รบกวนผู้มีจิตสัมผัส ช่วยหน่อยค่ะ มโนไป หรือ มาจริง ๆ

เมื่อคืนจู่ ๆ รู้สึกตัวตอนตี 3 ครึ่งด้วยความรู้สึกเหมือน มีใครจ้องอยู่
เราไม่ได้ลืมตา แต่เห็นภาพในห้องเราเห็นเงาดำ ๆ หลายเงายืนมองอยู่ปลายเตียง
จนเรารุ้สึกตัวตอนลูกดิ้น เราลืมตาขึ้นมาแล้วรีบลุกไปเปิดไฟ
แล้วนอนต่อทั้ง ๆ ที่เปิดไฟอย่างนั้น

จนตอนเช้า เรามานั่งนึก ว่าสิ่งที่เห็นตอนนั้นคือมโนฝันไปเอง
หรือความจริง ถ้าเป็นความจริงเขาเป็นใคร เขามาทำไม เขาต้องการอะไร

รบกวนผู้มีจิตสัมผัสช่วยหน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณมากค่ะ

 

รอฟังเช่นกันค่ะ แต่ให้เดาเล่นๆ อาจมาดูเด็ก (ในครรภ์) ส่วนคุณแม่เกิดนิมิตเห็น

 

ถ้าให้ผมแนะนำควรหาพระหรือตะกรุดมาห้อยติดตัวไว้ตลอด เพราะเราคงไม่มีทางรู้หรอกว่าผู้มาเยือนจะมาดีหรือมาร้าย(และไม่รู้ว่าของจริงหรือแค่ฝัน) แต่ถ้าอยากได้คำตอบแบบระบุตัวตนชัดเจนคงต้องรอท่านผู้รู้ท่านอื่นๆมาแนะนำละครับผมเรื่องอื่นผมไม่ออกความเห็นนะครับ

 

ตอบ (โปรดใช้วิจารญาณ)
1. สิ่งที่เห็นสัมผัสได้นั้นมีจริง (บางทีเราหลับตานอน นอนยังไม่หลับถ้ามีคนมาจ้องมองแล้ว แล้วเดินเข้ามา จ้องใกล้ ใกล้เข้า จะรู้สึกตัวได้ เกือบทุกคน)
2. สิ่งที่สัมผัสได้นั้น จริง ๆ แล้วเป็นภพภูมิอื่น เป็นภพภูมิที่ดี (เทพชั้นดุสิต)
3. การมาในครั้งนี้ (มีบุพกรรมร่วมกันมา) มาเพื่อดูแล ดูสิ่งผิดปกติต่าง ๆ
4. คุณก่อนที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นเทพอยู่ชั้นเดียวกันกับพวกเขา
6. ดูแลสุขภาพให้ดีครับ (อย่ากังวลมาก อย่าคิดมากจนเกินไป)

...อนุโมทนาบุญ....

 

กรณีของท่านเจ้าของกระทู้ ลักษณะเหมือนที่เราเคยเจอเลย แต่ของเราจะเป็นแบบว่าสะดุ้ง
ตื่นขึ้นมากลางดึก เหมือนมีใครมายืนจ้องอยู่ปลายเท้าแล้วจะมีความรู้สึกเย็นแวบตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ พยายามลืมตามองก้ไม่เห็นตัว เราเลยท่องอิติปิโสในใจ เหมือนสู้กันเลยเราก็ท่องอิติปิโสไม่หยุด ความเย็นที่ปลายเท้าก็ยังไม่หาย แต่ก็ไม่ลามขึ้นมาสูงกว่าตอนแรกก่อนที่จะท่องอิติปิโส จนได้สักพักเราก็เลยสะบัดหลุด มองดูก็ไม่เห็นอะไรเลยสงสัยว่าร่างกายของเราผิดปกติ หรือว่ามีใครมาหาเราจริงๆ

 

ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้มิจิตสัมผัสนะคะ แต่ว่าเคยเจอ เคยเห็นมากับตา กับตัวเลยค่ะ ในปี 2553 วันที 11 สิงหาคมคุณพ่อดิชั้น ท่านได่เสียชีวิต ลงอย่างกะทันหัน เป็นโรคหัวใจวาย หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย ก่อนหน้าที่ พ่อจะเสียประมาณ ครึ่งปี ดิชั้นได้เห็นเงาดำวูบไป วาบมา ในห้อนนอนของพ่อ บ่อยมาก และสงสัยว่านั่นคืออะไร หลานสาวหลายชายก้อเห็น เหมือนกัน จนเด็กๆกลัว ไม่กล้าเดินผ่าน เพราะจะเปิดประตูห้องไว้ตลอด พ่อกะแม่บอกว่าคิดมากไปได้ ตาฝาดกันรึป่าวก่อนหน้า ที่พ่อจะเสีย 1 อาทิตย์ ดิชั้นเจอเข้าไปเต็มๆ กลับมาจากตลาด เข้าบ้านมาผ่านหน้าห้องนอนพ่อ เห็นเงาดำทะมึนสูงใหญ่ วิ่งหลบไปหลังตู้ ดิชั้นชักโมโห ก้อเลยถาม " ท่านเป็นใครมาทำไม และทำไม ต้องมาทำแบบนี้ เค้ากลัวกันหมดบ้านแล้ว วูบไปวูบมาอยู่ได้ ท่านควรเลิกทำซะ ทางใครทางมัน"
หลังจากวันนั้น พ่อดิชั้น ก่อเสียชีวิตลง
และก้อไม่เคยมีเงาดำอีกเลย..
ไม่ได้เล่า ให้กลัวนะ แค่เตือนนะค่ะ คุณควรไปทำบุญใส่บาตร ทำสังฆทาน และปล่อยปลา จำนวนตามกำลังวัน เป็น เวลา 3 เดือน ผ่อนหนักป็นเบา เช่น คุณเกิดวันอาทิตย์ กำลัง 6 ปล่อย สัปดาห้ ละ 6 ตัว หรือ เดือนละ 6 ตัว เป็นเวลา 3 เดือน จะพอช่วยได้เบาบางลง พระท่านบอกมาค่ะ (แต่พ่อดิชั้นท่านไม่ให้ทำ ท่านชอบความสมควรแก่เวลา) อย่า

 

เงาดำมีถือหอกสามง่ามมาด้วยหรือป่าวค่ะ
ถ้าใช่คือท่านยมทูตค่ะ
… เคยฝันเสมือนจริงมากมาถามหาคนชื่อเดียวกะพ่อเราเราเลยแกล้งตอบไปว่าไม่มีมีคนป่วยบ้านข้างๆกันชื่อนี้ เราก็ชี้บอกเขาว่ามีคนชื่อเดียวกับที่เขาถามหาอยู่บ้านหลังนั้น
พอเขาเดินไปที่บ้านหลังนั้นคุณตาที่ป่วยอยู่ที่บ้านหลังนั้นก็เสียชีวิตทันทีเลยค่ะ
คุณตาที่ป่วย ชื่อเหมือนกะพ่อเราค่ะ

 

อืม....
เป็นการสัมผัสถึงพลังงานบางอย่าง
อย่าคิดมาก เดี๋ยวจิตตก พอจิตตกสติก็จะไม่สมบูรณ์
ทำให้เขาเข้ามาครอบงำได้ง่ายๆ
ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ พระพลังงานบางอย่างเข้ามาครอบงำคุณได้
ก็เพราะร่างกายและจิตใจอ่อนแอ...
ถูกผิด โปรดชี้แนะ

 

ไม่มีอะไรหรอกครับ ถ้ามายืนแบบนั้น
ก็เราคนมีกำลังบุญ เค้าอยู่แถวนั้นเค้าก็มา
ตามแสงแห่งบุญนั้นหละครับ ไม่ต้องห่วงอะไรเลย
แต่ถ้าเป็นคนทำบุญทำทานมา
แล้วไม่เคยเจอแบบนี้เลย น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าครับ

จะบอกว่า เป็น
เรื่องปกติมากๆ มาขอส่วนบุญเฉยๆ
ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
ที่เห็นแบบนั้น เพราะว่ากลุ่มนั้นเสียชีวิตมานานแล้ว
คือตายมานานมากแล้ว...แต่ไม่มีคนอุทิศส่วนกุศลให้
เรียกได้ว่า อยู่ได้ด้วยกำลังตัวเอง
เพราะไม่เคยได้รับการอุทิศส่วนกุศล
อาจจะด้วยวิบากกรรมยังไม่คลาย
พอเริ่มคลาย เห็นใครมีกำลังบุญ
เค้าก็จะมายืนลักษณะแบบนั้นหละครับ
และมักจะมากันเป็นกลุ่มด้วยอย่างนั้นหละไม่แปลก
เจอเท่านั้นถือว่า น้อยนะนั่น
ถ้าทำบุญบ่อยๆ หรือมีกำลังบุญจากสมาธิ
เผลอๆจะมาเป็นกองร้อย..
พวกนี้จะดำทั้งตัวแม้กระทั่งตาก็ดำ
ยกเว้นพวกมีสีเขียวปน จะเก๋ากว่าหน่อย
คือพอมีแรงขยับตัวได้..

จำไว้เลยนะ ถ้ากรณีที่จะเจอต่อไป จะได้ไม่ต้องไปกังวลอะไร
เพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิศดารอะไรเลย
เพียงแต่เราไม่เข้าใจเฉยๆตอนนี้
ต่อไปฝึกเจริญสติให้มาก ก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวเราเอง
แยกให้เป็นข้อๆเลย

๑.เป็นเจ้ากรรม เราจะเห็นทางด้านซ้าย เยื้องไปทางเท้าซ้าย
ของเราออกไปซักระยะ ๒ ถึง ๓ เมตรเป็นอย่างต่ำ
๒.ถ้าถูกตัวเราได้ เป็นเพราะเคยมีวิบากร่วมกันมา
อาจเป็นได้ทั้ง ญาติ ศัตรู ถ้าอุทิศแล้วไม่หาย
ให้ทำบ่อยๆ แล้วให้เลิกคิดไป ก็จะไม่เกิดอีก
กับอีกกรณีคือ จิตปรุงแต่งไปเอง(ส่วนมากจะเป็นกัน)

๓.ถ้าเป็นระดับเทวดาประจำตัวเรา จะยืนข้างๆเรา
ไม่สูงกว่าหัวไหล่ และไม่ต่ำกว่าเอวคือเลยช่วงกลาง
เอวมาแล้วนะ ทางด้านไหน
ก็ได้ที่เป็นด้านขอบเตียงนอน

๔.ถ้าเป็นพวกภูต จะลอยได้ เท้าไม่ติดพื้น ชุดเหมือนไม่รีดผ้า
และจะเอาหน้ามาใกล้ๆเรา ห่างไม่เกิน ๑๐ ซม.
แต่จะไม่โดนตัวเรา ที่สำคัญจะเปลี่ยนหน้าได้
พวกนี้ไม่มีอะไร มาหลอกจะดูเรากลัวหรือไม่
ถ้าไม่กลัวก็จะไม่มาอีก พวกนี้ตาจะเขียวๆดำๆนะ

๕.ถ้าเป็นพวกอสูรกาย จะยืนนิ่งๆ ไม่ว่าจะอุทิศอย่างไร
จะไม่ไป และจะจ้องทำร้ายเราด้วยอะไรบางอย่าง
ปกติพวกนี้จะไม่ไปหา คนที่ไม่มีอะไรพิเศษ หรือฝึก
วิชาพิเศษ คือมาลองของเฉยๆ ไม่มีอะไร พวกนี้ตาสีแดง
ถ้าตาสีเหลือง จะเป็นกึ่งภูตกึ่งเทวดา พวกนี้
สังเกตุง่ายๆจะไม่มองหน้าเรา คือไม่ค่อยสบตา

๖.ถ้าเป็นระดับเทพมีฤิทธิ์ เวลาปรากฏตัว
จะอลังการงานสร้าง แล้วแต่บุญสัมพันธ์ส่วนตัว

๗.ถ้าเป็นระดับสูงๆ พรหม หรือสูงกว่า เช่นพระโพธิฯ
เวลาปรากฏจะเงียบกริ๊บ ในสภาพแวดล้อมปกติ
เรียกได้ว่า ระดับยิ่งสูง ยิ่งเงียบ ยิ่งเบา
และมาแบบชุดสวยงามตามท้องเรื่อง....
และปรากฏได้หลายแบบ แต่จะเงียบทุกแบบ
ปกติจะไม่มาหรอก ถ้าเราไม่ได้มีแนวทางปฏิบัติ
หรือปฏิธานอะไรบางอย่าง คล้ายๆเส้นทางที่ท่านเดิน

๘.ถ้าเป็นระดับตายไปนาน แต่พอมีบุญบ้าง จะมีชุดขาวปน
จะยืนประมาณหัวเข่าเรา ด้านขอบเตียง มีทั้งผมเส้นหนายาว
หุ่นอวบๆ หน้ากลมๆเหมือนนางงามกระทง
กับผมเส้นเล็กยาว หน้าเรียว หุ่นเห็นป่านว่านางแบบ
พวกนี้ตาสีฟ้าใส

๙.ถ้าเป็นกุมารเทพ จะอยู่ประมาณช่วงกลางระหว่าง
หั่วไหล่กับเอว(ลืมตามาก็เห็นเลยในสภาพแวดล้อมปกติ)
ต่างตรงที่จะปรากฏไม่เงียบเหมือนเทวดา
ประจำตัว....ปรากฏคล้ายๆครึ่งหลับครึ่งตืน
๑๐.ถ้าเป็นภพภูมิที่เคยเป็นมิตรเรามาก่อน จะมาชิดหัวไหล่ขวา
เราเลยเห็นแบบคล้ายๆฝัน
๑๑.ถ้ามานั่งประปราย ตามเตียงแต่ต่ำกว่าเอว พวกอยู่บริเวณนั้น
คืออยากมาดูเฉยๆ ว่าเราเป็นใคร คล้ายๆเป็นมิตร
แวะมาทักทาย...
๑๒.ถ้ามานั่ง สูงกว่าเอว เท่าหัวไหล่. รู้สึกได้ถึงมวลน้ำหนัก
แสดงว่าเป็นเจ้าที่ๆเป็นญาติในบ้านหลังนั้นหละ ไม่มีอะไร
ขอเลขเลย ๕๕๕
ทั่วๆไป จะมีประมาณที่เล่าให้ฟัง เอาไปอ้างอิงได้เลย
ยังไม่นับรวมการปรากฏแบบพิเศษต่างๆ....
เล่าให้ฟัง จะได้ไม่ต้องสงสัยอะไร เพราะจริงๆมันไม่มีอะไร
แค่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็จบ ไม่มีเรื่องพิเศษอะไรๆทั้งสิ้น


แต่ถ้าฝึกเจริญสติมา แล้วสามารถรักษาอารมย์ที่เห็นได้
และตัดสัญญาความจำได้ทิ้งไปได้
คุณจะพบว่า แค่เงา ดำๆนั้น จะสามารถเปลี่ยนแปลง
ไปได้อีกหลายรูปแบบ ตามแต่กำลังที่เค้าจะเปลี่ยนได้
ซึ่งปกติ ทั่วไป เราจะพลาดกัน เห็นกันแค่ไม่กี่วินาที
ก็ไปคิด ไประแวง ไปกลัวกันแล้ว เลยปรุงแต่งไปเรื่อย
และมักจะลืม เรื่องอุทิศส่วนกุศไปอย่างน่าเสียดาย
ทำให้เราขาดความเข้าใจในเรื่องนามธรรมอย่างคาดไม่ถึง

ถ้าดูได้ นานๆหน่อย ตัดสัญญาในใจได้
ที่เราเห็นก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆได้...

แล้วเราจะพบว่า สุดท้าย มันก็เป็นเพียงมายาจิต
เป็นกลจิตชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากสัญญาความจำได้
ของเราบวกกับภายนอก ปรุงร่วมกันขึ้นมา
จนปรากฏเป็นภาพนั้นเอง
ส่วนท้ายเล่าให้ฟังเฉยๆ เพื่อมีใครจะเกทบ้าง

ปล. มายาจิต เป็นแค่เพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยังยึดอะไรไม่ได้เลย ( ^_^)

 

คห สีแดงตอบครอบคลุมทุกปะเดนแล้ว สาทุๆ
เงื่อนไข มีอยุ่ 2 อย่างใหญ่ ว่า เขาเปนใคร มาดี มาร้าย

1. ตัวเราเคย ฆ่าใคร หรือสนับสนุนฆ่าใครบ้างมั้ย
2. เคยทำกรรมใหญ่ๆเกี่ยวกับสัตว์อื่น เยอะๆบ่อยๆมั้ย เขาอาจเปนเจ้ากรรมนายเวร
3. ถ้าข้อ1 2 ไม่ไช่ แต่ตัวเราทำบุญทำกุศลมาเยอะ สวดมน นั่งสมาธิ เขาอาจมาขอส่วนบุญ ตามแสงแห่งบุญตามที่ คห บน บอก
4. ถ้าข้อ 1 2 3 ไมไช่ แต่ตัวเรา คิดมาก ฟุ้งซ่าน ร่างกายไม่สบาย อ่านเรื่องผีเยอะ ทำไห้การสะสมเรื่องแบบนี้ในจิตเยอะ ทำไห้ ตาฝาด มองเห็นว่าเปนผี ไม่ว่าจะเหนเพราะคิดไปเอง กำลังสะลึมสะลือ ไกล้จะตื่น ไกล้จะหลับ

น่าจะอยุ่ในข้อใดข้อนึง

คำว่า ผี ยังมีคนเข้าใจผิดเยอะมาก
หลายคนเข้าใจแค่ว่า คือวิญญาณที่ตายไปแล้วเท่านั้น
ขอบอกว่า ถ้ารุ้แค่นี้ อาจต้องศึกษาใหม่

ผี คือ วิญญานที่ออกจากร่าง ถ้ายังไม่ไปเกิด ยังวนเวียน เรียกว่า สัมภเวสี
ถ้าชอบวนเวียน นั่นเพราะ เขาตาย ก่อนอายุขัย เมื่อยังไม่ครบอายุขัย เขายังมาวนเวียน ถ้าครบแล้ว เขาจะไปเกิดไหม่

ผี ไม่ถุกจัดอยุ่ในสัตว์ 31 ภูมิ เพราะเปนวิญญานที่ รอ การเกิด หรือปฏิสนธิ
ซึ่งเปนความหมายต่างกับพวกปริยัติที่เขา ถือว่า คน ก้ถือว่า เปน สัมภเวสี
แต่ตรงนี้ไม่ต้องลงลึก เดวจะวิจารกันไปใหญ่

ผี จะมาในลักษณะที่เรา คิดไว้ ล่วงหน้าแล้ว ว่า ต้องมาในรูปลักษณะแบบนั้นๆ
ความจริง อาจไม่ไช่ แต่อาจเปน เจ้ากรรมนายเวรหรือเทวดาก้ได้

แต่เมื่อเรามีความทรงจำว่ารูปลักษณะนี้ๆๆๆ ต้องเปน ผี เท่านั้น ทำไห้เราเข้าใจความจริงผิดไป นั่นเพราะเราไช้ความคิดจากสมองในการตัดสิน

มี อจ ท่านนึง ฝึกสมาธิในโบสร้าง ตกดึก ผีมาบีบคอ
ท่านภาวนาในใจว่า ตายเป็นตาย สุดท้าย ผีปล่อยมือ
สุดท้าย มารุ้ว่า นั่นไม่ไช่ผี แต่เป็น เทวดามาลองใจ

เขาบอกว่า ถ้าจะคุยกับผีกับเทวดา เราต้องฝึกสติให้มั่นคง คนที่มั่นคงจริง
สามารถคุยกะผีและเทวดาได้ จะได้รุ้ว่าเขามาทำไม
จะอุทิศส่วนบุญไห้ได้ หรือเขาจะแนะนำอะไรไห้เราได้บ้าง

 

สอบถามคุณ nop หน่อยครับ
กรณีที่มาขอส่วนบุญ ถ้าเราอุทิศให้บ่อยๆ แบบว่างๆก็อุทิศ ไปต่างที่ต่างถิ่นก็อุทิศให้บ่อยๆ เนี่ย จะเป็นการลดโอกาสที่จะเจอ หรือ เป็นการเพิ่มโอกาสครับ 55555

กรณีที่ถูกตัวได้นี่ ผมเชื่อนะ ว่าไม่ใช่ญาติก็ ศัตรู โดนทั้งสองแบบ แบบญาตินี่นอนก่ายหน้าผากแกคงไม่ชอบให้คิดมาก นอนๆคิดอยู่แขนลอยมาอยู่ข้างตัวเองเลย แบบศัตรูนี่ก็จับหมุนบนเตียง T T อันนี้เล่าสู่กันฟัง

 

๕๕๕ เจอขึ้นเรื่อยๆซิครับ ถ้าเจอน้อยลงคือแปลกแล้วครับ
จะได้เอามาเล่า ขำๆในห้องผีๆไงครับ สนุกดีครับ
และความเข้าใจนามธรรมเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับเองครับ
อย่าลืมว่า ระหว่างทางกิริยาต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรมนะครับพอมองเห็นประโยชน์ออกนะครับ..

และจะเป็นการเจอในลักษณะของการเข้ามาของระดับภพภูมิ
ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจำเป็นมากนะครับ สำหรับผู้ปฏิบัติ
นึกภาพออกไหม ถ้าได้เทคนิคดีๆจากภพภูมิ
(ซึ่งส่วนมากจะเข้ามาหาบุคคลที่ชอบทำบุญบ่อยๆ
ให้ส่วนภพภูมิและชอบทำอะไรแบบอยู่ข้างหลังพระ)
บางอย่างเราฝึกเป็นปีกว่าจะผ่านได้นะครับ
แต่เรารู้ทริคครั้งสองครั้งก็ผ่านแล้วครับ
และที่จะได้ก็คือ การได้รับความเกรงใจจากภาคส่วน
ภพภูมินั่นหละครับ ซึ่งใช้วัดตัวเองด้วยว่าตัวเราเอง
เป็นอย่างไรจะได้ไม่หลงตัวเอง อย่างเช่น บางคน
บอกว่าตัวเองบรรลุธรรม แต่เทวดายังเมิน ผีไม่มาขอส่วนบุญ
พอเห็นภาพที่พูดนะครับ....

และกรณีที่เข้าถึงตัวได้ ปล่อยให้ทำไปเลยครับ
รับรองเราไม่มีทางแน่นอนครับ..
มีเรื่องเล่า ของเซียนสมาธิจอมคาถาทางภาคใต้
เจอแบบเข้าถึงตัวแบบนี้หละครับ ไปใช้เรื่องพิเศษป้องกันตัวเอง
โดนถีบตกเตียงมาแล้วครับ เพราะอะไรนะหรือ
เพราะที่มาหาคือญาติตัวเองในอดีตไงครับ ๕๕๕๕
ดังนั้น กรณีถ้าเจอแบบนี้ ต้องยอมไป อุทิศไปเรื่อยๆ
จะรับไม่รับไม่ต้องสน จะปลอดภัยครับ ( ^_^)

 

ถ้ารู้สึกได้ว่านุ่งโจงเบน เห็นแค่สวนขา ยืนข้างหลังตอนเรานั่งสมาธิละครับ

 

ยืนก้มหลังโน้มมามองดูเราเล็กน้อยด้วยครับ ๕๕๕
กรณีนี้มาช่วยป้องกันภัยครับ ไม่มีอะไรครับ

 

ไม่รู้นะครับว่ายืนก้มหลังหรือป่าว แต่เห็นแค่เท้านะครับ ประมาณมาณ 3 ตนมั้ง รู้สึกเห็นแค่หัวเข่านะครับ บางครั้งเราก็รู้สึกขนลุกนะ เวลาแผ่เมตตา ช่วงนั้นทำทุกคืนเลย แต่หลังๆมาไม่ค่อยทำ เวลาทำอย่างมากก็ขนลุกเฉยๆ เวลาเราแผ่นเมตตาให้ บทจักรพรรดิ์ บทสุดท้ายที่แผ่เมตตาอะครับ บทนั้นเวลาอธิฐานจิตแผ่ไปให้รู้สึกขนลุกแทบทุกครั้งเลย

 

ถ้าฝึกกรรมฐานพิเศษได้
จะยืนจนรอบตัวเรา
ปล.เล่าให้ฟังเฉยๆ

 

ใครมายืน มายืนทำไม กรรมฐานพิเศษคืออะไรครับ

 

ก็มายืนคอยป้องกันนั่นหละครับ เหมือนที่คุณเจอนั่นหละครับ
พูดง่ายๆ ปกติเวลาเรานั่งสมาธิจะมีอะไรมาคอยป้องกัน
พวกนี้ต่อไปรู้ได้ด้วยกำลังสติตัวเองครับ
และจำนวนผู้ที่มาป้องกัน บอกถึงบารมีที่เราได้สร้าง
สะสมมากับทางภาคส่วนภพภูมินั่นหละครับ เข้าใจบ้างหรือยังครับ

กรรมฐานพิเศษคือ การฝึกสมาธิอะไรก็ตาม
ที่ส่งเสริมให้จิตทำงานได้แบบพิเศษนั่นหละครับ
เข้าใจนะครับ....จบ..

 

+++ วิธีพิสูจน์ง่าย ๆ คือ ให้ "มโน" นึกย้อนกลับไปว่า ถ้าจะ "มโนเอาเอง จะทำได้หรือไม่"
+++ หากทำได้ ก็ให้วางไว้แค่ 50/50
+++ หากทำไม่ได้ ก็ไม่ต้อง "ปฏิเสธ/เชื่อ" อะไร
+++ ให้วางไว้แค่ "เห็น คือ เห็น" เท่านั้นพอ

+++ คราวหน้าให้ "นึกคุยครง ๆ" กับผู้ที่เข้ามาปรากฏ ก็จะทราบได้เอง
+++ เวลาคุยก็ให้ "คุยแบบคนทั่วไปธรรมดา" อย่าแบ่งแยกว่า คน/ผี อะไรทั้งสิ้น
+++ หากการสื่อสาร อยู่ในระดับ "เสียงคุย" ก็จะปรากฏเป็นเสียง "ในบริเวณลิ้นปี่"
+++ หากการสื่อสาร อยู่ในระดับ "ผู้ใหญ่" ก็จะปรากฏเป็นเสียง "แทรกใน อณู อากาศ"
+++ หากการสื่อสาร อยู่ในระดับ "ละเอียด" ก็จะปรากฏเป็น "ความเข้าใจ ต่อ ความเข้าใจ"

+++ เวลาที่พวกเขามาปรากฏ "ไม่มีคลื่นคุกคาม" อะไร ก็เป็นแค่ "ผ่านทางมาดูเฉย ๆ"
+++ เวลาที่พวกเขามาปรากฏ "หากมีคลื่นยินดี" มาด้วย ก็เป็นแบบ "เคยมีไมตรีต่อกัน"
+++ เวลาที่พวกเขามาปรากฏ "หากมีคลื่นทุกข์ลำบาก" มาด้วย ก็เป็นแบบ "ขอส่วนบุญ"
+++ เวลาที่พวกเขามาปรากฏ "หากมีแค่ความแจ่มใส" ก็เป็นแบบ "มาช่วยเหลือ"

+++ ทั้งหมดอยู่ที่ "คลื่นอารมณ์" ที่แผ่ออกมาจากเขาเหล่านั้น เป็นเกณท์ในการตัดสิน

+++ ในกรณีของคุณ เป็นแบบ "ผ่านทางมาดูเฉย ๆ" แบบสุภาพ ๆ มีมารยาท แล้วก็ไปตามทางของเขาต่อไป นะครับ