เรื่องเด่น หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเนียม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 17 เมษายน 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,065
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpNeamWatNoy.jpg LpPan.jpg
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเนียม
    ทีนี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริงหลวงพ่อเนียมก็เดินคว้าง ๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบ 1 ผืนที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าผ้าขาวม้า แต่ว่าพระนั่นเขาเรียก ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง แต่ว่าผ้าที่ท่านนุ่งมันไม่เหลือง มันตุ่น ๆ เข้าไปแล้ว มันจะดำ เหลืองหมดไป ขาวก็ไม่ขาว กลายเป็นผ้าดำ ๆ นุ่งแบบชนิดไม่รัดประคด คาดลอยชาย ผ้าอีกอผืนหนึ่งแบบเดียวกัน คล้องคอเดินไปรอบวัด มีหมาวิ่งตามเป็นฝูง ยี่ห้อนี้คล้าย ๆ ฉันนะ นี่อย่าเอาบารมีฉันไปเปรียบกับหลวงพ่อเนียมนะ ที่ว่าคล้ายนี่คล้ายตอนที่หมาวิ่งตามนี่แหละ ฉันก็เหมือนกัน เวลาฉันไปไหนหมามันชอบวิ่งตาม ฉันก็ชอบคุยกับหมา เดินไปเดินมาคุยกับหมา ๆ มันไม่ขัดคอฉัน เวลามันพูดว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง ฉันพูดไปมันรู้หรือไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วก็เลยพูดสบาย
    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นน่ะ ก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อเนียม เห็นพระแก่ ๆ ผอม ๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่ง เอาผ้ามาคล้องคออีกผืนหนึ่ง เดินมีหมาฝูงหนึ่งวิ่งตามไป ท่านก็คุยกับหมาตัวโน้นบ้าง ตัวนี้บ้าง เดี๋ยวก็ยิ้มกับหมาตัวโน้น ลูบหัวหมาตัวนี้ ท่านก็นั่งดู เอ ว่าพระองค์นี้น่าจะเป็นหลวงพ่อเนียม ท่านไม่รู้จักนี่
    ทำไมหลวงพ่อปานจึงคิดอย่างนั้น ก็เพราะว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่น ๆ นี่เป็นพระชั้นอ๋องแล้วนะ เป็นพระลืมเกิดแล้ว ท่านสอนหลวงพ่อปานได้ดีทุกอย่าง รู้จนกระทั่งหลวงพ่อปานเคยปรารถนาพุทธภูมินา นี่พระขนาดนี้ก็อ๋องแล้ว แต่ว่าเวลาที่หลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียมน่ะ หลวงพ่อสุ่นตายแล้ว
    เมื่อหลวงพ่อสุ่นตาย หลวงพ่อป่านท่านก็บอกว่า ท่านก็ต้องหาที่เกาะต่อไป เพราะหลวงพ่อสุ่นบอกไว้ว่าหลวงพ่อเนียมท่านเก่ง ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็เลยเดา ๆ เอาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นหลวงพ่อเนียม ก็วางกลด วางย่าม ถอดรองเท้า จำไว้ด้วยนะ พระผู้น้อยที่จะเข้าหาพระผู้ใหญ่น่ะ เขาต้องวางอะไรต่ออะไรทั้งหมด รองเท้าก็ต้องถอด พระสมัยนี้เขาถอดกันหรือไม่ถอดก็ไม่ทราบ เขาทันสมัย เข้าไปถึงก็กราบ
    หลวงพ่อปานบอกว่า แทนที่ท่านจะยกมือรับไหว้ กลับจ้องหน้าเป๋ง วาจาที่กล่าวมาเป็นวาจาแรกก็คือ มึงจากไหนวะ มึงมากราบกูทำไม เอาเข้านั่น
    หลวงพ่อปานบอกว่า เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับ กระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกรรมฐาน วาจาอีกคำที่ตอบมาก็คือ กรรมฐานโคตรพ่อโคตรแม่มึงมีที่ไหน กูไม่มีกรรมฐาน คนบ้านนี้เขาหาว่ากูบ้า กูเป็นบ้า กูพูดกับหมู กูพูดกับหมา กูกินข้าวกับหมูกับหมาได้ มึงจะมาเรียนกรรมฐานกับกูยังไง กูไม่รู้กรรมฐานมันเป็นยังไง ว่าแล้วก็ขับไล่ไสส่งให้กลับวัด
    หลวงพ่อปหานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่อง ก็เลี้ยวไปหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามพระในวัดว่าพระองค์นั่นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่าองค์นั้นแหละ ชื่อหลวงพ่อเนียมละ
    หลวงพ่อปานก็สมใจคิดว่า ดีละ ในเมื่อพบหลวงพ่อเนียมก็จะต้องเรียนให้ได้ เอาซิ มาพบคนดีตามคำสั่งของหลวงพ่อสุ่นเข้าแล้ว ในเมื่อพบเข้าแล้วเช่นนี้จะถอนได้อย่างไร ไอ้เรื่องจะถอนไม่มีวันละ ไม่มีวันถอน
    วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่านอีก ตอนนี้เข้าไปตอนเช้าเวลาที่พระฉันข้าว คือว่าพระที่ท่านพักอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน ในตอนเข้าต้มข้าวต้มให้ท่านฉัน แล้วก็บอกว่า ถ้าหาหลวงพ่อเนียมต้องหาตอนเช้า จะค่อยยังชั่วสักหน่อย ถ้าหาตอนเย็นไม่ได้ แดดแข็ง แดดจัด ๆ ดีไม่ดีท่านก็ตวาดเอาง่าย ๆ
    เวลาที่หลวงพ่อเนียมฉันข้าว ก็ปรากฏว่าท่านนั่งบนโต๊ะ 2 ชั้น ข้างล่างเป็นโต๊ะตัวโต ข้างบนตัวย่อมหน่อย มีกับข้าวเต็ม ท่านฉันองค์เดียว พระองค์อื่น ๆ ตั้งวงฉันไม่ไกลกันนัก บนโต๊ะของท่านพื้นโต๊ะชั้นที่ 1 มีหมดเต็มหมด ท่านกินข้าวคำ ท่านก็ป้อนตัวโน้นคำ ป้อนตัวนี้คำ แล้วก็ท่านฉันคำ ป้อนหมาบ้าง กินเองบ้าง ป้อนแมวบ้าง คุยกะหมา คุยกะแมวไปตามชอบใจ
    เมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบ ๆ ท่านก็ด่าเอาอีก ท่านด่าเอา ท่านไม่ยอมสอน ท่านบอกว่าท่านไม่รู้กรรมฐาน ตอนนี้ล่อโคตรพ่อโคตรแม่เข้าเลย เอากันอย่างหนัก
    ในเมื่อหลวงพ่อปานเห็นท่าไม่ได้การ มองดูพระพี่เลี้ยงที่ไปอาศัยกุฏิอยู่ ท่านก็พยักหน้าให้เข้าไปหา ท่านก็เลยเข้าไปหา พระองค์นั้นท่านก็บอกว่าคอยก่อน พรุ่งนี้เข้าไปหาใหม่
    พอวันรุ่งขึ้นก็เข้าไปหาในเวลานั้นอีก ก็ถูกด่าพ่อล่อแม่อีก เอาขนาดหนัก ท่านยืนยันแบบนี้ชักนิ่งเอา ตอนนี้หลวงพ่อเนียมนิ่ง นั่งมองหน้าเป๋งสักครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่น้อยนะ ไม่พูดละ มองเป๋ง ตาไม่กระพริบ หลวงพ่อปานก็หมอบอยู่ข้างเท้าของท่าน หมามันก็เลียหัวเลียหูเลียหลังบ้าง ท่านก็ปล่อยมัน บอกว่าช่างมัน ไอ้หัวเรากับลิ้นหมามันก็คล้ายคลึงกัน ไอ้ลิ้นหมามันก็อยู่ส่วนหัว ไอ้หัวเราก็อยู่ส่วนหัว มันปะทะกัน ไม่เป็นไร หัวต่อหัว ท่านบอกว่าดีน่ะนา มันยังไม่เอาหัวแม่เท้าของมันมาพาดหัวเรา ๆ ก็ยังไม่ว่ามัน เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ยังเป็นหมาของหลวงพ่อเนียม
    หลวงพ่อเนียมจ้องเป๋งสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็พูดมาคำ บอกว่า ไอ้…..กะแม่ ไอ้พวกเมืองกรุงเก่านี่น่ะดื้อด้านเหลือทน โคตรแม่มันดื้อด้านมาก ด่าเท่าไหร่ก็ไม่เจ็บ ด่าเท่าไหร่ก็ไม่ช้ำ เอา มันอยากจะเรียนก็เรียนซีวะ ในเมื่อชาวบ้านเขาหาว่ากูบ้าแล้ว มึงเรียนกับกู มึงก็เป็นคนบ้า ต่อไปมึงจะต้องบ้าอย่างกูนะ ถ้ามึงเรียนกับกู
    หลวงพ่อปานก็เลยบอกว่า บ้าก็บ้าครับ ผมยอมบ้า ถ้าผมไม่อยากบ้า ผมก็ไม่มาหาหลวงพ่อ นี่ผมได้ยินข่าวหลวงพ่อแล้วผมอยากบ้าอย่างหลวงพ่อขอรับ
    ตอนนี้ท่านบอกว่าเพิ่งจะได้ยินเสียหัวเราะลั่น ๆ เลย หัวเราะเสียงดังบอกว่า เออ กูหาคนอยากจะบ้ามานานแล้ว หาไม่ได้ นี่กูบ้าคนเดียวมานาน ต่อไปนี้กูจะมีเพื่อนบ้าละโว้ย
    เอาเข้านั่น หลวงพ่อปานชอบใจ หลวงพ่อปานบอกว่าหลังจากนั้นท่านก็เลยสั่งว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ตอนนี้พูดดี กลางคืนเวลาประมาณสัก 2 ทุ่มนะ เอ็งนุ่งสบงทรงจีวรคาดสังฆาฏิให้ดีเข้าไปหาข้าในกุฏิ เวลากลางวันนี้มันจะเรียนกันยังไงวะกรรมฐาน เขาเรียนกันกลางคืน มันเงียบสงัด
    ตอนนี้ชักดี หลวงพ่อปานก็บอกว่า ใจชื้น
    พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำผอมเกร็งแบบนั้นไม่มี ท่านนุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่าม ผิวการสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์ หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส สวยบอกไม่ถูก
    หลวงพ่อปานกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้ม ๆ แล้วท่านก็ถามว่า แปลกใจรึคุณ ตอนนี้พูดดีถามว่า แปลกใจรึคุณ
    หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการบอกว่า แปลกใจขอรับ ว่าหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน
    ท่านก็บอกว่า รูปร่างนะคุณ มันเป็นอนัตตานี่ คือว่าเป็นอนิจจัง มันหาความเที่ยงไม่ได้ มันจะดำเราก็ห้ามมันไม่ให้ดำไม่ได้ มันจะขาวเราก็ห้ามไม่ให้มันขาวไม่ได้ มันจะผอมเราก็ห้ามไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะห้ามได้เลยนี่คุณ พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอเอาตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ
    หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้จะเริ่มสอนกรรมฐาน อธิบายไพเราะจับใจ ฟังง่ายจริง ๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้าย ๆ ว่าจะบรรลุอรหัตผลไปพร้อม ๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก
    พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกรรมฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอก คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วนี่หว่า ตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้
    นี่หลวงพ่อปานบอกว่าท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือนแล้วจึงกลับ ก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันเขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถามหลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันนะ
    ความจริงหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน หรือ วัดอัมพวันสมัยนี้ ก็อายุไล่เรี่ยกับหลวงพ่อปาน รุ่นราวคราวเดียวกัน
    หลวงพ่อปานท่านบอกเกร็ดระหว่างที่ท่านได้อยู่กับหลวงพ่อเนียม หลวงพ่อเนียมเล่าให้ฟังว่า มีวันหนึ่งหลวงพ่อเนียมท่านนั่งฉันข้าว ท่านก็หัวเราะกั้ก ๆ ขึ้นมา แมวของท่านตายไปตัวชื่ออีไฝ เพราะว่ามีไฝที่ปาก ท่านเรียกว่าอีไฝ ท่านหัวเราะแล้วท่านก็พูดคนเดียวบอกว่า เอ๊ย อีไฝของข้ามันดีเว้ย มันไปเกิดเป็นคนที่ตลาดโควัง บ้านอยู่หัวตลาดโควัง พ่อมันชื่อนั่น แม่มันชื่อนั่น พระที่กำลังฉันข้าวอยู่สงสัยก็จำไว้
    พอครบเวลา 1 ปีผ่านไป พระที่สงสัยมีจำนวน 2 องค์ก็พากันไปดู ไปถามว่าคนชื่อนี้มีไหม เขาก็บอกว่ามี บอกว่า เขามีลูกผู้หญิงอายุสักไม่กี่เดือนนี่มีหรือเปล่า บอกว่ามี มีไฝที่ปากหรือเปล่า ท่านบอกด้วยนะว่า อีไฝของท่านไปเกิดมันก็มีไฝที่ปากอีก เขาก็บอกว่ามี ก็ถามหาบ้าน เมื่อถามหาบ้านแล้วก็ปรากฏว่า เขาพาไป เมื่อเขาพาไปพบ เจ้าของบ้านเขาก็ถามว่ามาทำไม พระพวกนั้นก็เริ่มโกหก บอกว่า หลวงพ่อเนียมท่านใช้มา บอกว่าแมวของท่านตายมาเกิดเป็นลูกบ้านนี้ มีไฝที่ปาก เป็นผู้หญิง แล้วบอก ชื่อพ่อ ชื่อแม่
    ท่านพ่อท่านแม่ของเด็กดีใจมาก ว่าได้ลูกที่เป็นแมวของหลวงพ่อเนียม แล้วก็สั่งพระว่า บอกหลวงพ่อด้วยนะ ถ้าเด็กคนนี้อายุครบ 3 เดือนเมื่อไรละก็ จะพาเด็กไปถวายหลวงพ่อ จะพาไปนมัสการ ไปไหว้ พระพวกนั้นก็กลับ
    พอครบ 3 เดือน เขาพาไปถึงก็ไปประเคนเด็กลงที่เท้าของท่าน หลวงพ่อเนียมตกใจ ทำท่าตกใจไปยังงั้นเอง ถามว่า เอ๊ะมันยังไงกันหว่า มาถึงก็มายกเด็กมาวางที่ขาข้า เขาก็บอกว่าก็ลูกของหลวงพ่อไงล่ะ แมวชื่อไฝของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกฉัน ท่านก็ถามว่า เอ๊ะ เอ็งรู้ได้ยังไงวะ เขาก็เลยบอกว่าพระไปเยี่ยม พระบอกว่าหลวงพ่อบอกว่า แมวของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกสายฉัน มีไฝที่ปาก ถามชื่อเสียงเสร็จถูกต้อง พูดอะไรถูกต้องหมด
    ท่านถามว่าพระองค์ไหนจำได้ไหม
    เขาบอกว่า ถ้าเห็นหน้าจำได้
    ก็เรียกพระมาทั้งหมด ปรากฏว่าพระ 2 องค์นั้นไม่มา พระ 2 องค์ที่ไปสืบน่ะหนีไปหลังวัด ท่านถามว่า พระทั้งหมดนี่น่ะใช่ไหม พระที่ไปที่บ้านเอ็งมีไหม
    เขาบอกว่าไม่มี พระ 2 องค์นั้นไม่มี

    ก็เลยใช้พระองค์หนึ่งไปตามบอกว่า โน่น มันหนีไปหลังวัดโน่น ไปตามมันมา
    พระองค์ที่ไปตามไปพบกันเข้ากับพระ 2 องค์นั้นก็บอก นี่คุณกลับไปเถอะ ไปบอกหลวงพ่อ บอกว่าตามไม่พบนะ เดี๋ยวผมจะไปนอนค้างที่วัดลานคา ๆ กับวัดน้อยไม่ไกลกันนัก
    พระองค์นั้นก็กลับมาบอกว่าไม่พบขอรับ

    ท่านก็บอกว่ามันจะพบยังไงหว่า ก็มันสั่งมึงมานี่ ให้บอกกูว่าไม่พบ พระองค์นั้นจนด้วยเกล้าต้องยอมรับ
    จึงกล่าวได้ว่าหลวงพ่อเนียมมีเจโตปริยญาณ มีทิพยจักษุญาณดีมาก เรียกว่าสำหรับจุตูปปาตญาณก็แจ่มใสมาก ความจริงก็ไม่ต้องพูดอะไรนะ ถ้ามีทิพยจักษุญาณแจ่มใสเสียอย่างเดียว อย่างอื่นมันก็แจ่มใสหมด แต่ว่าทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับวิปัสสนาญาณ คือ 1 มีญาณดี 2 มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส ถ้า 2 ประการนี้มีกำลังพอกันเพียงใด เรื่องทิพยจักษุญาณก็ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเรื่องของสาวกน่ะอย่าไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะ เรื่องที่ไม่เผลอ ไม่ลืมไม่มี ที่ไม่เผลอไม่ลืมก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ว่ากันถึงเรื่องตอนนี้นะ
    เรื่องราวของหลวงพ่อเนียมน่ะยังไม่หมด มีอีกตอนหนึ่ง ที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ความจริงก็น่าจะมีสัก 2 ตอนนะ ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟังก็คือว่า ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเทศน์ เทศน์กับอาจารย์แสงวัดพะเนียงแตก อาจารย์แสงนี่ คราวที่ไปกรุงเทพฯ วันที่ 1 มกราคม ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ พูดให้ฟังว่า ใครเขาเอาพระของอาจารย์แสงมาให้ก็ไม่ทราบ

    ความจริงอาจารย์แสงองค์นี้สมัยนั้นมีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดพระเนียงแตกนี่น่ะมีชื่อเสียงมากจริง ๆ เวลาใครเขาจะไปสึก เขาไปสึกที่วัดพระเนียงแตก แล้วท่านจะถามว่าเวลาสึกนี่น่ะ ต้องการรวย หรือว่าต้องการเจ้าชู้หรือว่าต้องการเป็นนักเลง หรือต้องการเมตตาปรานี ถ้าใครต้องการรวยท่านก็รดน้ำมนต์ให้สึกไปแล้วรวยมีโชคดี ถ้าคนไหนบอกว่าอยากมีเมียมาก ๆ เป็นเจ้าชู้ รดน้ำมนต์แล้วไม่เกิน 2 วันได้เมียเลย แล้วก็ได้เรื่อยไป ไม่มีจังหวะ ก็เลยตั้งตัวไม่ติด ถ้าต้องการนักเลง รดน้ำมนต์ให้แล้วส่งเชือกให้ แล้วบอกว่า ไปลักควายเขา อาจารย์องค์นั้นจะเป็นอาจารย์แสงหรืออะไรไม่ทราบแต่วัดพะเนียงแตกมีชื่อมานาน
    แต่สมัยหลวงพ่อเนียมนั้นน่ะ สำหรับวัดพะเนียงแตกนี่ก็มีอาจารย์แสงเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเนียมเคยเล่าให้หลวงพ่อปานฟังว่า ไอ้ท่านแสงน่ะ ข้าเทศน์กับมันทุกคราว เรียกว่าข้าเทศน์กับมันเรื่อย มันไล่ข้าเสียเกือบตายทุกที เหนื่อย ข้ามันแก่แล้วนี่ มันหนุ่มกว่าข้า มันไล่ข้า ข้าก็ไม่จน ข้าก็ตอบมันได้เรื่อย แต่ทว่ามาอีวันหนึ่ง ข้าไปเทศน์กับมันที่วัดลาดหอย คำว่าลาดหอยนี่ก็อยู่ใกล้ ๆ กับประตูน้ำบางยี่หน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 เมษายน 2017
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,065
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    วันหนึ่งอาจารย์แสงไปถึงก่อน ชาวบ้านเขาก็เอาหมาก เอาพลู เอาบุหรี่ เอาชา เอาน้ำร้อนน้ำเย็นมาถวายกัน เขาก็หัวเราะกันครืน ๆ ท้ายอาสนสงฆ์ ข้าไป ข้าก็ไปนอนอยู่หัวอาสนสงฆ์ ชาวบ้านไม่มีใครเขาสนใจกะข้าหรอก เขาไปคุยกับท่านแสง มันมีลีลาดี มันโกหกชาวบ้านเก่ง มันก็คุยกัน ฮา ๆ ๆ คุยไปคุยมาเดี๋ยวมันร้องตะโกนมาบอกว่า หลวงพ่อเนียมวัดน้อยน่ะ คุยว่ารู้ใจคนอย่างนี้น่ะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ขาดจากความเป็นพระแล้ว ไม่ใช่พระ ถ้าหลวงพ่อเนียมเก่งจริง ก็ลองบอกซิว่า เวลานี้น่ะผมมีความในใจเป็นยังไง
    หลวงพ่อเนียมบอกว่า พอฟังมันพูดเท่านั้นแหละ ก็นึกในใจว่า ถ้าจะนิ่งไม่ได้เสียแล้ว ไอ้ท่านแสงนี่อวดดีมาก เก่งบนธรรมาสน์ไม่พอ มาท้าตีกันใต้ธรรมาสน์อีก ไม่ได้ จะต้องเอากะมัน
    ท่านก็เลยลุกจากที่นอน กวักมือเรียกท่านแสง แกอยากจะรู้ว่าข้ารู้จริงหรือไม่จริง เชิญเข้ามาหาข้านี่
    อาจารย์แสงเขาก็มา ชาวบ้านเขาก็เข้ามากัน ถามว่าแกอยากจะให้ข้ารู้อะไร
    อาจารย์แสงก็เลยบอกว่าถ้ารู้จริงก็บอก เวลานี้ผมมีความสุขหรือความทุกข์
    หลวงพ่อเนียมก็เลยบอกว่า ไอ้คนอย่างแกมันจะหาความสุขที่ไหนวะ ก็เวลานี้แกสร้างโบสถ์ แกขอยืมเรือมาด 4 แจวของชาวบ้านเขามา เขาซื้อมาราคา 400 บาท ยังเป็นเรือใหม่ แล้วไอ้เรือลำนั้นขโมยมันลักไป เวลานี้แกยังเทศน์รวบรวมเงินใช้หนี้เขาไม่หมด
    ก็เทศน์สมัยนั้นนี่นะลูกหลานนะ ถ้าใครไปเทศน์ได้ถึง 20 บาทละก็เฮงเต็มทีแล้ว อย่างดีก็ 5 บาท 6 บาท เท่านี้ก็เรียกว่ารวยแล้ว ไม่ใช่ราคาร้อยราคาชั่งอย่างเวลานี้ ตามปกติเทศน์กันก็ได้ห้าสลึงบ้าง สองบาทบ้าง ดีไม่ดีก็ไม่ค่อยจะถึงบาท สมัยนั้นถ้าใครได้มา 20 บาท ก็จัดว่าเป็นนักเทศน์อย่างดี
    ในเมื่อหลวงพ่อเนียมบอกอย่างนั้นนะ ว่าแกมันยังหาเงินใช้หนี้เขาไม่หมด เป็นความจริงไหม ตอบตรง ๆ
    หลวงพ่อแสงก็บอกว่าจริง หลวงพ่อแสงก็ถามว่า ทำยังไงล่ะ ผมถึงจะใช้หนี้เขาหมด
    ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้แกมันโง่นี่ แกกลับไปซี เวลาวันพระไปบอกกับชาวบ้านเขา บอกว่าเวลานี้เรือมาด 4 แจวขอยืมเขามาขนทรายขนอิฐ ขนดินทำอิฐจะสร้างโบสถ์ ขโมยมันลักไป ไอ้แกตั้งใจจะใช้หนี้เขาแต่ก็ยังไม่มีเงิน ไปเทศน์รวบรวมเงินมาแล้วมันยังไม่พอ เวลานี้แกมีเงินอยู่ 80 บาท เศษ ๆ ใช่ไหมล่ะ ท่านถาม
    อาจารย์แสงตอบว่า ใช่ อาจารย์แสงยกมือพนมแต้ อีตานี้ไม่เบ่งละ พนมแต้เชียว ตอบใช่
    ก็บอกว่า นี่แกประกาศกับเขาซีว่า แกเทศน์มาได้ 80 บาทเศษ ๆ ก็ตั้งใจจะใช้เป็นค่าเรือ มันยังไม่พอ ถ้าบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะช่วยละก็ จะช่วยกันคนละเล็กละน้อยตามกำลังศรัทธาก็เป็นการดี แกบอกเท่านี้ละนะ แกจะได้กำไรอีก 400 บาท
    หมายความว่าไอ้ที่จะใช้เขา 400 บาท มันยังจะเหลืออีก 400 บาท ได้ 800 บาท นั่นเอง
    หลวงพ่อแสงก็ถึงกับกราบ
    วันนั้นท่านบอกกับหลวงพ่อปานว่า ไอ้ท่านแสงมันไม่ไล่ข้าเลยว่ะ เทศน์กันแบบสบาย พอมันกลับไปวัดมัน ถึงวันพระ มันประกาศตามกันว่า มันได้ 800 บาท จริง ๆ ไอ้ท่านแสงตามมาไหว้ข้าถึงวัดแน่ะ แล้วต่อจากนั้นจะเทศน์จะธรรมมันไม่ไล่ข้าอีกหรอก เทศน์กันสบายเชียว
    นี่เป็นเรื่องของความรู้ของท่านนะ หลวงพ่อปานพูดในตอนนี้บอกว่าหลวงพ่อเนียมน่ะมีญาณคล้าย ๆ กับพระอรหันต์ ท่านว่ายังงั้นนา ท่านว่ามีคุณสมบัติคล้ายพระอรหันต์ ท่านไม่บอกว่าพระอรหันต์นะ ท่านบอกว่าคล้าย ใครจะไปว่าท่านล่ะ จะเหมือนหรือจะคล้ายก็ช่าง
    วิชาเกร็ดก็มีอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเนียมบอกกับหลวงพ่อปานว่า เมื่อก่อนหน้าแกมานะ แหม ข้าเกือบน่ะว่ะ
    หลวงพ่อปานถามว่าเป็นยังไงครับ
    หลวงพ่อเนียมบอกว่าที่ไหนได้ ข้าถูกงูกัด ข้าเดินไปกลางลานวัด ข้าถูกงูกัด ๆ แล้วก็เห็นมันเป็นงูเห่า ข้าก็เลยมากุฏิ นั่งเป่า ๆ ๆ พักเดียวมันก็หาย
    หลวงพ่อปานก็เลยอยากได้คาถาแก้งูเห่าบ้าง ถามว่า หลวงพ่อครับหลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าพิษงูเห่าหาย
    ท่านก็บอกว่าไอ้คาถาที่เข้าเป่านี่น่ะมันมีเยอะว่ะ ในเจ็ดตำนานทั้งหัวมันใช้ได้ทั้งนั้นแหละ แกเอาตรงไหนก็ได้
    หลวงพ่อปานบอกว่า หมดท่าเลย พ่อเล่นบอกว่าเจ็ดตำนานทั้งเล่มเอาตรงไหนก็ได้ นี่แสดงว่าจิตเข้าถึงแท้นะ มีพลังจิตสูง
    แล้วอีกตอนหนึ่งท่านบอกว่า ไอ้พวกผีนี่น่ะ มันจะเอาคนแถวนี้ ข้าไม่ยอมให้มัน มันบอกมันจะเอาคนตั้ง 200 คน มันขอข้า ข้าไม่ให้มัน ๆ เอาไปตั้ง 200 คน ข้าก็ตายน่ะซี พระก็ตายไม่มีใครเลี้ยง คนน่ะมากกว่า แต่คนตายตั้ง 200 คน บ้านมันก็หนาวหมด เขาก็ยกบ้านหนีหมด ข้าไม่ยอมให้มัน มันโกรธข้าแฮะ ข้าจะไปไหนก็ตาม มันถือไม้แหลมอันหนึ่งเดินตามไป ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ข้าก็ไม่ยอดเผลอให้มัน แต่วันหนึ่งข้าไปส้วมว่ะ ข้าเผลอไป แหมพอไปส้วม เผลอไป มันย่องเข้าไปข้างหลังเอาไม่พุ่งปั๋งเข้าที่ท้อง ข้าขี้แตกพรวดเลย โอ้โฮมันขี้เสียหมดท้อง ชักไม่มีแรง เวลาออกมาจากส้วมต้องใช้ไม่เท้ายันมากุฏิ ข้าก็นอนแผ่ นึกเป่าตัวเองครึ่งวัน สักครึ่งวันมีกำลังปกติ
    หลวงพ่อปานก็ถามว่าหลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าขอรับ
    ท่านบอกว่า ข้าเอาตามเจ็ดตำนานที่ไหนก็ได้ บทไหนก็ได้ ชอบบทไหน แกก็เอาบทนั้นเป่าส่งไปเถอะหายเองแหละ คนถ้ายังไม่ถึงเวลาจะตายน่ะหายเอง
    หลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือนก็ลากลับ ก่อนจะกลับหลวงพ่อเนียมก็ลูบศีรษะแล้วว่า ปานเอ๊ย เอ็งมันปรารถนาพุทธภูมินะ จะหวังอรหันต์ในชาตินี้น่ะได้ แต่ทำไปเถอะ เพื่อบารมีของเอ็งจะได้เต็ม เวลาข้าตายแล้วถ้าเอ็งสงสัยอะไรก็ถามท่านโหน่งเขานะ ท่านโหน่งน่ะ เขาพอจะแทนข้าได้
    คัดลอกจาก http://www.thaisquare.com/Dhamma/prawatlppan/lppan/6-6.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 เมษายน 2017
  3. sutin_boons

    sutin_boons เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +12,895
    ขอบคุณครับ สนุกมากครับ อ่านเพลินเลยครับ
    เคยฟังเขาเล่าต่อๆกันมาครับว่า หลวงพ่อเนียมท่านลองใจศิษย์ว่าจะสอนยากใหม ส่วนหลวงพ่อปานท่านเทหมดใจ เมื่อไปแล้วจะตีให้ตายก็ยอม จากที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเล่ามาใช่หรือเปล่าครับ
    ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,065
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ..............
    สาธุค่ะ หลังจากนั้นก็มีต่อค่ะ ใน"ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า"หลวงพ่อปานส่งพระลูกศิษย์ไปอีกองค์หนึ่ง
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม

    Buddhism Channel :-
    Published on Apr 19, 2017
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2017
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,065
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    wadnoy00.jpg
    ประวัติหลวงพ่อเนียม วัดน้อย


    ข้อมูลจากเวปศูนย์พระดอทคอม
    http://www.soonphra.com/geji/niam/


    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย บ้านสามหมื่น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี เป็นชื่อที่ชาวสุพรรณทั้งที่อยู่ในวงการพระเครื่องและไม่ใช่ ต่างรู้จักท่านดี เป็นที่นับถือโดยทั่วไป ลือกระฉ่อนในด้านปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าระทึกใจ

    หลวงพ่อเนียมมีอายุยืนยาวถึง ๔ รัชกาล เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชกาลที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ต. มดแดง อ. ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มารดาเป็นชาวป่าพฤกษ์ ต. ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ธรรมเนียมไทยฝ่ายชาย ที่เข้าสู่งานมงคลสมรสแล้วจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นบิดาของหลวงพ่อเนียมจึงมาอยู่กับมารดาของท่านที่บ้านป่าพฤกษ์ ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นชาติภูมิของท่าน หลวงพ่อเนียม มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันหลายคน ตัวท่านเป็นบุตรคนที่สอง ส่วนน้อง ๆ มีอีกกี่คนไม่สามารถสืบทราบได้

    การศึกษาสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน เหมือนปัจจุบัน หลวงพ่อเนียมจึงมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัด เรียนอักขระขอมและภาษาบาลีจากวัดข้างเคียงที่ให้กำเนิดท่าน เมื่ออายุครบบวชทำการอุปสมบทในบวรพุทธศาสนา วัดใกล้บ้านท่านนั่นแหละ คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์ หรือไม่ก็วัดตะค่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓

    เมื่ออุปสมบทถือเพศบรรพชิตแล้ว ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี สืบทราบไม่แน่ชัด มีบางท่านว่าอยู่วัดพระพิเรนทร์ บางท่านว่าอยู่วัดโพธิ์, วัดระฆัง,วัดทองธรรมชาติ ธนบุรี ไม่เป็นที่ยุติ สรุปความว่าท่านไปอยู่วัดในจังหวัดพระนครและธนบุรี ซึ่งอาจจะอยู่วัดในจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้วก็ได้

    ขณะที่ท่านศึกษาทางด้านธรรมะอยู่นั้นท่านมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระและทางไสยศาสตร์คาถาอาคมด้วย หากท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ท่านอาจจะเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีก็ได้ เพราะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) มีอายุถึง พ.ศ.๒๔๑๕ ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อเนียมอุปสมบทในราว พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓ ถ้าท่านมาอยู่ วัดระฆังแน่เหลือเกิน ท่านจะต้องเป็นลูกศิษย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) อย่างไม่มีปัญหาซึ่งบางทีหลวงพ่อเนียมอาจจะได้ศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์และวิปัสสนาธุระ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ก็อาจจะเป็นได้

    คุณทองหยด จิตตวีระ อดีต รมต. ว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยเล่าว่า หลวงพ่อเนียมส่งบิดาของคุณทองหยดให้ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดระฆัง สันนิษฐานว่า หลวงพ่อเนียมน่าจะมีความสัมพันธ์กับวัดระฆังมาก่อน จึงส่งบิดาของคุณทองหยดไปเรียนหนังสือที่วัดระฆัง ในช่วงที่หลวงพ่อเนียมไปอยู่กรุงเทพฯ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหลวงพ่อเนียมไปอยู่วัดระฆังจริงก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ก็เป็นได้

    รูปร่างของหลวงพ่อเนียมสันทัด ผิวขาวไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปนัก ใบหน้ามีเสน่ห์ในขณะที่เรียนวิชาทางไสยศาสตร์อยู่นั้น ท่านได้เคยทดลองวิชาเมตตามหานิยมที่ได้ เล่าเรียนมาครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งท่านไปบิณฑบาตที่บ้านพระยาผู้หนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวพระยาผู้นั้นเป็นผู้ใส่บาตร ท่านคิดในใจว่าวันนี้ อาตมาจะ ขอทดลองวิชาที่ได้อุตส่าห์เล่าเรียนมาว่าจะเป็นจริงเพียงไร

    ขณะที่ลูกสาวพระยาเอาทัพพีตักข้าวใส่บาตรของท่านนั้น ท่านบริกรรมพร้อมกับใช้ฝาบาตรกดทับทัพพีของสีกาสาวลูกพระยาผู้นั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วปล่อยปรากฏว่าตอนเย็นวันนั้น พระยาผู้บิดาสีกาสาวผู้นั้นให้คนมานิมนต์ท่านไปพบที่บ้าน พอท่านทราบเรื่อง ใจไม่ดีคิดว่าคงมีเรื่องเสียแล้ว คาถาอาคมที่เรียนมานั้นคงไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นแน่ นึกตำหนิตนเองว่าไม่ควรจะทดลองเลย จะไม่ไปหรือก็ไม่ได้เพราะรับนิมนต์ไว้แล้ว เป็นไงเป็นกัน

    แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่ท่านได้คิดไว้ พระยาผู้นั้นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จากการรับนิมนต์ครั้งนั้นจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกันในตอนต่อๆ มา ท่านไปมาหาสู่ที่บ้านพระยาผู้นั้นอยู่เป็นเนืองนิจ จนเป็นที่สนิทสนมกันมาก

    วันหนึ่งพระยาผู้นั้นเอ่ยปากยกลูกสาวให้ท่าน ท่านตกใจมากเพราะไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจึงต้องรีบปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ท่านยังรักที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป โดยจะไม่ขอลาสิกขาบท จากนั้นท่านพยายามทำตนให้ห่างไว้เพื่อความสัมพันธ์จะได้ค่อยๆ จางหายไป จะอย่างไรก็ดีเมื่อท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดในจังหวัดสุพรรณแล้ว ท่านยังลงไปเยี่ยมพระยาผู้นั้นอยู่เสมอ ๆ

    ท่านกลับมาอยู่สุพรรณอายุในราว ๔๐ ปี ในราวพ.ศ.๒๔๑๒ อยู่ในกรุงเทพฯ-ธนบุรี เกือบ ๒๐ ปี นับว่านานโขอยู่ ในการกลับมาตอนต้น ท่านไม่ได้มาอยู่วัดที่ท่านอุปสมบทเลยขึ้นมาอยู่ที่วัดรอเจริญ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อยู่ได้ไม่นานเกิดขัดคอกับเจ้าอาวาส ท่านจึงคิดจะไปจำพรรษาที่วัดป่าพฤกษ์ใกล้บ้านเกิดของท่านดีกว่า

    ขณะนั้นวัดน้อย ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ซึ่งอยู่เหนือวัดรอเจริญไปไม่ไกลนัก เป็นวัดมีสภาพร้าง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงวิหารเก่าคร่ำคร่าเท่านั้น ชาวบ้านมีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซม ให้พ้นสภาพวัดร้างขึ้นมาใหม่ จึงให้นายมวนและชาวบ้านแถบนั้นจะหาปัจจัยสร้างหอฉันให้ หลวงพ่อเนียมไม่ขัดศรัทธา ตกลงใจมาอยู่วัดน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอสรุปได้ว่าวัดน้อย ได้พ้นสภาพจากการเป็นวัดร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๒ เป็นต้นมาเช่นกัน

    นายมวนและชาวบ้านช่วยกันสร้างหอฉันเสาไม้แก่นพื้นไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องให้หนึ่งหลัง หลวงพ่อเนียมได้มาจำพรรษาอยู่วัดน้อย ค่อยๆ บูรณะซ่อมแซมโน่นนิดนี่หน่อยเรื่อยมา ในขณะนั้นมีผัวเมียคู่หนึ่งชื่อ "ปาน" ทั้งคู่ มีเรืออยู่ลำหนึ่งเที่ยวเร่ขายพลูไปยังที่ต่างๆ ผัวปานเมียปานคู่นี้แวะมาสนทนากับหลวงพ่อเนียมเป็นประจำ พูดถึงความเป็นจริงว่าการค้าขายพลูลำบากลำบนมาก บางคราวขายหมดพอดีมีกำไรเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ ขายไม่หมดเก็บเอาไว้พลูเน่าต้องขาดทุน แต่ก็จำต้องทนทำ จะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่สันทัดและไม่มีทุนรอนที่จะทำด้วย

    จากการมาคุยและมาทำบุญที่วัดน้อยบ่อยๆ หลวงพ่อเนียมเห็นว่าสองผัวเมียชื่อเดียวกันนี้ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำให้ฐานะกระเตื้องขึ้นแต่ใจบุญสุนทาน

    วันหนึ่งสองผัวเมียมาสนทนากับท่าน ท่านจึงบอกให้ไปแทงหวยที่กรุงเทพฯ สองผัวเมียเมื่อมีโอกาสล่องเรือไปกรุงเทพฯ แทงหวยตามที่หลวงพ่อบอกให้แทงทันที ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่แล้วสอง ผัวปาน เมียปาน ก็มีความดีใจเป็นล้นพ้น ถูกหวยจริงๆ ได้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งสองผัวเมียเมื่อรับเงินแล้ว รีบมานมัสการหลวงพ่อเนียมทันที พร้อมกับถวายเงินสร้างกุฏิให้วัดน้อยหนึ่งหลัง กุฏินั้นยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนเรือค้าขายพลูลำนั้นถวายให้กับวัดน้อยด้วยเช่นกัน เปลี่ยนอาชีพไปค้าขายทางอื่นเพราะมีทุนรอนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว

    วัดน้อยค่อยๆ มีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับ มีพระเณรมาจำพรรษามากขึ้นทั้งใกล้และไกล เช่นจากอำเภออู่ทอง เป็นต้น อำเภออู่ทองสมัยโน้นไกลแสนไกล เป็นอำเภออยู่ป่าสูง การคมนาคมไม่มี นอกจากจะเดินทางด้วยเท้าหรือม้าผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะและย่างเข้าป่าสูง ต้องใช้เวลาเดินไม่น้อยกว่าหนึ่งวันเต็มๆ หรือกว่านั้น การที่มีพระจากท้องที่ไกลๆ มาจำพรรษาด้วยย่อมเป็นการแสดงว่าหลวงพ่อเนียมต้องมีอะไรดี

    ลุงคำ (หลานนายมวน) เล่าว่าเพราะหลวงพ่อเนียมเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเมตตากรุณา แต่เคร่งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย บางท่านที่สนใจศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระ หลวงพ่อก็ช่วยให้การศึกษาเต็มที่ โดยไม่มีการหวงแหน พระเณรมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี นอกจากนั้นหลวงพ่อเนียมยังมีชื่อเสียงในทางรักษาโรคต่างๆ ได้อีก เช่น โรคพิษสุนัขบ้า บางทีถึงกับจับเอาสุนัข บ้ามาขังไว้ ทำการรักษาสุนัขตัวนั้นจนหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ นอกนั้นการรักษาวัณโรค อหิวาตกโรค ฝีดาษ ไข้ทรพิษ ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัณโรคนั้นได้ผลดีมาก

    หลวงพ่อเนียมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าได้ดั่งตาทิพย์ ครั้งหนึ่งมีภิกษุจากวัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำนวน ๔ รูปไปหาหลวงพ่อที่วัดน้อยเพื่อขอฤกษ์ลาสิกขาบท ขณะนั้นหลวงพ่อเนียมกำลังคุมลูกศิษย์วัดทำความสะอาดบริเวณวัดอยู่ พอเห็นหน้าภิกษุทั้งสี่ หลวงพ่อร้องทักขึ้นก่อนว่า จะมาขอฤกษ์ลาสิกขาบทใช่ไหมล่ะ ภิกษุทั้งสี่ตอบว่าใช่ ท่านให้ฤกษ์ไปสามรูป อีกรูปหนึ่งท่านท้วงว่าอย่าเพิ่งเลย ชะตากำลังไม่ใคร่ดี แล้วท่านก็ไม่ให้ฤกษ์ แต่ภิกษุนั้นหายอมฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมไม่ทนไม่ไหว จีวรร้อนเป็นไฟ เพื่อนพระสึกไปหมดแล้วตนเองก็จะรู้สึกว้าเหว่ ตัดสินใจลาสิกขาบทโดยไม่ฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียม เมื่อออกจากวัดกลับมาหาบิดามารดาที่บ้าน ค่ำวันนั้นเองขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้ายแอบเอาปืนยิงเข้าไปในกลุ่มสนทนา กระสุนถูกศีรษะทิดสึกใหม่คนนั้นตายคาที่

    วันหนึ่งหลวงพ่อเนียมเอ่ยปากขอสำรับเพลจากชาวบ้านแถบนั้นจำนวน ๕๐ สำรับโดยไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรที่ไหน เพียงแต่ท่านพูดแล้วอมยิ้มน้อยๆ ว่าถึงคราวแล้วรู้เอง ครั้นใกล้จะถึงเวลาเพล สำรับที่ขอชาวบ้านไว้ก็ค่อยๆ ทยอยมาสู่วัดครบตามจำนวนที่ขอไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่ชาวบ้านมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ ใครจะมาจากไหนหรือไม่เห็นมีวี่แวว

    แต่พอกลองเพลดังลั่นขึ้นเท่านั้น ท่านอาจารย์ปาน วัดบางเหี้ย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เหมือนกัน พาภิกษุมารวม ๕๐ รูป เดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พอเดินทางมาถึงหน้าวัดน้อย ปรากฏว่าเกิดพายุขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นที่ผิดปกติ ท่านอาจารย์วัดบางเหี้ยจึง พูดกับพระที่มาด้วยกันแล้ว

    "เอ เห็นจะต้องแวะที่วัดนี้เสียแล้ว เจ้าของท้องที่เขาเชิญให้แวะ ไม่ควรขัดศรัทธา"

    จึงสั่งให้เรือจอดที่ท่าวัดน้อยแล้วพาภิกษุทั้งหมดขึ้นไปบนวัด ก็ได้รับการต้อนรับจากหลวงพ่อเนียมด้วยการถวายเพลแก่อาจารย์วัดบางเหี้ยและภิกษุทุกรูป

    ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดของท่าน ชาวบ้านจัดงานใหญ่โต มีแสดงพระธรรมเทศนาแจง ๕๐๐ พร้อมด้วยมหรสพสมโภชหลายอย่างร้านค้าขายตั้งเต็มลานวัด คาดว่างานแซยิดของท่านคงจัดขึ้นในราว พ.ศ. ๒๔๔๕ เพราะผู้เล่าเรื่องนี้คือ ลุงเปล่ง สุพรรณโรจน์ เล่าขณะที่ลุงเปล่ามีอายุ ๘๔ ปี บอกว่าปีนั้นลุงเปล่งมีอายุเพียง ๑๘ ขวบ ดังนั้น พ.ศ. ทำบุญงานแซยิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๔๔๕

    ค่ำวันนั้น ปรากฏว่าเมฆดำทมึนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตั้งเค้า พายุพัดตึงบอกลักษณะว่าฝนจะตกลงมาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นฝนยังได้ลงเม็ดมาปรอยๆ บ้างแล้ว ร้านค้าขายต่างกุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมหนีฝน กันจ้าละหวั่น วุ่นวายไปทั่วทั้งลานวัด คนที่มาเที่ยวต่างก็หลบฝนเข้าไปในใต้ถุนกุฏิ และที่หอฉันเต็มไปหมด

    ในขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเอง หลวงพ่อเนียมเดินลงมาจากุฏิร้องบอกว่า

    "ไม่ต้องเก็บไม่ต้องเลิก มหรสพเล่นต่อไป ของขายต่อไป ที่นี่ไม่มีฝน ฝนไม่ตกที่นี่"

    แล้วท่านเดินไปหยุดที่หน้ากุฏิของท่าน มองขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า แล้วเดินไปเดินมา จริงเหมือนดังคำประกาศิต ฝนตั้งเค้าและท่าจะตกลงมาอย่างหนักนั้นหาได้ตกลงมาภายใน บริเวณวัดไม่มีเพียงละอองฝนปรอยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปนอกวัดจะเห็นฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทั้งตกอยู่นานอักโขอยู่ พองานเลิกทุกคนต้องเดินลุยน้ำขนาดครึ่งหน้าแข้ง

    การถ่ายรูปหลวงพ่อเนียมเล่ากันว่าถ่ายไม่ติด ครั้งหนึ่งมีช่างแผนที่มาทำการออกโฉนดที่ดินที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระประมาณฯ เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยฝรั่งสองคนเป็นผู้ช่วย ทราบเสียงเล่าลือว่าการถ่ายรูป หลวงพ่อเนียมนั้นถ่ายไม่ติด พระประมาณฯ กับฝรั่งนั้นต้องการพิสูจน์ความจริง ตามเสียงที่เล่าลือกันจะเป็นความจริงเพียงใด จึงไปที่วัดน้อยแล้วนิมนต์พระทั้งวัดมานั่งถ่ายรูปพร้อมด้วยหลวงพ่อเนียม เมื่อเอาฟิล์มไปล้างปรากฏว่าไม่มีรูปหลวงพ่อเนียมอยู่ในกลุ่มนั้นจริงๆ พระประมาณฯ กลับมาทดลองถ่ายอีกโดยขอให้หลวงพ่อเนียมเดินไปที่โอ่งน้ำมนต์ ถ่ายขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินไปและขณะอยู่ที่โอ่งกำลังทำน้ำมนต์ ก็ไม่ติดอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

    น้ำมนต์ของท่านไม่เฉพาะแต่น้ำมนต์ในโอ่งเท่านั้น ที่ท่าวัดของท่านก็เป็นน้ำมนต์เช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่งมีจีนคนหนึ่งชื่อ "โต้ผ่วย" อยู่แถววัดโพธิ์คอย ซึ่งไม่ไกลจากวัดน้อยเท่าใดนัก มาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อเนียม ท่านบอกเจ๊กโต้ผ่วยให้ไปตักเอาเองซิ อยู่ที่ท่าน้ำนั่นไงเล่า

    เจ๊กโต้ผ่วยไปตักน้ำมาแล้วเอามาให้ท่านหลวงพ่อบอกให้จุดธูป พอจุดเสร็จท่านบอกกับเจ๊กโต้ผ่วยว่าเสร็จแล้ว เจ๊กโต้ผ่วยมองหน้าหลวงพ่อเนียมเป็นเชิงสงสัย และนึกฉุนตะหงิดๆ ขึ้นมาในใจ อะไรกัน ไม่เห็นหลวงพ่อท่านบริกรรมคาถาเลยแม้แต่คำเดียว จะเป็นน้ำมนต์ได้อย่างไร แต่จะไม่เอาไปก็ไม่ใช้ที่ จึงเอาไปอย่างไม่เต็มใจ

    เมื่อออกไปนอกวัด เจ๊กโต้ผ่วยรำพึงขึ้นอย่างแค้นใจ "เอาไปทังลายล้ำท่าเท้ๆ " ว่าแล้วก็คว่ำขวดโหลใบที่ใส่น้ำมนต์มา แปลกอะไรเช่นนั้น! น้ำมนต์ในขวดโหลหาได้ไหลออกมาไม่! บังเอิญพลัดหลุดมือแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำมนต์ในขวดโหลแทนที่จะเป็นน้ำเหลว กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง!! เจ๊กโต้ผ่วยตกใจรีบตาสีตาเหลือกเก็บก้อนน้ำแข็งนั้นใส่ภาชนะอื่นทันที นึกแปลกในใจว่าทำไมน้ำนั้นจึงแข็งได้ พอนึกถึงอภินิหารของหลวงพ่อเนียมเข้า ก็ยกภาชนะนั้นขึ้นทูนหัวพร้อมกับกล่าวขออภัยในใจ ที่หมิ่นหลวงพ่อและเอาก้อนน้ำแข็งน้ำมนต์นั้นไปเก็บไว้จนละลาย

    เจ้านายถึงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตสักเพียงใดก็ตาม ถ้าจะไปขออาบน้ำมนต์ ท่านจะบอกให้ไปอาบที่ท่าวัดเหมือนกันทุกๆ คน ครั้งหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ (ทองสุก) ปลัดเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี มาตรวจราชการที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อเนียม ท่านจึงอยากจะมาขอพรและขอให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ ดังนั้นตอนเย็นวันหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ว่างงานจึงไปหาหลวงพ่อเนียม ให้ข้าราชการผู้หนึ่งเข้าไปพบหลวงพ่อบอกถึงความประสงค์ว่าจะขออาบน้ำมนต์ หลวงพ่อเนียมบอกไปอาบที่ท่าวัดก็ได้ เป็นน้ำมนต์เหมือนกัน เมื่อโดนเข้าอีไม้นั้น ในฐานะนักปกครองผู้มีจิตวิทยาสูง จึงจำต้องแสดงออกซึ่งความเคารพคำของหลวงพ่ออย่างจริงใจ เดินตามชาวบ้านลงไปอาบน้ำ (น้ำมนต์) ที่ท่าวัดด้วยอาการไม่ขวยเขินหรือกระดากอาย แต่ประการใด เมื่อท่านกลับไปนครปฐมเล่าให้ข้าราชการด้วยกัน ฟังว่ารู้สึกเหนียมเหมือนกันที่ตนเป็นผู้ใหญ่แต่ต้องไป อาบน้ำปะปนกับชาวบ้านแต่หลังจากนั้นไม่นานนักท่านได้เลื่อนเป็นเทศาภิบาลและย้ายไปอยู่มณฑลนครสวรรค์อย่างคาดไม่ถึง

    พระเณรที่ประพฤติผิดวินัย ท่านทราบเองโดยไม่มีใครบอกท่าน ต่อมาท่านเห็นว่าไม่ดี จึงเรียกพระเณรที่ทำผิดพระวินัยให้พยายามทำตนให้ประพฤติชอบ ทำให้พระและเณรทั้งวัดไม่กล้าประพฤติไม่ดีต่อไปอีก แม้แต่ลับหลัง

    หลวงพ่อเป็น ผู้ที่มีความ เมตตา ต่อสัตว์เลี้ยง ท่านเลี้ยงแมว, สุนัข, ไก่, แม้กระทั่งงูเห่าก็เลี้ยงไว้ ในกุฏิของท่านจึงเต็มไปแล้วมูลสัตว์ต่างๆ งูเห่ามีอยู่สองตัว ตัวใหญ่หายไปนานแล้ว แต่ก่อนมันจะหายไปมันมาลาท่านด้วยการชูหัวแผ่แม่เบี้ยคำนับอยู่ ๓ ครั้ง ตั้งแต่นั้นมันก็หายไป ส่วนตัวเล็กหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2017
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,065
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)

    กิจวัตรประจำวันของท่านระหว่างเข้าพรรษา ท่านจะตื่นแต่เช้ามืดยังไม่ทันมีแสงเงินแสงทอง ครองจีวรแล้วปลงอาบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของวันต่อไปทุกๆ เช้ามือ เสร็จแล้วนั่งสนทนากับภิกษุในวัดเป็นการอบรมไปในตัวพอได้อรุณจึงออกไปบิณฑบาต ต่อมาในระยะหลังๆ ท่านไม่ค่อยได้ออกไปบิณฑบาตเพราะชราภาพมากแล้ว ในขณะที่ท่านไปส้วมจะมีขันน้ำและข้าวสารไปด้วย โปรยข้าวสารไปตลอดทางจนถึงส้วมเพื่อให้ไก่กิน ออกจากส้วมกลับมาตามทางเดินโปรยข้าวสารที่เหลือให้ไก่กินจนหมด


    อาหารที่ท่านชอบเป็นพิเศษ คือ เปลือกแตงโมต้มปลาเจ่าแล้วในน้ำตาล ปกติการปรุงรสค่อนข้าวหวานแระเปรี้ยวเป็นส่วนมาก เช่นขนมจีนท่านชอบใส่น้ำเชื่อมลงไปด้วย

    ตอนบ่ายท่านจะลงไป รับแขกที่กุฏิเล็กซึ่งทานสร้างขึ้นเพื่อนั่งวิปัสสนา ตอนเย็นเป็นธุระในเรื่องสัตว์เลี้ยง ตอนค่ำทำวัตรเสร็จแล้วนั่งสนทนากับพระลูกวัดจนกระทั่ง เวลาสามทุ่มจึงเข้าจำวัดหลวงพ่อเนียม สร้างพระเครื่องไว้หลายพิมพ์ด้วยกัน มีผู้เล่าว่าตอนต้นท่านสร้างพระเครื่องดินเผา แต่เนื้อที่เผาไม่แกร่งพอ ท่านจึงไม่แจกให้แก่ผู้ใดเลยแม้แต่องค์เดียว ในวงการพระเครื่องจึงไม่รู้จักพระเครื่อง เนื้อดินเผาของท่าน ส่วนมากเท่าที่รู้จักกันคือพระเนื้อชินตะกั่วผสมปรอท ท่านสร้างไว้หลายพิมพ์โดยเอาพระเก่าๆ มาทำแม่พิมพ์ เท่าที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ

    ๑. พระงบน้ำอ้อย ๒.พระพิมพ์ลำพูน เกศยาว ๓.พระพิมพ์ลำพูน เศียรโล้น ๔.พระปรุหนัง ต่อมาปรากฏว่าพบพิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์เพิ่มขึ้นอีก บางท่านว่าพระปิดตาก็มี แต่ทว่ามีจำนวนน้อย แทบจะไม่มีใครรู้จักเลย

    การทำปรอทให้แข็งในสมัยโน้นไม่ใช่ของง่ายนัก ว่ากันว่าต้องใช้คาถาอาคม ทั้งต้องทำในฤดูฝนฤดูเดียวเท่านั้น เพราะพืชบางอย่าง เช่น ใบแตงหนู ซึ่งขึ้นในท้องนา จะขึ้นในฤดูฝน ส่วนผสมต่างๆ มีใบสลอด, ข้าวสุกหลวงพ่อท่านเอาของสามอย่างมาโขลกปนกันเพื่อไล่ขี้ปรอทออกให้หมด ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปรอทขาวที่สุด การโขลกจะต้องโขลกและกวนอยู่ถึง ๗ วัน จึงจะเข้ากัน พอครบ ๗ วันเอาไปตากแดดเสร็จแล้วนำเอาไปกวนต่อจนเข้ากันดี จึงทำการแยกชั่งเป็นส่วนๆ ส่วนละหนึ่งบาทต่อจากนั้นเอาไปใส่ครกหิน เติมกำมะถันและจุนสีโขลกตำให้เข้ากัน โดยใช้เวลาทำตอนกลางคืนเท่านั้น ทำเช่นนั้นอยู่ ๓ คืนจึงเอาปรอทใส่ลงไปในกระปุกเหล้าเกาเหลียง ผสมกับตะกั่วเอาเข้าไฟสุมอยู่ถึง ๗ วัน บางครั้งอุณหภูมิ สูงจัด กระปุกเหล้าเกาเหลียงแตกเสียหายก็มี การสุมไฟสุมเฉพาะเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนทำพิธีปลุกเสกด้วยคาถาอาคม พอครบ ๗ ไฟเทลงในแม่พิมพ์จึงจะได้พระตามที่ต้องการ

    หลวงพ่อเนียมมรณภาพเมื่ออายุ ๘๐ ปี โดยมรณภาพในลักษณะเหมือนพระปางไสยาสน์ นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกของเมืองไทยที่มีการมรณภาพเช่นนี้ ผู้เขียนไปวัดน้อย สอบถามผู้ใกล้ชิดแล้วบวกลบคูณหารดู ปรากฏว่าตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๒ ประมาณ ๙๕ ปีมาแล้ว หลังจากการฌาปนกิจเสร็จแล้วชาวบ้านแย่งกันเก็บอัฐิของท่านเอาไปไว้บูชากันอย่างอลหม่าน

    ในด้านพระพุทธคุณพระเครื่องของหลวงพ่อเนียม มีปรากฏการณ์หลายรายด้วยกันอย่างน่าระทึกใจ เช่น รถคว่ำมีพระหลวงพ่อเนียมไม่เป็นไร นี้แหละครับพระพุทธคุณของพระหลวงพ่อวัดน้อย อันเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เลื่องลือซึ่งเป็นที่รู้จักกันของชาวสุพรรณเป็นอย่างดีมานานแล้ว

    bar-red-lotus-small.jpg
    ขอบพระคุณที่มา :- http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-neam/lp-neam-hist-01.htm

    วัดน้อยนพคุณ (วัดน้อยหลวงพ่อเนียม)
    อ.บางปลาม้า
    http://www.suphan.biz/watnoy.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...