่มเมตตาไปนั้น
    มันก็เป็นกระแสเย็น ที่ช่วยไปปรับ กระแสร้อนเชิงร้อนแบบอ่อนๆ
    ที่ปกติมันจะขึ้นมาในลักษณะของความทรงจำ การระลึกได้
    ให้มันค่อยๆหมดไปได้เองในอนาคต

    ท่านถึงได้กล่าวว่า การให้อภัยอย่างเดียวไม่พอ
    เพราะมันไม่จบจริง เพราะอนาคตมันจะยังระลึก นึกขึ้นได้อยู่
    เลยต้องให้เพิ่มเมตตาเข้าไปให้มากๆ
    นอกจากอุบายที่ถามมา อาจจะใช้อุบายว่า
    หากเป็นเราเอง ในสภาพแวดล้อม เหตุและปัจจัยแบบนั้น
    เราอาจจะทำเหมือนเข้าก็ได้....

    ดังนั้นในช่วงแรกจำเป็นต้องฝืนเมตตาเข้าไปก่อน
    ง่าย อาจจะลองยิ้มหน้ากระจกไปก่อน
    แค่ยิ้มกระแสก็เปลี่ยนแล้ว....ทำไปเรื่อยๆ
    เมตตาหมด ไม่ว่า คนหรือสัตว์ ตลอดจนภพภูมิ สิ่งที่มองไม่เห็น
    เรียกได้ว่า ไม่การแบ่งแยก แบ่งพวก แบ่งฝ่ายอะไรเลย
    มองทุกคนเป็นเหมือนกันได้หมด
    เด่วอนาคตมันก็จะกลายเป็นอัตโนมัติออกมาเอง
    ซึ่งมันจะแสดงออกมาได้จากทางแววตาของเราเอง...
    และจะส่งผลให้ทั้งทางกายและใจ เราดีขึ้นเองตามลำดับ


    เรื่องจะคุยอะไรอย่างไรไม่ผิดหรอก
    ลองไป ศึกษาประวัติของพระพุทธรูปปางรำพึงดูนะ
    คือ บอกไปแล้วเรื่องพระที่ควรห้อย ก็หมายถึงที่มีสัมพันธ์ที่ควรที่สุด
    ตอนนี้นั้นหละ...
    เราอาจจะยังไม่เกท....

    ส่วนเรื่อง ท่าจัดกระดูกที่ไปหามา นะถูกแล้ว
    ส่วนตัวจำชื่อพระอาจารย์ผิดไปเอง ขออภัย ๕๕๕
    เครเนาะ
    อดีตนะเค้าไม่เก็บเอามาคิด ระลึก นึกขึ้นกันหรอก
    ยกเว้นว่า เพื่อการดำรงชีพ ไม่เป็นไร
    ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
    นึกอะไรไม่ออก ก็ช่างหัวพระญาติมันไปเลย..แค่นี้หละ..จบ
     
  13. atitarn333

    atitarn333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +14
    กราบขอบพระคุณอย่างสูงในความกรุณาค่ะ
    จากครั้งแรกที่ท่านอาจารย์นพเมตตาตอบเกี่ยวกับพระปางรำพึงได้ลองไปหาข้อมูลมาแล้วค่ะ มาครั้งนี้ได้ทราบเพิ่มเติมจากท่านอีกว่าคำตอบเป็นสิ่งเดียวกัน ก็รู้สึกปิติค่ะ เหลือแต่รอเวลาที่จะมั่นใจแบบว่า”เกท”อย่างที่ท่านบอกค่ะ

    เรื่องนิวรณ์ 5 โดยเฉพาะตัวพยาบาท จะพยายามทำตามที่ท่านแนะนำทุกทางค่ะ จริงอย่างที่ท่านว่าค่ะแค่นึกขึ้นมาได้จิตก็ไปตั้งอาศัยในภพอันทรามแล้วเท่ากับกรรมเกิดแล้วยังไงก็ต้องเสวยผล แต่นี้จะเพิ่มความเพียรพยายามให้มากขึ้นอีกเมื่อทราบโทษชัดเจนอย่างนี้แล้ว โดยเฉพาะส่งผลกับการปฏิบัติชัดเจนขนาดนี้ชะล่าใจไม่ได้ซะแล้วค่ะ และไม่ลืมเจริญเมตตาให้มากด้วยค่ะ
    “ไม่แบ่งแยกเหมือนกันหมด”
    ซักวันจะเข้าถึงความรู้สึกนี้ให้ได้ด้วยตัวเองค่ะ อยากเป็นผู้มีดวงตาที่มีเมตตาตลอดเวลาให้ได้มานานแล้วค่ะ สู้ๆค่ะ(สู้กับตัวเอง) ^_^
    กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะท่าน
     
  14. Zoxgy

    Zoxgy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +3
    สวัสดีค่ะ อ.นพ
    การปฏิบัติในบางครั้งที่เห็นจิตรวมสว่างขึ้นมานั้น เป็นการคิดไปเองหรือเป็นกำลังของจิตค่ะ เมื่อเห็นรู้สึกเหมือนเรารู้สึกตัวอยู่ เฝ้าตามดูแล้วดับไป เช่นเดียวกับเมื่อรู้โกรธ เกลียด อิจฉา เห็นเค้าเกิดขึ้น เมื่อเห็นเค้า เค้าก็ดับไป ไม่ทราบว่าเกิดจากความคิดของเราเอง หรือ จิตเค้าทำงานของเค้าเองค่ะ เราจะแยกได้อย่างไรบ้างคะ ว่าอย่างนี้ปรุง อย่างนี้เค้าทำงานของเค้าเอง
    และในบางครั้งที่เราถูกกระแสคลื่นในสังคม ทั้งการงาน การเงิน คนรอบข้าง ทำให้ฟุ้งซ่าน ศิษย์ควรปฏิบัติภาวนา เช่นไร เพื่อสงบลง ได้เร็วขึ้นถึงจะเหมาะกับตนเองค่ะ
    รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณไว้ ณ.โอกาสนี้ด้วยค่ะ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ไม่ต้องเรียก อ.หรอกครับ...เรียกพี่ก็ได้...
    จิต ปกติจะทำงานได้ทั่วไป จะเกิดจากกระบวณการ ๒ อย่าง
    คือ ๑.เมื่อมีแสงนำ คือ เห็นแสงสีต่างๆนาๆ และ ๒.เมื่อมีเส้นสายนำหรือคลื่นนำ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของอากาศต่างๆ
    ในลักษณะคล้ายคลื่นคล้ายละออง เป็นเส้นๆอะไรทำนองนี้
    หรือถ้า ทำงานพร้อมกันทั้ง ๒ อย่าง ก็จะเห็นเป็นรูปร่าง มีสี
    หรือไม่มีก็ได้....พวกนี้เป็นเรื่องปกติ. เพราะฉนั้น ถ้าเห็นแสงสีต่างๆหรือเห็นคลื่นอากาศต่างๆมันเปลี่ยนแปลงได้ แสดงว่า
    จิตกำลังทำงานอยู่ และจิตที่มีกำลังก็สามารถสร้างให้เกิด
    ได้ทั้งแสงและเส้นสาย...พอเข้าใจเนาะ.....
    แต่ในทางปฏิบัติเราจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้
    คือควรปล่อยวางไป มันถึงจะมีพัฒนาการได้
    ของมันเอง....

    แสงทางวิทย์จะถือว่าเป็นพวกอนุภาคแม่เหล็กต่างๆ
    บ้างก็เรียกพวกนี้ว่า อนุภาคโปรตรอนหรือโฟรตรอนประมาณนี้
    พวกเส้นสายก็เปรียบได้กับอนุภาคที่เราเรียกว่า แรงดึงดูด
    ทางวิทย์เค้าเรียกว่า การ์วิตรอน..ซึ่งพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์
    ประกอบในการกำเนิดโลกและจักรวาล ตลอดจนพืช คน สัตว์
    ทั้งนั้นหละ เพียงแต่มันเป็นต้นกำเนิดในระดับที่มีพื้นฐาน
    มาจากทางด้านนามธรรมไม่ใช่ที่มองเห็นได้เป็นรูปธรรม
    จึงอาจจะทำให้เราสับสนได้เล็กน้อยถึงปานกลาง....

    ไอ้ตัวที่ไปรู้ไปเห็น อารมย์ต่างๆนาๆ ที่รับรู้หลังจากที่
    ผ่านตา หู ลิ้น จมูก กาย จิต
    นั่นหละเค้าเรียกว่า
    ตัวสติทางธรรม ที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นหละ

    ความคิดมันจริงๆมันไม่ใช่ของเราหรอก
    และมันจะมี ๒ อย่างถ้าเราสังเกตุดีๆ
    ๑.ความคิดที่เกิดจากจิต เพราะว่ามันมาจากสัญญา
    ความจำได้ในจิตเราเอง..ทั่วๆไปเราจะรู้จักนำมาใช้
    ในการเรียนหนังสือ คิดวิเคราะห์ เพื่อการทำงานอะไรทั่วๆไป
    สังเกตุง่ายๆว่า เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
    เช่น บอกว่า นาย ก. ไม่ดี หรือ นาย ก.ดีก็ได้ แล้วแต่จะคิด

    กับ ๒ .ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมักเป็นเรื่องราว
    ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว...หรือ ที่เราเรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วน นามธรรม
    หรือความคิดผุด หรือ เรียกว่ากระแสจร ได้หมดเพราะว่า
    จริงๆแล้วพวกนี้ มันไม่ได้เกิดที่จิต แต่มันเป็นกระแสภายนอก
    ที่จรเข้ามาใกล้ๆกับจิตเราเอง แต่ด้วยที่มันอยู่ใกล้กันมาก
    จนไม่อาจสังเกตุได้ในสภาวะที่เราลืมตาปกติ คนเลยเข้าใจ
    ว่ามันเป็นตัวเดียวกัน ความคิดพวกนี้ เช่น ถ้ามันขึ้นมาว่า
    นาย ก. ดี มันก็จะเป็นนาย ก.ดี เปลี่ยนไม่ได้

    ทั้ง ๒ ความคิดนี้ สามารถเห็นได้แยกได้ ถ้าแยกรูปแยกนามได้
    พวกนี้เป็นฝ่ายอารมย์ ฝ่ายนามธรรม ถ้าเจริญสติจนแยกรูป
    แยกนามได้ เราจะมาเดินปัญญาได้ เพราะการเดินปัญญา
    ต้องอาศัยสภาวะที่จิตเป็นกลาง คือ จิตไม่มีทั้งความคิด ๑ และ ๒
    เข้ามาปน และปล่อยให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง
    ด้วยใจที่เป็นกลาง ก็จะสามารถเกิดเป็นปัญญาทางธรรม
    ขึ้นมาได้เองในอนาคต


    พอเมื่อรู้ลักษณะความคิดตรงนี้แล้ว...จะเห็นว่า
    สิ่งสำคัญที่สุดที่จะเข้าไปเห็น ควบคุมตรงนี้ได้
    ก็คือ กำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันนั่นเอง
    เวลานิ่งๆให้ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก
    ถ้าเคลื่อนไหวเช่น ไปเข้าห้องน้ำ ไปทานข้าว
    ก็ให้นับจำนวนก้าวเดิน ส่วนเวลาทำงานก็ตั้งใจ
    ทำงานให้เต็มที่ เรียกว่า เอาหน้าที่การงานของเรา
    เป็นการฝึกสติในชีวิตประจำวันไปด้วย.....


    พอทำอย่างนี้ เราก็จะมีเครื่องมือที่จะคอยควบคุม
    ความคิดและพฤติกรรมของจิตเราได้เอง
    เพื่ออะไร ก็เพื่อให้มันคลายจากความคิด
    คลายจากขันธ์ ๕ รู้เท่าทันในเรื่องอารมย์
    ต่างๆที่ผ่านทาง ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กายใจของเรานั่นเอง


    และมันเรื่องธรรมดาของชาวโลกมนุษย์ ที่จะไม่รู้เท่าทัน
    อารมย์ ความคิด จนกระทั่งปรุงไปแล้ว เราไม่ต้องสนใจ
    เราทันตอนไหน ก็เอาตอนนั้น เด่วต่อไปมันจะเร็วขึ้น
    ละเอียดขึ้นได้ของมันเอง สำคัญให้เจริญสติในชีวิต
    ประจำวันให้มันต่อเนื่องให้ได้จริงๆก็พอ

    แล้วความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราจะดีขึ้นเอง
    และจำไม่ลังเลสัยกิริยาทางนามธรรมต่างๆ
    และจะค่อยๆเข้าใจได้ดีขึ้นตามลำดับ
    ขึ้นอยู่กับกำลังสติทางธรรมของเรานั่นเอง

    ปล.ทั่วไปไม่มีอะไรหรอก แค่ขาดการควบคุม
    การไปดึงภายนอกต่างๆเข้ามาแล้วเผลอนำมาปรุงร่วม
    ตรงนี้ มันเลยทำให้กำลังสติเรามันตกลง
    ก็เลยทำให้ความเข้าใจทางด้านกิริยานามธรรม
    ต่างๆเรามันยังไม่เพียงพอเฉยๆ มันเป็นกันได้ทุกคน
    ก็ไปเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้ทั้งวันอย่างที่บอกซะ ก็จบ...

    สังเกตุไหม ว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิระดับสูงอะไรเลย...
     
  16. Zoxgy

    Zoxgy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณค่ะ พี่นพ
    ค่ะ รู้สึกว่าไม่ต้องใช้สมาธิระดับสูง เป็นอย่างทีเป็นอย่างที่พี่แนะนำเลยค่ะ วันไหนที่เจริญสติได้บ่อย รู้สึกมีกำลัง
    จะทำให้บ่อยๆขึ้น ระหว่างวัน ขอบคุณค่ะ
     
  17. jttm

    jttm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +16
    อาจารย์พี่นพ ครับ บัวซอง ในอากู๋ เจอแต่ ฮิกส์โบซอน (อังกฤษ: Higgs boson) ครับ ผมก็ไม่ถนัดวิท หรอก มโนเอาเหมือนกัน สงสัยอาจารย์พี่นพ เข้าใจอยู่คนเดียว ระดับ ปฏิสัมภิทาญาณ แน่เลย
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ใน คุณทูป พิมพ์เรื่องใกล้เคียงความเป็นพระเจ้า มี ๓ ตอน อยู่ตอนที่ ๓
    ลองฟังดูเผื่อเข้าใจ....พี่ก็มโนเทียบไปเรื่อยเปื่อยนั้นหละ ๕๕๕
     
  19. jttm

    jttm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +16
    this is a มึนตึ้บ ครับ แต่ก็พอมโนเทียบเคียงกับทางพุทธคือ นาม สภาวะพลังงานทั้งหลาย คอยควบคุม รูป สภาวะ ธาตุ สสารทั้งหลายอยู่ คงเป็นเรื่องของทางโลกวิญญาณอยู่เบื้องหลังใช่ไหมครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    จริงๆมันเป็นเรื่องของการกำเนิดสิ่งๆต่างๆในจักรวาลเรานี่หละ
    บ้านเราท่านที่พูดก็คือ หลวงปู่ ชื่อย่อ ด. ที่ไม่ใช่หลวงปู่ ดู่ นั่นหละ...
    ที่ทางพุทธศาสนาได้ค้นพบมานานแล้ว แต่เราจะไม่วกวน
    ลงในรายละเอียดที่เมื่อรู้แล้วมันทำให้เรายังวกวนวนเวียนในไตรภพอยู่
    และก็พิจารณา
    ในการนำมาถ่ายทอดให้ออกมาเป็นภาษาที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด
    สำหรับคนหมู่มาก พี่ใช้คำว่า คลอบคลุมที่สุด
    เช่น มีคนร้อยคน เราจะตัดคนที่อยู่สูงกว่า 85 เปอร์เซนต์ไทด์และตำกว่า 15 เปอร์เซนต์ไทด์ออกไป เพราะไม่อยู่ในกลุ่มคนที่ จะเอามาตอบในเรื่องความความเชื่อมั่นและความน่าจะเป็นได้นั่นเอง
    ซึ่งคนที่อยู่สูงหรือต่ำกว่า อาจจะเป็นคนที่ไม่ต้อง
    มาเรียนรู้อะไรมากหรือเข้าใจอะไรง่ายๆก็ได้
    หรืออาจจเป็นบุคคลที่ยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้
    พอมองภาพออกเนาะ


    ทางวิทย์นั้น ธรรมดาที่จะต้องพิสูจน์ หาเหตุและผล
    สมมุติยกตัวอย่างนะ
    ถ้าเค้าเห็นใคร ทำให้ไพ่ ลอยได้
    อันดับแรก เค้าจะต้อง ลองผิดลองถูกดูว่า
    มีวิธีการใดๆบ้าง ที่คนนั้นทำให้ไพ่ลอยได้
    เช่น ใช้เชือก สลิง ใช้แรงดันอากาศ
    มุมกล้อง บ้านเราจะเก่งมาก ในเรื่องนี้
    หมายถึง เรื่อง เกรียนคีย์บอร์ด
    สรุปเอา ดื้อๆว่าอย่างโน้นนี่นั้น
    และอีกประเภทคือ มายากล
    อีกประเภทคือ ไม่เชื่อ ลวงโลก หลอกหลวง
    ไม่ใช่พทุธ หรือถ้าเชื่อก็คือมีความสามารถ
    มีพลังพิเศษโน้นนี่นั้น ฯลฯ ๕๕๕๕๕
    นี่ถ้าแบบบ้านเรามองทั่วไปนะ...
    คล้ายๆพอหวยออก แล้วตีเลขได้แม่นนั่นหละ ๕๕๕ พอขำๆ

    แต่ทางวิทย์จะไม่ฟันธงใดๆ ซึ่งทางวิทย์จริงๆ
    เค้าจะเป็นอย่างนี้ จะมองในเรื่องของการค้นพบฯ
    และการค้นพบไปเรื่อยๆในอนาคต แต่ตอนนี้
    ข้อมูลไหนดีสุดก็ใช้ตัวนั้นไปก่อน พอมองออกเนาะ

    เค้าจะไม่ฟันธงว่า คนนั้นเป็นผู้วิเศษ
    แต่เค้าจะมองในมุมที่ว่า.......
    เราสามารถ มองเห็นได้แต่ผลที่มันเกิด
    (คือ เห็นแต่ไพ่ที่ลอยได้)
    แต่ไม่เห็น ยังไม่รู้ เหตุที่ทำให้ไพ่นั้นลอยได้......
    จะบอกว่า การที่ใครก็ตาม ทำให้ไพ่ลอยได้นั้น
    เราจะเหตุได้แต่ผลของมัน....ประมาณนี้

    แต่ก่อนหน้านั้น เค้าจะทำการทดลองมาแล้ว
    มากมาย ถึงวิธีต่างๆที่ทำให้ไพ่ลอยได้
    สุดท้ายเค้าก็ยังพบว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆ
    คนนั้น ก็ยังทำให้ไพ่ลอยได้อีกมาก่อนนะ....


    นี่หละ เลยกลายเป็นเรื่องที่มา ของการหา
    สิ่งที่เค้ามองไม่เห็น ที่เป็นไปได้ว่า มันจะเป็น
    สาเหตุทีทำให้เชื่อได้ว่า ไพ่ลอยได้...

    เลยย้อน ไปในเรื่อง ของอะตอม (ตามอากู่ มีนิวเครียสตรงกลางและอิเลคตรอนเนาะ)
    แต่ส่วนประกอบ อะตอมนั้น มีอนุภาค ๒ ตัวคือ เฟอมิอ้อน(แทนที่ไม่ได้
    เป็นองค์ประกอบสะสาร กลายเป็นวัตถุนั่นหละ) และ บัวซองนั่นหละ...
    (ที่เป็นสื่อนำแรง ไม่เกี่ยวกับพื้นที่ มีล้านๆแรงก็อยู่รวมกันได้ และสามารถรวมกันแล้ว
    สร้างเป็นแรงอื่นๆขึ้นมาได้นั่นหละ)
    ซึ่งวัตถุทุกชนิด จะมีทั้ง เฟอมิอ้อนและบัวซองอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
    รูปแบบมันคือ อะตอม มีนิวเคียส ในนิวเคียส มีนิวตรอนและโปรตรอน
    ซึ่งประกอบไปด้วย อัพและดาวน์คว๊าก แลอะตอมมี อิเลคตรอนอีกตัวเป็นส่วนประกอบ


    ณ ปัจจุบัน ทางวิทย์ค้นพบแรงอยู่ ๔ ประเภท
    คือ ๑. แรงดึงดูด เช่น ดวงจันทร์ หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบตัวเอง แรงสนามแม่เหล็กโลก
    ๒.แรงประจุ มีขั้วบวกขั้วลบ ตรงนี้ค้นพบมานาน ที่เค้าเรียกอีกอย่างว่า โปรตรอนหรือโฟรตรอน
    นั่นหละเพราะมันมีแสงมาเกี่ยวข้องด้วย
    ๓.อีกอย่าง ก็คือ แรงนิวเคียร์แบบเข้ม ที่เค้าเรียกว่า ฮิกๆอะไรนั้นหละ
    ซึ่งมันจะมี อนุภาคตัวหนึ่งที่ยึดอยู่ ระหว่างอัพคว๊ากและดาวน์คว๊าก
    ตัวที่ยึดเค้าเรียกว่า กูออน....

    อีกตัวหนึ่ง คือ แรงนิวเคียร์แบบอ่อน ที่มันประหลาดตรงที่ว่า
    สามารถเปลี่ยนแปลงอนุภาคได้(บ้านเราเรียกเล่นแร่แปรธาตุ)
    กับ สามารถหายไปได้(บ้านเรียกเรียกระดับจิตธาตุ)
    พวกนี้มันมี มีอนุภาคที่เป็น ประจุบวก ไม่มีประจุ และประจุลบ ใช้คำว่า w แทน

    ในโปรตรอน(u2d1)และนิวตรอน(d3u1)จะมีทั้งอัพและดาวน์คว๊ากในตัวเองต่างที่ปริมาณ
    ถ้าในนิวตรอน อัพคว๊ากคลาย ประจุบวก จะกลายเป็นดาวน์คว๊าก
    และนิวตรอนจะกลายเป็นโปรตรอน
    ถ้า อัพคว๊ากคลาย ประจุลบ และหลุดจากนิวเคียส มันจะหายไป...
    นี่คือที่ประหลาด ณ เวลานี้ที่ค้นพบ

    เพียงถ้าสังเกตุ แรงทั้ง ๔ อย่างทางวิทย์ จะยังไม่ค้นพบต้นกำเนิด
    ของมัน แต่ทางบ้านเรารู้จักในนามของ จิตธาตุ หรือ จิตคือต้นกำเนิดนั่นหละ
    เพราะเค้ายังไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่สามารถค้นพบแรงที่มองไม่เห็นนี่ได้
    จากเครื่องมือ ราคาเกือบร้อยล้านบาทได้นั่นเอง....


    พี่ก็พอรู้แค่งูๆปลาๆนี่หละ
    คือเรื่องพวกนี้ มันพอเทียบได้
    จากการปฏิบัติ แต่มันเป็นเรื่องที่รู้แล้ว
    ไม่ควรไปให้ความสนใจมัน
    คือรู้ก็ช่าง ไม่รู้ก็ช่าง
    เพราะมันทำให้เราวกวนได้นั่นเอง

    เอาแค่พอขำๆพอ...

     

แชร์หน้านี้

Loading...