สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/iXTSsAJqjtI[/ame]
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/KP_aASDv3ts[/ame]

    [ame]https://youtu.be/4LitbO7pJVk[/ame]


    [ame]https://youtu.be/sGN2NhD4fJM[/ame]
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ประกาศ มติมหาเถรสมาคม แจ้งวัดทุกวัดทั้งในและต่างประเทศ เรื่องแนวทางการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในพระบรมโกศ และกำหนดการสวดพระอภิธรรมถวายพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่ วันนี้ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เป็นต้นไป เวลา ๑๕.๕๒ น. หรือเวลาที่เหมาะสม เป็นเวลา ๑ เดือน

    [ame]https://youtu.be/lKPi8Od5Bcc[/ame]


    ผู้มีกิจเกี่ยวข้องเก็บหลักฐานไว้เล่นงานด้วยนะครับ สำนักวัดนาป่าพงเป็นสำนักเดียวในโลกที่ขัดคำสั่ง มส.อยู่แล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่ใช่พระสงฆ์และหมู่ชนที่ยึดถือเอาตาม มิได้เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/avQ9BFVGBYY[/ame]

    [ame]https://youtu.be/QMLw__mvDHo[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/amoJnnhfW6M[/ame]

    มุสาวาทาของคึกฤทธิ์ เสแสร้งไม่รู้จัก หมิ่นหลวงพ่อคูณ ชาวโคราชว่ายังไงครับ

    ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาซิกข์ ศาสนาเต๋า ศาสนาขงจื๊อ เชิญมาดูสิ
     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/fJ69eQETA6A[/ame]
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/1ctZUG6yKT8[/ame]

    จาบจ้วงหลวงปู่สด

    ชาวธรรมกาย ทราบหรือยังครับ ? เข้าตีตลบหลังไม่รู้ตัวเลย ปทุมธานีด้วยกันระแวงหลังบ้างนะครับ
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/7eMZGQV869A[/ame]

    นิตยภัต มีความเป็นมาคือในอดีตพระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ หรือที่เคารพนับถือเป็นการส่วนพระองค์ โดยให้เจ้าหน้าที่จัดถวายประจำ ต่อมาพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์มีมากขึ้นและอยู่ตามหัวเมืองก็มีความไม่สะดวกแก่การจัดอาหารถวาย แม้จะเปลี่ยนเป็นเงินแล้วก็ยังคงเรียกว่านิตยภัตเหมือนเดิม

    นิตยภัต ถือว่าเป็นเครื่องสักการะที่พระเจ้าแผ่นดินถวายแก่พระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและบ้านเมือง


    ลูกศิษย์วัดนาป่าพง แฉพระมีเงินเดือน อยากให้ผู้มีบารมีอย่างคึกฤทธิ์ปราบพระรับเงินเดือน แต่ลืมพิจารณาศึกษาว่าคึกฤทธิ์ก็รับนิตยภัตทุกๆเดือนเหมือนกัน

    ชวนดู "อัตรานิตยภัต" หรือ "เงินเดือนพระ" หลัง สปช. เสนอเก็บภาษีพระที่มีรายได้มากกว่า 20,000 บาท
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/xHkVM9bskqQ[/ame]


    คึกฤทธิ์กล่าวหาว่า พระอภิธรรมปิฏก หรือ พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ คือคำแต่งใหม่

                          ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร

                  บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม  ชื่อว่า  ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ  ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง     ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค     จักปรากฏในเภทกรวัตถุ  ๑๘  อย่าง    อย่างใดอย่างหนึ่ง     เป็นผู้ควรแก่อุเขปนิยกรรม   นิยสกรรมตัชชนียกรรม   เพราะทำกรรมนั้น    จึงควรส่งเธอไปว่า    เจ้าจงไป    จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด  ดังนี้.
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/SdjCBRxIIZU[/ame]

    มโนมยิทธิของวัดนาป่าพงมี แก่กว่าฤษีอะไร?ของโยม

    คงเข้าใจนะครับ ว่าหมายถึงใคร? ในการจาบจ้วงครั้งนี้ กี่สำนักแล้วครับที่ออกมาโหนเขาทั้งไทยทั้งเทศ
     
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/w5r4iwmcJew[/ame]



    คึกฤทธิ์ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ งานนี้ต้องพ่าย เจอสายปฎิสัมภิทา ต้องอับอายขายขี้หน้าไปจนวันตาย เอาหน้าแทรกซุกแผ่นดินหนี

    ไม่รู้จักปฎิสัมภิทา คิดแต่ว่าพระสงฆ์สาวกแก้วจดจำเอามาบอกมาสอนเพียงอย่างเดียว ยังไม่พอ ยังสมมุติมั่วเรียกพระมหาโมคคัลลานะมาทำสังคายนาด้วย ท่านเข้าสู่พระนิพพานไปนานแล้วคึกฤทธิ์


    เห็นมาหลายตัวเก่งๆนับจากไอ้คึกฤทธิ์และจากพวกบริวารสาวกมาร๕แห่งสำนักวัดนาป่าพง อวดตนว่ารู้"ธรรมอันแท้จริง" ผู้อื่นที่ไม่เข้าสำนักไม่ร่วมสำนักด้วย
    ไม่ไปศิโรราบ ไม่มีทางรู้ธรรมอันแท้จริง จาก "พุทธวจนะ"
    เคยหลายครั้งที่ ฝากไปถามไปเตือนสติ ถามแล้วถามอีกก็ไม่เคยได้คำตอบ ของคำว่า"ปฎิสัมภิทา" หรือ นิรุตติญานทัสสนะกถาและวิมุตติญานทัสสนะกถา ว่ามีว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? จึงมาเป็นพระไตรปิฏกอย่างที่ได้เห็นได้อ่านในปัจจุบัน นี่เป็นเหตุผลแรก ที่ไอ้คึกฤทธิ์และบริวารลิ่วล้อสาวกมาร ๕ แห่งสำนักว...ัดนาป่าพงต้องแพ้พ่าย เพราะไม่รู้จักที่มาของการกำเนิดองค์พระไตรปิฏก เมื่อปฎิเสธตั้งแต่แรก ว่า ไม่มีไม่ใช่ และตัดทอน "ปฎิสัมภิทาญานกถา" (พระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและอรรถกถาสาธยายธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพุทธดำรัสตรัสสอนโดยตรง หรือพระอรหันตสาวกแสดงอรรถถาธิบาย
    สาธยายธรรมที่มีมาในพระไตรปิฏกทุกเล่ม
    ในสายเถรวาทีนี้โดยเฉพาะฉบับของโลกมนุษย์) อันเป็นที่มาที่สุดแห่งธรรมออกจากพระไตรปิฏก นับแต่บัดนั้นมา พวกสำนักวัดนาป่าพงก็หมดคุณสมบัติที่จะ ปุจฉา-วิสัชนา หรือ กถาหรือพระสูตรใดๆโดยก็ตาม ในทันทีนับแต่บัดนั้นมา ฉนั้นบุคคลใดๆที่กระทำการใดๆที่เป็นการส่งเสริมไอ้คึกทำลายพระสัทธรรมอยู่ จงเตรียมตัวพินาศวินาศสันตะโรไปตามการเถิดฯ




    "ปฎิสัมภิทามรรค"
    **ปัญหาแห่งความเป็นใหญ่ที่ผู้ไม่เห็นธรรมจะไม่มีทางได้เข้าใจ
    (ผู้มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์ไม่ได้...)**
    《¤》พระสัทธรรมราชา《¤》อันสูงส่งยิ่ง { ¤ } พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม { ¤ } [¤]ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม [¤]
    มีผู้รู้ผู้เห็นอยู่ สัทธรรมปฎิรูปปลอมๆจะมาแทนที่ มีมาแต่กาลไหน
    ศรัทธาที่หยั่งลงในความโง่ของคึกฤทธิ์ตัวเสนียดจัญไรในพระพุทธศาสนา อ้างและสอนว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระสัทธรรมด้วยการคิดเอาเอง บัญญัติธรรมขึ้นมาเอง แล้วทรงเคารพธรรมที่ทรงบัญญัติขึ้นมาเอง พระธรรมเสนาบดีและพระมหาเถระทั้งหลายฯไม่สามารถตรัสรู้คือเห็นธรรมตามพระองค์ได้ ต้องได้ยินได้ฟังจากพระองค์ทรงแสดงเพียงเท่านั้น
    กล่าวหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    "และเมื่อพระมหาเถระทั้งหลายฯจดจำพระธรรม
    คำสั่งสอนที่พระองค์ทรงตรัสได้ พระองค์
    จึงจะทรงเคารพในสงฆ์"
    กล่าวหาพระมหาเถระว่า"ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ บัญญัติธรรมแต่งใหม่เป็นคำสาวก ไม่มีทางที่จะตรัสรู้ตามโดยชอบในพุทธสมัย"
    แด่ คึกฤทธิ์ผู้หมุนทวนพระธรรมจักรสั่งสอนสัทธรรมปฎิรูปและบรรดาเหล่าสาวกมารวัดนาป่าพงผู้โง่เขลา ผู้ถูกหลอกลวงมาโดยตลอด
    ถ้าพระพุทธทรงตรัสรู้และคิดเอาเอง พระพุทธเจ้าองค์ในพุทธสมัยก่อนๆที่ผ่านพ้นมาที่ทรงเสด็จมาตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ทรงตรัสรู้พระสัทธรรม
    โดยเสมอกันด้วยการคิดเอาเองแล้วบัญญัติจำแนกธรรมสั่งสอนสอนใช่ไหม?
    สรุป เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระปรีชาญาน จึงทรงคิดได้แต่งธรรมเองได้ แสดงธรรมได้เสมอเหมือนกันใช่ไหม?
    พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คิดเอาเองเหมือนกันใช่ไหม?
    พระอรหันต์พระอริยะสาวกไม่มีทางได้เห็นธรรมตรัสรู้ธรรมตามได้เองได้ใช่ไหม?
    แล้วจะมี วิมุตติญาน ไปทำไม หรือว่า พระมหาเถระทั้งหลายฯ ไม่มีทางเข้าถึง วิมุตติ ไม่สามารถเพ่งจิตพิจารณาธรรมตามที่วิมุตติ
    ฉนั้นถ้าคิดอย่างที่คึกฤทธิ์คิดและสอนว่า ไม่มีทางที่จะมีผู้ใดจะตรัสรู้ธรรมตามได้ ต้องพึ่งพาจากพระไตรปิฏกที่จารึกในมนุษย์โลกหรือด้วยวิธีมุขปาฐะเพียงเท่านั้น
    พุทธภาษิต
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"
    ในบรรดาปัญญาจักษุที่สามารถเห็นธรรมทั้งหลายฯก็คงไม่จำเป็นต้องมี พุทธจักษุไม่ต้องมี สมันตจักษุไม่ต้องมี ญานจักษุไม่ต้องมี ธรรมจักษุไม่ต้องมี ทิพยจักษุไม่ต้องมี เป็นต้นฯ

    เมื่อคึกฤทธิ์ขี้คุยนักว่าประเสริฐที่สุดเป็นบุคคลแรกที่เลิศเลอในรอบ ๒๕๕๘ ปี ทีนี้ ธรรมบุตร อย่างเราก็จะขอขี้คุยบ้าง ฮ่าๆ

    (๐) อญฺญาสิ วต โภ (๐)
    (นี่ก็เป็นการแสดงถึงสิ่งที่ล่วงรู้ได้ยาก๑ ที่เราแสดงเป็นบุคคลแรกของโลกตั้งแต่หลังพุทธปรินิพาน๒๕๕๗ปีที่ผ่านมา ให้คลายสงสัยวุฒิธรรมในเรา ทั้งนี้ก็เพื่อยืนยันในสามัญผลในการปฎิบัติธรรม ที่สามารถตรองตามเห็นตามความเป็นจริงได้โดยพิสดาร และประสงค์แนะแนวชี้นำการปฎิบัติเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย)
    "จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"
    องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล
    ผู้มีสติปัญญาย่อมมองเห็นอรรถที่เราแสดงและสามารถวิสัชนาต่อไปอีกได้ อย่างชัดเจน
    พลาดแล้วล่ะ! ไอ้คึกฤทธิ์มึงพาสาวกมารของมึง เอาแต่ใช้มังสังจักษุเบิ่งตาไว้แลดู สัทธรรมปฎิรูป "พุทธวจนปิฏกปลอมๆ"ที่มึงสร้างอย่างภูมิใจนั่นไปเสียเถิด ไอ้พวกกระจอก งอกง่อย
    [​IMG]♥♡สำนักวัดนาป่าพง สมชื่อแล้วจริงๆ ไอ้คึกนี่แหละเจ้าสำนัก วัดป่าแท้ๆ ชี้ทางผิด พาคนโง่หลงป่าไปเลย♡[​IMG]♥♡
    เรื่องสุนักขัตตลิจฉวีบุตร
    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าด้านตะวันตกนอกพระนครเขตพระนครเวสาลี. ก็โดยสมัยนั้นแล สุนักขัตตลิจฉวีบุตร เป็นผู้หลีกไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ไม่นานสุนักขัตตลิจฉวีบุตรนั้น ได้กล่าววาจาในบริษัท ณ เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า "ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง แต่ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ใด ธรรมนั้นย่อมดิ่งไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้ทำตาม".
    ------------------------------------------------------------------------
    ดูกร สารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่ตรงนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็น ญาณทัสสนะ อันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวล ด้วยความตรึกที่ไตร่ตรอง ด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจาเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก”
    ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.
    ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?
    ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.
    ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.
    ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.
    ฉนั้น บุคคลทั้งหลายต้องพิจารณา " ทรงตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง" คือเห็นธรรม ด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงทรงเป็นผู้มีปฎิสัมภิทาญานเป็นบุคคลแรก
    และก็ยังสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย
    สมดังที่กล่าวมาใน อาสภิวาจา คือ วาจาหรือคำพูดที่ประกาศถึงความเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดในโลก ที่ทรงเปล่งออกมาทันทีที่ประสูติ
    พระองค์ตรัสว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี" คือทรงรู้ทรงทราบว่าพระองค์ต้องตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐอย่างแน่นอน



    " ครั้งนั้นเราแจ้งว่าพรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้วธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มาก็แต่ว่าเมื่อใด "แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วย...ความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย"
    คำถามไว้สำหรับเหล่าบัณฑิตผู้หวังความเจริญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเคารพในสงฆ์ เพราะอะไร?
    สงฆ์เป็นใหญ่ ในที่นี้ เป็นใหญ่ได้เพราะอะไร หรือ อะไรที่ทำให้สงฆ์เป็นใหญ่ได้?
    ใหญ่ในที่นี้คืออะไร?
    สำหรับสำนักวัดนาป่าพงโดยเฉพาะไอ้คึกมาร ๕ กงจักรแปลงเป็นดอกบัวมาจุติ และสาวกมาร คงไม่ต้องกล่าวถึงความชั่วช้าเลวทรามที่ไม่เคารพในสงฆ์ผู้เป็นใหญ่
    วิสัชนาซ่อนเมฆไว้ให้พิจารณา
    *มีดังนี้คือ*
    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก
    รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก
    ละเอียดเป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
    หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้
    ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
    ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
    จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”
    {O} ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต {O}
    ๑) มังสจักษุ ๑) ทิพยจักษุ ๒) ปัญญาจักษุ ๔) พุทธจักษุ ๕) สมันตจักษุ
    จักษุมี ๒ อย่าง คือ มังสจักษุ ๑ ปัญญาจักษุ ๑.
    ฝ่ายมังสจักษุ มี ๒ อย่าง คือ สสัมภารจักษุ ๑, ปสาทจักษุ ๑.
    ก้อนเนื้ออันใดตั้งอยู่ที่เบ้าตา พร้อมด้วยหนังหุ้มลูกตาภายนอกทั้ง ๒ ข้าง เบื้องต่ำกำหนดด้วยกระดูกเบ้าตา เบื้องบนกำหนดด้วยกระดูกคิ้ว ผูกด้วยเส้นเอ็นอันออกจากท่ามกลางเบ้าตาโยงติดไปถึงสมองศีรษะ วิจิตรด้วยมณฑลแห่งตาดำล้อมรอบด้วยตาขาว ก้อนเนื้อนี้ชื่อว่าสสัมภารจักษุ.
    ส่วนความใสอันใดเกี่ยวในสสัมภารจักษุนี้ เนื่องในสสัมภารจักษุนี้ อาศัยมหาภูตรูป ๔ มีอยู่, ความใสนี้ ชื่อว่าปสาทจักษุ.
    ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาปสาทจักษุ นี้. ปสาทจักษุนี้นั้น โดยประมาณก็สักเท่าศีรษะเล็นอาศัยธาตุทั้ง ๔ อาบเยื่อตาทั้ง ๗ ชั้น ดุจน้ำมันที่ราดลงที่ปุยนุ่น ๗ ชั้น อาบปุยนุ่นทุกชั้นอยู่ฉะนั้น ให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวารตามสมควรแก่จิตในวิถีมีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้น ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่ง เป็นที่เกิดขึ้นแห่งสรีรสัณฐาน ที่อยู่ตรงหน้าในท่ามกลางแววตาดำที่แวดล้อมด้วยมณฑลตาขาว แห่งสสัมภารจักษุนั้น.
    ในจักษุทั้ง ๒ นั้น ปัญญาจักษุมี ๕ อย่าง คือ พุทธจักษุ ๑, สมันตจักษุ ๑, ญาณจักษุ ๑, ทิพยจักษุ ๑, ธรรมจักษุ ๑.
    คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อตรวจดูสัตวโลก ได้เห็นแล้วแลด้วยพุทธจักษุ๑- ดังนี้ ชื่อว่าพุทธจักษุ.
    คำนี้ว่า สัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันตจักษุ๒- ดังนี้ ชื่อว่าสมันตจักษุ.
    คำนี้ว่า ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว๓- ดังนี้ ชื่อว่าญาณจักษุ.
    คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้เห็นแล้วแล ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ๔- ดังนี้ ชื่อว่าทิพยจักษุ.
    มรรคญาณเบื้องต่ำ ๓ นี้มาในคำว่า ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ไม่มีมลทิน เกิดขึ้นแล้ว๕- ดังนี้ ชื่อว่าธรรมจักษุ.
    ท่านผู้ต้องการเห็นธรรมจะต้องอาศัยจักษุด้วยประการนี้เท่านั้น หากท่านสามารถเห็นด้วยความสามารถเหล่าอื่น หากมีผู้หวังผู้พิจารณาตาม ก็จงพิจารณาตามไปจนสุดปัญญานั้นๆ หากมีผู้ไม่เห็นตามท่านก็ถือว่า ไม่ใช่และไม่ตรงกับอัชฌาสัยของท่านนั้นๆถือเอาตามนี้ อธิกรณ์ก็ให้หมดจบผ่าน
    ปฏิสัมภิทามรรค
    " ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
    มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
    ไม่ได้"

    http://84000.org/tipitaka/attha/atth...b=31.0&i=0&p=1
    สากัจฉสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรสนทนาของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภสีลสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภสมาธิสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภปัญญาสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติญาณทัสสนสัมปทาได้ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรสนทนาของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ฯ
    จบสูตรที่ ๕
    องค์ของภิกษุผู้ไม่ควรสนทนาด้วย
    อุ. ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์เท่าไรหนอแลพระพุทธเจ้าข้า?
    พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง? คือ:
    ๑. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ
    ๒. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ
    ๓. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ
    ๔. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ ของพระอเสขะ
    ๕. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
    องค์ของภิกษุผู้ควรสนทนาด้วย
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง?คือ:
    ๑. เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ
    ๒. เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ
    ๓. เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ
    ๔. เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติ ของพระอเสขะ
    ๕. เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
    องค์ของภิกษุผู้ไม่ควรสนทนาอีกนัยหนึ่ง
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง? คือ:
    ๑. ไม่เป็นผู้บรรลุอรรถปฏิสัมภิทา
    ๒. ไม่เป็นผู้บรรลุธรรมปฏิสัมภิทา
    ๓. ไม่เป็นผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา
    ๔. ไม่เป็นผู้บรรลุปฏิภาณปฏิสัมภิทา
    ๕. ไม่พิจารณาจิตตามที่วิมุติ
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
    องค์ของภิกษุผู้ควรสนทนาด้วย
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง?คือ:
    ๑. เป็นผู้บรรลุอรรถปฏิสัมภิทา
    ๒. เป็นผู้บรรลุธรรมปฏิสัมภิทา
    ๓. เป็นผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา
    ๔. เป็นผู้บรรลุปฏิภาณปฏิสัมภิทา
    ๕. พิจารณาจิตตามที่วิมุติ
    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
    ภิกขุนีโอวาทวรรค ที่ ๘ จบ
    อรรกถา เจือด้วย วิมุตติญานทัสสนะของพระอรหันตสาวกที่เพ่งวิมุตติ และ เจือด้วย วิมุตติญานทัสสนะ พระอริยะสาวกจนพระอรหันตสาวกผู้ทรงปฎิสัมภิทาญาน นี่เป็นภูมิที่พระเสขะต้องรู้ว่า ปัญญาธรรมนี้ ไม่สามารถจะแสดงได้เทียบเท่าผู้ต้องวิมุตติญานทัสสนะของพระอริยะและพระอเสขะได้เลย
    ไล่ตั้งแต่ เสกขปฎิสัมภิทา จนถึง อเสกขปฎิสัมภิทา
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ทรงปฎิสัมภิทาญานขั้นสูงสุด รู้แม้คำสอนของศาสนาอื่น ทั้งคติที่ไป จนทรงบัญญัติ ทิฏฐิ ๖๒ ในพรหมชาลสูตร พิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมของศาสนาพุทธ ส่วนองค์คุณประโยชน์ของ พิชัยสงครามนี้ มีแต่บัณฑิตที่พึงรู้ ท่านใดปรารถนาจะทราบ พึงพิจารณาลำดับญานที่ทรงบรรลุตรัสรู้พร้อม ปฎิสัมภิทาญาน องค์กำเนิดพระสัทธรรม เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตุนี้ การทำสังคายนาจึงต้องพึ่งพระผู้ทรงปฎิสัมภิทาญานเป็นหลัก
    ว่าด้วยนักพูด ๔ จำพวก
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน ?
    นักพูดย่อมจำนนโดยอรรถ แต่ไม่จำนนโดยพยัญชนะก็มี
    นักพูดจำนนโดยพยัญชนะแต่ไม่จำนนโดยอรรถก็มี
    นักพูดจำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะก็มี
    นักพูดไม่จำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะก็มี
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนักพูด ๔ จำพวกนี้แล
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทา ๔
    พึงถึงความจำนนโดยอรรถหรือโดยพยัญชนะ
    นี้ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
    จบวาทีสูตรที่ ๑๐
    จบปุคคลวรรคที่ ๔
    ฉนั้นผู้ได้บรรลุปฎิสัมภิทาญานจึงเป็นเลิศสุดในการ ปุจฉาและวิสัชนากถาต่างๆทั้งแนวนอกและแนวใน ไม่ว่าจะเป็น ว่าโดยเรื่อง พระสัทธรรม หรือ อสัทธรรม ก็ตาม
    ด้วยเหตุนี้จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่าเป็น"ศาสดาเอกของโลก"
    สัญญาสูตร นี่เป็นปฎิสัมภิทามรรค อันทำให้เห็นและรู้ว่า บทธรรมเสมอกันกับพระพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่ทรงแสดงก็ตาม มีอยู่ แต่ถึงอย่างไร การแจกแจงขยายธรรมของพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงละเอียดกว่า หากจะให้ทรงแสดง มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงเสมอกันได้ อันนี้เรากล่าวถึงญานทัสสนะ ไม่ใช่ บทธรรมโดยตรง
    {O}ผู้เห็นธรรมมีเพียง ๓ สถานะเท่านั้น{O}
    " ผู้เห็นธรรม๑ คือเห็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เห็นโดยตรง" ซึ่ง"พระธรรมแม่บท"โดยปฎิสัมภิทาญาน" อันข้อนี้ก็รวมไปถึงพระอรหันตสาวกผู้เป็นพระอเสกขผู้เพ่งตามวิมุตติธรรมในข้อนั้นๆไว้ด้วย ตลอดจนไปถึงอริยะบุคคลผู้เป็นเสกขภูมิจนถึงอเสกขภูมิ เป็นต้น
    " ผู้เห็นธรรม๒ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงด้วยพระประสงค์ ให้เห็นตามด้วยพระทศพลญาน (ทรงพระมหากรุณาโปรดแสดงอนุปุพพิกถาตามลำดับเป็นกรณีพิเศษ,และด้วยอธิษฐานไว้เพื่อผู้ต้องบุพกรรม ณ ที่แห่งหนนั้นๆตามพระทศพลญาน ข้อนี้ก็สามารถพิจารณาเข้าสู่สิ่งที่ท่านทั้งหลายฯ ต่างปุจฉา-วิสัชนากันได้ เฉกเช่นเดียวกับที่ทรงอธิษฐานแก่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ไว้ในภายภาคนั้นก่อนจะธาตุอันตรธาน คือ ธาตุอันตรธาน ถ้าท่านใดต้องบุพกรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนไปถึงเหล่าพระอรหันต์ผู้มีข่ายญานอธิษฐานเอาไว้ให้ธรรมทายาท อันมี บิดามารดาของท่านญาติมิตรศิษย์สหายกลับชาติมาเกิดใหม่ ข้อนี้ท่านพึงเห็นได้ด้วยข่ายพระญาน และข่ายญานนั้นๆ
    ธาตุอันตรธานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ พระบรมธาตุนิพพาน “ และคำว่านิพพานนั้นมี ๓ ประการ คือ
    ๑. กิเลสนิพพาน คือการตรัสรู้ที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์
    ๒. ขันธนิพพาน คือการดับเบญจขันธ์ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา
    ๓. ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต
    การนิพพานแห่งพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระบรมศาสดาที่ประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ เมื่อไม่มีผู้สักการะบูชาพระบรมธาตุก็จะเสด็จไปยังถิ่นประเทศที่มีคนเคารพสักการบูชา จวบจนวาระสุดท้ายมาถึง ทั่วทุกถิ่นประเทศหาผู้สักการบูชาไม่มีเลย พระบรมธาตุทั้งหลายจากโลกมนุษย์ เทวโลกและนาคพิภพ จะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ทั้งหมด แล้วรวมกันเป็นรูปของพระพุทธองค์ ทรงประดิษฐ์สถาน ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ในที่นั้น แต่ในครั้งนี้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจะมิมีผู้ใดได้เห็นพระองค์เลย
    ฝ่ายเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล จะพากันมาประชุม ณ ที่นั้น ต่างก็กรรแสงโศกาอาดูรเหมือนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้นที่พระสรีรธาตุเผาผลาญพระบรมธาตุจนหมดสิ้นหาเศษมิได้ เข้าถึงซึ่งความสูญหายไปจากโลก ได้ชื่อว่า “พระบรมธาตุนิพพาน”
    อายุกาลแห่งพระพุทธศาสนาก็สิ้นสุดลง ในบัดนั้น
    เมื่อพระบรมธาตุนิพพานแล้ว เหล่าเทพยดาพากันทำสักการบูชาแล้ว ทำประทักษิณสิ้น ๓ รอบเสร็จสิ้นต่างก็พากันกลับสู่วิมานของตนๆ ในเทวโลก
    ส่วนข้อที่จะไม่มีมนุษย์ได้ฟังธรรมและได้พบเห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกในครานั้นก็ต้องรอดูหรือพึงรู้พึงทราบกันตามภพภูมิของสัตว์ในยุคนั้น อาจจะมีโอกาสเป็นเราหรือท่านผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ในนี้ ถ้าระบุไว้อย่างนั้นจริงๆก็ขอให้ท่านทั้งหลายฯ ผู้เจริญในพระสัทธรรม ที่ยังไม่เข้าสู่พระนิพพาน เป็นเทพเทวดาและเหล่าพรหมนั้นเทอญฯ
    " ผู้เห็นธรรม๓ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สืบทอดจารึก ท่องจำมุขปาฐะตีพิมพ์กันมาด้วยความเพียรพยายาม ด้วยสภาวะบุญอันเข้าถึงในอดีตชาติที่สั่งสมการพิจารณาใคร่ครวญปฎิบัติมาดีแล้ว จนเข้าสู่หนทางปฎิบัติแห่งการบรรลุตามอัชฌาสัยของท่านสุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ตามลำดับ ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถที่จะเพ่งพิจารณาตามจิตที่ต้องวิมุุตติของท่านได้ตามกาล ส่วนจะได้มากได้น้อยซึ่งวิมุตติญานทัสสนะกถา ท่านจะแสดงหรือไม่ ก็ขอยกเอาไว้ตามอัชฌาสัยของท่านเหล่านั้นฯ
    แต่ก็มิใช่ว่าท่านจะละทิ้งหวังเพียงแค่สุขส่วนตนโดยเฉพาะพระอรหันตสาวกผู้เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
    กำลังของพระอรหันตสาวก นั้นเป็นแรงจิตอธิษฐานที่มีอานุภาพมาก ที่ได้พิจารณาธรรมไว้ตามกาลตามเหตุ เพื่ออนุเคราะห์แก่ญาติมิตรสหายในกาลล่วงไปข้างหน้านับต่อนับ ด้วยแรงจิตอธิษฐานนั้น เป็นพลานิสงส์อันเป็นพลวปัจจัยที่จะชี้นำแนะแนวให้สัตว์เกิดดำรงสติปัญญาในธรรม ให้เจริญขึ้นได้ตามจริตธรรมที่ได้บันทึกจารึกไว้ ให้ผู้มีอุปนิสัยใจคอคล้ายคลึงกันตามจริตกรรมมัฎฐาน และเป็นตัวอย่างในการพิจารณาธรรม โดยสามารถนำเข้าสู่ความเจริญในพระสัทธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไป
    เป็นระบบธรรมสมบัติ ตามเจตจำนงค์และความปรารถนาตามที่ได้อธิษฐานจิตเอาไว้มีหน้าที่สืบเนื่องรับต่อไป ตามพระบารมีกำลังแห่งสาวกญานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายฯ ตามพุทธสมัย
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์
    ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ?
    ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรมิได้พาศีลขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ฯลฯ มิได้พาวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ก็แต่ว่าท่านพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวแสดงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมาตามระลึกถึง โอชะแห่งธรรม ธรรมสมบัติ และการอนุเคราะห์ด้วยธรรมนั้น ของท่านพระสารีบุตร.
    "จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"
    องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" อันเป็นนามที่แท้จริงของพระศาสนา เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล
    ปริยัติอันตรธาน ยังไงก็หายแน่นอน และต่อให้หายไป ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ด้วยปฎิสัมภิทาญาน ที่เหลือขึ้นอยู่กับว่า ท่านใด มีบุญบารมีทรงจำได้มากหรือน้อย นี่คือความแตกต่างของ ระดับการทรงจำ ปฎิสัมภิทาญานแตกต่างกันอย่างเดียวคือ การทรงจำได้มาก หรือ น้อย เพียงเท่านั้น รอผู้นั้นที่ยิ่งกว่าเรา สหายธรรมในที่นี้ก็มีสิทธิ์ ขอเพียงมีความนอบน้อมเคารพ รักพระไตรปิฏก ในอนาคตท่านย่อมได้ ปฎิสัมภิทาญาน อย่างไม่ต้องสงสัย เห็นแล้วก็จะรู้เอง ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นธรรม คือ ทรงเห็นอะไร? หากจะไม่ศึกษาอะไรเลยจะหวังพึ่งแต่ทัสสนะญานเพียงอย่างเดียว ก็ไม่ใช่อัชฌาสัยของท่านที่บรรลุปฎิสัมภิทาญานในเสกขภูมิ ญานทัสสนะวิสุทธิในท่านเสกขภูมิจะสามารถหลอมรวม เหตุแห่งการเกิดดับและการเริ่มต้นต่างๆ ได้อย่างสุดวิเศษ เมื่อถึงเวลา บทธรรมเหล่านั้นจะปรากฎเองอย่างที่ทรงตรัสรู้เห็น นั่นแหละ ! พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม มีรูปแบบเดียวกันกับ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ ทรงตรัสรู้เห็นพร้อมกันซึ่งอันเดียวกับธรรมนั้น และทรงตรัสรู้ธรรมเสมอกัน ส่วนพระอรหันสาวกผู้บรรลุปฎิสัมภิทา หรืออริยะสาวกผู้ได้ ปฎิสัมภิทาญาน ก็จักเจริญตามภูมิธรรมซึ่งก็คือ เสกขภูมิไปจนอเสกขภูมิ ส่วนพระอรหันตสาวกผู้เป็นพระอเสขะที่มิได้บรรลุปฎิสัมภิทาญาน ท่านก็สามารถเห็นธรรมและตรัสรู้ธรรมได้โดยการ พิจารณาตามจิตที่ต้องวิมุตติญานทัสสนะ เรียกว่าอาศัยการเสวยวิมุตติธรรมนั้นแลฯ ความสุขในพระพุทธศาสนา เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยมยิ่ง นี่ล่ะจึงทรงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
    มหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ เป็นสุดยอดแห่งอินทรียธาตุที่จะสามารถรับรู้ ซ้องเสพ เกี่ยวข้อง ละทิ้ง ล่วงรู้ อายตนะมารทั้งหลายฯ ไม่มีอินทรียธาตุของผู้ใดที่มีอายตนะที่สมบูรณ์ไปยิ่งกว่าพระองค์ จึงทรงรู้ชัดรู้แจ้งที่สุดแห่งอายตนะและธรรมารมณืทั้งหลายฯ
    กัสสกสูตรที่ ๙
    สาวัตถีนิทาน ฯ
    ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่ ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดมถึงที่ประทับเพื่อการกำบังตาเถิด ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปจึงนิรมิตเพศเป็นชาวนาแบกไถใหญ่ถือปะฏักมีด้ามยาว มีผมยาวรุงรังปกหน้าปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ มีเท้าทั้งสองเปื้อนโคลน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมณะท่านได้เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า แน่ะมารผู้มีบาป ท่านจะต้องการอะไรด้วยโคทั้งหลายเล่า ฯ
    มารกราบทูลว่า
    ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรากลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย
    สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเราธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเราท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมารผู้มีบาป
    จักษุเป็นของท่าน
    รูปเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุสัมผัสก็เป็นของท่านแท้
    ดูกรมารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ
    สัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน
    โสตเป็นของท่าน
    เสียงเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัสก็เป็นของท่าน
    แต่ในที่ใด ไม่มีโสต ไม่มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน
    จมูกเป็นของท่าน
    กลิ่นเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ
    ลิ้นเป็นของท่าน
    รสเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ
    กายเป็นของท่าน
    โผฏฐัพพะเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กายสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ
    ใจเป็นของท่าน
    ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของท่าน
    แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน ฯ
    มารกราบทูลว่า
    ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่า นี้ของเรา และกล่าวว่า นี้เป็นเราถ้าใจของท่านมีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่พ้นเราไปได้ ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้นไม่มีแก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทางของเรา ฯ
    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
    พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ
    วิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากกิเลสเป็นระดับชั้นไป มี ๕ ระดับ คือ
    ตทังควิมุตติ หลุดพ้นชั่วคราว
    วิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยการสะกดไว้ ระงับอำนาจกิเลสไว้ด้วยอำนาจของกำลังฌาน เมื่ออยู่ในฌาน ได้แก่ วิมุตติของผู้ได้ฌาน๘
    สมุจเฉทวิมุตติ หลุดพ้นอย่างเด็ดขาด หลุดพ้นด้วยอำนาจอริยมรรคตัดขาดจากกิเลสผู้บรรลุโสดาปัตติมรรค, อรหัตตมรรค
    ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ หลุดพ้นอย่างสงบ พ้นกิเลสต่อจากอรหัตตมรรคถึงอรหัตตผล ไม่ต้องพยายามกำจัดกิเลสอีกเพราะกิเลสระงับไม่เกิดอีกแล้วในขณะผลนั้นๆ
    นิสสรณวิมุตติ หลุดพ้นด้วยออกไป หลุดพ้นกิเลสอย่างยั่งยืน ได้แก่วิมุตติคือนิพพาน
    กุญแจไขประตูพระนิพพาน ย่อมเป็นของคู่กันกับประตูพระนิพพาน
    ตราบใดที่มีพระนิพพาน กุญแจที่ไขเข้าสู่ประตูก็จะมีอยู่เสมอๆ
    สุภัททะ !
    ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์แปด
    สมณะที่หนึ่ง (พระโสดาบัน) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น;
    แม้สมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาไม่ได้;
    แม้สมณะที่สาม (พระอนาคามี) ก็หาไม่ได้;
    แม้สมณะที่สี่ (พระอรหันต์) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น.
    สุภัททะ !
    ในธรรมวินัยนี้แล มีอริยมรรคมีองค์แปด
    สมณะที่หนึ่ง (พระโสดาบัน) ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้;
    แม้สมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาได้;
    แม้สมณะที่สาม (พระอนาคามี) ก็หาได้;
    แม้สมณะที่สี่ (พระอรหันต์) ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้.
    สุภัททะ !
    ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จะพึงอยู่โดยชอบไซร้
    โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย แล.
    มหา. ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘.




    มี "พระมหาปกรณ์" อยู่ครับ แต่ ต้องพิจารณาขอบเขต ๒๕๐+ ๓๐๐=๙๐๐ โยชน์ มัชฌิมประเทศที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาจุติ และภาษาอื่นที่ทรงเสด็จไปทรงโปรดด้วย จึงจำเป็นต้องถ...่ายทอดลงมาเป็นสุทธมาคธี-มาคธี พระมหาปกรณ์นั้น ถ้าเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงก็จะเข้าใจครับ และในกาลอื่นๆที่ทรงเสด็ดไปโปรด ภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธวจนะก็ทรงถ่ายทอดลงมาเป็นภาษาอื่นๆเมื่อทรงเสด็จไปโปรดสัตว์ในโลกธาตุที่มีภาษาอื่นอีกด้วยครับ ถ้าเขากล่าวว่า" ไม่ใช่ภาษา" แล้วเขาไม่รู้จัก "ปฎิสัมภิทา มัคโค" วิศิษฐปาฐะ หรือการเปลี่ยนแปลงของพยัญชนะปฎิรูป คือการเปลี่ยนแปลงของภาษาธรรม ที่แม้แต่จะถามด้วยใจก็สามารถตอบด้วยวาจา ถามด้วยความรู้สึกเช่นนั้นเป็นภาษาใด ขอให้สหายบัณฑิตผู้เจริญของข้าพเจ้าพิจารณาดูให้ดีนะครับ สิ่งที่ผมกล่าวเป็นทั้ง ปริยัติ ปฎิบัติและปฎิเวธ ของ ผู้เสกขภูมิอยู่ ฉนั้นเมื่อเขาไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่รู้จักปฎิสัมภิทาญาน หากเขาใช้คำพูดแบบนั้น เขากล่าวไม่ถูกต้องครับ และถ้าเขารู้จัก พระมหาปกรณ์อันละเอียด ที่มีอัตลักษณ์ ที่ไม่หยั่งลงสู่ความตรึกนี้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นภาษาที่เราท่านสามารถเข้าใจทั้ง รูป พยัญชนะ สำเนียง ของอรรถ ในทันที ที่แม้จะไม่เคยได้รู้ได้เรียนมาก่อนเลย โดยในนามปฎิสัมภิทา เขาถือทิฏฐินั้นได้ ฉนั้นการที่จะเอา ภาษาบาลีหรือพยัญชนะเหล่าใดก็ตาม มาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ ถ้าแท่นพิมพ์หรือแม่แบบ นั้นแปลงสภาพให้ เป็น อักษรนั้นๆ ก็เห็นควรอยู่ ที่จะเป็นหรือเรียกว่า บาลี แต่ถ้าแม่แบบไม่เปลี่ยนให้ หรือเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ ท่านก็จะคิดจะรู้ทันทีว่า เห็นที่จะไม่ใช่ ภาษานี้โดยตรง เพราพฉนั้นการที่จะเอา ภาษาใดๆก็ตามมาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ว่า เป็นภาษาที่ตรงกันหรือไม่ ไม่ใช่ฐานะที่จะกระทำได้หรือระบุได้ตายตัว ผมจึงใช้คำว่า ไม่ใช่ พระพุทธวจนะตรงๆจาก พระสัทธรรม แต่เป็นภาษาที่ทรงโปรดนำมาแสดงไว้ ตามควมเหมาะสมของเชื้อชาติประเทศราชและท้องถิ่นนั้นๆครับ ก็เพื่อจะให้ชนส่วนใหญ่ได้ล่วงรู้โดยง่าย ถ้านำลงมาแสดงไว้ด้วยภาษาอื่นๆก็จะต้องตีความแล้วตีความเล่า เพราะยิ่งด้วยผู้มีปฎิสัมภิทาแล้ว เห็นประโยคเดียว ออกเป็นร้อยนัยพันนัยเลยที่เดียวตามกระแสสกานิรุตติ และเพ่งจิตด้วยวิมุตติญานทัสสนะตามธรรมที่เสวยวิมุตติสุขนั้นๆ ภาษาใจ ภาษาธรรมชาติ ที่เป็น "สัจธรรมมหาปกรณ์" ผมไม่สามารถจะทำให้ท่านได้รูเห็นได้ ท่านต้องเห็นเอง ขอให้เจริญในปฎิสัมภิทาเถิดครับ ด้วยสติปัญญาของบัณฑิต ผู้สั่งสมสุตตะอย่างท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่ได้อ่านในตอนนี้เมื่อใดที่ท่านได้เข้าสู่ทิพย์ภูมิของพระอริยะ ในปฎิสัมภิทา ท่านจะทราบเลยว่า ขนาดที่มีธรรมละเอียดที่จะทรงสามารถแสดงได้ขนาดนี้เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจถึงสภาวะธรรม แต่กลมลสันดานของสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมสุตตะมาก่อนไม่เหมาะที่จะตรัสรู้และเข้าใจธรรมอันประเสริฐนี้ จนทรงท้อพระทัยที่จะทรงตรัสสอน จึงแสดงเพื่อเป็นพลวปัจจัยเป็นอันมาก จึงทรงกล่าวธรรมแม้บทเดียวโดยที่เขาเข้าใจก็เป็นสุขแก่สัมปราภพของสัตว์นั้นอย่างยาวนานจวบจนพระนิพพาน และโดยเฉพาะฐานะที่ท่านทำอยู่ในการปกป้องรักษาพระไตรปิฏกด้วยความบริสุทธิ์ใจเหล่าใดก็ตามในกาลนี้ก็ตามกาลอดีตที่แล้วมาจนถึงกาลอนาคตก็ตาม พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นฯ ย่อมได้บรรลุสู่ ปฎิสัมภิทาญาน อย่างแน่นอนครับ พระอรหันต์๔หมวด มีคุณความสามารถที่แตกต่างกันตามบทบาทและหน้าที่ วันนั้นเมื่อท่านได้เห็น พระมหาปกรณ์ จาก พระสัทธรรม พระธรรมราชา แล้ว ท่านจะเข้าใจ อรรถพยัญชนะที่ข้าพเจ้าแสดงไว้แล้วนี้ สาธุธรรมครับ


    ***มาร่วมเป็นสักขีพยานปราบมาร ๕ คือไอ้คึกฤทธิ์และบริวารสาวกมาร ๕ ในรอบกึ่งพุทธกาล ด้วยกันครับ***
    เห็นมาหลายตัวเก่งๆนับจากไอ้คึกฤทธิ์และจากพวกบริวารสาวกมาร๕แห่งส...ำนักวัดนาป่าพง อวดตนว่ารู้"ธรรมอันแท้จริง" ผู้อื่นที่ไม่เข้าสำนักไม่ร่วมสำนักด้วย
    ไม่ไปศิโรราบ ไม่มีทางรู้ธรรมอันแท้จริง จาก "พุทธวจนะ"
    เคยหลายครั้งที่ ฝากไปถามไปเตือนสติ ถามแล้วถามอีกก็ไม่เคยได้คำตอบ ของคำว่า"ปฎิสัมภิทา" หรือ นิรุตติญานทัสสนะกถาและวิมุตติญานทัสสนะกถา ว่ามีว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? จึงมาเป็นพระไตรปิฏกอย่างที่ได้เห็นได้อ่านในปัจจุบัน นี่เป็นเหตุผลแรก ที่ไอ้คึกฤทธิ์และบริวารลิ่วล้อสาวกมาร ๕ แห่งสำนักวัดนาป่าพงต้องแพ้พ่าย เพราะไม่รู้จักที่มาของการกำเนิดองค์พระไตรปิฏก เมื่อปฎิเสธตั้งแต่แรก ว่า ไม่มีไม่ใช่ และตัดทอน "ปฎิสัมภิทาญานกถา" (พระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและอรรถกถาสาธยายธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพุทธดำรัสตรัสสอนโดยตรง หรือพระอรหันตสาวกแสดงอรรถถาธิบาย
    สาธยายธรรมที่มีมาในพระไตรปิฏกทุกเล่มในสายเถรวาทีนี้โดยเฉพาะฉบับของโลกมนุษย์) อันเป็นที่มาที่สุดแห่งธรรมออกจากพระไตรปิฏก นับแต่บัดนั้นมา พวกสำนักวัดนาป่าพงก็หมดคุณสมบัติที่จะ ปุจฉา-วิสัชนา หรือ กถาหรือพระสูตรใดๆโดยก็ตาม ในทันทีนับแต่นั้นมา
    ฉนั้นบุคคลใดๆที่กระทำการใดๆที่เป็นการส่งเสริมไอ้คึกทำลายพระสัทธรรมอยู่ จงเตรียมตัวพินาศวินาศสันตะโรไปตามการเถิดฯ
    "อยากจะรู้นัก ถ้าไม่มีปฎิสัมภิทาและวิมุตติญานทัสสนะกถาที่แสดงไว้ ไอ้คึกฤทธิ์และบริวารสาวกมาร ๕ จะมีสติปัญญาเอาอะไรที่ไหน? มาทำขายแดก"





    มั่วอาณิสูตร ดังที่แสดงวิสัชนาให้รู้เห็นตามแล้ว อย่างที่เห็น


    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=930080010470020&set=gm.331105717244291&type=3&theater


    เผยตัณหาแสดงความเป็นใหญ่ เป็นผู้สังคายนาพระไตรปิฏกอย่างถูกต้องเองเป็นคนแรกในรอบ ๒๕๕๘ ปี

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/MhOOfL8J_4U[/ame]

    ในคัมภีร์อปทาน พระอุบาลีได้ทูลสรรเสริญพระพุทธเจ้า มีข้อความเกี่ยวกับพระอภิธรรมว่า

    ..ข้าแต่พระมุนี สติปัฏฐานของพระองค์เป็นป้อม ปัญญาของพระองค์เป็นทางสี่แพร่ง อิทธิบาท
    เป็นทางสามแพร่ง ธรรมวิถีพระองค์ทรงสร้างไว้สวยงาม พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
    และพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรมสภาในนครธรรมของพระองค์..
                     ( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔) ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้า ๔๐ )
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=40


    นอกจากนั้น พระปุณณมันตาณีบุตรได้กล่าวถึงเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมและสอนคัมภีร์นี้เสมอ ว่า

    ..เปรียบเหมือนเราแม้ฟังโดยย่อ ก็แสดงได้โดยพิสดาร ฉะนั้น
    เราเป็นผู้ฉลาดในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในความ
    หมดจดแห่งกถาวัตถ ยังปวงชนให้รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ..
                     ( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้าที่ ๓๓.
                       ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๗ (๕) ว่าด้วยผลแห่งการแสดงธรรม )
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=33

    แม้พระนางเขมาเถรีก็กล่าวเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมไว้ในคัมภีร์อปทานนี้ว่า

    .. ดิฉันเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่งอภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ...
                     ( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก หน้า ๒๑๗ - ๒๑๘)
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=33&page=217

    นอกจากนั้น เหล่าภิกษุในสมัยพุทธกาลพากันศึกษาเล่าเรียนและสนทนาเกี่ยวกับพระอภิธรรมเหมือนพระสูตรและพระวินัย มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้

    ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภอย่างไร? ภิกษุย่อมไม่ศึกษาเพราะเหตุแห่งลาภ
    ไม่ศึกษาเพราะปัจจัยแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะการณะแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ
    ไม่หวังได้ลาภ ย่อมเล่าเรียนพระสูตร ย่อมเล่าเรียนพระวินัย ย่อมเล่าเรียนพระอภิธรรม
    เพื่อประโยชน์ฝึกตน เพื่อสงบตน เพื่อให้ตนปรินิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น.
    ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
                     (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส หน้า ๒๒๐)
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=29&page=220


    แม้ในพระวินัยปิฎก ก็ปรากฏมีพระอภิธรรมมาตั้งแต่ทรงบัญญัติสิกขาบทบางข้อ ดังนี้

                                                     ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ถามปัญหา
    กะภิกษุที่ตนยังมิได้ขอโอกาสเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
    ที่ยังไม่เลื่อมใส ...
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

    พระบัญญัติ
    ๑๕๐. ๑๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส เป็นปาจิตตีย์.
                                                        เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

                                                             สิกขาบทวิภังค์
    [๔๗๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า ผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส คือ ตนยังมิได้บอกกล่าว.
    บทว่า ภิกษุ ได้แก่ อุปสัมบันภิกษุ.
    คำว่า ถามปัญหา คือ ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระสูตรแล้วถามพระวินัย หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระวินัย แล้วถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระอภิธรรม แล้วถามพระสูตร หรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                       ( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุณีวิภังค์ หน้าที่ ๒๙๙ - ๓๐๐ )
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=3&page=299

    จากพระวินัยปิฎก อีกแห่ง

    ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะก่น พูดตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร พระคาถา หรือพระอภิธรรมไปก่อนเถิด
    ภายหลังจึงค่อยเรียนพระวินัย ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.

    (อธิบาย - ถ้าภิกษุตำหนิการสาธยายพระวินัยว่าหาประโยชน์มิได้ ย่อมจะมีโทษคือต้องอาบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
    แต่ถ้ากล่าวว่าขอให้เรียนพระสูตร, คาถา หรือพระอภิธรรมก่อน แล้วจึงเรียนพระวินัย ภิกษุกล่าวเช่นนี้ไม่ต้องอาบัติ
    แม้ภิกษุวิกลจริต และภิกษุผู้เป็นเหตุให้บัญญัติสิกขาบทที่เรียกว่าอาทิกัมมิกะ ก็ไม่ต้องอาบัติเช่นกัน)
                     ( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์  ภาค ๒ หน้า ๕๗๖ )
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=2&page=576


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒) อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อัสสสูตรที่ ๑

    [๕๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย1 เราจักแสดงม้ากระจอก ๓ จำพวก
    และบุรุษกระจอก ๓ จำพวก เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ฯ
    ...
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์
    แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ไม่สมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
    นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
    เรากล่าวว่านี้เป็นเชาวน์ของเขา
    แต่เมื่อเขาถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย2 ก็จนปัญญา วิสัชนาไม่ได้
    เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่วรรณะของเขา และเขาย่อมไม่ได้จีวร
    บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
    เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่ความสูงและความใหญ่ของเขา ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=7563&Z=7603

    ข้าแต่พระธีรเจ้า สัทธาของพระองค์เป็นเสาระเนียด การสังวรเป็นนายทวารบาล สติปัฏฐานเป็นป้อม ข้าแต่พระมุนี พระปัญญาของพระองค์เป็นสนาม และพระองค์ได้ทรงสร้างธรรมวิถี มีอิทธิบาทเป็นทางสี่แยก พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ พระพุทธพจน์ทั้งสิ้นมีองค์ ๙ นี้เป็นธรรมสภาของพระองค์
                   สุญญตวิหารสมาบัติ ๑ อนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ อปณิหิตสมาบัติ ๑ อเนญชธรรม ๑ นิโรธธรรม ๑ นี้เป็นกุฏีธรรมของพระองค์
                   http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=317

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
                [๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางพวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม
    คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ...

    เวยยากรณะ คือ พระอภิธรรมปิฎกแม้ทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่ประกอบด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เป็นไวยากรณ์
    (อ่านพระพุทธพจน์มีองค์ 9 เพิ่มเติมที่ความเห็นด้านล่าง)

    ข้อสังเกต
    อานันทเถรคาถา  ขุททกนิกาย เถรคาถา ข้อ ๓๙๗

    พระอานนท์เถระได้เรียนธรรมจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ได้เรียนจากสำนักภิกษุ มีพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เป็นต้น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
    ซึ่งใน  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์นั้น  แบ่งเป็น
    พระวินัยปิฎก     ๒๑,๐๐๐      พระธรรมขันธ์
    พระสุตตันตปิฎก   ๒๑,๐๐๐   พระธรรมขันธ์
    พระอภิธรรมปิฎก   ๔๒,๐๐๐  พระธรรมขันธ์

    ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระอภิธรรมปิฎกมีจำนวนเท่ากับพระวินัยปิฎก และ พระสุตตันตปิฎก รวมกัน
    ฉะนั้น ถ้าพระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ๓ ปิฎก ก็จะเหลือเพียง ๒ ปิฎก ฯ
    พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=397


    เมื่อพระอานนท์เรียนธรรมจากพระสารีบุตรบ้าง ฟังโดยตรงจากพระพุทธองค์บ้าง
    ในส่วนของท่านอื่นรวมถึงจากพระสารีบุตร มี ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ซึ่งน้อยกว่าจำนวน พระอภิธรรมปิฎกซึ่งมี  ๔๒,๐๐๐  พระธรรมขันธ์
    ก็เท่ากับว่าฟังอภิธรรมปิฏกส่วนใหญ่จากพระพุทธเจ้า  

    จะเชื่ออย่างไรว่าธรรมที่แสดงโดยพระสารีบุตรนี้พระพุทธองค์รับรองไว้
    ก็มีแสดงไว้ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมประกาศธรรมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ตถาคตให้เป็นไปแล้ว
    ไปตามลำดับโดยชอบทีเดียว ฯ
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=2324&Z=2444


                   ว่าโดยปกรณ์ ๗               
                   ว่าโดยการกำหนดปกรณ์ พระอภิธรรมนี้ทรงตั้งไว้ด้วยอำนาจปกรณ์ ๗ คือ
                             ๑. ธรรมสังคณีปกรณ์
                             ๒. วิภังคปกรณ์
                             ๓. ธาตุกถาปกรณ์
                             ๔. ปุคคลบัญญัติปกรณ์
                             ๕. กถาวัตถุปกรณ์
                             ๖. ยมกปกรณ์
                             ๗. ปัฏฐานปกรณ์

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=1&p=1

    พระวินัยมีประโยชน์มาก คือนำมาซึ่งความสุขแก่พวกภิกษุ
                              ผู้มีศีลเป็นที่รัก ข่มพวกที่มีความปรารถนาลามก ยกย่อง
                              พวกที่มีความละอายและทรงไว้ซึ่งพระศาสนา เป็นอารมณ์
                              ของพระสัพพัญญชินเจ้า ไม่เป็นวิสัยของพวกอื่น เป็นแดน
                              เกษม อันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่มีข้อที่น่า
                              สงสัย ภิกษุผู้ฉลาดในขันธกะ วินัย บริวาร และมาติกา
                              ปฏิบัติด้วยปัญญาอันหลักแหลม ชื่อว่าผู้ทำประโยชน์อันควร.
                              ชนใดไม่รู้จักโค ชนนั้นย่อมรักษาฝูงโคไม่ได้ฉันใด ภิกษุก็
                              ฉันนั้น เมื่อไม่รู้จักศีล ไฉนเธอจะพึงรักษาสังวรไว้ได้.
                              เมื่อพระสุตตันตะ และพระอภิธรรมเลอะเลือนไปก่อน
                              แต่พระวินัยยังไม่เสื่อมสูญ พระศาสนาชื่อว่า ยังตั้งอยู่ต่อไป.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=3958&Z=4052

    จากเหล่าบัณฑิตผู้ต่อต้านลัทธิคึกฤทธิ์
    http://pantip.com/topic/32873407
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2016
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ที่นี่ประเทศไทย ถ้าเป็นวัดไทยเป็นพระไทยแท้ ก็ต้องมีพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เมื่อขึ้นตรงกับ มส.รับสมณะศักดิ์และนิตยภัตด้วย ก็ต้องเชื่อฟัง แต่ถ้าไม่เชื่อฟังเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ ก็ชื่อว่า ไม่ทำตามกฎและไม่อยู่ในกรอบธรณีของสังฆมณฑล มีพระอภิธรรมที่เป็นอื่น ก็ชื่อว่า ขาดจากธรณีสงฆ์นี้ เป็นลัทธิอื่น มส.ควรเพิกถอนสิทธิต่างๆ ที่มีมา ว่ากันตามสัจจะ เป็นเรื่องที่เกินจะรับได้ และเกินเยียวยาแล้ว
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ผนวกย่อยเกร็ดความรู้

    "ปฎิสัมภิทา เสกขภูมิ ไล่ไปตั้งแต่พระอริยะระดับโสดาบัน ขึ้นไปเรื่อยๆจนไปหยุดตรงที่ พระอเสขะปฎิสัมภิทา" อย่าไปจำผิดมาเชียว ว่าต้อง มีในอนาคามีมรรค อนาคามีผลเท่านั้น ขอเพียงได้ต้องวิมุตติรู้จัก นิรุตติกถารู้สภาวะรู้รสของวิมุตติ ก็ชัดแล้วครับ..ว่าได้เข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะแล้ว

    ยังไงก็กระโดดข้ามไม่ได้ ต้องไล่เรียงตั้งแต่ต้นครับ เสกขภูมิ-อเสกขภูมิ

    พระอริยะตลอดจนไปถึงพระอรหันต์ผู้ที่ไม่มีปฎิสัมภิทา จะได้กองวิมุตติญานและสามารถแปลงเป็นนิรุตติญานทัสสนะกถาได้ ตามลำดับ จริตของท่านแต่จะไม่ครอบคลุม เหมือนดั่งพระอริยะเสกขภูมิปฎิสัมภิทาตลอดจนถึงท่านผู้อเสขะปฎิสัมภิทา คือสามารถรู้ ภาษาและแตกฉานคัมภีร์ในลัทธิศาสนาอื่นด้วย พิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมของพระพุทธศาสนา หรือ ทิฏฐิ๖๒ นี่ก็ทรงบัญญัติมาด้วยความเพียบพร้อมในปฎิสัมภิทาญานนั้นด้วย จดจำไว้ให้ดีๆนะครับ

    อย่าลืม ว่า ไม่ได้มีเพียงแค่ มังสังจักษุเท่านั้นที่สามารถเห็นธรรมได้ ยังมีโสตอันเป็นทิพย์ หูทิพย์ และ พุทธจักษุ สมันตจักษุ ญานจักษุ ธรรมจักษุ ทิพยจักษุ แม้ธรรมกายก็สามารถแบบอักษรเบลได้ นี่กล่าวถึงพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงตรัสรู้เสมอกัน

    ทัสสนะวิสุทธินั้นละเอียดมาก ต้องพร้อมสมบูรณ์ ตั้งจิตเอาไว้ ได้แน่นอน พระธรรมราชาท่านมีอยู่และรออยู่เสมอครับ

    สิ่งที่พ่วงมา ไม่ใช่แค่ เห็นธรรม แต่ ปาฎิหาริย์ ๓ หรือ วิชชา อภิญญา ก็จักเกิดขึ้นมาพร้อมกันด้วย ไม่ใช่เห็นลอยละลิ่วมาเปล่าๆ

    รอผู้บรรลุตามอยู่ โดยเฉพาะบุคคลที่ฉลาดและขยันและเก่งกว่า เพราะได้ ปฎิสัมภิทาปุ๊บ ก็เหมือน ผู้มีวัตถุดิบในการผลิตมาก มีกำลังมาก เรียกว่า ปัจจัยพร้อมสมบูรณ์ ส่วนผมต้องอาศัย เจริญภาวนา เก็บเล็กผสมน้อยเอาตามเสกขภูมิ ปฎิสัมภิทา



    อัญญาธรรม อัญญาสิทธิ์ กึ่งพุทธกาลแล้ว ควรปรากฎ
    ถ้าปรากฎ อย่าไปวอรี่ เรื่องสงครามนิวเคียร์หรืออาวุธใดๆเลยเปลี่ยน แปลงธาตุได้หมด เหลือแต่จะเอาก้อนหินและไม้เขวี้ยงกันต่อยกันเอา สันติเกิดครับ

    ผู้ปฎิสัมภิทานี้ มีหน้าที่หลักคือ ช่วยรักษาพระไตรปิฏกรอพระโพธิสัตว์จุติ หรือบรรลุธรรม จนถึงกาลสิ้นพระวัสสาและป้องกันการเบียดเบียนของเหล่าเดียร์ถีย์


    อย่าลืมว่า! ปฎิสัมภิทามรรค ผู้เขียนหรือบันทึกเรื่อง "ปฎิสัมภิทา" ในกระทู้นี้ สรุปใจความมาเทียบอักษรแล้วก็อ่านเพียงหน้าเดียว

    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=0&p=1


    พื้นฐานปูไว้ให้แล้ว ผู้ที่จะสามารถเข้าถึง จะเข้าใจได้เองต่อจากนั้น ตามบารมีธรรมที่สั่งสมมา แม้เราก็ปรารถนาจะฟังและพิจารณาใคร่ครวญตาม

    จะรอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2016
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,636
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    วันคืนล่วงไปๆบัดนี้เราทําอะไรอยู่ ....
    Count down....
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,636
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/R0V6eiIrbkY[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/lAAKmGRKESc[/ame]
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สุดยอดมากค่ะ ทุกช๊อตทุกคำพูดทำให้จิตของต้องยิ้มตื่นรู้ในความจริง โดยเฉพาะเรื่องการเป่าขลุ่ย ประทับใจตรงที่บอกว่า จะเป่าขลุ่ยให้เพราะมิได้ส่งความรู้สึกไปที่ตัวขลุ่ย แต่ให้ความรู้สึกมาอยู่ที่ตัวเอง. จึงเหมือนกับการฟังเทปวีดีโอนี้ เมื่อความรู้สึกมาอยู่กับตัวเองในขณะที่ฟัง ตึงทำให้เรายิ้มได้ในสัจธรรมจริงๆค่ะ

    ข้อความที่ประทับใจในสัจธรรมความจริงที่ผู้สร้างออกมา ที่ทำให้ตัองถึงกับแปลกใจมีหลายเรื่อง สงสัยว่าผู้สร้างรู้ได้อย่างไรนะคะ

    เช่น อาจจะจดไม่ละเอียดได้เหมือนทุกคำนะคะ

    "พลังชีวิตที่ว่า ที่พาข้ามาหาท่าน ซึ่งเรียกว่า"จิต" อยู่เบื้องหลังการเกิด อย่างนั้นเหรอ" ใช่

    "เบื้องหลังกลไกของชีวิต คือ ความจริงที่ยั่งยืน ข้าจะได้เห็นมันไหม ข้าจะรวมกับมันได้ไหม หัวใจที่เป็นทุกข์อาจจะได้พบคำตอบก็ได้"

    "ข้าได้สัมผัสพลังงานเบื้องหลังชีวิต และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังงานนั้นเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ ข้าอาจเสียชีวิต แต่ข้าจะไม่เปลี่ยนเส้นทาง ข้าจะหาคำตอบให้ได้"

    "การต่อสู้ให้พลังงานแก่อารมณ์ และอารมณ์เหล่านี้นั้น จะขังเราให้อยู่ในโลกเพ้อฝัน ข้าจะไปให้พ้นจากบ่วงกรรม ไปในสิ่งที่กรรมแตะต้องข้าไม่ได้ ไปในสิ่งที่มายาจับข้าไม่ไดั ไปในที่ที่เสน่ห์หามัดข้าไม่ได้ ไปในที่ที่ความโกรธอยู่กับข้าไม่ได้"

    "เราไม่ได้เกิดขึ้นมา เราแค่ปรากฎตัวเท่านั้น ดังนัันตัวเราจึงจะไม่ตาย เราแค่หายตัวไป จักรวาลจึงเชื่อมต่อกันหมดไม่มีความแตกต่าง ทุกอย่างเหมือนกันหมด"

    "ข้าได้ค้นพบ มันคือที่มาของชีวิต กฎของจิต... แต่ว่ามันคือแก่นกลางของมัน ... มันอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ภายนอก". เจ้าคือพุทธะเป็นอมตะ

    อนุโมทนาด้วยค่ะ ที่ทำให้ได้ฟังอะไรดีดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2016
  20. รัตนมหาธาตุ

    รัตนมหาธาตุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2017
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +65
    จากสถานการณ์แอบอ้างอวดตนเป็นผู้ทรงธรรม สร้างสัทธรรมปฎิรูปมาเพื่อการทำลายพระไตรปิฏก ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และหมิ่นสถาบัน ทำลายสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่และบริษัทส่วนใหญ่ในประเทศและในโลกต่างให้การเคารพ นับถือและสักการะ การกล่าวจาบจ้วงถือดีอวดตนข่มพระอัครสาวกในสมัยพุทธกาล พระอริยะบุคคลทั้งหลายฯตลอดจนมาถึงพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกามาจนถึงยุคปัจจุบัน
    หลายท่าน คงอยากรู้ และเฝ้าปรารถนาว่า เมื่อไหร่จึงจะมีการตื่นตัวและขยายวงองค์แห่งความรู้ ถึงภัยของการกระทำบิดเบือนของสำนักวัดนา...ป่าพง ที่อลัชชีคึกฤทธิ์อาศัยธรณีสงฆ์เพื่อหาเลี้ยงชีพและแสวงลาภสักการะ ตัณหามาสู่ตนเองและพรรคพวกดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัย อย่างมากคือผลกรรมที่จะต้องทยอยกันได้รับอย่างล้นหลามทั้งในชาตินี้และชาติหน้าอย่างแน่นอน และอย่างน้อยมี๓ สาย ๑.กฎหมายบ้านเมือง ๒.พระวินัย ๓.พุทธบริษัท ๔ และผู้ที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาที่ได้รับผลกระทบ นี่ขึ้นอยู่กับท่านสหธรรกัลยาณมิตรทั้งหลายด้วยฯ
    ในสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทนี้เริ่มเกิดการล่มสลาย จางหายและเสื่อมศรัทธาอย่างต่อเนื่อง จากในหมู่ผู้ใกล้ชิดของสำนักฉาวดังกล่าวก็ดี จากผู้ที่แอบแฝงตัวดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในสถานที่แห่งนั้นก็ดี จากบุคคลภายนอกที่พึ่งมีความสนใจก็ดี เห็นได้จากการที่เหล่าสหธรรมกัลยาณมิตรที่ได้ทำหน้าที่ ตรวจสอบ สอดส่อง คอยดูแล ป้องกันและเปิดเผยความเป็นจริงสู่สาธารณะชน ให้ได้ล่วงรู้ถึงภัยมารยาของการปฎิบัติตนอันผิดจารีตและประเพณี ทั้งผิดพระวินัย จนถึงขั้นชี้ชัดการขาดความเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาได้อย่างเท่าทันท่วงที
    นับว่าเป็นความสำเร็จตามลำดับขั้นตอนของการปราบปรามอลัชชีในวิถีแห่งเหล่าพุทธบริษัทกัลยาณมิตรผู้หวังความเจริญในพระสัทธรรม ในบวรพระพุทธศาสนา ที่ได้ปวารณาทั้งชีวิตและจิตศรัทธาของตนเองและในหมู่คณะทั้งหลายฯ เพื่อจรรโลงรักษาปกป้องพระพุทธศาสนา อย่างต่อเนื่อง จากสำนักอลัชชีที่มีความเลวร้ายมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ที่จักได้จารึกไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่อนุชนรุ่นหลังต่อไปในภายภาคหน้า
    ในสำนักนี้นอกจาก คึกฤทธิ์ผู้ที่ถือบวชเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนา โดยที่นอกจะไม่มีสติปัญญาความรู้อันถ่องแท้แล้ว ยังถือดีตีตนเที่ยวประกาศตนและอวดแสดงตนเป็นผู้รู้ในพระสัทธรรมอันประเสริฐยิ่งกว่าผู้ใด ในยุคปัจจุบัน ยังมีเหล่าลิ่วล้อบริวารทาสผู้หาญกล้าทั้งชายหญิง ผู้มีความเจ้าเล่ห์เพทุบาย อาศัยความสามารถเจรจาพาที อันฉ้อฉล ปลิ้นปล้อน กลับกลอก หลอกลวงนี้ เอาตัวรอดและเที่ยวหลอกลวงผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไปเป็นพรรคพวก ไปเป็นกันชนหรือกำแพงมนุษย์นับไม่ถ้วนอย่างเป็นระบบ
    จึงเที่ยวหลอกเขากินด้วยสโลแกน “พุทธวจน” ที่แอบอ้างมาเพื่อแสวงหา ลาภ สักการะ ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเงินทองและเหล่าบริวารดังกล่าว
    เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายฯ จงระวังภัยนี้ในห้วงกึ่งพุทธกาลนี้เถิด อย่าได้หลงเชื่อ ยอมตนไปตกเป็นเครื่องมือของการทำลายพระพุทธศาสนาของสำนักนี้อีกต่อไป
    ขอให้ท่านทั้งหลายปลอดภัยจาก สัทธรรมปฎิรูปและอสัทธรรมทั้งหลายฯในชาติภพจบแดนนี้จนถึงพระนิพพานเถิด
    มธุวา มญฺญติ พาโล ยาว ปาปํ น มุจฺจติ
    คนโง่ย่อมจะเห็นบาปเป็นน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล
    อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ อะถะปาปานิกัมมานิ กะรังพาโลนะพุดชะยะติ
    เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก
    สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคติ สานิกัมมานินะยันติทุคะติ
    กรรมชั่วของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคคติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...