สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ปริยัติอันตรธาน ยังไงก็หายแน่นอน และต่อให้หายไป ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ด้วยปฎิสัมภิทาญาน ที่เหลือขึ้นอยู่กับว่า ท่านใด มีบุญบารมีทรงจำได้มากหรือน้อย นี่คือความแตกต่างของ ระดับการทรงจำ ปฎิสัมภิทาญานแตกต่างกันอย่างเดียวคือ การทรงจำ แจกแจง ได้มาก หรือ น้อย เพียงเท่านั้น รอผู้นั้นที่ยิ่งกว่าเรา สหายธรรมในที่นี้ก็มีสิทธิ์ ขอเพียงมีความนอบน้อมเคารพ รักพระไตรปิฏก ในอนาคตท่านย่อมได้ ปฎิสัมภิทาญาน อย่างไม่ต้องสงสัย เห็นแล้วก็จะรู้เอง ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นธรรม คือ ทรงเห็นอะไร? เพราะฉนั้นแม้เราเอง ก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้มากๆ เพื่อแบ่งเบาภาระกาลของ พระสัทธรรม ผู้เป็น พระธรรมราชา นั้น ไม่ใช่ไม่เรียนจะเอาแต่พึ่งท่าน นั้นไม่สมควรแก่ฐานะเลย สำหรับเรา คิดว่าตนเองเป็นเพียง ทาส ทาสี หรือ บุตรที่เจริญในธรรม ของพระธรรมราชาเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ไปรบกวน "พระธรรมราชา" เพียงอย่างเดียวในการ ศึกษาจาก พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ทิพย์ดั้งเดิม เป็นการไม่สมควรยิ่งสำหรับผู้ที่หวงแหนพระสัทธรรมยิ่งอย่างเรา ที่จะไปรบกวนเวลาของท่าน แม้จะสำเร็จด้วยบุญบารมีของเราก็ตาม บทธรรมเหล่านั้นจะปรากฎเองเมื่อถึงกาลเวลา ที่ทรงตรัสรู้เห็น นั่นแหละ ! พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม มีรูปแบบเดียวกันกับ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ ทรงตรัสรู้เห็นพร้อมกันซึ่งอันเดียวกับธรรมนั้น และทรงตรัสรู้ธรรมเสมอกัน ส่วนพระสงฆ์หรือผู้ได้ ปฎิสัมภิทาญาน ตามมา ยากที่จะเห็นตามและทรงจำได้ทั้งหมด นี่ล่ะจึงทรงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

    ธรรมทั้งมวลนั้นฯ เราท่านต้องเข้าใจว่า เราต้องอ่านให้ออก และพยายามเข้าใจความหมายให้ละเอียดที่สุด เพราะสภาวะธรรมนั้นละเอียดอ่อนมาก จนไม่สามารถจะอธิบายเป็นคำพูดได้ แค่เพียงพุทธภาษิตเดียวขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีใครสามารถอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งเลยในยุคสมัยนี อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ นี้ แม้เราได้วิมุตติแล้วในภาษิตนี้ ก็ยังจนปัญญา จะอธิบายให้เท่าที่เห็นที่รู้ได้ ฉนั้นอรรถาธิบายที่เป็นสัจฉิกัฐถปรมัตถ์ จึงจำเป็นมากในการเรียนรู้และศึกษา ไม่ควรถูกทำลายโดยสำนักวัดนาป่าพงนั้น

    คนที่ไม่เข้าใจธรรมะถ่องแท้ และคิดว่าตนเองเข้าใจ โดยปราศจากการศึกษาและปฏิบัติ อย่างถูกต้อง คนเช่นนั้นก็ไม่แตกต่าง ไปจากคนหลงทาง หลงตนเองไม่สามารถจะแยกขาว ต่างจากดำได้ ย่อมประกาศพุทธธรรมอย่างผิด ๆ เช่นนั้นย่อมชื่อว่า กล่าวตู่หรือดูหมิ่น พระพุทธเจ้า และชื่อว่า เป็นผู้ลบล้างพระธรรม เขาแสดงธรรมเสมือนว่าเขา กำลังทำฝนให้ตก แต่ที่จริงคนเช่นนั้น กำลังแสดงธรรมของมาร ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ครูของพวกเขาก็คือพญามาร และสาวกของเขาก็คือ บริวารของพญามาร คนที่หลงงมงาย ทำตามคำสอนเช่นนั้น ย่อมจมลงในทะเล แห่งการเวียนว่ายตายเกิดลึกลงไปเรื่อย ๆ

    ผู้ที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงแก้ไข พระไตรปิฏก อย่างชัดเจนคือผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้น สำหรับพระไตรปิฎกที่ตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อย่างที่เราเห็นกันทุกๆวันนี้ โดยลอกแบบออกมาจากพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท (ทิพย์) เป็นแบบตรวจทานแก้ไข ต่อให้ไม่ครบบุบสลายเพียงไร?ไปก็ตาม ใครจะเปลี่ยนอย่างไร? เขียนอย่างไร? สุดท้ายก็จะมีผู้มาทะนุบำรุงรักษา เหมือนเดิมจนกว่าจะสิ้นอายุพระศาสนานี่คือความพิเศษ วิเศษ ของพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา คือ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำลายได้ ถึงกาลเวลาอันสมควร พระธรรมอันบริสุทธิ์คุณนั้นก็จะปรากฎขึ้นมาดังเดิม และแน่นอน ท่านผู้นั้น ย่อมแสดง สถานะการมีอยู่ ของพระสัทธรรม ให้ผู้มีบุญได้เห็นเป็นขวัญตา ในที่นี้ยังหมายถึง การสาธุการของเหล่าเวไนยสัตว์ที่จะปรากฎตนขึ้นด้วย เพราะอานุภาพใหญ่
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    และก็พิจารณาให้ดีด้วยนะว่า บุคคลใดก็ตามในโลกไม่ว่าจะเกิดในทวีปไหนดินแดนใด หรือในโลกธาตุใด จะเป็น มนุษย์ เทพ ยักษ์ มาร สัตว์นรก หรืออมนุษย์ ฯลฯก็ตาม

    จะเป็นคนนอกศาสนาหรือในศาสนาก็ตาม หากบุคคลเหล่านี้ได้มีโอกาสได้รู้จักพระพุทธศาสนา ได้รู้จักว่ามีศาสนานี้ มีพระศาสดานี้ นั่นก็เพราะเขาเหล่านั้นมีบุญ มีกุศล ที่ได้พบได้รู้จักกับพระพุทธศาสนา และแม้ความเขาจะทำชั่วคิดร้ายปองร้ายต่อพระพุทธศาสนาก็ตาม นั่นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่เขาในสัมปรายภพอันเป็นภายภาคหน้า ซึ่งเขาจะได้พบกับสัจธรรมความเป็นจริงในชาติใดชาติหนึ่งต่อไป ด้วยสติปัญญาของเขาเอง


    แต่ผู้ที่เกิดในดินแดนห่างไกลหรือใกล้ก็ตามแต่ไม่พบกับพระพุทธศาสนาเลยต่างหากที่น่าเห็นใจและเวทนาสงสารเขา


    ฉนั้นผู้ที่ได้เกิดมาแล้วสามารถ ดำรงตนตามอย่างพุทธโอวาทในกาลดังที่

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า "ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

    บุคคลผู้นั้นก็ย่อมเป็นบุคคลที่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ ๓ อย่างและจะไม่ดำรงชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์ และจะดำรงอย่างรู้คุณค่า

    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ถ้าสมมติว่า มหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้
    มีน้ำท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่ง ทิ้งแอก
    (ไม้ไผ่ ?) ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียว ลงไปในน้ำนั้น; ลม
    ตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตก
    พัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไป
    ทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ, อยู่ดังนี้
    ในน้ำนั้น มีเต่าตัวหนึ่ง ตาบอด ล่วงไปร้อย ๆ ปี มันจะผุด
    ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ
    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้
    ว่าอย่างไร : จะเป็นไปได้ไหม ที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้น
    สักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียว
    ในแอกนั้น ?

    “ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น ร้อยปี
    ผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะพึงยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น”

    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน
    ที่ใคร ๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้
    ฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้น
    ในโลก; ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัย
    อันตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองไปทั่วโลก
    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! แต่ว่า บัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว;
    ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว;
    และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว
    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้
    พวกเธอพึงกระทำโยคกรรม เพื่อให้รู้ว่า
    “นี้ ทุกข์;
    นี้ เหตุให้เกิดทุกข์;
    นี้ ความดับแห่งทุกข์;
    นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์” ดังนี้ เถิด.

    มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.

    สิ่งที่ควรรู้ ๓ อย่าง"
    รู้อายุพระศาสนา รู้แก่นพระศาสนา รู้ความหมายของการประกาศธรรมของพระศาสนา


    เมื่อผู้ใดก็ตามเมื่อได้ระลึกรู้ตามนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนและประมาทในการประพฤติธรรมอีกต่อไป

    ผู้นั้นแล เป็นผู้สมควรเจริญ เป็นผู้เคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2016
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมื่อปลดเปลื้องพันธนาการให้แก่ผู้อื่น สามัญผลที่ได้ก็ส่งผลแก่ตนเอง ด้วยเหตุนั้นก็ย่อมหลุดพ้น เมื่อความจริงปรากฎความเท็จก็มลายไป จึงเข้าสู่

    "เส้นทางแห่งพุทธภูมิ"

    เหตุที่ให้ขาดออกจาก

    "พระนิพพานเข้าๆออกได้ โปรดดวงวิญญานสัตว์"

    ไม่มีอยู่จริงในคำสั่งสอนในทางพระพุทธศาสนา

    ถ้ามีอยู่จริง นั่นก็ย่อมเท่ากับว่า ปริยัติทั้งมวลที่ปรากฎถึง ๒ เรื่องนี้เป็นเท็จฯ เรื่องรูปนามเป็นเท็จ และแน่นอนที่สุดเมื่อพลาดเรื่องรูปนาม อย่าคาดหวังว่าจะพิจารณาธรรมทั้งมวล ได้อย่างสมบูรณ์

    เมื่อสภาวะธรรมเข้าสู่ยังสัจธรรมความเป็นจริง ก็สามารถพ้นความปรารถนาอันเป็นที่มาอันเป็นเบื้องต้นที่ยึดติดไปได้ " อนึ่ง สัจฉิกัฐปรมัติธรรมด้วยความซาบซึ้งในความกตัญญูรู้คุณนั้นมีอยู่ ถือเป็นมหาปณิธานหรือความหวังอันเลิศในการตอบแทนคุณมารดา เป็นที่น่าชื่นชม เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิด คุณความหวังและมหาปณิธานในส่วนของตนเอง หากจะถามว่าผิดไหมในทิฏฐิของการมีอยู่ เขาก็ทิฏฐิมาในความรู้ความเข้าใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทิฏฐิในพระพุทธศาสนาที่จะวางลำดับไว้เช่นนั้นโดยเฉพาะการเรียกดวงวิญญานมาโปรด มาให้รับรู้โดยอายตนะทั้งมวลที่มี ข้อนี้ก็ถือเป็นการปลดพันธนาการ นับตั้งแต่มีมหาปณิธานด้วยตนเองด้วยความปรารถนาที่ต้องการจะแบกรับความเจ็บปวดของเหล่าสรรพสัตว์ คือปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่เผชิญกับทุกข์ทนลำบากที่สุด ไม่ว่าจะต้องไปอยู่ในภพภูมิใด ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อให้กำลังใจแก่เหล่าสรรพสัตว์ ที่ต้องเผชิญความทุกข์ทนอื่นๆนั้นอยู่ ว่ายังสามารถระลึกได้ว่ายังมีเรา และเราตั้งใจและปรารถนาโดยอาศัยเหตุและปัจจัยเป็นตัวผลักดันส่งเสริม มหาปณิธานหรือความตั้งใจของเรา จึงแตกต่างในความมีและความเป็น ไม่ส่งผลเป็นอจิณไตย สามารถที่จะกระทำได้และเป็นผลที่สามารถเป็นผู้ที่ถือทิฏฐิโดยสมบูรณ์ โดยสถานะและถ้าเป็นอย่างนั้น สถานะนี้ก็ย่อมเข้าสู่พุทธภูมิได้อย่างเดียว คือ มีแต่มหาปุริลักษณะอันเป็นพรหมกายหรือธรรมกายที่สามารถรองรับอายตนะ ทุกข์และสุข ได้มากที่สุด


    "อันความทุกข์ทนทั้งหลายที่เรียงรายและเผชิญอยู่ ยังไม่เทียบเท่ากับการที่มีผู้ประเสริฐได้รับรู้ความทุกข์และเกิดความห่วงใยเมตตากรุณาปราณีโดยปรารถนาให้พ้นจากความทุกข์นั้น เมื่อเห็นผู้มีทุกข์ กิริยา ๓ อันเป็นกาย วาจาและใจ ของผู้ประเสริฐก็ย่อมทุกข์ไปด้วย จึงปรารถนาแสวงหาหนทางที่จะฉุดช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากภัยในวัฎสงสารอันเป็นที่เวียนว่ายตายเกิด"


    และการที่จะขนสัตว์ไปให้มากให้หมด นั้นมิใช่ฐานะที่จะกระทำได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่า สัตว์นั้นเขาต้องการจะเดินทางไปด้วยหรือไม่ และวิสัยของผู้ต้องวิมุตติก็ย่อมเป็นวิสัยของผู้ที่อยู่เพียงลำพังเท่านั้น ไม่ใช่ระคนด้วยบุคคลอื่น

    เรารำลึกถึงเรื่องราวคุณงามความดีและปณิธานความกตัญญูของท่านทั้งหลายฯ

    แต่หนทางของท่าน ไม่ใช่หนทางการปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

    และนิกายดั้งเดิมนั้นก็มีเพียงหนึ่งเดียว

    "จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"


    องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" อันเป็นนามที่แท้จริงของพระศาสนา เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2016
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
    สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.(อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
    (เป็นความเข้าใจในลักษณะของเจตภูตที่สามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปแสวงหาที่เกิด หรืออัตตา(อาตมัน) หรือปฏิสนธิวิญญาณ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า(หมายถึงท่านไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้เลย)
    ดูกรโมฆบุรุษ (ที่เราตถาคตกล่าวแสดงไว้มีดังนี้ คือ)วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
    เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
    ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
    จะประสพบาปมิใช่บุญ มากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
    ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ (แต่เป็นไป)เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.



    ไม่มีช่องว่างสำหรับดวงวิญญานในสหโลกธาตุ เพราะการเกิดดับนั้นรวดเร็วมาก จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ในขณะที่ถูกสภาวะดึงดูดด้วยสูญญตะมหาภพ มหา ชาติ ชรา มรณะ เมื่อกำเนิดโอปาติกะ เกิดในกอบัวบ้าง โคนต้นไม้บ้าง จุติคันธัพพะในรังไข่อันปฎิสนธิขันธ์๕ บ้างฯลฯ

    พวกที่มาหาไม่เป็นญาติก็มาร๕ที่เป็นศัตรูแปลงมาซ้ำเวลาจิตใจอ่อนแอ หรือ เจ้าตัวที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นโอปาติกะ คันธัพพะแปลงมา พวกทำหนังผีขายและพวกชอบชักชวนกันไปดูหนังผีวิญญานเฮี้ยน พวกนี้จะพาคนและพาตน ไปพบกับความทุกข์ชั่วกาลนาน


    เป็นอย่างนี้ก็ขอลา

    พระพุทธากษิติครรภ์เมตตานำพาวิญญาณควายผูกบุญสัมพันธ์



    ระหว่างการบรรยายธรรมบท ไร้หนี้เวรกรรม กายเบาสบาย พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เมตตา นำพาดวงวิญญาณมาผูกบุญสัมพันธ์ วิญญาณ กรีดร้องโหยหวน

    ประชุมชั้นวิริยะญาณ

    ณ พุทธสถานนาดูนส่วนรวม อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2552

    (ระหว่างการบรรยายธรรมบท ไร้หนี้เวรกรรม กายเบาสบาย พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เมตตา นำพาดวงวิญญาณมาผูกบุญสัมพันธ์ วิญญาณ กรีดร้องโหยหวน)

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์: ก่อนอื่นขอให้สำรวมกาย ใจ ขอให้เหล่าวิญญูชนทุกๆท่าน ณ ที่นี้ อยู่ในความสงบ สงบจิตสงบกาย

    ความสงบของเรา จะลดความทุกข์ทรมานของวิญญาณ วิญญาณจะมีความทุกข์ทรมานมาก หากเรานั้นมีความวุ่นวาย มีจิตที่แตกซ่าน เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ฟ้าเบื้องบนได้โปรดเมตตานำพาดวงวิญญาณมาประจักษ์ ทุกคนนั้นล้วนมีส่วนร่วม

    วิญญาณ: ปล่อยๆๆๆ ฮือๆๆๆ ข้าเจ็บ มันโดนแผล ปล่อยข้าๆๆ ฮือๆๆๆ....

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    ขอให้เรามีจิตสำนึกพิจารณาในการย้อนมอง อย่าเพียงใช้ตาเนื้อที่มองเห็นด้วยกายสังขาร การทุกข์ทรมานที่เราเห็นนั้น หากเราใช้ตาเนื้อพิจารณาก็จะมิสามารถสัมผัสได้ในสิ่งที่เรามองไม่เห็น

    อาศัยเพียงพลังจิตศรัทธาและการสำนึกด้วยใจจริง ก็จะสามารถรับรู้ ถึงความเจ็บปวดและทรมาน

    (วิญญาณร้องด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เชิญน้ำมนต์ให้วิญญาณดื่ม เพื่อคลี่คลายความเจ็บปวดทุกข์ทรมานลง และวิญญาณได้ใช้ลิ้นในการดื่มน้ำ )

    วิญญาณ: ปล่อยๆๆ เจ็บ ปล่อยๆ อย่าจับข้า ปล่อยๆ ฮือๆๆๆ (ร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานและดิ้นมาก)

    อาจารย์ถ่ายทอดธรรม:

    ขอให้ท่านทำจิตใจให้สงบ และค่อยๆเล่าเรื่องราวของท่าน พวกเราจะได้ค่อยๆไกล่เกลี่ยหนี้กรรม ในขณะนี้พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ก็เป็นประธาน ณ ที่นี้

    วิญญาณ: ไม่เชื่อๆๆๆ

    พิธีกร: อาจารย์ผู้นำสายเมตตา ให้ท่านได้เล่าว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน เรื่องราวเป็นยังไง ค่อยๆเล่าเหตุการณ์

    วิญญาณ: อยู่ที่นี่แหละ ข้าอยู่ที่นี้กับพวกเจ้าตลอด พวกเจ้าได้ไปเกิด แต่ข้ายังอยู่ที่นี่ ข้าต้องอยู่ที่นี่ เกลียดมนุษย์ๆๆ.... ฮือๆๆๆๆ เราเป็น “ควาย”

    ที่พวกเจ้าเลี้ยงอยู่ทุกวัน แต่ทำไมๆๆๆ.... เรารักพวกเจ้า รักมาก พวกเจ้าเป็นนายเรา แต่ทำไม... เราทำงานให้ทุกอย่าง ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ทำงานให้จนอายุ 65 ปี ทำไม......เราก็บำเพ็ญของเรา เรากำลังจะได้ไปเกิด เราก็อยากเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่เราทำงานไม่ไหวแล้ว ทำไมต้องเอาเราไปฆ่าด้วยล่ะ ฮือๆๆๆ

    เราเป็นควายก็มีความกตัญญู เลี้ยงทุกคนในบ้านจนโต มีการงานทำที่ดี แต่ทำไมจึงต้องฆ่ากันอย่างเลือดเย็น ทำไมๆๆๆ ตอบหน่อยได้มั้ยว่าทำไม

    เจ็บ อย่าจับ......ไม่มีความสำนึกกันเลยใช่มั้ย เราจะเอาชีวิตพวกเจ้าให้หมด ฮือๆๆๆ

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์: เหล่าวิญญาณสรรพสัตว์ แม้จะบำเพ็ญดีมากแค่ไหน ก็มิสามารถที่จะรับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์ได้ ต้องบำเพ็ญให้ดีสมบูรณ์พร้อมแล้วกลับร่างไปเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อได้ร่างเป็นมนุษย์ บำเพ็ญจนสมบูรณ์ แล้วยังต้องมีบุญวาระมีบุญสัมพันธ์ของผู้แนะนำรับรอง เกิดมาให้ทันกาลยุคสาม จึงจะสามารถได้รับหนึ่งจุดชี้ เหล่ามนุษย์นั้นหากยังไม่มีจิตสำนึกที่ดี บ้างก็เกิดความคิดในใจ ณ ขณะนี้... จิตศรัทธาและความสงบจะคลี่คลายความเจ็บปวดทรมานของวิญญาณลงได้

    วิญญาณ: อย่าจับข้า ปล่อย ข้าเจ็บหัว ทำไมต้องฆ่าข้าอย่างเลือดเย็น ใช้ไม้ค้อนทุบฆ่าอย่างเลือดเย็น ใช้ไม้ค้อนอันใหญ่ทุบหัวเรา เวลาที่ข้าไม่ตายก็ใช้ค้อนอันใหญ่ทุบจนเราสลบล้มตัวไป

    อาจารย์ถ่ายทอดธรรม: พวกเรายอมรับมั้ยในสิ่งที่เราเคยทำกับเขา (รับ) ยอมรับจริงมั้ย (จริง)

    วิญญาณ:

    เราไม่เชื่อ ถ้าเจ้ามีจิตสำนึก ทำไมต้องเอามีดปลายแหลมกรีดท้องเรา ทำไมต้องกรีดท้องเรา เจ้านึกว่าเราตายแล้ว แต่ที่จริงเรายังไม่ตาย แล้วเจ้าก็ควักหัวใจของเราออกมา ควักหัวใจเราออกมาทำไม เจ้าได้เอาน้ำร้อนราดตัวเรา เพื่อล้างอวัยวะ ล้างตัวเราให้สะอาด ทำไมต้องทำแบบนั้น ฮือๆๆ เจ้าไม่สะใจ ยังถลกหนังเราออก เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ทำไมต้องให้เราเล่าด้วย เลี้ยงเราตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมต้องทำกับเราแบบนี้ เราอยู่กี่ชั่วรุ่นของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้ พวกเจ้าต้องการจะกินเนื้อกันใช่มั้ย ต้องการกินชีวิตกันใช่มั้ย เจ้ายังเอาเราไปขึงไว้
    แล้วก็เผาไฟ เรายังจำภาพนั้นได้ติดตา เรายังมีความรู้สึกอยู่ ฮือๆๆๆ
    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    จิตศรัทธาและความสงบ จะคลี่คลายช่วยให้วิญญาณสงบลงได้

    4 ขาของร่างโดนตรึงด้วยเชือก พร้อมวิธีการฆ่าสารพัด เพื่อสังเวยบำเรอตามความอยากของตนเอง ความโกรธ ความอาฆาต ความเคียดแค้น จึงมีอยู่เป็นธรรมดา นี่หรือคือจิตมนุษย์ นี่หรือคือความยุติธรรมที่ได้รับวิถีธรรม

    วิญญาณ:

    ร้อนๆๆ เจ้ากินครอบครัวเดียวไม่พอ ยังแจกกันทั้งหมู่บ้าน นี่หรือจิตเมตตาของมนุษย์ที่ใจบุญ พวกเจ้าแจกทั้งหมู่บ้าน เราชีวิตเดียว ทำไมๆๆ พวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละ พวกเจ้าทั้งหมด เราจะมาเอาชีวิตเจ้าคืน ฮือๆๆ เจ้าอยู่ในหมู่บ้าน พวกเจ้ารักกัน แต่เจ้าไม่รักเรา ไม่รักเพื่อนๆของเรา เจ้าไม่รัก เจ้ารักแต่ตัวเอง ไม่เคยรักเราเลย จิตใจของพวกเจ้าทำด้วยอะไร เอาชีวิตพวกเจ้ามาเลย เอามาเลย พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เมตตา เอาชีวิตพวกมันมาเลยๆ

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์: ทุกคน ณ ที่นี้ มิสามารถให้ชีวิตแก่เจ้าได้ มีเพียงบุญกุศลเท่านั้น ที่จะส่งผลให้แก่เจ้าได้

    วิญญาณ:

    ทำไมพวกมันได้รับธรรมะ ทำไมพวกมันได้เป็นศิษย์ของจี้กง ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องปกป้องพวกมัน ทำไมๆๆ โพธิสัตว์กษิติครรภ์เมตตา เอาชีวิตพวกมันมาเลย ทำไมพวกเขาจึงได้รับวิถีธรรมอันล้ำค่า ทำไมๆๆ ฮือๆๆๆ

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    เพราะบุญวาระวาสนา และคลายจากความเคียดแค้น แต่เมื่อบุญวาระมาถึง กลับไร้ซึ่งจิตสำนึก

    อาจารย์ถ่ายทอดธรรม:

    เพื่อเป็นการแสดงจิตสำนึกที่เราจะสามารถชดใช้ให้แก่เหล่าวิญญาณควาย ที่เคยได้กระทำมาในอดีต พวกเราจะทำยังไง (สร้างบุญ เผาใบฎีกา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล) เพราะว่าพวกเราทุกคนต่างเคยกินเนื้อกันทั้งนั้น ดีมั้ย (ดี)

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    ตอนนี้จำต้องอยู่ในความสงบ สงบจิต สงบกาย

    วิญญาณ:

    พระโพธิสัตว์เมตตา......สัญญากับเราได้มั้ยว่าพวกเขาจะสร้างบุญ พวกเขาจะทำ กลับไปพวกเขาก็กินเหมือนเดิม เราไม่เชื่อหรอก พวกเขาไม่มีความสำนึก เราเจ็บแค่ไหน เราทุกข์แค่ไหนพวกเจ้าไม่รู้ เราต้องทรมานมากแค่ไหนที่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์

    อาจารย์ถ่ายทอดธรรม:

    พวกเราสัญญาได้มั้ยว่าเราจะไม่กินเนื้อวัวเนื้อควายอีก (สัญญา....ญาติธรรมบางท่านรับปาก)

    วิญญาณ:

    ไม่ใช่เราคนเดียว แต่เพื่อนเรามีอีกมากมาย

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    เพื่อจะได้รับแสงแห่งธรรม รับรัศมีแห่งธรรม รัศมีแห่งธรรมจะบังเกิดได้ ก็อยู่ที่เรานั้น

    เพียงจิตสำนึกและความศรัทธา จะบังเกิดเป็นรัศมีไอธาตุที่กว้างไกล

    เหล่าวิญญาณเหล่านั้นก็จะคลายจากความทุกข์ ความทรมานได้

    วิญญาณ:

    เราต้องขอบคุณพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ที่ได้เมตตา นำพาวิญญาณของเรามาผูกบุญสัมพันธ์ เรารอเวลานี้มานานแล้ว รอเวลานี้มานานแสนนาน ทุกๆวันท่านก็เมตตาเราอยู่แล้ว พูดสัจธรรมให้ฟังอยู่ทุกๆวัน แต่เราอาฆาตพวกเจ้าเราวางมันไม่ลงจริงๆ ฮือๆๆๆๆๆ ถ้าพวกเจ้าเจอใคร ช่วยบอกต่อว่าให้ หยุดได้แล้ว หยุดได้แล้ว ได้มั้ย.... พวกเราทรมานมากแค่ไหน ต้องถูกทรมานทุกๆวัน มันทรมานมากรู้มั้ย ฮือๆๆๆๆ เราต้องขอบคุณร่างสามคุณ อาจารย์ถ่ายทอดธรรมที่เมตตาให้เราได้มีโอกาส ถ้าพวกท่านไม่จัดชั้นนี้ขึ้นมา เราคงไม่มีโอกาสอีกต่อไป คงไม่มีโอกาสอีกเลย
    อ.ผู้นำสาย:

    อีกสักครู่ ให้พวกเราร่วมใจกันอุทิศบุญกุศลให้กับเขา เนื่องจากที่ผ่านมา เป็นเพราะอวิชชา เราไม่รู้ถึงกฎแห่งกรรม ทั้งกินเขา ใช้เขา แล้วก็ฆ่าเขา ไม่ใช่เฉพาะควายที่มาปรากฏ แต่ยังมีควายอีกมากมายที่มีชะตากรรมแบบนี้ แต่ตัวนี้มาเป็นตัวแทนให้เราเห็น น่าสงสาร เวลาเรากินเนื้อเขา เราหอมเหลือเกิน ทำไมเราไม่ลองกัดเนื้อเราเองกินดูบ้าง

    วิญญาณ:

    เราไม่รบกวนเวลา เราขอบคุณร่างสามคุณ ที่ให้เรามาผูกบุญสัมพันธ์ ขอบคุณๆทุกท่าน ฮือๆๆๆ

    อ.ผู้นำสาย:

    ขอให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่พ้นจากเดรัจฉาน ต่อไปได้เกิดเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้รับวิถีธรรม พวกเราต้องขอบคุณท่านที่ได้มาสำแดงให้เราได้เห็น

    วิญญาณ:

    เราอยากให้พวกท่านตั้งใจบำเพ็ญ เราไม่มีโอกาส กว่าเราจะมีโอกาสคงหมดยุคไปแล้ว ขอบคุณทุกๆท่าน ขอบคุณท่านพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ขอบคุณ ฮือๆๆๆๆๆ

    พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์:

    เชิญน้ำมนต์ (บุคลากรเชิญน้ำมนต์มาให้วิญญาณดื่ม โดยวิญญาณได้ใช้ลิ้น) สิ่งที่เราได้เห็นเมื่อสักครู่นี้ มิใช่เป็นการแสดงละครแต่อย่างใด แต่สิ่งๆนี้ได้ประจักษ์มาหลายวันแล้ว และปรากฏก่อนที่จะได้มาประจักษ์
    2-3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นวิญญาณนี้ได้ติดตามมาโดยตลอด แต่ยังไม่ถึงวาระ โอกาส และสถานที่ เมื่อถึงวาระ โอกาส สถานที่ และบุคคลที่ใช่แล้ว เมื่อนั้นก็ถึงการปรากฏทันที เหล่าวิญญูชนที่นี่คือ ส่วนหนึ่งที่ได้กินเนื้อลงไป คือส่วนหนึ่งที่ทำลงไป คือส่วนหนึ่งที่ต้องชดใช้ คือส่วนหนึ่งที่ต้องสำนึกด้วยใจจริง ปัญหาและเรื่องราวที่ได้เกิดมาก่อนหน้านี้ในแต่ละครอบครัว นั่นแหละคือสิ่งที่วิญญาณอาฆาตได้ติดตาม คือสิ่งที่วิญญาณอาฆาตนั้นมิยอมให้เราได้มารับวิถีธรรม ได้มาฟังธรรมเทศน์มหาชาติ 3 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จี้กงอาจารย์ของพวกเจ้าได้ไปกราบวอนขอ ได้ไปต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร เพื่อที่จะให้พวกเรานั้น ได้มารับรู้ถึงผลกรรม และผลของการกระทำในอดีตชาติ หากเรามิสำนึกด้วยใจจริง เราก็ต้องยอมรับกับบาปกรรม กฎแห่งกรรมและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา มิว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เหล่าวิญญาณไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆทั้งสิ้น ต้องการเพียงจิตศรัทธาและบุญกุศลเท่านั้น สรรพสัตว์มากมายที่เราได้ทำร้าย สิ่งที่เราได้เห็นมันเจ็บปวดทรมาน แต่ความจริงแล้วความเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้หลายร้อยเท่า และสิ่งที่จะไปรับการตอบสนองนั้นทุกข์ทรมานมากกว่านี้หลายร้อยเท่า แต่ด้วยตาเนื้อที่มีกิเลสทั้ง 2 ข้าง เป็นตาเนื้อที่มีภาพมายาปิดบังอยู่ มิสามารถที่จะสัมผัสและมองเห็นสิ่งที่ลี้ลับได้ มิสามารถที่จะล่วงรู้ถึงสภาพของจิตใจ สภาพของเหล่าวิญญาณที่เราได้ทำร้ายไป เพราะความโลภ เพราะจิตที่มืดบอด จึงส่งผลให้ใบหน้าของเราต้องมืดมน มีเพียงบุญกุศลและศรัทธาจริงเท่านั้น การบำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย ที่เหล่ามนุษย์จำต้องทำในวันนี้

    ขอให้เราสำนึกด้วยใจจริง ปฏิบัติด้วยใจจริง พร้อมกับกราบพระให้กับเหล่าวิญญาณ ให้เราหวนย้อนคิดดูว่า ชีวิตสรรพสัตว์ร้อยๆชีวิตนั้นจะทดแทนด้วยบุญกุศลเท่าไหร่ จะกราบพระเพื่อจะคลี่คลายให้กับเหล่าวิญญาณเท่าไหร่ ใช้จิตสำนึกและความจริงใจ

    -----------------------------------------------------

    เสียงจากใจของญาติธรรมผู้รู้ตื่น:

    พวกเรามนุษย์ผู้ประเสริฐทุกๆคนเอ๋ย พวกเรามาร่วมกันงดการฆ่าและเสพเลือดเนื้อสัตว์ผู้ร่วมโลกตลอดไปเถิด เพราะยุคนี้ คือ ยุคของการโปรดเวไนยสัตว์ทั้งสามโลก สัตว์เดรัจฉานจึงสมควรได้รับความยุติธรรมเสียที คิดจะโปรดสัตว์ ต้องงดการฆ่าและกินเนื้อสัตว์ทั้งหมด พวกเรากินพวกเขามากี่ชาติแล้วหรือ คิดจะไปเกิดในสวรรค์เอย นิพพานเอย เพื่อหนีอบายภูมิ แต่ยังไม่ได้ชดใช้กรรมเก่าที่ได้เคยฆ่าและกินเลือดเนื้อมากี่ชีวิตแล้วหรือ ขอให้พวกเราเกิดจิตสำนึกเสียที จงตื่นด้วยปัญญา

    หลายคนบนโลกกราบไหว้นับถือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์แต่หาได้ดำเนินการบำเพ็ญธรรม เจริญรอยตามธรรมอย่างพระพุทธองค์ไม่ กลับเอาแต่สวดมนต์ด้วยปาก แต่การปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์จริงๆนั้นหาไม่ มีแต่บำเพ็ญเพื่อเอาตนเองหลุดพ้น มีแต่รักตัวเอง โปรดแต่ตัวเองจนมืดบอด เกี่ยวกรรมไม่รู้ตัว บ้างก็เอาพระนามพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ หรือ คัมภีร์มาอ้างเพื่อความสุขของปากท้องตนเอง ว่า "พระองค์ทรงฉันเนื้อสัตว์" ความคิดมิจฉาทิฐิทั้งหมดนี้ก็มาจากจิตที่โลภ โกรธ หลงผิดทั้งสิ้น เอาความดีเข้าตนเอง จิตใจที่เห็นแก่ตัว ด้วยเหตุนี้เอง สัตว์หลายล้านมากมายก็ต้องตายทุกวันตลอดไป โรงฆ่าสัตว์และธุรกิจที่เกี่ยวกรรมก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำไม่สงสัยกันบ้างหรือว่า ทำไมคนมากมายเข้าใจธรรมะ มีความรู้ทางธรรมสูงส่งแต่ทำไมจิตใจของมนุษย์กลับตกต่ำลงอย่างน่าตกใจ นี้แสดงว่า พวกเรามนุษย์ได้แต่รับรู้แต่ไม่รับไปปฏิบัติบำเพ็ญจริงจัง ภัยพิบัติจะคงเกิดขึ้นเพื่อกวาดล้างโลกเราต่อไปแน่นอน

    จงจำไว้ หากปากยังเคี้ยวเนื้ออยู่ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่รู้จบสิ้น วิญญาณสัตว์ไหนเลยจะอภัย หรือ อโหสิกรรมให้ หากเบื้องบนมิได้เมตตาขนาดนี้

    หากเรานับถือบูชาพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็มิควรเสพเนื้อสัตว์อีกต่อไป เราบูชาพระองค์เพื่ออะไร เพื่อขอลาภยศ หรือ เพื่อขอให้พระองค์ปกป้องคุ้มครอง พวกเราได้แต่ขออย่างเดียวก็เพื่อความสุขปลอมๆของตนเองทั้งสิ้น รักตัวกลัวตายไม่ต่างจากสัตว์เลย ยังจะหลงผิดทานเนื้อสัตว์อยู่อีกหรือ ทั้งๆที่ ไม่เคยมีพระอริยเจ้าพระองค์ใดเสพเนื้อสัตว์สักพระองค์เดียว เพราะพระพุทธะ พระโพธิสัตว์จิตใจบริสุทธิ์ขาวสะอาด เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อมวลเวไนยทั้งสามโลก มีหรือที่พระองค์จะเสพเนื้อสัตว์ การกราบไหว้บูชาพระที่แท้จริงก็ คือ เจริญรอยตาม ปฏิบัติบำเพ็ญตามแบบอย่างพระองค์นั่นเอง แม้ว่าเราอาจบำเพ็ญไม่ถึงพระองค์ อย่างน้อยพวกเราก็โชคดีที่มีจิตสำนึกที่จะสร้างคุณธรรมละเว้นชั่วให้เบาบางลงบ้าง การรักษาศีลเจ คือ ด่านแรกของผู้บำเพ็ญ

    เรามาช่วยพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์เจริญมหาปณิธานเถิด หากยังฆ่าและกินเนื้อสัตว์อยู่ เมื่อไหร่หรือที่พระองค์จะโปรดเวไนยได้หมดสิ้นเสียที เมื่อไหร่หนอที่นรกจะว่าง เมื่อไหร่หรือที่โลกนี้จะกลายเป็นโลกแห่งดอกบัวบาน และเมื่อไหร่ที่สรรพสัตว์จะได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงกรรม พวกเราฆ่ากินเขา ชาติหน้า พวกเขาก็กินเรา หรือไม่ก็ผลัดกันเกิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกันต่อไปไม่จบสิ้น

    ขอบพระคุณเบื้องบนมากเหลือเกินที่เมตตาทำให้พวกเราเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาบ้าง คือ มโนธรรมสำนึก และเมตตาธรรม ทำให้จิตแห่งเมตตาสว่างไสว เข้าใจสัจธรรมแห่งการรักษาศีลเจและกฏแห่งกรรม สาธุ

    พิธีกงเต็กมีรากฐานมาจาก 3 ความเชื่อ อันประกอบไปด้วย 2 ศาสนา และ 1 ลัทธิ นั่นคือ ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า และลัทธิขงจื๊อ ศาสนาพุทธ (มหายานนิกายสุขาวดี) คือ บทสวดพระธรรมต่างๆ เป็นคำสอนที่ไม่มีพิธีกรรม ศาสนาเต๋า คือ ความสมดุลและพิธีกรรมเพื่อสื่อความหมาย ลัทธิขงจื๊อ คือ ของไหว้ และการปฏิบัติตัวของลูกหลานเพื่อแสดงถึงความกตัญญู กงเต็กมีพิธีกรรมที่ละเอียดอ่อนมาก ซ่อนความหมายไปแทบทุกอณู อีกทั้งรายละเอียดก็แตกต่างกันไปตามประเพณีของแต่ละมณฑล ที่เรามาศึกษากันวันนี้เป็นพิธีของชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งประกอบพิธีโดยคณะบุคลากรของพุทธแสงธรรมสมาคม โดยเราจะขอลำดับพิธีกรรมหลักๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายโดยรวมดังนี้

    1. สวดอัญเชิญพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มาเป็นองค์ประธาน ณ พุทธสภา ที่แทนด้วยฉากผ้าปักสีแดง
    2. ส่งสารไปยมโลกด้วยม้าและนก (กระดาษ) เพื่อแจ้งข่าวการเสียชีวิตไปยังสวรรค์และปรโลก เป็นการบอกกล่าวขอเปิดทางให้ดวงวิญญาณได้เดินทางโดยสะดวก
    3. เชิญวิญญาณมาสถิตที่โคมไฟวิญญาณ (ถ่งฮ้วง - เชิญวิญญาณ) ซึ่งแขวนเสื้อของผู้เสียชีวิตไว้ แล้วเชิญให้อาบน้ำชำระดวงจิตที่ห้องน้ำ (หมกหยกเต๊ง – ศาลาแห่งความสะอาดบริสุทธิ์) เพื่อให้ดวงวิญญาณพร้อมสำหรับการฟังธรรม และรับของที่ลูกหลานเตรียมไว้ให้ ณ ปะรำพิธีซึ่งเป็นฉากผ้าปักสีน้ำเงิน
    4. แจ้งบรรพบุรุษให้รับรู้ว่าลูกหลานท่านเสียแล้ว ด้วยการจัดข้าวปลาอาหารเตรียมรอรับ ให้บรรพบุรุษมาเป็นพี่เลี้ยงในการเดินทาง ขั้นตอนนี้เป็นสัญลักษณ์สอนให้ลูกหลานรู้คุณต่อบรรพบุรุษ และทำตามสืบทอดกันต่อไป
    5. สวดอภิธรรมและสวดขอพรให้ดวงวิญญาณ
    6. พิธีวิ่งธง เป็นการรำลึกถึงต้นกำเนิดของพิธีกงเต็กอันมีมาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ซ่ง โดยจะวิ่งเป็นรูปยันต์ซึ่งพระอรหันต์จี้กงเขียนขึ้นเพื่อเรียกวิญญาณของพระนางฮีสีในยุคนั้น
    7. การเดินสะพาน เป็นสัญลักษณ์แทนการเดินทางไปสู่อีกภพหนึ่ง เพื่อไปขอเตี๊ยบ (หนังสือเดินทาง) จากพระพุทธองค์
    8. สวดส่งเทพ ส่งวิญญาณ และถวายเครื่องกระดาษ (ซึ่งจะเผาในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับพิธีฌาปนกิจหรือพิธีฝัง ตามแต่ประเพณีของครอบครัวนั้น) ถึงตรงนี้ก็เป็นอันจบพิธีกงเต็ก

    TCDC (Thailand Creative & Design Center) - ศูนย์ความรู้ด้านการออกแบบ และความคิดสร้างสรรค์

    http://www.watnongmuang.com/board/index.php?showtopic=1074
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ตัดขาด

    เมื่อแสดงธรรมเพื่อสนองตัณหาอื่นควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่เพื่อดับตัณหา นั่นไม่ใช่วิสัยแห่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนานี้

    เมื่อแบ่งสายแบ่งนิกายแตกแยกออกไป ผนวกทั้งรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็นอื่น เป็นสัจธรรมอันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เส้นทางคู่ขนาดย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะเส้นทางสายนี้เมื่อเข้าสู่หนทางแล้วย่อมเป็นไป ด้วยความแน่วแน่ไม่มีทางวกกลับไปยังเส้นทางเดิมได้

    ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ไม่รู้ก็เดินเกาะเกี่ยว บ้างก็ควงแขนและไปต่ออย่างล้มลุกคลุกคลาน ผู้ที่รู้ก็หาหนทางถอยห่าง ผู้ที่รู้จริงๆด้วยบุญกุศลสั่งสมมาดี ก็แนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นไปจากเส้นทาง อันวกวนอันเป็นทางแห่งเขาวงกตอันมารรู้เห็นและจับต้องได้

    มรรค ๘ อันเป็นทางสายกลางของผู้ไร้ มหาปุริลักษณะ จึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายอย่างแท้จริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • FridayHello.jpg
      FridayHello.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.9 KB
      เปิดดู:
      119
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ปฎิสัมภิทาญาน คืออะไร? นี่คือปัญหาแห่งการถาม ๑ เจตนาถาม ๑

    รู้ทั้งรู้ว่าตนนั้นตอบไม่ได้ อีกทั้งไม่มีความเข้าใจ ไฉนจึงกล่าวถึงปฎิสัมภิทาญานเช่นนั้นเล่า !


    ผู้ไม่รู้ก็ควรรู้

    ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
    เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก ละเอียด
    เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
    หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้
    ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
    ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
    จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา




    ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?

    ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.


    ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.



    "ไม่มีปฎิสัมภิทาญาน อย่าคิดว่าจะเห็น " พุทธวจนะ " แท้ๆ ได้โดยตรง ไม่ใช่ฐานะเลย ที่เห็นเป็นของง่าย ที่ใครเลยก็เห็นได้ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดนั้น คิดว่า พุทธวจนะแท้ๆ เป็นสภาพ เป็นสถานะ คือตัวอักษร เป็น ภาษาบาลี โดยตรง หรือ ปรากฤต สิงหล ฯลฯ บุคคลเหล่านั้น คิดผิดไปเสียแล้ว
    ถ้าไม่ได้พบพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม
    "

    ฉนั้นความแตกต่างจึงมีอยู่ กับผู้เข้าถึงวิมุตติและนิรุตติญานทัสสนะ ระหว่างผู้ที่มีปฎิสัมภิทาญาน ได้เห็นธรรมโดยตรงจากพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท และผู้ที่ท่องจำโดยมุขปาฐะและจารึกลงใบลาน จนมาถึงผู้ที่ได้อ่านจากการตีพิมพ์เป็นตัวหนังสือที่มีอยู่ทั่วไป ในการเข้าถึง เป็นลาภอันมากของผู้ที่ได้อ่านได้ท่องจำพระไตรปิฏกที่สังคายนาในยุคแรกๆ

    จากสถานะการณ์ที่ไม่สามารถดูแลรักษาและการเก็บรักษาและจากภัยต่างๆประกอบกับการบิดเบือนและปลอมบวชเข้ามาทำลาย ลักขโมยธรรม จนเกิดสังฆเภท เกิดอาสวัฏฐานิยธรรมต่างๆ การแบ่งแยกนิกาย จึงต้องมีการสังคายนาอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเก็บรักษาดี ไม่มีเหตุ จะทำไปทำไม จะไปทำลายของเก่าดั้งเดิมอันสูงค่าทำไม นอกจากจำเป็นจริงๆ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงยกพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกขึ้นสู่แบบแผน ก็ทรงยกขึ้นไว้ในภาษามาคธีเท่านั้น. ยกเว้นไว้ในกาลอื่นที่ทรงไปโปรด ยังเหล่าเวไนยสัตว์ ในสถานะภาพ ภาษาอื่นๆ ในสหโลกธาตุต่างๆ

    เพราะเหตุไร? ก็เพราะเพื่อจะนำอรรถะมาให้รู้ได้โดยง่าย.

    ตราบใดที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทิพยภาษา ในปฎิสัมภิทาญาน ภาษาที่เราท่านต่างได้เห็น นั่นไม่ใช่พุทธวจน ถ้ามีปฎิสัมภิทา ๔ ที่สมบูรณ์ เห็นตัวอักษร อันเป็นนั้นเข้าจริงๆ {O}ทิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม{O} แล้วจะรู้เอง แต่จะกล้าเขียนหรือเปล่า นั่นอีกเรื่อง หรือต้องใช้ภาษารองจาก ทิพยภาษา แทน ภาษาใดๆในโลก ก็ เทียบ "ทิพยภาษา" ในพระไตรปิฏกดั้งเดิมไม่ได้ เพราะ ทิพยภาษา คือ กุญแจที่ไข ที่แปล ความหมายได้ทุกๆภาษา

    ภาษาบาลี ไม่ใช่" ทิพยภาษา " ที่มีความหมายละเอียดอ่อนลึกซึ้ง อย่างที่ทรงตรัส ภาษาบาลีนั้นจริงๆแล้ว เป็น อรรถถาธิบาย ต่อจาก ทิพยภาษา นั้นอีกที และ ถ้าคิดว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาที่เป็นพุทธวจนโดยตรง ด้วยปกรณ์ อรรถพยัญชนะ รูปเสียง ที่ครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ เป็นความเข้าใจที่ผิด และจะขัดกับ ปฎิสัมภิทามรรค ทันที นี่จึงเป็นเหตุให้ สำนักพุทธวจนที่ไม่รู้จักองค์คุณของปฎิสัมภิทาญานดีพอ จึงทำผิดพลาดอย่างมหาศาล

    จะเอา บาลี มาตรวจสอบ ทิพยภาษา ซึ่งเป็นแม่แบบ ต้นแบบ ไม่ใช่ฐานะที่จะทำกลับกันได้

    กถาต่างๆที่ทรงพระดำรัส จะมีทำนอง อรรถพยัญชนะที่สมบูรณ์ที่สุดในอนันตริยจักรวาล ไพเราะ เบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด มีทำนองที่สุดเป็นสรภัญญะ เมื่อไหร่กันนะ จะมีผู้ได้ปฎิสัมภิทาญาน เกิดขึ้นอีกเสียที จะได้ช่วยเราอธิบายได้ นี่แหละที่ทรงท้อพระทัย ทรงดำริว่ายากถ้าจะสอน ถ้าท้าวสหัมบดีพรหม ไม่ทรงทูลขอ พระอินทร์ไม่ทรงทูลขอ คงยากที่จะได้พบพระศาสนา

    ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นสมบูรณ์ด้วยอรรถะ, พยัญชนะ, ลึกซึ้ง, มีอรรถลึกซึ้ง, ประกาศโลกุตระ, ประกอบด้วยสุญญตา

    ด้วยประการฉะนี้ นิรุตติปฏิสัมภิทานี้ ชื่อว่ามีสัททะคือเสียงเป็นอารมณ์ มิได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์. เพราะเหตุไร? เพราะพระอริยบุคคลได้ยินเสียงแล้วย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ.

    จริงอยู่ พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา ครั้นเขาพูดว่า ผสฺโส ก็ย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, ครั้นเขาพูดว่า ผสฺสา หรือ ผสฺสํ ก็ย่อมรู้ว่า นี้มิใช่สภาวนิรุตติ.

    แม้ในสภาวธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.

    ถามว่า ก็พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานี้จะรู้หรือไม่ รู้คำอื่นคือเสียงแห่งพยัญชนะอันกล่าวถึงนาม, อาขยาต, อุปสัค, และนิบาต.
    ตอบว่า พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานั้น ครั้นได้ยินเสียงแล้วก็รู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ ด้วยเหตุสำคัญอันใด, ก็จักรู้คำนั้นด้วยเหตุสำคัญอันนั้น.

    ผู้ที่มีปฎิสัมภิทาญาน เพียงได้ยินเสียงก็รู้ทันที นี่ใช่หรือไม่ใช่สภาวะ เสียงจากไหน เสียงจากผู้ท่องบ่นหรือถือสวด สาธยายอยู่ ก็เพราะเหตุใดเล่า ก็เพราะรู้แท้ซึ่งจังหวะและท่วงทำนองอันประกอบและสภาวะสูญญตาธรรมอันประกอบด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ในการเข้าถึง เมื่ออยู่ต่อหน้า องค์พระสัทธรรม พระธรรมราชานั้นเอง


    {O}ผู้เห็นธรรมมีเพียง ๓ สถานะ{O}เท่านั้น (เป็นเรื่องอจินไตยหากจะกล่าวถึงการกำเนิดของพระธรรมคัมภีร์)

    " ผู้เห็นธรรม๑ คือเห็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เห็นโดยตรง" ซึ่ง"พระธรรมแม่บท"โดยปฎิสัมภิทาญาน"
    " ผู้เห็นธรรม๒ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงด้วยพระประสงค์ให้เห็นตามด้วยพระทศพลญาน
    " ผู้เห็นธรรม๓ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สืบทอดจารึก ท่องจำมุขปาฐะตีพิมพ์กันมาด้วยความเพียรพยายาม ด้วยสภาวะบุญอันเข้าถึงในอดีตชาติที่สั่งสมการพิจารณาใคร่ครวญปฎิบัติมาดีแล้ว


    {O} ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต {O}
    1) มังสจักษุ 2) ทิพยจักษุ 3) ปัญญาจักษุ 4) พุทธจักษุ 5) สมันตจักษุ





    การล่วงรู้เห็นพระสัทธรรมของผู้ที่มีในปฎิสัมภิทาญานคือการตรัสรู้ธรรมอันเป็นสภาวะของวิมุตติ การเสวยสุขในรสพระธรรม แม้ผู้นั้นจะยังจดจำระลึกรู้ไม่ได้ว่าเคยเห็นบทธรรมนั้นๆมาก่อนในอดีตชาติหรือไม่ก็ตาม จะไม่เคยเล่าเรียนและศึกษามาก่อนก็ตามยังบทธรรมนั้น ผู้เห็นธรรม หรือเห็นพระสัทธรรม จะสามารถได้ยินท่วงทำนองเป็นที่สุดคือสรภัญญะและอักขระอักษรนั้น จังหวะ การออกเสียงที่เปลี่ยนแปลของบทธรรม หรือ ภาษานั้นๆได้โดยอัตโนมัติ เป็น ปาฎิหาริย์ ๓ ที่แสดงออกควบคู่กัน อย่างอัศจรรย์ สำหรับเราแล้ว ได้มองเห็นได้ยินและอยู่ในสภาวะที่ออกจากกายหยาบไปสู่กายอันเป็นทิพย์ ไปสู่พื้นที่สูงเทียมเมฆในลักษณะนั่งนั่งห้อยเท้าบนความว่างเปล่า ท่ามกลางบริษัทพระภิกษุสงฆ์ที่อาศัยอยู่บนตัวรถโดยสารนับ ๗๐ รูป ในห้วงเวลาหลังเพล ด้วยอานุภาพแห่งดวงสูญญตาธรรมมาห้อมล้อมแลกยกตนแยกออกไป ณ ที่แห่งนั้น

    หากปรารถนาจะได้ยินก็ได้ยินเสียงต่างๆ หากไม่ปรารถนาจะได้ยินก็จะได้ยินแต่เพียงเสียงธรรมอันประโคมด้วยสังคีตอันเป็นทิพย์ และจักปรากฎ " พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม ทิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม พระสัทธรรม พระธรรมราชา "

    อันพระไตรปิฏกนี้องค์ ยาวไม่เกิน 60-80 Cm. กว้างไม่เกิน10 Cm. แต่เมื่อคลี่ออก จากชั้นฟ้าแล้ว อักขระธรรม ภาษาธรรม ยาวจากชั้นเมฆลงมาสุดลูกหูลูกตา แต่อนิจจาอ่านธรรมได้ทันเพียงแค่บทเดียว
    1 ชม. 47 นาที (116 กม.) เส้นทางไป-กลับ จากวัดพะโคะ แต่ในสภาวะนั้นที่ชั้นเมฆขณะที่อ่านพระไตรปิฏก ที่ เหมือนอยู่เพียงไม่กี่นาที

    เมื่อสภาวะที่ปฎิบัตินั้นบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ รวมทั้งเพศพรหมจรรย์สมบูรณ์ ด้วยบุญบารมีธรรมที่สั่งสมมาในกาลก่อน ก็จะสามารถเข้าสู่สภาวะอย่างนั้นได้อีก

    ต่อให้ไม่ได้เรียนมา ต่อให้อ่านไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อได้อ่านแล้วเพียงครั้งเดียว จะสามารถจดจำได้ตลอด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผู้ที่เข้าสู่ปฎิสัมภิทาญาน จึงสามารถอ่านออก รู้และเข้าใจภาษาต่างๆได้ ก็ด้วยเพราะมี องค์พระสัทธรรม พระธรรมราชา ท่านเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์ให้ ในกาลต่างๆที่สมควรแก่กาล อันบทธรรมทั้งหลายนั้น ผู้ใดมีสภาวะบุญที่ส่งเสริมเกี่ยวข้องอันเป็นการสงเคราะห์ธรรมตามเหตุและปัจจัย มิใช่ว่าทุกๆท่านจะเริ่มหรือจะได้รอบรู้เหมือนกันหมดทุกๆบททุกๆตอน แต่เป็นไปตามกำลังความสามารถที่จะเข้าถึงของแต่ละท่าน เช่นเดียวกับการระลึกชาติ ได้ชาติเดียวบ้าง สองชาติ หรือมากกว่านั้น แต่สำหรับองค์พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม พระสัทธรรมราชาแล้ว พระองค์ท่านมี สัจธรรม อันเป็นที่ตั้ง อันเป็นระเบียบและแบบแผนเดียว จึงเป็นไปตามบทที่กล่าวถึงการตรัสรู้ธรรมอันเสมอกัน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายฯ รองลงมา ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพ พระอรหันตสาวก อุบาสก อุบาสิกา ผู้บรรลุธรรม ทั่วทั้งสหโลกธาตุ


    เรื่องนี้มิใช่ง่าย ไม่ใช่ฐานะอันง่าย ที่จะเกิดขึ้น เช่นครั้งแรกพระเถระทั้งหลายปรึกษากันว่า พวกเราควรจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยที่ไหนดีหนอ ครั้นแล้วเห็นพ้องต้องกันว่า พระนครราชคฤห์ มีโคจรคามมาก มีเสนาสนะเพียงพอ สมควรที่พวกเราจะอยู่ จำพรรษาในพระนครราชคฤห์ สังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุพวกอื่นไม่ควร เข้าจำพรรษาในพระนครราชคฤห์ ด้วยเกรงว่าเพราะจะมีวิสภาคบุคคลบางคนเข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ซึ่งกำลังทำสังคายนาอยู่ แล้วจะคัดค้านถาวรกรรมของพวกท่านนี้เสีย



    ฉนั้นการทำสังคายนาธรรม พระผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จึงเป็นเลิศยิ่งในการอัญเชิญพระสัทธรรมลงมาสู่ พระไตรปิฏก


    อีกทั้งยังต้องตรวจทาน ตามหลักฐานรำลึกตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ ที่โอกาสในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พรหมโลก อมฤตยูโลกธาตุอื่นๆ มนุษย์โลก เทวโลก ฯ เป็นต้นเทียบเคียง ด้วยอตีตังสญาณ

    เวลา ๗ เดือน นั้นยาวนานเพียงพอเป็นแบบแผนขั้นต้น เป็นแม่แบบ สำหรับการทำสังคายนาเป็นต้นไป เพราะเวลาของทางโลกและทางสูญญตาอมฤตธรรม นั้นแตกต่างกันมาก หากจะกล่าวตามตรง การทำสังคายนา อาจจะใช้เวลาไม่กี่วันเสียด้วยซ้ำ หากจะนำมาถ่ายทอดลงตรงๆ ทันที แต่เพื่อรายละเอียดปลีกย่อย ในการแจกแจงรวบรวมที่มานั้น ย่อมเป็นกิจของพระสาวก ฉนั้นในยุคหลังๆจึงใช้เวลามากขึ้นตามลำดับ เพราะจำกัดด้วยญานของพระสงฆ์สาวกผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จากปัญหา สูญเสีย สูญหาย อันเป็นหลักฐานเก่าอันเป็นเหตุที่เกิดจากภัยต่างๆที่ทำให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญไปตามกาลเวลา ด้วยภัยธรรมชาติ ภัยจากสงคราม ภัยจากมนุษย์หรืออมนุษย์ โดยรวมคือ โมฆะบุรุษที่เกิดขึ้นมาเพื่อ บิดเบือนแต่งเติมพระธรรมคำสั่งสอนในพระไตรปิฏกให้ลบเลือนสูญหายไปนั่นเอง

    ส่วนการสังคายนาในครั้งหลังๆ ใช้เวลาน้อยลง เพราะจำกัดด้วยผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จึงนิยมใช้วิธีตรวจทาน แก้ไขคำผิด ประดิษฐ์อักษร แก้ความหรือแต่งโคลงร้อยแก้ว หรือร้อยกรองเขาไป ส่วนที่ลอกแบบของเดิมเท่าที่จะพึงมีพึงเก็บรักษาให้เหลือรอดไว้ได้ ก็มีเจือปนอยู่

    เพราะฉนั้น การกำเนิด การบรรลุจุติธรรม ขั้นปฎิสัมภิทาญานของธรรมทายาทจึงสำคัญมาก ที่จะช่วยส่งเสริมรักษาพระสัทธรรม พระธรรมและพระธรรมวินัย ให้อยู่รอดสืบไป ให้พ้นภัยจากสัทธรรมปฎิรูป และ อสัทธรรม นอกพระพุทธศาสนา เพื่อให้พ้นภัย ๕ ประการที่จักมาเยือน

    เหล่าธรรมบุตรทั้งหลายเอย เราคาดหวังให้ท่านบรรลุธรรมโดยปฎิสัมภิทาญาน ขอให้ท่านกระทำจิตให้บริสุทธิ์มีศรัทธาที่เหนือศรัทธา และจงเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะอย่างเร็ววันเถิด แม้เราเองก็ปรารถนาจะพึ่งพาอาศัยพวกท่านเพื่อกระทำกิจอันสมควรในกาลต่อไป

    ขอให้ท่านเจริญในธรรม


    ว่าที่ พระธรรมบุตร ธรรมราชา



    https://www.google.co.th/maps/dir/ว...34e30843bc5f02f2!2m2!1d99.9631219!2d8.4303975


    เรื่องเล่าอธิบาย คร่าวๆ


    ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ

    แต่ก็นำมาบอกเผื่อจะมีผู้มีสติปัญญาจะรู้ตามและพิจารณารวบรวบผลตามได้

    คนแบบนั้นแหละที่อยากให้ได้ ปฎิสัมภิทาญาน

    "ฝากถึงศิษย์ของเรา ที่เธอพึงพิจารณาอยู่ตรงนี้ เธอมีจิตใจที่ผ่องใสซื่อตรง เมื่อเธอรักพระสัทธรรม พระสัทธรรมก็รักเธอ และเอ็นดูเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์แก่เธอ จงเจริญและเติบโต กว่าที่เราจะได้ฐานะนี้มาก็ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะรอดตายเข้ามาสู่ดินแดนแห่งรสพระธรรมนี้ได้ เธอมีโอกาสดี ที่ได้มีผู้บอกกล่าวที่หาได้ยาก จงอย่าละทิ้งในสิ่งที่อาจารย์พร่ำสอน จดจำความละเอียดอ่อนอันเป็นสภาวะที่เข้าถึงนั้นให้ดี สิ่งที่อาจารย์ได้กล่าวมาในกระทู้นี้นับแต่ต้นก็ล้วนเจือด้วยวิมุตติอันเป็นองค์ประกอบ เมื่อเธอ ซื่อตรง อ่อนโยน บริสุทธิ์ใจ ปรมัตถสัจจะในธรรมเหล่านี้ที่แสดงไว้(เฉพาะ) แล้วจะขจัดสิ่งเศร้าหมองไปได้ ตามอำนาจและกำลังญานบุญบารมีแห่งเธอตามกาล"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2016
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จะเกิดประโยชน์กับผู้เจริญในธรรมเท่านั้น ผู้ไม่เห็นประโยชน์ไม่มีปัญญา ย่อมไม่ได้อะไร

    (f)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2016
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พิจารณาให้ดีๆ

     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ฝากให้พิจารณา

    เห็นไหม? ความผิดปกติ ของธรรมบทนี้

    "ข้อนี้ยังต้องพิจารณา"

    "ดูกร สารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่ตรงนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็น ญาณทัสสนะ อันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวล ด้วยความตรึกที่ไตร่ตรอง ด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจาเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก

    "ตถาคตประกอบด้วยเวสารัชชธรรมเหล่าใด จึงปฏิญาณฐานะของผู้องอาจบันลือสีหนาทในบริษัทยังพรหมจักรให้เป็นไป เวสารัชชธรรมของตถาคต ๔ ประการ
    ผู้ใดพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดมนั้นไม่ใช่ความจริง พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งทึกทักเอาเอง ใช่ไม่ได้ ไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นที่แท้จริง ล่าช้า
    หากผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ เปรียบเหมือนภิกษุถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่ม อรหัตผลในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด
    เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้นผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก ดังถูกนำมาฝังไว้
    (ม.มู. ๑๒/มหาสีหนาทสูตร/๑๖๗/๙๙-๑๐๐)"



    ธรรมข้อนี้ ถ้าไม่มีปฎิสัมภิทาญาน คือรู้สถานะการมีอยู่ของพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท ก็จะไม่สามารถวิสัชนาได้ เพราะเหตุใด หากใครคิดว่าพระองค์ทรงคิดค้นตรึกไตร่ตรอง แจ่มแจ้งได้เองเป็นความผิด คิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง นี่ย่อมแสดงว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมอันยากยิ่ง และพระสัทธรรมนั้นก็มีอยู่แล้ว พระองค์เพียงเป็นผู้เข้าถึงการตรัสรู้ และกระทำตามบทบาทหน้าที่ของพระองค์เอง

    นี่ล่ะ บุคคลทั้งหลายย่อมได้แต่คิดตามว่า อะไรจึงทำให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่สามารถจะวิสัชนาให้ถูกต้องได้เลย หากไม่รู้จักพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม


    ดูกร สารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่ตรงนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็น ญาณทัสสนะ อันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวล ด้วยความตรึกที่ไตร่ตรอง ด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจาเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก”


    ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?

    ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.


    ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.


    ฉนั้น บุคคลทั้งหลายต้องพิจารณา " ทรงตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง" คือเห็นธรรม ด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงทรงเป็นผู้มีปฎิสัมภิทาญานเป็นบุคคลแรก

    และก็ยังสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย

    สมดังที่กล่าวมาใน อาสภิวาจา คือ วาจาหรือคำพูดที่ประกาศถึงความเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดในโลก ที่ทรงเปล่งออกมาทันทีที่ประสูติ

    พระองค์ตรัสว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี" คือทรงรู้ทรงทราบว่าพระองค์ต้องตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐอย่างแน่นอน


    เพราะนี่เป็นหน้าที่ เป็นบุญบารมีของพระองค์ที่ทรงรู้ทรงทราบตามที่ได้ทรงบำเพ็ญมาอยู่แล้ว ว่าจะทรงพบทางตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนำพาสัตว์ออกจากทุกข์



    ถ้าไม่มี ปฎิสัมภิทาญาน ไม่รู้จัก พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม

    ผู้ใดใครกันจะวิสัชนาธรรมข้อนี้ได้


    เวสารัชชธรรม ๔
                ดูกรสารีบุตร ตถาคตประกอบด้วยเวสารัชชธรรม [ความแกล้วกล้า] เหล่าใดจึงปฏิญาณฐานะของผู้องอาจ บันลือสีหนาทในบริษัท ยังพรหมจักรให้เป็นไป เวสารัชชธรรมของตถาคตเหล่านี้มี ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน

    ดูกรสารีบุตร เราไม่เห็นเหตุนี้ว่า สมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ที่จักทักท้วงเราโดยสหธรรมในข้อว่าท่านปฏิญาณตนว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ธรรมเหล่านี้ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้แล้ว ดังนี้
    ดูกรสารีบุตรเมื่อไม่เห็นเหตุนี้ เราก็เป็นผู้ถึงความปลอดภัย ถึงความไม่มีภัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าอยู่ดูกรสารีบุตร เราไม่เห็นเหตุนี้ว่า สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกที่จักทักท้วงเราโดยสหธรรมในข้อว่า ท่านปฏิญาณตนว่าเป็นพระขีณาสพ อาสวะเหล่านี้ของท่านยังไม่สิ้นไปแล้ว ดังนี้

    ดูกรสารีบุตร เมื่อไม่เห็นเหตุนี้ เราก็เป็นผู้ถึงความปลอดภัย ถึงความไม่มีภัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าอยู่ ดูกรสารีบุตร เราไม่เห็นเหตุนี้ว่า สมณะ พราหมณ์เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ที่จักทักท้วงเราโดยสหธรรมในข้อว่า ท่านกล่าวธรรมเหล่าใด ว่าทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้ซ่องเสพได้จริง ดังนี้

    ดูกรสารีบุตร เมื่อไม่เห็นเหตุนี้ เราก็เป็นผู้ถึงความปลอดภัย ถึงความไม่มีภัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าอยู่ ดูกรสารีบุตร เราไม่เห็นเหตุนี้ว่า สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลก ที่จักทักท้วงเราโดยสหธรรมในข้อว่า ท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชน์อย่างใด ประโยชน์อย่างนั้นไม่เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งคนผู้ทำตาม ดังนี้ ดูกรสารีบุตร เมื่อไม่เห็นเหตุนี้เราก็เป็นผู้ถึงความปลอดภัย ถึงความไม่มีภัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าอยู่
    ดูกรสารีบุตร ตถาคตประกอบด้วยเวสารัชชธรรมเหล่าใด จึงปฏิญาณฐานะของผู้องอาจ บันลือสีหนาทในบริษัทยังพรหมจักรให้เป็นไป เวสารัชชธรรมของตถาคต ๔ ประการเหล่านี้แล

    ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสียไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้

    ดูกรสารีบุตรเปรียบเหมือนภิกษุถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผลในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก ดังถูกนำมาฝังไว้.



    พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นธรรมที่เห็นได้ด้วยตัวเองไม่ขึ้นกับกาลเป็นธรรมที่ควรมาดูควรน้อมมาปฏิบัติเป็นธรรมที่วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน***
    ปฐมอุรุเวลสูตรว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ พระวิหารเชตวันตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักที่ต้นอชปาลนิโครธ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตำบลอุรุเวลเมื่อเราเร้นอยู่ที่ในที่สงัดเกิดปริวิตกว่า คนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่

    เป็นทุกข์เราจักพึงสักการะ เคารพพึ่งพิงสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดเล่าหนอ เราตรองเห็นว่าเราจักพึงสักการะเคารพพึ่งพิงสมณะหรือพราหมณ์อื่นอยู่ก็เพื่อทำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ของเราที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ก็แต่ว่าเราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ยิ่งกว่าตนในโลก ทั้งเทวโลก ทั้งมารโลก ทั้งพรหมโลกในหมู่สัตว์ทั้งเทวดา มนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ ซึ่งเราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงอยู่ได้ดังนี้แล้วเราตกลงใจว่า อย่ากระนั้นเลย ธรรมใดที่เราตรัสรู้นี้เราพึงสักการะ เคารพ พึ่งพิง ธรรมนั้นอยู่เถิด

     

     ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสหัมบดีพรหม รู้ความปริวิตกของเราด้วยใจของตนแล้ว
    หายไปจากพรหมโลกมาปรากฏตัวต่อหน้าเรา ประดุจบุรุษผู้มีกำลังฉะนั้น
    คุกเข่าข้างขวาลงพื้นดิน ประคองอัญชลีตรงมาทางเรากล่าวว่า
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ข้อที่พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ชอบแล้ว
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ แม้หล่าใดที่มีมาแล้วในอดีตกาล
    พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เหล่านั้นก็ได้ทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่จักมีในอนาคตกาล
    พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เหล่านั้นก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั่นแลอยู่
    แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้
    ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด

    สหัมบดีพรหมกล่าวอีกว่า
     
     
    พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไปแล้วก็ดี
    พระพุทธเจ้าเหล่าใดที่ยังไม่มาถึงก็ดี
    พระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดผู้ยังความโศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายในปัจจุบันนี้ก็ดี
    พระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นเป็นผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว
    ทรงเคารพพระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระสัทธรรม
    นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนงความเป็นใหญ่
    ระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัทธรรมเถิด


     
     
    ครั้งนั้นเราแจ้งว่าพรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้ว
    ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มา
    ก็แต่ว่าเมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์
    ด้วย

     อุรุเวลสูตรที่ ๑

    ทีนี้ผู้มีปัญญาก็จะเห็นสภาวะของพระสัทธรรมอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงมีอยู่จริงและทรงเป็นที่พึ่งพิงของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯและพุทธบริษัททั้งหลายดังนี้แล

    รู้แล้วก็ขอให้สิ้นสงสัย

    และเราก็เป็นเพียงผู้น้อมนำมาเปิดเผย นำมาแสดงเพียงเท่านั้น ความรู้ต่างๆเหล่านี้มิได้มีในเรา แต่คือหน้าที่ของเรา

    ส่วนเรื่องของสำนักไม่เคารพสงฆ์ ไม่ต้องนำมาพูดอีกจบไปแล้ว


    ตราบใดที่ปาฎิหาริย์ ๓ ยังไม่ปรากฎ และผู้บรรลุธรรมระดับปฎิสัมภิทาญานปรากฎขึ้นอย่างสมบูรณ์ยังไม่ปรากฎ ตอนนั้นก็ยังมิใช่เวลาที่จะล้างธรณีสงฆ์ แต่เมื่อปรากฎ ก็เป็นไปตามภาระหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมา ทำอะไรไว้อย่านึกว่าจะไม่รู้แม้แต่อาบัติเล็กน้อย

    คำว่า ฉิบหายกันล่ะทีนี้ ! มีอยู่จริงๆ


    ของจริง ไม่ใช่ของปลอม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • icmy26.jpg
      icmy26.jpg
      ขนาดไฟล์:
      370.2 KB
      เปิดดู:
      102
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมื่อมีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมเห็นธรรม ที่บริสุทธิคุณ ถูกต้องชัดเจน งดงาม ไพเราะ ในเบื้องตน ท่ามกลาง และบั้นปลาย ตามนามพระสัทธรรมอันเป็นธรรมราชาของอนันตริยจักรวาลทั้งปวง อันเป็นสิ่งเหนือสหโลกธาตุทั้งสิ้น สุดจะพรรณนาหาความได้

    มีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมมีธรรม อันเป็นรูปแบบเดียวกันของศาสนาพุทธในทุกๆยุคสมัยของแต่ละห้วงช่วงพุทธันดรของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆตามลำดับมา อย่าไปค้นหาที่มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าด้วยกัน อันความนึกคิดตริตรองพระองค์ล้วนมีแบบฉบับส่วนของพระองค์เอง ไม่ใช่ฐานะที่จะไปหยั่งรู้ความคิดพิจารณาได้ ถ้าไม่มีคุณสมบัติปัญญาญานที่มากพอ รู้ไว้ตรงนี้



    ถึงเวลานั้นบรรดาคำสั่งสอนที่แอบอ้างเป็นของพระพุทธศาสนา พวกสัทธรรมปฎิรูป คำสอนลัทธิพุทธอื่นนอกนิกายดั้งเดิมหนึ่งเดียวทั้งหลายฯ รวมทั้ง อสัทธรรมนอกพระพุทธศาสนาก็จะจนมุมทำมาหากินที่เบียดเบียนพระพุทธศาสนาเบียดเบียนหลอกลวงเหล่าพุทธบริษัท


    คงโกลาหลกันน่าดู สวนกระแสโลก สงสัยพวกนักสิทธิ การศาสนาลัทธิต่างๆ พวกล่าอาณานิคมที่ทำลายพุทธมาตลอด และที่หวังจะทำลายพุทธ คงผิดหวังในสิ่งที่พยายามทำกันมา หมดท่าไปตามๆกัน


    สำหรับลัทธิพุทธแต่แสวงอื่นทางใครทางมันล่ะกันนะ แต่ถ้าอ้างว่ามาทางเดียวกัน แต่ที่จริงสวนทางก็จะถูกตราหน้าว่าขโมยธรรมไปแอบอ้างทันที รับธาตุฑัณฑ์ไปเป็นของรางวัล


    ที่จริงวันนี้ก็เขียนก็พิจารณาอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ถึงลัทธินิกายพุทธธรรมอื่นนอกพระพุทธศาสนา กลุ่มที่เขาเปิดเผยถึงพวกนั้นตามหลักฐานหลักธรรมก็มีอยู่ แสดงไปก็หน้าแหกแตกพังกันไปเปล่าๆ เพราะเป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อย รอเจอของจริงกันเลยดีกว่า ! อันธรรมสมบัติ ฤทธานุภาพของท่านมหาโมคคัลลานะ ชนิดเคลื่อนย้ายสงฆ์หรือสมมุติสงฆ์ทั้งหมดในโลกธาตุให้ไปที่หนึ่งที่ใดได้นั้นมีอยู่ ตำนานอะไรกันนะที่ผ้าไตรจีวรกองสูงเทียมภูเขา อยากพิจารณาอ่านจริงๆ เพียงได้ยินมิเคยเห็นผ่านตา สำหรับเรื่องต่างภาษา ปฎิสัมภิทามรรคมี ธรณีสงฆ์ควรล้างเมื่อใด

    เรื่องนี้เป็นทิฏฐิที่สามารถมีสามารถเป็นได้


    ว่าแต่ว่า เว็บ พลังจิต นี่ เป็นที่ดีจริงๆ บุคคลที่รู้ตาม โดยได้รับปัญญาแห่งการรู้เรื่องราวเหล่านี้ไป ก็ย่อมได้รับอานิสงส์มากมาย


    http://palungjit.org/threads/ประกาศ...ัมภิทาญานให้เช็คอินแสดงตนที่กระทู้นี้.553107/

    ประเทศไทยนี่ล่ะเป็นเลิศสุดในยุคนี้ ที่ประกาศฐานะพระสัทธรรมก่อนชาติใดๆ ว่าแต่ว่าจะบรรลุจุติธรรมได้กี่ท่านกันหนอTHAILAND

    อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจริงๆ ชาตินี้จะได้เห็นไหม?หนอ ส่วนล่วงหน้ารออยู่ รีบๆตามมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พักผ่อนศึกษาพระไตรปิฏกพระปริยัติธรรมของโลกมนุษย์และทำสมาธิพิจารณาธรรมรอไปพลางๆ

    จึงจักมาทักทายท่านสหายธรรมทั้งหลายฯในกาลต่อไป

    พระไตรปิฏกควรอัญเชิญบูชาหาเข้าบ้าน

    ทุกๆบ้านควรมี



    ในกาลภายภาคหน้าจักได้มีปัญญาแก้ไขรวดเร็ว ไม่ต้องงมหาอยู่

    ถ้าหากอาศัยปฎิสัมภิทาญาน โดยนิรุตติญานทัสสนะ อ่านไม่จบหรอกทั้งชาติ

    ร้อยนัย พันนัย ปรากฎ ทวีคูณ



    ขอจงตั้งใจ มีทิฏฐิหวังได้ใน ปฎิสัมภิทามรรค อย่างแน่นอน

    สงสารแต่ท่านสมภาร มีสมบัติพัสถาน อลังการใหญ่โตมากมี กลับละทิ้งไม่เห็นคุณค่า แทนที่จะได้ช่วยกันรักษา อนาถชีวา เวรกรรม เวรกรรม



    ให้โอกาสคิดต่าง
    ปล.ถ้าคิดพิจารณาแล้วว่าชัวร์ไม่มั่วนิ่ม ถ้าทำได้ก็จงช่วยกันเผยแผ่นำไปบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนบุคคลอื่นเพื่อ สร้างบุญและกุศลมาสู่ตนเองและ ครอบครัว จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของบุคคลที่มีมิจฉาทิฏฐิแสวงอื่นต่อไป

    ขออนุโมทนาฯในบุญฯนั้นด้วย

    เราทำไปตามภาระหน้าที่ จนกว่าจะถึงวันนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2016
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "จงเรียนรู้"


    แม้นผู้ใดร้อนวิชากล้ำกลืนอยากจะสอนก็มีให้เห็นเต็มโลกธาตุในปัจจุบัน ก็จงกลั้นใจรับฟังธรรมให้ดีๆล่ะกัน ถ้าเห็นว่ามั่วนิ่มเพียงน้อยนิดก็อย่าไปหลงตาม ควรฝึกหัดพิจารณาแยกแยะให้เป็น พอรู้ตัวก็ไม่รู้ว่าใครจะสอนใคร? หาอาจารย์ไม่ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2016
  14. aueychaiborriraj

    aueychaiborriraj สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    นิรุตติปฏิสัมภิทา ไม่ใช่ฐานะที่จะมีความเป็นไปกับ"ตรรก" ได้
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ปุจฉา -วิสัชนา

    สมควรให้ผู้อื่นที่สนใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมในบทบาทหน้าที่ของ ปฎิสัมภิทาญาน ได้รู้รายละเอียดเพิ่มเติม


    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ถึงเวลานั้นบรรดาคำสั่งสอนที่แอบอ้างเป็นของพระพุทธศาสนา พวกสัทธรรมปฎิรูป คำสอนลัทธิพุทธอื่นนอกนิกายดั้งเดิมหนึ่งเดียวทั้งหลายฯ รวมทั้ง อสัทธรรมนอกพระพุทธศาสนาก็จะจนมุมทำมาหากินเบียดเบียนพระพุทธศาสนาเบียดเบียนหลอกลวงเหล่าพุทธบริษัท


    คงโกลาหลกันน่าดู สวนกระแสโลก สงสัยพวกนักสิทธิ การศาสนาลัทธิต่างๆ พวกล่าอาณานิคมที่ทำลายพุทธมาตลอด และที่หวังจะทำลายพุทธ คงผิดหวังในสิ่งที่พยายามทำกันมา หมดท่าไปตามๆกัน


    สำหรับลัทธิพุทธแต่แสวงอื่นทางใครทางมันล่ะกันนะ แต่ถ้าอ้างว่ามาทางเดียวกัน แต่ที่จริงสวนทางก็จะถูกตราหน้าว่าขโมยธรรมไปแอบอ้างทันที รับธาตุฑัณฑ์ไปเป็นของรางวัล


    ว่าแต่ว่า เว็บ พลังจิต นี่ เป็นที่ดีจริงๆ บุคคลที่รู้ตาม โดยได้รับปัญญาแห่งการรู้เรื่องราวเหล่านี้ไป ก็ย่อมได้รับอานิสงส์มากมาย


    อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจริงๆ ชาตินี้จะได้เห็นไหม?หนอ ส่วนล่วงหน้ารออยู่ รีบๆตามมา

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ที่จริงวันนี้ก็เขียนก็พิจารณาอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ถึงลัทธินิกายพุทธธรรมอื่นนอกพระพุทธศาสนา กลุ่มที่เขาเปิดเผยถึงพวกนั้นตามหลักฐานหลักธรรมก็มีอยู่ แสดงไปก็หน้าแหกแตกพังกันไปเปล่าๆ เพราะเป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อย รอเจอของจริงกันเลยดีกว่า ! อันธรรมสมบัติ ฤทธานุภาพของท่านมหาโมคคัลลานะ ชนิดเคลื่อนย้ายสงฆ์หรือสมมุติสงฆ์ทั้งหมดในโลกธาตุให้ไปที่หนึ่งที่ใดได้นั้นมีอยู่ ตำนานอะไรกันนะที่ผ้าไตรจีวรกองสูงเทียมภูเขา อยากพิจารณาอ่านจริงๆ เพียงได้ยินมิเคยเห็นผ่านตา สำหรับเรื่องต่างภาษา ปฎิสัมภิทามรรคมี ธรณีสงฆ์ควรล้างเมื่อใด

    เรื่องนี้เป็นทิฏฐิที่สามารถมีสามารถเป็นได้

    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 20 สิงหาคม เวลา 20:37 น.

    Jintana Plangpongpan สาธุ สาธุ ค่ะ นับเป็นความแปลกมหัศจรรย์ เกินกว่าปุถุชนธรรมดา อย่างดิฉัน จะหยั่งถึงค่ะ
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · เมื่อวานนี้ เวลา 0:19 น.

    Aueychai Borriraj การบำเพ็ญเพียรในวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนืองๆ จนกระทั่งถึงสังขารุเปกขาญาณอันเป็นที่ใกล้อนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เพราะความที่การบำเพ็ญวิปัสสนานั้น อันพระโยคาวจรเคยปฏิบัติแล้วปฏิบัติเล่ามาในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ชื่อว่าปุพพโยคะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วในปางก่อน ย่อมผ่องใส.
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 2 · 13 ชม.
    ซ่อน 35 ข้อความตอบกลับ

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ในแผ่นดินนี้ ผู้มีปัญญาเห็นก่อน ในการปรากฎรู้และไตร่ตรองตามเข้าใจได้ทันที ก็คือ ท่าน Aueychai Borriraj ไม่เสียแรงที่ท่านได้พิจารณามาตลอดถึงปฎิสัมภิทามรรคโดยตรง บุญนั้นจงสำเร็จแก่ท่าน จงเป็นพลวปัจจัยแก่ท่านต่อไปภายในภายภาคหน้าเถิด ท่านบัณฑิต
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 13 ชม.

    Aueychai Borriraj สาธุ สาธุ สาธุ
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 2 · 13 ชม.

    Aueychai Borriraj ปุพพโยคะ ๑, พาหุสัจจะ ๑, เทศภาษา ๑,
    อาคม ๑, ปริปุจฉา ๑, อธิคม ๑, ครุสันนิสสัย ๑,
    และมิตตสมบัติ ๑ รวม ๘ ประการนี้ ล้วนเป็น
    ปัจจัยแก่ปฏิสัมภิทา ดังนี้.
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 2 · 13 ชม.

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ความรู้นี้ไม่มีในร่างกาย ไม่มีในสมองเน่าๆของเรา นี่ไม่ใช่เรา เราก็เป็นเพียงผู้น้อมนำมาเปิดเผย นำมาแสดงเพียงเท่านั้น ความรู้ต่างๆเหล่านี้มิได้มีในเรา แต่คือหน้าที่ของเรา ขออนุโมทนาบุญฯ
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 13 ชม.

    Aueychai Borriraj , ครุสันนิสสัย ๑, และมิตตสมบัติ ๑
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 2 · 13 ชม.

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=0&p=1


    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ยิ่งพิจารณายิ่งเข้าถึง ยิ่งพรั่งพร้อมสมบูรณ์
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 13 ชม.

    Aueychai Borriraj อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... อนัตตานุปัสสนา ... นิพพิทานุปัสสนา..วิราคานุปัสสนา ... นิโรธานุปัสสนา ... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ
    อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา(ปัญญาเร็ว) ให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญาทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์ อนัตตานุปัสสนา ... ย่อมยังมหาปัญญา (ปัญญามาก) ให้บริบูรณ์ นิพพิทานุปัสสนา ... ย่อมยังติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) ให้บริบูรณ์วิราคานุปัสสนา ... ย่อมยังวิบูลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์ นิโรธานุปัสสนา ... ย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้)ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ .

    ถูกใจ · ตอบกลับ · 2 ชม. · มีการแก้ไข

    Aueychai Borriraj

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=9683&Z=10089

    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 1 ชม.

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก Aueychai Borriraj สิ่งที่ท่านน้อมนำมา ล้วนแต่ประเสริฐ
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 ชม.

    Aueychai Borriraj อัชฌาสัยของท่านผู้มีความต้องการในความรู้พิเศษ ที่มีความรู้รอบตัวยิ่งกว่าท่านผู้ทรงอภิญญา ๖ เรียกว่าอัชฌาสัยของท่านผู้ทรงปฏิสัมภิทัปปัตโตท่านผู้ทรงปฏิสัมภิทัปปัตโตนี้ แปลว่ามีความรู้พร้อม คือท่านทรงคุณธรรมพิเศษกว่าท่านเตวิชโช ฉฬภิญโญหลายประการ เช่น
    ๑. มีความสามารถทรงความรู้พร้อม ไม่บกพร่องในหัวข้อธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้โดยครบถ้วน แม้ท่านจะย่างเข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเพียงวันเดียวทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษาคำสอนมาก่อนเลย ตามนัยที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆ ที่มาในพระไตรปิฎกว่า มีมากท่านที่มีความเลื่อมใสในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพอฟังเทศน์จบ ท่านก็ได้บรรลุอรหันต์ชั้นปฏิสัมภิทาญาณ
    ท่านทรงพระไตรปิฏก คือเข้าใจในข้อวัตรปฏิบัติครบถ้วนทุกประการได้ทันท่วงที
    ๒. มีความฉลาดในการขยายความในธรรมภาษิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อให้พิสดารได้อย่างถูกต้อง
    ๓. ย่อความในคำสอนที่พิสดารให้สั้นเข้า โดยไม่เสียใจความ
    ๔. สามารถเข้าใจ และพูดภาษาต่างๆ ได้ทุกภาษา ไม่ว่าภาษามนุษย์ หรือภาษาสัตว์

    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 ชม.

    Aueychai Borriraj

    https://www.facebook.com/aueychai.borriraj/posts/743256682407112?hc_location=ufi

    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 1 ชม.

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ในปฎิสัมภิทามรรค เราเองแม้ได้อ่านเพียงหน้าเดียว พิจารณาเพียงหน้าแรกหน้าเดียว ก็ให้เกิดวิสัยอันแสดงทัสสนะเป็นอันมากสุดจะพรรณนาได้ ขอกล่าวกับท่านตามตรง ปฎิสัมภิทามรรค นั้นเราได้อ่านเพียงหน้าเดียวเท่านั้น ก็ยังไม่สามารถพรรณนาได้จบ เป็นองค์ความรู้แห่งปัญญาที่กว้างขวางไปมาก เรียกได้ว่า เหมือนโดนจับมัดมือและเท้าถ่วงน้ำในมหาสมุทร นั่นทีเดียว ฉนั้นต้องปฎิบัติให้เพียบพร้อมทั้งกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์ จึงจักดำเนินต่อไปได้
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 1 ชม.

    Aueychai Borriraj เป็นได้เพียงผู้สังเกตุ แม้พบท่านแล้ว สังเกตุแล้ว ถามแล้วแม้เพียงโดยอ้อม ท่านตอบว่า "ท่านไม่ได้เป็นผู้พูด(ปฏิสัมภิทาญาณ) เรา(ผู้ถาม) เป็นคนพูดเอง / อาบัติเล็กน้อยทีบอกอธิคมแก่อนุสัมปัน-ท่านก็ไม่ละเมิด)
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 57 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก บางสิ่งบางอย่างย่อมเป็นไปตามภาระหน้าที่ ที่แบกรับมา ฉนั้นแล และที่สำคัญการล่วงรู้บทธรรม ที่เป็นไปตามพุทธทำนายนั้น เกี่ยวของกับทุกยุคสมัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงตรัส ในพระมหาสุบิน เหตุนั้นเราจึงต้องไขความ แบกรับหน้าที่ที่จะต้องรักษาพระปริตรนี้ ที่ถูกทำลายโดยสำนักนั้น นี่เป็นสัญญานเตือนภัยก่อนจะเกิดภัย ๕ ประการ
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 52 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก จิตที่น้อมไป อันเป็นทุกข์อื่นนอกจากอริยะสัจ ๔ นี่เป็นกิจที่ควรกำหนดรู้ ของธรรมทายาท
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 40 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก หน้าที่ของพระอริยะบุคคลท่านนั้น ได้มากระทำกิจตามกาล เป็นเบื้องหน้า ให้พิจารณาเล่าขานสืบไปว่ายังมีอยู่ ไม่เป็นที่สงสัยที่ท่านสามารถกระทำได้เช่นนั้น เพราะได้เห็นสภาวะนั้นเช่นเดียวกันแล้วของการเปลี่ยนแปลงของภาษาต่างๆ เป็นเรื่องอัศจรรย์
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 37 นาที

    Aueychai Borriraj ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินั้น มิใช่อื่นมิใช่ไกล ได้แก่วิปัสสนาปัญญาในเบื้องบุรพภาค ๘ ประการ มีอุทยัพพยญาณเป็นต้น มีสังขารุเบกขาญาณเป็นยอด แต่บรรดาที่บริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลสกับสัจจานุโลมิกญาณ ๑ เป็นคำรบ ๙
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 36 นาที

    Aueychai Borriraj สัจจานุโลมิกญาณนี้ มิใช่อื่นใช่ไกล คืออนุโลมชวนะซึ่งบังเกิดเป็นที่รองแห่งพระอริยมรรค นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า วิปัสสนา ๙ ประการคือ อุทยัพพยญาณ ภังคญาณ ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกามยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมิกญาณ
    นี้แลจัดได้ชื่อว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เพราะพ้นจากอุปกิเลสดำเนินตามวิปัสสนาวิถี สูงขึ้นไป ๆ ถึงที่ใกล้พระอริยมรรคเหตุดังนั้นพระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีปัญญาปรารถนาจะยังปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ ให้บริบูรณ์ในสันดาน ก็พึงกระทำเพียรเจริญวิปัสสนาปัญญามีอุทยัพพยญาณเป็นต้น แต่บรรดาที่พ้นจากอุปกิเลสนั้น เจริญให้กล้าหาญตราบเท่าดำเนินขึ้นถึงอนุโลมญาณ ยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 35 นาที · มีการแก้ไข

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก สภาพของการเปลี่ยนแปลงของญานทัสสนะกถานั้น เมื่อเกิดขึ้น จะสามารถควบคุม จังหวะ น้ำเสียง ทำนอง การออกเสียง โดยตั้งอักษรสมมุติที่ปรากฎเป็นฐาน ไปสู่อักษรเสียงสมมุติที่จักแปล หรืออักษรที่เราสามารถเข้าใจโดยปกติอยู่แล้ว ทุกๆสิ่งทุกอย่างในกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน จึงทำให้สามารถเข้าใจและล่วงรู้ภาษาและเสียงสำเนียงต่างๆได้ และอีกลักษณะหนึ่งคือ การถ่ายทอดคือส่งญานทัสสนะกถาไปสู่อีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าใจ ได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า ระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง ผู้ส่งนั้นมีญานสูงส่งเพียงไร เป็นต้นว่า องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาจะทรงให้ผู้หนึ่งผู้หนึ่งผู้ใดหรือสัตว์หนึ่งสัตว์ใดรู้และเข้าใจ ในธรรม ในการพิจารณา หรือการตรัสรู้เห็นตามนั้น พระองค์ก็สามารถกระทำได้ เช่นส่งเสียงเรียกที่ได้ยินในภายใน รับรู้ภายในเป็นต้น แม้จะไม่ได้เอ่ยวาจาขยับพระโอษฐ์เลยก็ตาม

    ถูกใจ · ตอบกลับ · 21 นาที · มีการแก้ไข

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก เราขอกล่าวตามที่ได้รู้ได้ทราบตาม พระมัณตาณีบุตรเป็นแบบอย่าง ปฎิบัติอย่างไร เห็นอย่างไร รู้อย่างไร ก็กล่าวตามนั้น
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 24 นาที

    Aueychai Borriraj แม้ถามด้วยใจ ท่านตอบด้วยวาจา ****
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 23 นาที

    Aueychai Borriraj ท่านเพิ่ม "สัทธินทรีย์" ด้วยการทำให้รู้ได้ (ไม่ต้องถาม)
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 22 นาที · มีการแก้ไข

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก เป็นอย่างนั้นฯ มากมายยิ่ง เรียกได้ว่าเกินจะจินตนาการ
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 22 นาที

    Aueychai Borriraj ตรรก ที่ ท่านคึกฯ แสดง เหมือนเด็กปฐมสำหรับผู้ที่สัมผัสด้วยตน
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 21 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก โมฆะบุรุษผู้นั้น ไม่สามารถถูกนับเป็นผู้ถือทิฏฐิอันสมบูรณ์ได้ จึงผิดพลาดอย่างที่เห็น เป็นความแส่ มากด้วยตัณหา อย่างที่ทรงตรัสไว้
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 19 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ครั้งนั้นเราแจ้งว่าพรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้วธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มาก็แต่ว่าเมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย
    อุรุเวลสูตรที่ ๑
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 17 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก โมฆะบุรุษผู้ไม่เคารพสงฆ์ผู้มากด้วยปฎิสัมภิทาญาน ย่อมไม่ต้องกล่าวถึงเหตุกรณีอื่นเลยว่า จะคิดจะทำอะไรที่ผิดพลาดได้อีก สุดจะพรรณนา
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 15 นาที · มีการแก้ไข

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ก็ด้วยเหตุนั้น การแตกแยกของนิกายจึงเกิดขึ้น เพราะไม่ถือดีถือเอาตาม ผู้มีปฎิสัมภิทาญานผู้ซึ่งสามารถน้อมนำพระสัทธรรมมาปรากฎได้
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 13 นาที

    Aueychai Borriraj อริยุปวาท อันเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้น ต่อการบรรลุธรรม
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 13 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ฉนั้น ในธรณีสงฆ์ทั้งหลายฯ ในกาลบัดนี้ จะทำลายโมฆะบุรุษเหล่านั้น จำเป็นยิ่งที่ต้องใช้ปาฏิหาริย์ ๓ ประกอบ
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 12 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก กรรมนั้นหนักยิ่ง
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 11 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ปัญหาและฐานะของผู้ดำรงในปฎิสัมภิทาญาน ย่อมมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกับ ผู้สำเร็จธรรมในเหล่าอื่น เพราะเป็นกิจที่ต้องปฎิบัติ ไม่สามารถที่จะละทิ้งได้
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 9 นาที

    Aueychai Borriraj บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุกเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้.
    เลิกถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 9 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก แม้ข้อนั้นพระองค์ก็ทรงรู้ทรงทราบ บุพกรรม เจตนา ด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาของสัตว์ ซึ่งจะต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎรอย่างยาวนานเพราะไม่ดำรงกิจ รักษาจิตให้ดีงามอ่อนโยน จึงต้องรับผลกรรมในการกระทำ ด้วยอกุศลกรรมที่สร้างและที่ได้เคยสั่งสมไว้เป็นเหตุจึงไม่สามารถบรรลุธรรมในชาตินั้นได้ก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้มีบุญที่ได้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา นั่นถือเป็นกรรมที่มัดสัตว์เอาไว้ในชาติแล้ว จึงต้องเป็นไปตามกรรมซึ่งบุพกรรมนี้แลฯ ข้อนี้จึงมีได้ ด้วยพระญาน "เรารักราหุลพุทธชิโนรส ของเราอย่างไร เราก็รัก และมีจิตเมตตา ในพระเทวทัต ผู้มีจิตคิดประทุษร้ายต่อเรา ฉันนั้น"
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 5 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก หากพิจารณาให้เข้าถึงสภาวะอันยิ่งขึ้นไปอีกแล้ว ตามสภาวะธรรมของ ปฎิสัมภิทาญาน อยู่ในสถานะสภาวะที่กระทำให้เกิดความหวาดกลัว เกรงกลัว ถึงขั้นที่ต้องขอศิโรราบ ยอมพ่ายแพ้ โดยดุษฏี
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 2 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก สภาวะของพระสัทธรรมนั้น ให้ผลแตกต่างจาก อสัทธรรม นอกพระพุทธศาสนา
    ถูกใจ · ตอบกลับ · เมื่อสักครู่

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ผู้ที่ล่วงรู้ในปฎิสัมภิทาญาน ย่อมสามารถรู้ ฤทธิ์เดช คติ ทิฏฐิ แนวทาง สติปัญญา ของ อสัทธรรม นอกพระพุทธศาสนา หรือคติลัทธิที่ไปอื่นๆ อย่างแจ่มชัดด้วย ซึ่งเป็นมรรคสามัญผลที่ได้ติดตามกันมา มิใช่แต่เพียงในพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว ตามกำลังแห่งทัสสนะญาน
    ถูกใจ · ตอบกลับ · เมื่อสักครู่

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ปฎิสัมภิทาญาน กว้างขวางมากมายอย่างนี้ และอาจยิ่งขึ้นไปอีกกว่านี้ ประดุจใบประดู่บนต้นที่มิได้ทรงนำมา
    ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 นาที

    ปฎิสัมภิทาญาน วิชชาสามอภิญญาหก ฉนั้นในเรื่องนี้ บุคคลที่เข้าถึง ปฎิสัมภิทาญาน จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุด
    ถูกใจ · ตอบกลับ · เมื่อสักครู่


    เรื่องสำคัญที่น่ากลัวและน่าตกใจคือ ในหมู่พุทธบริษัทในตอนนี้เรียกได้ว่า "ไม่ทราบสถานะของ อสัทธรรม ไม่รู้จักฤทธิ์เดชอันน่าหวาดกลัวของมัน คิดว่าธรรมดาๆ อย่างที่รู้ที่เห็น จึงรู้สึกเฉยๆไม่มีอะไร?

    เกรงแต่ว่า หากมีผู้หนึ่งผู้ใดได้เข้าถึงสภาวะนั้นอันลึกลับของมันแล้ว จะไม่มีผู้ใดสามารถต้านฤทธิ์เดชและอานุภาพของมันไว้ได้ นอกจากจะได้ปฎิสัมภิทาญานและอุดมด้วยปาฎิหาริย์ ๓ เท่านั้นจึงจะสามารถต่อกรและรอดพ้นได้ เสียดาย ที่ไม่มีใครล่วงรู้และเห็นเหมือนอย่างเราเลย


    อหังการวิเศษมาร หรืออีกชื่อ คือ อสัทธรรม (มิจฉาทิฏฐิภายนอกพระพุทธศาสนา) เป็นเบอร์ ๑ ร้ายแรงร้ายกาจ
    สัทธรรมปฎิรูป (มิจฉาทิฏฐิภายในพระพุทธศาสนา) เป็นสิ่งแปลกแยกเป็นสนิมเป็นความผุกร่อน
    ศาสนาพุทธ มีเพียงแค่ สัทธรรมปฎิรูป ที่น่าเป็นห่วง เป็นไปตามพุทธทำนายอยู่แล้ว

    แต่ไม่น่ากังวลเท่า อสัทธรรม
    คือผลที่ได้รับ จากสัทธรรมปฎิรูป สัมมาทิฎฐิมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีการล่มสลาย๑
    แต่อสัทธรรม เป็น มิจฉาทิฏฐิอยู่แล้วโดยปรมัตถ์ ยังเพิ่มดรีกรีเข้าไปอีก คลื่นลมจึงเร็วแรงขึ้น มันทำลายสิ้นเสียทุกสิ่ง๑
    แต่ทว่า!! ความเจ็บปวดที่เกิดจากอามิสทายาทภายในนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่สุดๆจริงๆ



    การปฎิบัติธรรม พิจารณาธรรมทั้งหลายฯที่ได้แสดงมาเหล่านี้ ก็เพราะอยากให้สรรพสัตว์ได้พ้นภัยในวัฎรสงสาร
    ไม่ใช่เพื่อการสำเร็จมรรคผลส่วนตัว

    บอกตามตรง ที่ต้องออกบวชก็เพราะกลัว มีความขี้ขลาดแบบนี้ก็เพราะ
    กลัวมันมาทำร้ายผู้อื่นจนหมดสิ้นเหมือนในมหานิมิตของเราใน(วิปัสสนาญาณ ๙) กลัวมันทำลายบุคคลอันเป็นที่รัก กลัวมันทำลายสรรพสัตว์


    หากจะถามว่าเรากลัว ภัย ๕ ขนาดไหน ก็ขนาดที่เราต้อง สละโลก ใช้บาตรดินเผาไร้ฝา ไว้คิ้ว ครองผ้าบังสุกุลสามผืนตลอดชีวิต ฉันยาดอง อยู่โคนไม้ อยู่ป่า ตามนิสัย๔ รักษาศีลอุโบสถ สำรวมในพระปาฎิโมกขสังวรบริสุทธิศีล เพื่อให้ได้บรรลุ ปาฎิหาริย์๓ และร่วมมือป้องกันภัยที่ ๕ จนกว่าจะสิ้นใจ


    ต้องใช้ชีวิตร่อนเร่ เดินทางเร่รอน เหมือนนกพลัดถิ่นอาศัยร่มเงากิ่งไม้แล้วจากไป บิณฑบาตรเลี้ยงชีพ ทนอดทนอยาก น้ำท่าก็นานๆจะได้อาบ เนื้อตัวมอมแมม ทิ้งสันทัดเครื่องปูนั่ง ผ้าผ่อนสกปรกเปื้อนดินสีเศร้าหมอง ทิ้งลาภ ยศ เงินทอง ความรัก กามคุณ ๕ ใครบ้างที่จะไม่ชอบความสุขสบาย แต่มันจำเป็น ไม่ทำก็ไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็จะมีแต่ผู้ต้องการโจทก์ คงมีแต่สติวินัย เท่านั้นที่จะนำมาพิจารณาเราได้ ถ้าไม่แสดงฤทธิ์ต่อหน้าเขา นั่นคือหากได้ปาฎิหาริย์ ๓ แล้ว


    ใครที่มีปัญญาธรรมคงรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะปฎิบัติแบบนั้น แต่มันจำเป็นที่จะต้องสละภาชนะดิน เพื่อให้ได้ภาชนะทอง


    เราจะเป็นจะตายอย่างไร ก็ยังไม่รู้สึกรันทดคร่ำครวญเสียใจเท่านี้เลย คิดพิจารณาแล้วต้องน้ำตาตกทั้งนอกในจริงๆ


    เพราะนี่คือกรรมของเรา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2016
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ภัยในพระศาสนา

    ธาตุอันตรธานปริวัตต์
    คำว่า อัตรธาน คือ ความเสื่อมสูญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มี ๕ ประการ คือ
    ๑.ปริยัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระปริยัติ
    ๒.ปฏิบัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการปฏิบัติ
    ๓.ปฏิเวธอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการสำเร็จมรรคผลนิพพาน
    ๔.ลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งเพศสมณะ
    ๕.ธาตุอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระบรมธาตุ

    ปริยัติอันตรธาน

    พระปริยัติ ได้แก่พระไตรปิฏกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก ตราบใดที่พระไตรปิฏกยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ด้วยอาศัยการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏก เมื่อพระปริยัติเสื่อมถอยหาบุคคลที่จะศึกษาเล่าเรียนน้อย ศาสนาก็เสื่อมถอยตามไปด้วย การเสื่อมถอยแห่งพระปริยัตินั้นจะมีสิ่งบอกเหตุให้ทราบเป็นลำดับคือ
    เมื่อถึงกลียุคสมัย พระราชามหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี อีกทั้งหมู่อำมาตย์ราชเสนาบดี รวมทั้งอาณาประชาราษฏร์ทั้งในเมืองและชนบท ต่างพากันงดเว้นจากการประพฤติธรรม พากันหาความสุขสำราญตามอัธยาศัย ข่มเหงเบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินฟ้าอากาศก็วิปริต ผิดปกติฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาก็หายาก หมู่มนุษย์และสัตว์พากันลำบากเดือดร้อนขาดแคลนอาหารทั้งทรัพย์สินเงินทอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันอดอยากยากเข็ญแล้ว จตุปัจจัยไทยทานที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ดีมีสุขก็หายาก ภิกษุสงฆ์ก็พลอยได้รับความลำบากไปด้วย เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถสงเคราะห์กุลบุตรให้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติได้ ครั้นเมื่อพระปริยัติขาดผู้เล่าเรียนแล้วก็เสื่อมทรุดลงตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายจะไม่รู้ความหมายแห่งพระปริยัติ จะเหลือแต่บาลีอย่างเดียวแต่ขาดผู้รู้ความหมาย

    ในการเสื่อมสูญแห่งพระไตรปิฏกนั้น พระอภิธรรมปิฏกจะเสื่อมก่อน พระอภิธรรมนั้นมี ๗ คัมภีร์ ได้แก่
    ๑.พระสังคิณี
    ๒.พระวิภังค์
    ๓.พระธาตุกถา
    ๔.พระปุคคลบัญญัติ
    ๕.พระกถาวัตถุ
    ๖.พระยมก
    ๗.พระมหาปัฏฐาน

    ในพระอภิธัมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมลงจากยอด คือคัมภีร์มหาปัฏฐานก่อน ลำดับต่อไปก็เป็นคัมภีร์ยมก กถาวัตถุ จนถึงสังคิณี โดยลำดับ

    เมื่อพระอภิธรรมปิฏกเสื่อมแล้ว ถ้าพระสุตตันตปิฏกและพระวินัยปิฏกยังดำรงอยู่ ก็ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่เช่นกัน

    พระสุตตันตปิฏกนั้น เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมมาจากยอดคือ อังคุตรนิกายเสื่อมก่อน จากนั้นก็ถึง สังยุตนิกาย มัชฌิมนิกาย และทีฆนิกายเป็นสุดท้าย เมื่อทีฆนิกายเสื่อมแล้ว พระสุตตันตปิฏกจึงได้ชื่อว่าเสื่อมสูญ จากนั้นภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำซึ่งชาดกต่างๆ ได้ และชาดกที่จะเสื่อมเป็นชาดกแรกก็คือ เวสสันดรชาดก

    ต่อจากนั้น ภิกษุทั้งหลายก็จะทรงจำไว้ซึ่งพระวินัยปิฏกเพียงอย่างเดียว ครั้นเวลาล่วงไป พระวินัยปิฏกก็เสื่อมลงเป็นปิฏกสุดท้าย และเมื่อเสื่อมคัมภีร์บริวารจะเสื่อมเป็นคัมภีร์แรก ต่อจากนั้นก็เป็นคัมภีร์ขันธกะ คือ จุลวรรค คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภิกขุณีวิภังค์ เสื่อมลงมาตามลำดับ จึงได้ชื่อว่าพระวินัยปิฏกเสื่อมสูญ

    แม้กระนั้น พระปริยัติก็ชื่อว่าไม่เสื่อม ถ้าตราบใดที่ยังมีบุคคลสามารถจำคาถาแม้ไม่มากเพียง ๔ บาทเท่านั้น พระปริยัติก็ยังชื่อว่าไม่อันตรธาน แต่ถ้าเมื่อใด หาผู้รู้คาถาเพียง ๔ บาทนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อนั้น พระปริยัติ ชื่อว่าอันตรธานสูญสิ้นหาเศษมิได้

    ปฏิบัติอันตรธาน

    กาลเวลาผ่านไป ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะบำเพ็ญเพียรปฏิบัติให้เกิดฌาน วิปัสสนาและ มรรคผลได้ จะยังคงรักษาอยู่แต่ปาริสุทธิศีล ๔ เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านนานไปภิกษุทั้งหลายพากันเบื่อหน่ายต่อการที่จะรักษาให้บริสุทธิ์ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์ในการรักษาพากันเลิกละความเพียร มีแต่ความเกียจคร้านล่วงละเมิดอาบัติน้อยใหญ่ หมดสิ้นความละอาย แม้กระนั้นถ้าหากยังมีภิกษุทรงไว้ ซึ่งปาราชิกสิกขาบทอยู่แล้วปฏิบัติ ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน ต่อเมื่อไม่มีภิกษุสำรวมรักษาปาราชิกสิกขาบทแล้ว จึงได้ชื่อว่าปฏิบัติอันตรธาน

    ปฏิเวธอันตรธาน

    พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า ถ้ายังมีบุคคลสำเร็จเป็นพระโสดาบันแม้เพียงผู้เดียว ก็ยังชื่อว่าปฏิเวธยังดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกนี้หาผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลไม่มีเลยนั้น ปฏิเวธ ก็ได้ชื่อว่าถึงกาลอันตรธาน



    ต่อไปภายภาคหน้า ภิกษุทั้งหลายมีปฏิปทาไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส จะอยู่ในอิรอยาบถใดก็ไม่สำรวมเหมือนพวกเดียรถีย์ไม่มีความสำรวม ประพฤตินอกรีดอนาจารต่างๆ ผิดเพศภิกษุซึ่งเป็นพุทธสาวก แม้กระนั้นก็ยังชื่อว่าเพศสมณะ ยังไม่ถึงกับอันตรธาน

    แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ภิกษุทั้งหลายไม่ใช้ผ้าไตรจีวรมีสีอันควรแก่สมณเพศ เห็นว่าสีผ้ากาสาวพัสตร์ไม่มีความสำคัญ จากนั้นก็พากันละทิ้งบริขารแม้กระทั้งไตรจีวร พากันประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวทั้งบุตรและภรรยา จะมีก็แต่เศษผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ห้อยอยู่ที่คอหรือผูกไว้ที่ข้อมือเท่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นพระภิกษุ สมดังพระดำรัสที่ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า

    “ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน”

    ถึงแม้ภิกษุทั้งหลายจะมีความเป็นอยู่ย่อหย่อนถึงเพียงนั้น ก็ชื่อว่าเพศภิกษุยังคงอยู่ไม่อันตรธาน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุเหล่านั้นพากันละทิ้งผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ที่ติดตัวอยู่นั้นเสีย จึงได้ชื่อว่า ลิงคอันตรธาน คือเพศภิกษุสูญสิ้นไม่เหลือเศษอีกต่อไป

    ธาตุอันตรธาน

    ธาตุอันตรธานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ พระบรมธาตุนิพพาน “ และคำว่านิพพานนั้นมี ๓ ประการ คือ
    ๑. กิเลสนิพพาน คือการตรัสรู้ที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์
    ๒. ขันธนิพพาน คือการดับเบญจขันธ์ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา
    ๓. ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต

    การนิพพานแห่งพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระบรมศาสดาที่ประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ เมื่อไม่มีผู้สักการะบูชาพระบรมธาตุก็จะเสด็จไปยังถิ่นประเทศที่มีคนเคารพสักการบูชา จวบจนวาระสุดท้ายมาถึง ทั่วทุกถิ่นประเทศหาผู้สักการบูชาไม่มีเลย พระบรมธาตุทั้งหลายจากโลกมนุษย์ เทวโลกและนาคพิภพ จะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ทั้งหมด แล้วรวมกันเป็นรูปของพระพุทธองค์ ทรงประดิษฐ์สถาน ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ในที่นั้น แต่ในครั้งนี้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจะมิมีผู้ใดได้เห็นพระองค์เลย

    ฝ่ายเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล จะพากันมาประชุม ณ ที่นั้น ต่างก็กรรแสงโศกาอาดูรเหมือนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้นที่พระสรีรธาตุเผาผลาญพระบรมธาตุจนหมดสิ้นหาเศษมิได้ เข้าถึงซึ่งความสูญหายไปจากโลก ได้ชื่อว่า “พระบรมธาตุนิพพาน”

    อายุกาลแห่งพระพุทธศาสนาก็สิ้นสุดลง ในบัดนั้น
    เมื่อพระบรมธาตุนิพพานแล้ว เหล่าเทพยดาพากันทำสักการบูชาแล้ว ทำประทักษิณสิ้น ๓ รอบเสร็จสิ้นต่างก็พากันกลับสู่วิมานของตนๆ ในเทวโลก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ตติยอนาคตสูตร

    ว่าด้วยภัยในอนาคต ๕ ประการ


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ยังไม่บังเกิดในปัจจุบัน แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ภัยในอนาคต ๕ ประการเป็นไฉน คือ


    ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล
    ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญาจักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
    แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา
    ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.



    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ก็จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาแม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.



    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อแสดงอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิดก็จักไม่รู้สึก เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรมการลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.



    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา พระสูตรต่าง ๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้งมีอรรถลึกซึ้งเป็นโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม เมื่อพระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่าง ๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบทกวี มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต เมื่อพระสูตรเหล่านั้น อันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อรู้ จักฝักใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมี เพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมี เพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.




    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา
    เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา ภิกษุผู้เถระก็จักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน
    เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
    เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ประชุมชนรุ่นหลังก็จักถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง
    แม้ประชุมชนนั้นก็จักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด
    จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง
    เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมี เพราะการลบล้างวินัย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อัน
    เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป
    ภัยเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ
    ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น.

    จบตติยอนาคตสูตรที่ ๙

    ข้อนี้พระองค์ทรงทราบแล้วไว้โดยเฉพาะ และทรงทราบแล้วว่า บัณฑิตเหล่านั้นในกาลต่อไป จะบรรลุธรรม และสามารถผ่านพ้นภัยนี้ไปได้

    ใครจะรู้จะเข้าใจได้มากเท่าผู้มีปฎิสัมภิทาญาน ไม่ใช่ฐานะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2016
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผู้อยู่ป่าชนะภัย ๕ อย่าง.
    บาลี พระพุทธภาษิต ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๑๕/๗๗.

    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคตเหล่านี้ มีอยู่ ๕ ประการ ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว. ภัยในอนาคต ๕ ประการนั้นคืออะไรบ้างเล่า? ห้าประการคือ:


    (๑) ภิกษุผู้อยู่ป่าในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ผู้เดียวในป่า งูพิษ หรือแมลงป่อง หรือตะขาบ จะพึงขบกัดเราผู้อยู่ผู้เดียวในป่า, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อแรก อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๒) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เราจะพึงพลาดตกหกล้มบ้าง อาหารที่เราบริโภคแล้ว จะพึงเกิดเป็นพิษบ้าง น้ำดีของเรากำเริบบ้าง เสมหะของเรากำเริบบ้าง ลมมีพิษดั่งศัสตราของเรากำเริบบ้าง, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สอง อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๓) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึง มาร่วมทางกันด้วยสัตว์ทั้งหลาย มีสิงห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว, สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สาม อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๔) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึงมี มาร่วมทางด้วยกันพวกคนร้าย ซึ่งทำโจรกรรมมาแล้วหรือยังไม่ได้ทำ (แต่เตรียมการจะไปทำ) ก็ตาม, พวกคนร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่สี่ อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๕) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า พวกอมนุษย์ดุร้ายก็มีอยู่ในป่า พวกมันจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา,เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่ห้า อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคต ๕ ประการเหล่านี้แล ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ทีจะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อธิบายซ้ำซากๆ แต่สำคัญจำเป็นเป็นเรื่องที่มีแต่บัณฑิตจึงจะมีวิสัยที่รู้แจ้งว่าควรพิจารณา

    ภัยภายในของศาสนาพุทธ มีเพียงแค่ อามิสทายาท และ สัทธรรมปฎิรูป
    คือผลที่ได้รับ จากสัทธรรมปฎิรูป สัมมาทิฎฐิมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีการล่มสลาย๑
    เป็นไปตามกรรมพุทธพยากรณ์อยู่แล้ว ในพระพุทธศาสนา

    แต่ อสัทธรรม เป็น มิจฉาทิฏฐิอยู่แล้วโดยปรมัตถ์ ยังเพิ่มดรีกรีเข้าไปอีก คลื่นลมจึงเร็วแรงขึ้น มันทำลายสิ้นเสียทุกสิ่ง๑

    ที่สำคัญนั่นคือระหว่าง การที่ได้พบเห็นการปรากฎของพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ดั้งเดิม และ การที่ได้เห็นการปรากฎของคัมภีร์มารคือคำสั่งสอนของมารนอกพระพุทธศาสนาโดยยกทั้ง ๒อย่างนี้เป็นหลักในการพิจารณาในขั้นที่๑
    ประเภทที่๑.๑
    {เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิมทางพุทธศาสนา} และ ‪#‎คัมภัร์อักขระพยัญชนะมาร‬# ที่ไม่ใช่ไม่เหมือนกับที่ถูกตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อยู่ในฐานะเป็น{ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม} และ ‪#‎อหังการวิเศษมาร‬# แตกต่างกันชัดเจน
    และ

    ยกทั้งสองอย่างที่ปรากฎเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในกาลปัจจุบันคือ การปรากฎของพระสัทธรรมที่คงเหลืออยู่จริง และ การปรากฎของสัทธรรมปฎิรูปที่เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นหลักพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในขั้นที่ ๒

    ประเภทที่ ๒.๒ เป็นพระไตรปิฏกจารึก {พระสัทธรรม} ที่แท้จริง ที่หลงเหลือบันทึกอยู่จริงในพระไตรปิฏกที่แม้จะแตกแยกนิกายออกไป แต่ยังมีอยู่เหมือนเดิม และ ‪#‎สัทธรรมปฎิรูป‬# อันเป็นคำส่งสอนที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยจริตธรรมของการยอมรับตกลงในมิจฉาชนหมู่มากที่แสวงอื่น ไม่ใช่พระธรรมแท้ที่มีอยู่จริง ไม่มีมรรคผลเป็นที่รองรับ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่มิจฉาทิฐิ อย่างเช่น แอบอ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกแต่อย่างนั้นไม่ถูกเป็นต้น

    เพราะนี่เป็น วัฎจักรของมาร เป็นผู้หมุนทวนพระธรรมจักร ของ[พระพุทธเจ้า] เหตุผลนี้กว้างขวางนัก พิจารณาดูตามกาลเถิด เวลาผันผวน สิ่งต่างๆจึงปรวนแปรตาม

    ใจความที่จะกล่าวนั้น เป็นการแสดงถึงตัณหาความทะยานอยากของมนุษย์ที่มีมากขึ้นไม่รู้จักจบจักพอ

    มาร 5
    สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี,
    ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม

    1. กิเลสมาร มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบ
    ความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
    2. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้ง
    กันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิ
    เป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึง
    กับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง
    3. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ
    ชราเป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์
    4. เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะ
    เป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดย
    ชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้
    5. มัจจุมาร มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปใน
    คุณความดีทั้งหลาย

    เสพกามคุณ ๕ เป็นทาสมารโดนอายตนะมารเล่นงานจนเป็นทาสของมายาคติไปทั่วบ้านทั่วเมือง เปิดหนังดูทีวีสื่อละครโฆษณาแล้วก็เห่อไปตามหลงไปตามเข้าเสนอเสื้อผ้าเครื่องแบบแฟชั่นของกินของใช้เครื่องนุ่งหุ่มรถราม้าช้างเที่ยวสนุกเล่นอร่อย อะไรๆ

    เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ หลงกันหลอกลวงกันไปหมดแล้วย่อยยับสิ้นดี


    อย่าคิดว่าพวกมาร ๕ นี้จะอยู่เฉยๆ และไม่มีพิษสงอะไร แม้ตอนนี้โดนเข้ากับตัวแล้วก็ยังไม่รู้สึกนี่สิ จริงๆตายทั้งเป็นไปแล้ว

    หากไม่ถึงที่สุดด้วยกาล บอกไปก็เท่านั้น!

    มหานิมิตวิปัสนาญาน ๙
    (ด้วยมหานิมิตแห่งเรา ในกาลนั้น ได้ปรากฎต้นไม้พฤกษชาติที่มีขนาดใหญ่โต หนึ่งต้น ขนาดมหึมาที่สุด สูงกว่าเหล่าบรรพตทั้งหลายในโลกธาตุนี้ นั่นคือเท่าที่จะประมาณได้ เราปรากฎในรูปของบรรพชิต นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ ปลายลำต้นไม้นั้น ที่แยกแตกออกเป็นเสนาสนะแห่งเราโดยเฉพาะ ท้องฟ้านภาอากาศมีสีแดงเทาดำชวนให้เศร้าหมอง เราเหลือบมองดูผืนพสุธาที่ครุ่กกรุ่นด้วย ถ่านเพลิงมหาไฟประลัยกันต์เหล่านั้น ด้วยความปลงตกสังเวชใจ เราครุ่นคิดพิจารณาอยู่หนอว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดสภาวะขึ้นกับโลกธาตุนี้ เราไม่อาจจักเห็น น้ำ หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นใดเลย นอกจากเราเองและพฤกษชาตินั้น)

    คนที่ไม่รู้อะไรเลย ในมหานิมิตของเรา ในสุดสายตาไม่เหลือสิ่งมีชีวิตเลยท่านเอย เรานั่งขัดสมาธิบนต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด เราไม่อยากให้เกิด อยากให้เผื่อใจ เพราะอาจไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด เพราะ มันมี คัมภีร์อักขระพยัญชนะมารหรืออหังการวิเศษมาร แต่พวกเราไม่มี[พระพุทธเจ้า]เหมือนดั่งสมัยพุทธกาลแล้ว ผู้รู้คัมภีร์พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิมทิพยวิเศษบริสุทธิธรรมชนิดชัดเจน แจ่มแจ้งหมดก็ไม่มีจุติมา มีแต่พอรู้ว่ามีอย่างเราและบัณฑิตผู้ใฝ่ศึกษา


    ทรงเตือน
    ปโลภสูตร

    ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาต่อบุรพพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า แต่ก่อนโลกนี้ ย่อมหนาแน่นด้วยหมู่มนุษย์ เหมือนอเวจีมหานรก บ้านนิคมชนบทและราชธานี มีทุกระยะไก่บินตก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท


    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรมมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ต่างก็ฉวยศาตราอันคมเข้าฆ่าฟันกันและกันเพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็น
    บ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรมเมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้น จึงเกิดทุพภิกขภัย ข้าวกล้าเสีย เป็นเพลี้ย ไม่ให้ผล เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรมเมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจลงไว้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก

    ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ

    พราหมณ์มหาศาลนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

    ทรงเน้นย้ำ
    . อาณิสูตร
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา
    โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
    จบสูตรที่ ๗


    อรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ ด้วยสุญญตธรรม จะมีใครสามารถแสดงอย่างนั้นได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีปฎิสัมภิทาญาน และบุุคคลเช่นนั้นจะปรากฎขึ้นในอนาคต อุบัติจุติและบรรลุธรรมและน้อมนำพระสัทธรรมนั้นมาแสดง





    ปัญญัติสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบัญญัติซึ่งสิ่งที่เลิศ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ผู้มีอัตภาพ (ใหญ่) อสุรินทราหูเป็นเลิศ
    บรรดาบุคคลผู้บริโภคกาม พระเจ้ามันธาตุราชเป็นเลิศ
    บรรดาผู้ใหญ่ยิ่ง มารผู้มีบาปเป็นเลิศ

    พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันโลกกล่าวว่าเป็นเลิศในโลกทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบัญญัติสิ่งที่เลิศ ๔ ประการเหล่านี้แล ฯ
    บรรดาสัตว์ผู้มีอัตภาพ (ใหญ่) อสุรินทราหูเป็นเลิศ
    บรรดาบุคคลผู้บริโภคกาม พระเจ้ามันธาตุราชเป็นเลิศ
    บรรดาผู้ใหญ่ยิ่ง มารเป็นเลิศ

    พระพุทธเจ้าผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ อันโลกกล่าวว่าเป็นเลิศในโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั่วภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์ ทั้งเบื้องบน ท่ามกลาง และเบื้องต่ำ ฯ
    จบสูตรที่ ๕

    เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๓ เหล่านี้ จะไม่รู้เหตุของเรื่องนี้ คือ เหตุของภัยที่ ๕

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องว่าง แห่งบุญพลานิสงส์ที่บำเพ็ญมาดีแล้ว ด้วยเหตุนี้แล มนุษย์เมื่อฝึกตนดีแล้วเป็นผู้มีธรรมอันประเสริฐ จึงเป็นผู้ที่ เทพ เทวดา มาร พรหม ฯต่างให้การเคารพสักการะ ดังนี้แลฯ


    ยกเว้นไว้ ณ ที่สูงยิ่งโดยเฉพาะพระพุทธเจ้าที่เคารพศรัทธาของเราท่านทั้งหลายฯ


    จงเข้าใจว่าเราเป็นผู้มีฐานะเป็นผู้ถือทิฏฐิได้ และก็ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ และก็รู้เห็นการเป็นไปตามที่รู้ที่เห็นที่พิจารณามาด้วยตนเอง ตามองค์พระสุคตเจ้าทรงได้แสดงไว้เฉพาะ ไม่ใช่เพ้อเจ้อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2016
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เคยดูคลิปเจ้าของพุทธวจนะ

    แนะนำคัมภีร์พุทธวจน แล้วรู้สึกว่า
    โฆษณาเกินจริงจนถึงขั้นเรียก
    ได้ว่า
    โม้ไม่ยั้งมือ....แมวฟังยังรู้สึกเขินแทน
    ถึงการ
    แอบอ้างทับถมพระไตรปิฎกและ
    อรรถกถาทั้งหลายว่าเป็นของปลอมหน้า
    ตาเฉย
    และยกหนังสือที่ตนเองแต่งใหม่ว่าเป็นของแท้ ช่างกล้าพูด
    ไม่กลัวน้ำร้อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...