สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขอบคุณครับท่านนพที่ให้ข้อกระจ่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2018
  2. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    ติดตามการให้ความรู้และตอบคำถามของท่านnopphakanมานานครับ รู้สึกว่ามีความชัดเจนและลึกซึ้งมากครับ ผมขอรบกวนถามท่าน2เรื่องเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและการปฏิบัติ สำหรับด้านสุขภาพมีอาการเหมือน โรค panic attack และเริ่มdepression ซึ่งหมอแผนปัจจุบันให้ทานยาด้านจิตเวช หมอแผนจีนบอกว่าชีพจรหัวใจอ่อนแรง ให้ยาด้านบำรุงหัวใจกับบำรุงระบบย่อยอาหาร หมอด้านพลังงานว่าเป็นอารมณ์ตกค้างในชาติก่อนๆและปัจจุบันก็ช่วยclearด้านพลังงานให้ แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จึงคาดว่าอาจมาจากเรื่องกรรมหรือเปล่าครับ ด้านการปฏิบัติผมควรใช้วิธีที่ให้มีความก้าวหน้า ตอนนี้ก็เน้นสวดมนต์ครับ ขอบพระคุณครับ
     
  3. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    เรียนถามพี่นพครับ ผมอธิษฐานบุญทุกบุญที่ได้ทำ ทาน ศีล ภาวนา ทำเพื่อพระนิพพาน รู้สึกว่ามีอุปสรรคเยอะมากครับทั้งทางโลกและทางธรรม และเวลานั่งสมาธิช่วง 6 ทุ่ม พอจิตจะสงบจิตจะตัดภาพเป็นดวงจิตมาให้เห็นบ่อยๆครับ ผู้หญิง บ้าง เด็กๆบ้าง ครับ ผมขอคำแนะนำและวิธีปฏิบัติด้วยครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    IMG_6406.JPG
    พรุ้งนี้เด่วมาแจงสาเหตุ และวิธีแก้ให้
    วันนี้ไม่สดวก
    ปล พึ่งไปถ่ายมาดูเล่นไปก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2018
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    กรณีของ MATHS เด่วพูดในมุมพลังงานนะ
    จริงๆแล้วจะว่าไปส่วนตัวกับมองว่าโรคแบบนี้
    เป็นโรคของดวงจิตที่มีบุญบารมีมากกว่านะ
    เพราะจะเป็นเฉพาะกรณีเฉพาะสำหรับ
    บุคคลที่กระแสทางด้านปัญญาขยายออกกว้างแล้วเท่านั้น
    ซึ่งถ้านักปฏิบัติปกติจะต้องฝึกถึงขั้นแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน
    แล้วเดินปัญญาต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง ถึงจะเกิดกระแสแบบนี้ได้

    แต่ด้วยเหตุกระแสจรที่เวียนเข้ามา
    หรือกระแสวิบากที่มาเกาะที่กายนั้น
    จะแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๑.กระแสที่กำลังไม่มากหรือกำลังต่ำ
    ซึ่งกระแสเหล่านี้จำเป็นต้องมีการใช้น้ำช่วยในการส่งกระเย็น(กระแสบุญ)
    เพราะน้ำเป็นเสมือนตัวกลางในการนำพากระแสเย็นที่เราสร้าง
    ให้ส่งผ่านกระแสกำลังไม่มากเหล่านี้ได้นั้นเอง
    และ ๒.กระแสที่มีกำลังเดิมสูงอยู่แล้ว ซึ่งอาจเป็นกระแสของใครก็ตาม
    ในอดีต ที่จะมาเป็นทั้งที่คอยดูแลเรา คอยช่วยเหลือเรา รวมทั้งกระแสครูบาร์
    อาจารย์ระดับใดๆก็ได้ ปกติในกระแสระดับนี้ หากเราอุทิศส่วนกุศลให้บ่อยๆ
    จะเป็นการสร้างบารมีในเรื่อง การได้รับความเอ๊นดูด้วยเห็นว่า เรามีความนอบน้อมถ่อมตน
    (นึกภาพออกไหม เหมือนเด็กเอาขนมไปให้ผู้ใหญ่ทาน ผู้ใหญ่ไม่ได้สนใจที่จะทาน
    ขนมที่เด็กเอามาให้หรอก แต่จะมองว่า เด็กคนนี้ มีน้ำใจ น่ารัก รู้จักเสียสละอะไรประมาณนี้)

    แต่ถ้าเมื่อใดแล้ว กระแสทั้ง ๒ ส่วนนี้ กลับมาเป็นกระแสจรที่พ่วงพันธ์กับจิตเราเมื่อไร
    และก็มีการโยงและดึงรวมกันแล้ว ปัญหาก็จะเกิดอย่างที่เป็นอยู่นั่นหละครับ
    คือยังไง คือรู้สึกสัมผัสได้เร็วได้ไว(จากกระแสที่ ๒. แต่กลับส่งผลต่อร่างกายจากกระแสที่ ๑ ซะงั้น ส่วนที่ส่งผลต่อการปรุงแต่งนั้น เพราะสัมผัสมันไว
    มันเป็นกระแสสัมผัสที่เป็นบารมีเดิมของเรา
    เองที่ติดมากับดวงจิตเราเองนั่นหละซึ่งปกติถ้านักปฏิบัติทั่วไป
    ก็จะต้องฝึกสมาธิมาพอตัวมันถึงจะเกิดได้นะครับ)พอจะมองภาพรวมๆออกแล้วเนาะ.......
    พอเข้าใจเนาะว่า ทำไมส่วนตัวถึงเรียกว่า มันเป็นโรคของดวงจิต
    ที่มีบุญบารมีมากกว่า......


    การช่วยเคลียพลังงานนะทำได้ แต่จะได้แค่ชั่วคราว
    ยกเว้นว่า จะสามารถเข้าเคลียร์ในระดับการใช้สภาวะดับเข้าไปเคลียร์ได้
    ถ้ายังเคลียร์ด้วยการใช้จิต ใช้สมาธิ หรือใช้กำลังจิตนำ
    ใช้บารมี ใช้บุญนำยังไงก็แก้ปัญหาได้ชั่วคราวครับ
    เพราะว่า จะยังไม่สามารถดับกระแสพ่วงพันธ์หรือกระแสจร
    ที่เกาะจนทำให้เกิดปัญหาแล้วดับเชื้อเหล่านี้ได้อย่างหมดจดนั่นเอง

    ดังนั้น วิธีแก้ เราจึงต้องแก้ปัญหาที่ละส่วนไปให้ไปตามจุดที่เป็นปัญหา
    การแก้กระแสที่ ๑ นั้น ให้ใช้การทำบุญอุทิศส่วนกุศลบ่อยๆร่วมกับการ
    กรวดน้ำทุกครั้ง และเทน้ำลงดิน ในทุกครั้งที่ทำ ให้ทำจนรู้สึกว่า
    บริเวณหน่อง และแขนที่ต่ำกว่าข้อศอกของเรา รู้สึกโล่งๆโปร่งๆสบายๆ
    อาจจะต้องใช้น้ำปริมาณเยอะหน่อย อุทิศให้กระแสวิบากกำลังไม่มากเหล่านี้
    ให้ค่อยๆทุเลาลงไป ถ้าทำตรงนี้ได้ จะส่งผลที่ดีขึ้นทางร่างกาย
    คือจะค่อยๆมีการพัฒนาปรับธาตุซ่อมแซมร่างกายเองได้ตามธรรมชาติของมัน....

    และการแก้กระแสที่ ๒. คือให้หมั่นขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆ รวมทั้งเทพ พรหม
    เทวดา ผู้มีฤิทธิ ผู้มีบารมี ต่างๆ ก่อนเพื่อเป็นอุบายให้กระแสส่วนที่ ๒ นี้
    แยกขาดกับกระแสที่ ๑ ก่อนที่เราจะสวดมนต์นั่งสมาธิ หรือทำบุญอะไรก็ตาม
    แล้วถึงค่อย ทำบุญอุทิศส่วนกุศลซ้ำให้อีกครั้งหนึ่ง....
    ตรงนี้ก็จะแก้อาการ คล้ายวิตก ตะหนกอะไรได้ เนื่องจากมีกระแสปัญญาเป็นทุน
    แต่ว่ารับผลจากการรวมกระแส ๑ และ ๒ (ซึ่งมันจะไปสร้างเป็นกระแสภายนอก
    แบบหนึ่งที่จะมากดฐานของกระแสปัญญาที่เราเคยสะสมบารมีบาร)
    *** กระแสฐานปัญญามันจะขยายจากแกนกลางกระโหลกของเรา
    พอมีคล้ายๆกระแสเป็นแผ่นวงกลมมากดมันก็เลยส่งผลต่อความรู้สึกต่างๆ
    อาจจะงงๆ เปรียบคล้ายๆ ใบพัดลมกำลังหมุนอยู่ แล้วอยู่ดีๆเราเอามือ
    หรืออะไรไปจับตรงแกนกลางมัน พัดลมมันก็เลยจะตะกุกตะกัก ฝืดๆนั่นหละ
    พอดีว่า มันเป็นตรงแกนกลางกระโหลกเราไง เลยส่งผลต่ออารมย์ต่างๆได้นั่นเอง***
    แก้ตรงนี้ได้ อาการที่เป็นตามลักษณะของโรคมันจะค่อยๆหายไปเอง......

    ท้ายนี้ ให้มาเสริมกำลังควบคุมสัมผัสภายในออกไปรับรู้
    แต่ขาดภูมิต้านทานทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นอารมย์รวดเร็ว
    ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง
    เช่น เวลาเดิน นับจำนวนก้าวเดิน
    เวลานิ่งๆระลึกรู้ลมหายใจกระทบเข้าและออกหยุดที่ปลายจมูก
    แต่ดันลมให้ลึกถึงท้องแต่ไม่ต้องตามลม
    ส่วนเวลาทำงานก็ให้ตั้งใจทำงานเต็มที่
    ควบคู่กับการแก้ที่ ๒ และ ๑ และก็สวดมนต์ตามปกติของเราไป

    ถ้าสามารถได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ อาการที่เกี่ยวกับโรค
    panic attack มันจะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนที่ ๒
    โรคระบบย่อยจะเห็นผลตั้งแต่เดือนแรก
    แต่เกี่ยวกับชีพจรหัวใจอ่อนแรงต้องใช้เวลา
    อย่างน้อย ๑๖ เดือนขึ้นไปนะ
    ปล.ก็ทานยาไปตามที่หมอท่านให้ควบไปด้วยเน้อ โชคดี.....

    *** ที่พูดเป็นกรณีแก้ปัญหาเฉพาะบุคคล ไม่สามารถยึดถือเป็นสากลอะไรได้
    ผู้อ่านท่านอื่นๆควรใช้วิจารณญานในการรับข้อมูลครับ ***
     
  6. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    ขอขอบพระคุณท่านnopphakanครับที่กรุณาตอบอย่างละเอียดมากๆ ผมคงต้องอ่านอีกหลายรอบกว่าจะเข้าใจดี ขอบพระคุณท่านอีกครั้งนะครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เอาทีละส่วนนะ ทั่วๆไป

    ก็ถือว่าเป้าหมายชัดเจนดี(จริงๆไม่ควรไปตั้งเป้าว่าทำเพื่อ
    เพราะว่ามันจะเป็นการใช้ตัณหาไปคอนโทลได้อย่างคาดไม่ถึง
    เราควรจะต้องไม่อะไรกับอะไรในเรื่องแบบนี้ แต่เราก็ปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆ)
    ...และมันเป็นเรื่องธรรมดานะที่จะมีอุปสรรค
    โดยเฉพาะกระแสที่จะจรเข้ามา ถ้ายิ่งเราตั้งเป้าไว้ตรงๆแบบนี้
    กระแสจรต่างๆ ถ้ารับรู้สัมผัสได้ รับรองว่าจะรีบจรเข้ามาทันที
    ดังนั้น จึงควรต้องรู้ว่า เราจะต้องเจอบททดสอบที่มาก
    กว่าปกติทั่วไปหลายเท่า ตรงนี้ทำให้ยอมรับไว้ซะ......
    โดยเฉพาะเรื่องทางด้านจิตใจ ที่จะต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง...
    โดยเฉพาะจากคำพูด...

    และถ้ามีแนวทางชัดเจนว่า จะพ้นเลย ก็ต้องตัดเรื่องการรับรู้และสัมผัสทุกอย่างออกไป
    ตัดในที่นี้ ถ้ามันจะเห็นก็ช่างมัน ถ้ามันไม่เห็นก็ช่างมัน
    เห็นแล้วจะรู้หรือไม่รู้วัตถุประสงค์อะไรก็ช่างมัน
    แม้กระทั่งจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ ก็ให้ช่างมันไปเลย
    เพราะมันจะเป็นจะต้องอาศัยกำลังระดับปัญญาญาน
    เพื่อให้จิตละคลายในเรื่องเกี่ยวกับนามธรรมทุกๆเรื่องออกให้หมดก่อน
    เราถึงจะเริ่มรู้และเข้าใจว่า ทำไมเราถึงเห็นเป็นอย่างโน้นนี่นั้นได้
    และเห็นเป็นโน้นนี่นั้นได้เพราะอะไร และที่สำคัญเราจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่เห็นต่างๆเหล่านั้น

    ถ้าเห็นแล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลเราก็ทำไป
    ทำแล้วก็ให้แล้วไป ไม่ต้องไปคาดไปหวังผลอะไร
    ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร
    สิ่งที่เห็นเป็นใคร มาจากไหน อะไรตอนนี้
    ให้เราทิ้งๆไป ทำบุญอุทิศให้ๆไป
    เด่วอนาคตเราจะมีการย้อนรู้ ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นได้เอง
    อัตโนมัติของมันเอง และที่สำคัญจะทำให้เราไม่ยึดติดด้วย......

    ส่วนการเห็น ถ้าเห็นแล้ว อุทิศแล้ว
    ให้เลิกสนใจไปเลย ไม่ต้องเก็บมาคิดอะไร
    ไม่งั้นจะทำให้เราวกวน ไปเชื่อมกับกระแสข้างบน
    อย่างที่ควรจะเป็น (ถ้าทิ้งเราจะเห็นในระดับที่สูงขึ้นได้ ดีขึ้นได้เรื่อยๆเอง
    ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะเห็นแบบไหน ก็ยึดไม่ได้ แต่เราเคารพได้ อุทิศส่วนกุศลได้
    แต่ห้ามยึดในสิ่งที่เห็นเด็ดขาด ไม่ว่าจะน่ากลัว ไม่น่ากลัว ดี ไม่ดี
    หรือเป็นระดับใดๆก็ตาม ห้ามยึดมั่นถือมั่นทุกๆกรณี)

    ไม่งั้นจะไม่เข้าใจว่า การเห็นต่างๆ มันมีกระบวณการเกิดขึ้นได้อย่างไร
    ซึ่งจำเป็นอย่างมาก สำหรับการไปต่อระดับปัญญาญาน
    ที่มันจะมากพอที่จะทำให้ จิตคลายความยึดมั่นถือมั่น
    จนจิตมันวางเรื่องนั้นๆได้ (ไม่เหมือนปัญญานะ ที่เรื่องที่เคย
    วางไปแล้วมันจะยังย้อนขึ้นมาได้อีก).....
    เพื่อเป็นไปตามแนวทางที่เราได้เลือกเอาไว้......

    ปล.ทางสมาธิถ้าเห็นภาพในระลึกทิ้งภาพเลย อย่าไปดูไปสนใจ
    และก็อย่าลืมตา นั่งต่อไปพอเห็นภาพอีก ก็ทิ้งอีก
    การเห็นแล้วทิ้ง และเห็นแล้วทิ้ง บ่อยๆ เป็นอุบายที่ทำให้
    เราจะได้กำลังสมาธิสะสมจากการเข้าออกบ่อยๆตรงนี้
    ทำให้เราจิตเราจะมีกำลังเพียงพอที่จะยกระดับสมาธิสมาธิเราให้สูงขึ้น
    หรือเพียงพอสำหรับการลดคลื่นความถี่ให้ต่ำลงได้นั่นเอง

    จะได้ไปจมอยู่ในสภาวะนานเกินไป พอเข้าใจภาพรวมๆเนาะ
     
  8. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ขอบพระคุณพี่นพมากๆครับ. เมื่อคืนหลังจากได้รับคำแนะนำ นั่งสมาธิได้ดีขึ้นครับ รู้และวาง ทุกสิ่ง จริงๆครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2018
  9. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    เรียนคุณลุงนพ ข้าพเจ้าขอรบกวนลุงนพ ช่วยตรวจตราสุขภาพให้หน่อยครับ ช่วงนี้รุ้สึกร่างพัง รวนๆอยู่หลายระบบ

    ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เอ้ย..ไม่ใช่หมอเด้อ เข้าใจผิดเปล่า ๕๕๕

    ปล.อย่าหูเบา ได้ฟังอะไรแล้ว อย่าเอาไปย้อนคิดดึง
    อดีตเข้ามาปรุงร่วมเด้อ มันจะทำให้เราเผลอพูดอะไรออกไปไม่ดี
    เด่วจะส่งผลให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้เน้อ(ลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้ท้องเดิน
    การที่ท้องเดิน ต่ำแหน่งนี้มันส่งผลให้เป็นไส้ติ่งได้เน้อ)
    ซึ่งมันจะกระทบซิ่งไป
    ถึงปอดเราได้คือเหนื่อยง่าย แล้วมันจะแคนนอนต่อไปอีก ป่านลูกโบว์ลิ่ง
    ถึงศรีษะด้านซ้าย จากเยื้องๆต่ำแหน่งหน้าฝากฝั่งหน้า
    ไปถึงฝั่งหลังเราได้อีกเช่นกันเน้อ

    ไม่มีไรหรอก พูดไปงั้นหละ ไม่ใช่หมอเนาะ ๕๕๕
     
  11. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอบคุณครับ ลุงนพ
    ขอทราบอีกนิดว่า ในแง่ของพลังงานหรือ ทางอื่น มันมีกระบวนการเกิดเหตุแบบนี้ได้ยังไงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2018
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เกิดจากการ ไประลึก นึกขึ้น คิดขึ้นได้
    จากพวกความคิดในอดีต แล้วก็ปรุงต่อนั่นหละ. แก้ได้ด้วยการเพิ่มสติ
    พอรู้ทันแล้วก็ตัดมันซะ
    ไม่งั้นมันจะสะสมโดยเราคาดไม่ถึง
    เพราะเราไม่ถนัดในการเคลียกะแสตกค้าง
    นั่นเอง (^_^)
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,886
    ค่าพลัง:
    +4,720
    "เกิดจากการ ไประลึก นึกขึ้น คิดขึ้นได้
    จากพวกความคิดในอดีต แล้วก็ปรุงต่อนั่นหละ. แก้ได้ด้วยการเพิ่มสติ
    พอรู้ทันแล้วก็ตัดมันซะ
    ไม่งั้นมันจะสะสมโดยเราคาดไม่ถึง
    เพราะเราไม่ถนัดในการเคลียกะแสตกค้าง
    นั่นเอง (^_^)"
    ------------------------------------

    ผมก็เริ่มเป็นเล็กน้อย
    คือมันจะสะสมโดยที่ผมคาดไม่ถึง
    และเพิ่งรู้จากท่านนพว่า...
    "กระแสตกค้างมันแรงจริงๆ"
    นอกจากคำตอบข้างบน
    ไม่ทราบว่ายังมีวิธีอื่นพอที่จะ*เคลียกระแส*นี้ได้ไหมครับ
    ...ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ปล่อยผ่านทุกอารมย์
    ไม่ว่ากุศล หรือ อกุศล ครับ
    ยกตัวอย่าง มันมีขั้นตอนจากหยาบๆ
    ไปหาที่ละเอียดกว่าตามตัวอย่าง

    เหมือนเรานั่งอยู่ริมถนน
    มองดูรถที่วิ่งบนถนนผ่านเราไปเฉยๆ
    ไม่ต้องไปรู้ว่าเป็นประเภทไหน(มีสัญญาความจำได้ร่วมแล้วถ้ารู้ว่าเป็นประเภทไหน)
    ไม่ต้องไปคิดแยกแยะว่าสีอะไร(นี่ก็มาจากสัญญาเป็นสมมติทางโลก)
    ไม่ต้องระลึกว่าคันไหนเหมือนของเรา(นี่คือมีการดึงมาเป็นตัวตนเพราะมีการเปรียบ)
    ไม่ต้องไปสนใจว่าเสียงมันดังหรือไม่ดัง(ถ้าสนใจก็จะปรุงไปตามสัญญาได้เรียกสังขารว่าชอบหรือไม่ชอบ ว่ารำคาญไม่รำคาญ ถ้าดีเรียกสุขเวทนา ไม่ดีเรียกทุกข์เวทนา)
    แค่มองเห็นว่ามีมัน เเค่รู้ว่ามีเสียงก็พอ
    นี่คือการปล่อยผ่าน เป็นอุบายการตัดตัว
    วิญญานการรับรู้จากตัวจิต
    ไม่ให้ส่งผ่าน
    อาตนะของเราออกมากระทบ
    จนเรียกได้ถูก ปรุงได้ คิดต่อเติมได้
    สังเกตุแค่เราเรียกได้ เรียกถูก
    กระบวนการปรุงแต่งมันทำงาน
    เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว
    เพียงแต่ถ้าเป็นฝ่ายอารมย์
    มันก็มีกระบวนการทำงานคล้าย
    ตัวอย่างที่ยกให้ดูนั่นหละครับ


    นึกออกไหม เราไม่ควรไปห้าม
    อายตนะต่างๆ ไม่ควรไปปิดกั้น
    ด้วยวิธีการกดข่มใดๆ
    มรรคผลจะเกิดขึ้นได้ช้า
    เพราะมันเหมือนไป
    ฝืนธรรมชาติของมัน
    พุทธเราเรียนรู้เพื่อเข้าใจธรรมชาติ
    และอยู่ร่วมกันอย่างแยบยล

    พอปล่อยผ่าน(แม้กายจะรู้สึกก็ปล่อยให้รู้สึกไปให้เฉยๆไว้)
    ก็จะไม่มีการปรุง พอไม่มีการปรุง
    ก็ไม่เหลือเชื้อที่จะ
    ย้อนกลับมาเก็บไว้ในจิตเรา
    พอไม่มีการเก็บที่จิต ก็ไม่สะสมที่จิต
    จนเกิดเป็นเวทนาจนธาตุพร่องขาดสมดุลย์ซึ่งส่งผลทางกายในลำดับต่อมาได้
    (เพราะจิตมันอาศัยกายอยู่)
    ต่อไปจิตก็จะคลายตัวได้ตามธรรมชาติ
    ของมันได้เอง เพราะเราตัดตั้งแต่ขั้นตอน
    ที่มันส่งตัววิญญาณการรับรู้ได้แล้วนั่นเอง

    จากตัวอย่างรถคือเราตัดเชื้อไปดึงภายนอก
    ที่นี้ลำดับต่อมาเราก็จะเริ่ม
    ย้อนกลับมาเห็น ภายในได้เอง
    ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม
    ฝ่ายอารมย์ ซึ่งจะเริ่มชัดขึ้น

    แต่เราก็ปล่อยผ่านอีก คือไม่ต้อง ไปรู้ ไประลึก ไปคิด ไปรู้อะไร
    เพราะมันก็จะเหมือน
    ตัวอย่างเรื่องรถได้อีก พอเห็นภาพแล้ว
    ลางๆแล้วเนาะ


    แต่ให้มาเพิ่มการสังเกตุว่า
    มันขึ้นมาตอนไหน
    มันดับไปตอนไหน
    มันดับเพราะอะไร
    มันขึ้นมาเพราะอะไร
    **** สังเกตุนะ ไม่ได้ให้ไปคิด ไประลึก
    ไปนึกถึงมันนะ ถ้ารู้ก็จะเหมือนรู้เรื่องรถอีก****

    แล้วต่อไป มันจะถอยมาได้ลึกอีกว่า
    แค่เราเรียกถูกนั้น มันเป็นกระบวนการทำงานอย่างหนึ่ง หรือการปรุงแต่ง
    อยู่ตามธรรมชาติ ปกติ
    แค่รู้ว่าเรียกว่าอะไรตามสัญญา
    (เรียกว่ารถ ย้อนดูได้ ว่าปรุงแล้วจากข้างบน)

    แต่พวกนี้ไม่ใช่ปัญญาครับ เพราะมันแค่รู้
    ในสิ่งที่ตัววิญญาณส่งผ่าน อายตนะไปกระทบเฉยๆ แต่มันไม่รู้ ว่าเกิดเพราะอะไร
    และเพราะสัญญาในจิต ที่ทำให้เราเรียกถูก
    เราเลยคิดว่าเป็นเรารู้. ทั้งๆที่ไม่มีเราไปรู้ ไปร่วมอะไรเลย มันแค่เป็นโปรแกรมการปรุงแต่งอย่างหนึ่งปกตินั่นเอง

    วิธีการที่แนะ คือฝึกการค่อยๆย้อน
    จากหยาบๆที่มองเห็นได้ชัด แล้วค่อยๆ
    ถอยมาเรื่อยๆ ได้เอง

    เราก็จะเข้าได้เองว่า ไอ้ที่มีเรานั่น
    มันเป็นอย่างไรได้ครับ


    ทำได้ สังเกตุได้ ก็จะไม่มีเหตุ
    ให้มีเชื้อให้มันได้ ผุดขึ้นมาได้อีก
    เหมือนแบบปัญญาทางธรรมทั่วไป
    เพราะแม้ใจเป็นกลาง และวางได้
    แต่เชื้อมันยังไม่หมดในเรื่องนั้นๆนั่นเอง
    เวลาผ่านไปมันเลยผุดเรื่องเดิมๆในอดีตขึ้นมาได้อีกนั่นหละครับ

    วิธีการนี้ ใครก็ทำได้
    จะเห็นว่าไม่ต้องมีการไปเกร็งก้งเกร็งกล้าม
    ใช้กำลังจ่ง กำลังจิต สมาธิสมาแทะ
    หรือมีความสามารพิเศษใดๆเลยครับ

    เรียกว่าแก้ที่ต้นเหตุไปเลย
    ไม่ใช่ไปพยายามสร้างโน้นนี่นั่น
    เพื่อที่มาแก้ที่ต้นเหตุ
    มันจะไปแก้ได้อย่างหละ
    เมื่อการสร้างโน้นนี่นั่น
    จิตมันเกิดแล้ว ตัววิญญาณมันเกิดไปแล้ว
    มันมีตัวกระทำ มีโมหะเพื่อสร้างให้มีแล้ว

    เครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาที่ไหน
    มันจะยอมทำลายตัวเองละครับ
    มันมีแต่ทำลายอย่างอื่น
    แต่ตัวมันยังอยู่นั่นหละครับ
    เป็นที่มาของการให้คนที่มีเครื่องมือ
    แล้วต้องทิ้งเครื่องมือก่อนนั่นหละครับ
    พอมองภาพรวมๆออกนะครับ(^_^)
     
  15. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    ขอเรียนถามท่านnopphakanอีก2เรื่องนะครับคือผมเป็นคนชอบสะสมพระเครื่องมากๆจนมีปัญหาว่าอยากจะแขวนพระเปลี่ยนไปเรื่อยๆแทบทุกวัน กลัวจะเป็นการปรามาสท่านหรือไม่ ว่าไม่ได้นับถือท่านจริงๆ ถ้าผมจะแขวนพระเครื่องแบบติดตัวไปเลยไม่ต้องเปลี่ยน ควรจะเป็นพระเครื่องชนิดใดครับขอให้ท่านช่วยแนะนำซัก 3 องค์ครับ จะเป็นพระกรุหรือเกจิอาจารย์ท่านใดก็ได้ครับ เรื่องที่สองมีคนเคยบอกว่าผมไม่สามารถทำงานภาคเอกชนได้เพราะชาตินี้เกิดมาเพื่อทำงานเพื่อชาติ(แค่ราชการหรือองค์กรของรัฐ) แต่ก็อยากทำภาคเอกชนเหมือนกันเพราะทำงานอยู่องค์กรภาครัฐเดียวมาจนเกือบเกษียณแล้วครับ หรือต่อไปอาจต้องไปเน้นด้านปฏิบัติธรรมจะดีกว่ามั้ยครับ
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,886
    ค่าพลัง:
    +4,720
    ขอบคุณครับท่านนพ
    ....เข้าใจแจ่มเลยครับ

    เชื้อที่ว่า...มันร้ายกว่าเชื้อหวัด
    เพราะมันติดง่ายกว่า
    ...ซ้ำร้ายไม่มียาเม็ดรักษาได้
    ต้องอาศัย*ยาใจ* ต้องฝึกครับ
    คือเริ่มจาก...ปล่อยผ่านทุกอารมณ์
    ไม่ว่ากุศล หรือ อกุศล
    ...และอื่นๆตามที่ท่านกล่าวไว้

    ...คงอันตรายพอๆกับไข้หวัดสายพันธ์ใหม่
    ถ้าไม่รู้ทัน ไม่รีบเยียวยา
    คงได้แต่รอวันที่ค่อยๆม้วยมรณา
    เพราะ*เมื่อจิตบกพร่องย่อมส่งผลถึงกาย*
    และปัญหาสารพัดจะค่อยๆตามมา
    ...ตั้งแต่ปัญหาครอบครัว
    ...ปัญหาสังคม
    ...ปัญหาระดับชาติ

    แม้ชีวิตจริง...ไม่หมูที่จะฝึกฝน
    แต่วิธีที่ท่านกล่าวไว้ข้างบน
    ผมเชื่อมั่นว่า...คือแนวทางที่ดีที่สุด


    ...ขอโมทนาบุญกุศลที่ท่านนพทำ
    และหยิบยื่นสิ่งดีๆให้เพื่อนสมาชิกครับ
    สาธุๆๆ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เรื่องการแขวนวัตถุมงคล ถ้าพระท่านจะสอนว่า
    เราแขวนเป้าหมายหลักเพื่อปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
    ไม่ได้เน้นเรื่องความเข้ม ขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์
    พูดง่ายๆว่า เรื่องขลัง เรื่อง พุทธคุณนั้นเป็นเรื่องรอง
    ทั่วๆไป ก็คือ การระลึกถึงสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นๆ
    เช่น แขวนรูปพระพุทธฯแขวนรูปบิดามารดา เราแขวนเพื่อ
    ระลึกถึงท่าน แต่สิ่งที่แขวนนั้นไม่ใช่ท่านนั่นเอง.....

    หากสังเกตุจะพบว่า ประเด็นคือ เพื่อให้ระลึกนึกถึงและถ้า
    เราโปรหน่อยแบบพระฯเราก็จะพบว่า เพื่อปฏิบัติตามคำสอนท่าน

    แต่การจะระลึกถึงได้หละ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าสิ่งใด
    จิตที่จะระลึกถึงอะไรก็ตาม ควรเป็นจิตที่เป็นกลาง ไม่ยึดไม่ติด
    กับสิ่งใด เพื่อให้จิตมันคลายตัวเองตรงนี้ มันถึงจะส่งกระแส
    ออกจากตัวจิตไปเข้าถึงยังจุดที่ตัวจิตระลึกได้นั้นเอง....

    พูดเชิงพลังงานก็คือ ตัวจิตสามารถสร้างกระแสไปเชื่อมต้น
    พลังงานได้นั้นเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าต้นพลังงานเป็นท่านใด
    จะเป็นต้นพลังงานท่านใดนั้น ก็อยู่ที่วัตถุที่เราแขวนนั้นหละ

    การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา องค์นั้นก็ดี องค์นี้ก็ใช่ หรือแม้แต่
    การมัวลังเลสงสัยในพุทธคุณหรือพลังงานในองค์นั้น โน้นนี่
    ว่าเป็นอย่างไร แท้ไหม เก๊ไหม เด่นด้านไหน เป็นเหตุในการ
    ขวาง ความสามารถของจิตในการเข้าถึงต้นพลังงานได้
    อย่างไม่รู้ตัว หรือ คาดไม่ถึงนั่นเอง...

    ดังนั้นถ้าจิตเราตัดเรื่องความยึดมั่นถือมั่นในองค์ใดองค์หนึ่งได้
    แต่เราให้ความเคารพนับถือทุกๆองค์ ทุกๆระดับ และตัดเรื่อง
    กระแสพลังงานที่มีในองค์พระ เรื่องเก๊แท้ได้
    เราแทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องแขวนอะไรเลยก็ได้ครับ


    เพราะกายเรานี่หละให้เป็นวัดคือรู้จัก สงบ ร่มเย็น
    และจิตเรานี่หละครับที่เป็นพระฯ พระคือ ผู้สละ ไม่ใช่
    คนมานุ่งห่มสีโน้นนี่นั้น สละอะไร รู้จักสละควบคุม
    ตัวกระแสที่มันจะส่งออกมาจากจิตเรา ที่มันจะไปยึด
    เอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญภายนอกและดึงเข้ามา
    รู้จักสละทิ้ง ความยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว
    เป็นเหตุให้ใจขาดความเป็นกลาง เมื่อไม่เป็นกลาง
    ก็ยากที่จิตจะวางและคลายตัว และก็ส่งผลต่อการเข้า
    สู่กระแสต้นพลังงานนั้นเอง

    พลังงาน ไม่ขึ้นอยู่กับกาลและเวลา ส่งจากจิตในการเข้าถึง
    พวกนี้ความเร็วยิ่งกว่าวินาที พอมองภาพรวมๆออกเนาะ
    เพราะฉนั้น จะยังก็ได้เรื่องการแขวนพระ ขอแต่เพียงให้เรา
    รู้ว่าประเด็นหลักๆคืออะไร และการที่จะเข้าถึงต้นพลังงาน
    ได้นั้นควรเป็นอย่างไรก็พอ จบในเรื่องวัตถุ......

    ส่วนพระที่ควร องค์ที่นั่งท่าคล้ายๆกอดเข่า ตามด้วยองค์ยืนท่าเรียบร้อย(มือประสานกัน)และท้ายสุดคือองค์ในท่านั่งสมาธิแบบแอ่นหลังเองมาด้านหน้าเล็กน้อย.....


    ส่วนเรื่องใครจะบอกว่าเราจะเป็นอะไรก็ตามให้เราฟังไว้เฉยๆ
    เพราะถ้าเราสามารถตัดเรื่องการยึดติดว่า เราจะหรือควรจะ
    ต้องเป็นโน้นนี่ได้ จิตเราจะไม่เป็นไปตาม อนุสัย วิบาก หรือจริต
    อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมันยังเป็นการสร้างเชื้อให้เรากลับมาเกิดได้อยู่ เราควรปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมัน จะทำอะไรเราก็ทำของเราไปแต่ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน ให้พอเพียงตามสถานะการดำรงอยู่แห่งตนก็พอครับ ถ้าจิตเราดีเราอยู่ที่ไหน อาชีพอะไร จิตเราก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งสำคัญก็คือ ความแนบเนียนในการอยู่
    ร่วมกับสังคมนั้นๆ ในขณะที่เนื้อหาเดิมของจิตเรายังเป็นเหมือน
    เดิมคือเรื่องสำคัญกว่าครับ......


    เรานี่หละครับเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของเราเอง
    การที่ในหลายบุคคลยังเข้าใจว่าตนเกิดมาเป็นโน้นนี่นั้น
    ต้องทำนั่นโน้นนี่ นั่นเพราะไม่ทิ้งความยึดมั่นถือมันไม่ว่าอดีต
    ปัจจุบัน มันเลยดลให้คิด ให้ทำ ไปตาม อนุสัย จริต วิบากอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง เรื่องพวกนี้
    ต้องไม่อะไรๆกับมันครับ....
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  18. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    ฃอบพระคุณท่านnopphakanมากครับที่ให้คำแนะนำและข้อคิดที่นำไปใช้ได้ในหลายๆเรื่องของชีวิตครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ปล เรียกพี่ เรียกอื่นๆดีกว่าครับ
    ไม่ต้องเรียกท่าน
    หรือเรียกอาจารย์
    ฟังดูหล่อไปหน่อย
    ส่วนตัวสบายๆ คุยแบบกันเองๆ
    ง่ายๆ ยกเว้นตอน
    ด่าคนครับ ๕๕
     
  20. ธรรมรัตน์4541

    ธรรมรัตน์4541 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอถามเรื่องสวดมนต์ครับ อาการขนลุกท่อนบนตั้งแต่หัว ไหล่ แขน เป็นตั้งแต่เริ่มสวดจนถึงสวดส่งเทวดา บางบทสวดก็เป็นเยอะ บางบทก็น้อย จนรู้สึกเหมือนไม่ธรรมชาติ พอนั่งสมาธิไม่มีอาการ แต่รู้สึกตัวชาตัวแข็ง แล้วอาการเมื่อยก็ตามมา แต่พอนั่งต่อก็ตัวชา แข็งอีก ขอให้ท่านช่วยอธิบาย และวิธีแก้ให้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูง ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...