สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ภัยที่ ๕

    http://pantip.com/topic/33698747


    ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่มีความรู้แบบนั้น เป็นแต่นักวิชาการ บังเอิ้ญ บังเอิญ แบบว่า ไปรู้ไปเห็นมาพอดี เลยนำมาให้วิเคราะห์ กันแบบมุดน้ำดำเมฆสุดมโนกัน

    รวมเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่โลกจดจำ

    http://www.geothai.net/big-earthquakes/

    แผ่นดินไหววาลดิเวีย (1960 Valdivia Earthquake)

    22 พฤษภาคม พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)

    แผ่นดินไหวที่ประเทศชิลีครั้งนี้มีความรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงแมกนิจูด 9.5  ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นชุดของแผ่นดินไหวที่เกิดต่อเนื่องกันหลายชั่งโมง คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นตามมาได้กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนชายฝั่งชิลีก่อนที่จะเคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปบดขยี้ฮาวายต่อ  แผ่นดินถล่ม น้ำท่วมและการระเบิดของภูเขาไฟ Puyehue ในชิลีได้เกิดตามมาอีกหลังจากเกิดแผ่นดินไหวได้เพียง 2 วัน จากรายงานพบว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,700 ราย ทรัพย์สินเสียหายมูลค่า 675 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในชิลี อะแลสกา ฮาวาย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

    ข้อมูลเพิ่มเติม http://pubs.usgs.gov/circ/c1187/
    http://earthquake.usgs.gov/regional/world/events/1960_05_22.php

    หายนะแผ่นดินไหว
    http://www.dailynews.co.th/article/393466

    แผ่นดินไหวที่เนปาลเริ่มมาเรื่อยๆแล้วสินะ จากที่ไม่ได้เกิดมา๘๐ปี เราเปิดภัยที่๕ ไม่ถึงอาทิตย์ ก็เริ่มเกิดเหตุเสียแล้ว และจะหนักขึ้นไปจนธารลาวานั้นเปิดขึ้นบนผืนดิน ตราบใดที่ไม่ใส่ใจ ก็จะไม่รู้อะไรเลย? สุดท้ายก็จะเป็นเหมือนในมหานิมิตของเรา เฮ้อ รู้ตัวเมื่อสาย

    เนปาล คือ ที่ไหน? เป็นสถานที่อะไร? เกี่ยวพันอะไร?

    เนปาล 'แดนกำเนิดพุทธองค์'


    https://www.google.co.th/url?sa=t&r...DIrSJhS4xSKU5at6w&sig2=IGpLnvBbT2uT_QdOExiBXA

    ๔ ปีที่พยายามสั่งสมภาวะ สุดท้ายมาเผยในราตรีเดียว

    จะมีผู้ใดเข้าใจบ้างนะ
    แก้ไขปริศนาธรรมได้สำเร็จโดยใช้ระยะเวลาเกือบ ๔ ปี นับหลังจากบอกลาสิกขาในห้วงออกพรรษาปี ๒๕๕๔
    สิ้นสุดตรงวันเวลาที่
    ๐๙.๔๘ ๑๓/๔/๒๕๕๘
    {O}สำหรับข้าพเจ้าได้นอนหลับพักสักครู่นี้ไปแล้วพิจารณารู้ คือตั้งข้อสงสัยก่อนหลับ เมื่อพิจารณารู้ในนิมิต จึงตื่นขึ้นมาเพื่อแสดงอรรถาธิบายที่สำคัญ จึงขอใช้คำจำกัดความสิ่งที่เกิดขึ้นตามแรงที่จะอธิษฐานเหล่านี้ว่า
    ขอให้สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นทั้งหมดนี้ ที่สำคัญนั่นคือระหว่าง การที่ได้พบเห็นการปรากฎของพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ดั้งเดิม และ การที่ได้เห็นการปรากฎของคัมภีร์มารคือคำสั่งสอนของมารนอกพระพุทธศาสนา
    โดยยกทั้ง ๒อย่างนี้เป็นหลักในการพิจารณาในขั้นที่๑
    ประเภทที่๑.๑
    {เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิมทางพุทธศาสนา} และ ‪#‎คัมภัร์อักขระพยัญชนะมาร‬# ที่ไม่ใช่ไม่เหมือนกับที่ถูกตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อยู่ในฐานะเป็น{ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม} และ ‪#‎อหังการวิเศษมาร‬# แตกต่างกันชัดเจน
    และ
    ยกทั้งสองอย่างที่ปรากฎเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในกาลปัจจุบันคือ การปรากฎของพระสัทธรรมที่คงเหลืออยู่จริง และ การปรากฎของสัทธรรมปฎิรูปที่เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นหลักพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในขั้นที่ ๒
    ประเภทที่ ๒.๒ เป็นพระไตรปิฏกจารึก {พระสัทธรรม} ที่แท้จริง ที่หลงเหลือบันทึกอยู่จริงในพระไตรปิฏกที่แม้จะแตกแยกนิกายออกไป แต่ยังมีอยู่เหมือนเดิม และ ‪#‎สัทธรรมปฎิรูป‬# อันเป็นคำส่งสอนที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยจริตธรรมของการยอมรับตกลงในมิจฉาชนหมู่มากที่แสวงอื่น ไม่ใช่พระธรรมแท้ที่มีอยู่จริง ไม่มีมรรคผลเป็นที่รองรับ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่มิจฉาทิฐิ อย่างเช่น แอบอ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกแต่อย่างนั้นไม่ถูกเป็นต้น
    จุดประสงค์ของอรรถาธิบายสาธยาย
    ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้พระสัทธรรมนั้นได้เลือนลางหายไปจากเหล่าพุทธบริษัทสาธุชนทั้งหลาย จากการปรากฎของอสัทธรรมอื่นคือการปรากฎคำสั่งสอนของพญามารที่จะรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน ที่สำคัญเพื่อให้รักษาพระสัทธรรมแท้ไม่ให้เกิดสัทธรรมปฎิรูปเกิดขึ้นได้ในบวรพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณาตามเถิด ท่านบัณฑิตทั้งหลายผู้เป็นนักวิชาการบ้าง เป็นผู้มีความรู้ยิ่งบ้าง เป็นอริยะบุคคลบ้าง เป็นพระเสขะ พระอเสขะบ้าง จงพิจารณาตามที่เราได้สาธยาย โดยพิศดารถึงมูลเหตุอันจะพึงมี พึงเกิดขึ้น และพึงเป็น นับตั้งแต่ที่ท่านได้ล่วงรู้อรรถาธิบายตามนี้เถิด{O}


    ข้าพเจ้าได้แก้ไขข้อข้องใจ ในปริศนาธรรมในประการนี้ถึงที่สุดแล้ว



    เมื่อ 13:11 ตามเวลาไทยของวันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2558 โลกต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ถึง 7.8 Mw โดยมีจุดศูนย์กลางห่างออกไป 34 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลัมจุง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกาฐมาณฑุและโปขรา ในประเทศเนปาล สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทั้งต่อชีวิตและทรัพสิน โดยมีโบราณสถานต่างๆพังเสียหายมากมาย

    สาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้ มาจากการสะสมพลังของจุด Locking line ราว 80ปี นับจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 8.0 ในเนปาลเมื่อปี พ.ศ.2477 ทั้งนี้แผ่นเปลือกโลกอินเดียนั้น โดยปกติจะเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศเหนือตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยมีอัตราความเร็วในการเคลื่อนตัวประมาณ 2.0 เซ็นติเมตรต่อปี ขอบบนของแผ่นเปลือกโลกอินเดีย จะเบียดเข้ากับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของทวีปเอเชียและยุโรป การเบียดกันได้ดันแผ่นดินให้สูงขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่หลายล้านปีที่แล้ว (หิมาลัยทุกวันนี้ก็ยังคงมีความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) โดยในการเบียดตัวขึ้นทางเหนือนี ้แผ่นปลือกโลกอินเดียซึ่งมีความหนาแน่นสูงกว่าเปลือกโลกยูเรเซียจะเป็นฝ่ายมุดตัวลงด้านล่าง การมุดตัวแบบนี้เมื่อนานไปปีจะทำให้เกิดจุดล็อกเนื่องจากความไม่เรียบของเปลือกโลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกอินเดียเคลื่อนตัวต่อไปทางเหนือไม่สะดวก เกิดการสะสมแรงกดดันขึ้น จนสุดท้ายก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ออกมา ในลักษณะแบบ Reverse thrust  ดังเช่นแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ที่เกิดขึ้นมาครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลตามที่เป็นข่าว เนื่องจากประเทศเนปาลนั้น ต้งอยู่ที่ขอบรอยเลื่อนพอดี

    http://www.geothai.net/big-earthquakes/




    รูปวงแหวนไฟ นี่เล่นกันบ่อยจริงๆเลยนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2016
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น กามกามา ลปยนฺติ สนฺโต
    สัตบุรุษ ไม่ปราศรัยเพราะอยากได้กาม



    พิจารณา


    ใครพิจารณาออก โยงให้เป็นมีหลักมีฐานมีมูล ก็จะรู้เรื่องของชาวบ้านและสัตว์นั้นแลฯ



    บุรุษและสตรีพึงเข้าหากันเพราะมีความปรารถนา
    ๑.ปรารถนาในกาม(ลามก)
    ๒.ปรารถนาในมิตร(สหาย)
    ๓.ปรารถนาในทรัพย์(ลาภ,ทรัพย์สินเงินทอง)
    ๔.ปรารถนาในบุตร(ดำรงตระกูล)
    ๕.ปรารถนาในเกียรติ(ยศ,สรรเสริญ,ยินดี)
    ๖.ปรารถนาในความสุข(อื่นๆ)
    ๗.ปรารถนาในอายุ(รักษาชีพ)
    ๘.ปรารถนาในรัก(ครองชีวิตคู่)
    ๙.ปรารถนาความทุกข์(เรียนรู้ทุกข์,เสพทุกข์)
    ๑๐.ปรารถนาในการนินทา(คำว่าร้ายจากผู้อื่น,ประชดชีวิต)
    ๑๑.ปรารถนาชีพ(เอาชีวิต)
    ๑๒.ปรารถนาร้าย(ให้ร้าย,เกลียดชัง,ข่มขู่,รังแก,ข่มเหงน้ำใจ)
    ๑๓.ปรารถนากุศล(ตอบแทน,ร่วมบุญ,สรรสร้าง)
    ๑๔.ปรารถนาการพลัดพราก(เลิกลา,หย่าร้าง,สั่งเสีย)
    ๑๕.ปรารถนาความรู้(วิชาการ)
    ๑๖.ปรารถนาธรรม(ความเจริญในรสพระธรรม)
    ๑๗.ปรารถนาเพื่อปกป้องคุ้มครอง(ดูแล,รักษา)
    ๑๘.ปรารถนารับใช้(ช่วยเหลือ,ส่งเสริม,ให้)
    ๑๙.ปรารถนาทาส(การรับใช้,บำเรอ)
    ๒๐.ปรารถนาอวด(แสดง,โชว์,ล่อให้สนใจ)
    ๒๑.ปรารถนาเล่นสนุก(ไม่จริงจัง,ฆ่าเวลา,หลอกล่อด้วยจริตมารยา)
    และ เพราะถูกบังคับ


    รู้แล้วก็เอาเวลาที่มีค่านั้น มารู้เรื่องของตนเองบ้าง ว่าไปถึงไหนแล้ว เฝ้าพิจารณาอยู่เนืองๆ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ เหล่านี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ คือ

    ๑. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนืองๆ ก็จะละความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้สิ้นเชิง หรือความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น จะลดน้อยลงไปเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้


    ๒. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในความไม่มีโรคของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนืองๆ ก็จะละความเมาในความไม่มีโรคนั้นได้สิ้นเชิง หรือความเมาในความไม่มีโรคนั้น จะลดน้อยลงไป เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้

    ๓. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนืองๆ ก็จะละความเมาในชีวิตนั้นได้สิ้นเชิง หรือความเมาในชีวิตนั้น จะลดน้อยลงไป เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

    ๔. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความติดด้วยอำนาจแห่งความพอใจ ในสิ่งอันเป็นที่รัก ของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนืองๆ ก็จะละความติดด้วยอำนาจแห่งความพอใจในสิ่งอันเป็นที่รักได้สิ้นเชิง หรือความติดด้วยอำนาจแห่งความพอใจในสิ่งอันเป็นที่รักนั้น จะลดน้อยลงไป เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง

    ๕. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุจริตทางกาย วาจา ใจ ของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนืองๆ ก็จะละทุจริตได้สิ้นเชิง หรือทุจริตนั้น จะลดน้อยลงไป เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๘๑

    มหาลิสูตร
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน
    ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล กษัตริย์ลิจฉวีพระนามว่ามหาลี ได้เสด็จเข้าไปเฝ้า

    พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ
    ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม แห่งความเป็นไปแห่ง
    บาปกรรม พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาลี โลภะแลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
    แห่งการทำบาปกรรม แห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ดูกรมหาลี โทสะแล ...
    โมหะแล ... อโยนิโสมนสิการแล ... ดูกรมหาลี จิตอันบุคคลตั้งไว้ผิดแล
    เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม แห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ดูกร
    มหาลี กิเลสมีโลภะเป็นต้นนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม
    แห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ฯ
    ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการทำ
    กัลยาณกรรม แห่งความเป็นไปแห่งกัลยาณกรรม ฯ

    พ. ดูกรมหาลี อโลภะแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำกัลยาณกรรม
    แห่งความเป็นไปแห่งกัลยาณกรรม ดูกรมหาลี อโทสะแล ... อโมหะแล ...
    โยนิโสมนสิการแล ... ดูกรมหาลี จิตอันบุคคลตั้งไว้ชอบแล เป็นเหตุเป็น
    ปัจจัยแห่งการทำกัลยาณกรรม แห่งความเป็นไปแห่งกัลยาณกรรม ดูกรมหาลี
    ธรรมมีอโลภะเป็นต้นนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำกัลยาณธรรม แห่งความ
    เป็นไปแห่งกัลยาณธรรม ดูกรมหาลี ถ้าธรรม ๑๐ ประการนี้แลไม่พึงมีในโลก
    ชื่อว่าความประพฤติไม่สม่ำเสมอ คือ ความประพฤติอธรรม หรือความประพฤติ
    สม่ำเสมอ คือ ความประพฤติธรรม ก็จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้ ดูกรมหาลี
    ก็เพราะธรรม ๑๐ ประการนี้มีพร้อมอยู่ในโลก ฉะนั้น ชื่อว่าความประพฤติไม่
    สม่ำเสมอ คือ ความประพฤติอธรรม หรือความประพฤติสม่ำเสมอ คือ
    ความประพฤติธรรม จึงปรากฏ (ในโลกนี้) ฯ

    จบสูตรที่ ๗

    อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิต
    พึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า
    เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า การเลี้ยงชีพ
    ของเราเนื่องด้วยผู้อื่น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า อากัปกิริยาอย่างอื่น
    อันเราควรทำมีอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมติเตียนตนเองได้
    โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
    ผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
    เนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ บรรพชิตพึง
    พิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม
    มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใด
    ดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
    เนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
    เนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ
    ว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรม
    อันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว
    จักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการ
    นี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ฯ

    จบสูตรที่ ๘


    สรีรัฏฐธรรมสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันตั้งอยู่ในสรีระ ๑๐ ประการนี้
    อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ความหนาว ๑
    ความร้อน ๑ ความหิว ๑ ความกระหาย ๑ ความปวดอุจจาระ ๑ ความปวด
    ปัสสาวะ ๑ ความสำรวมกาย ๑ ความสำรวมวาจา ๑ ความสำรวมอาชีพ ๑
    ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งภพ อันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อไป ๑ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ธรรมอันตั้งอยู่ในสรีระ ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณา
    เนืองๆ ฯ

    จบสูตรที่ ๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2019
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    หน้าที่เรา คือการรักษา {O}อภยปริตร{O}

    ด้วยพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์เป็นผู้นำคติกตัญญูกตเวทิตา นำเราออกมาจากอสัทธรรมของเดียร์ถีย์

    มหาปณิธานของพระโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร

    "หากยังมีสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ จักไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ"

    https://youtu.be/areeNoJfjxU

    https://youtu.be/lxIQRFv-CJs

    มหาปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์

    “เมื่อโปรดสรรพสัตว์หมดสิ้นแล้วจึงจะสำเร็จโพธิญาณ หากนรกยังไม่ว่างจะไม่ขอสำเร็จพุทธผล”

    https://youtu.be/ZrUwoxdz7AU

    https://www.youtube.com/watch?v=PA6dw0NrNMU




    ส่วนเรา มีมหาปณิธานคือ
    ขอให้เราเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดมากที่สุด อย่าได้มีผู้ใดที่ต้องทนทุกข์ทรมานได้เทียบเท่ากับเราเลย

    https://youtu.be/z4GYHcJgRcI






    กิจอันยิ่งขึ้นไปอีก

    มหากุศลจิต ญาณสัมปยุต

    นี่คือทุกข์ของเรา จึงเป็น อริยสัจ ๔ อีกหนึ่งประการของเรา
    ๑. ทุกขอริยสัจ จัดเป็นปริญญาตัพพกิจ กิจที่ควรกำหนดรู้ -การรวมรวบทุกนิกายเป็นหนึ่ง, ชำระธรณีสงฆ์,คืนฐานะพุทธบริษัท๔ดำรงสกุล,ต่อต้านป้องกันภัยที่ ๕
    ๒. สมุทัยอริยสัจ จัดเป็นปหาตัพพกิจ กิจที่ควรประหาณ -ชำระธรณีสงฆ์
    ๓. นิโรธอริยสัจ จัดเป็นสัจฉิกาตัพพกิจ กิจที่ควรทำให้แจ้ง -ต่อต้านป้องกันภัยที่ ๕
    ๔. มรรคอริยสัจ จัดเป็นภาเวตัพพกิจ กิจที่ควรเจริญ -คืนฐานะพุทธบริษัท๔ ดำรงสกุล

    ญาณ ๓ ในอริยสัจ ๔ มีอาการ ๑๒
    ๑. ทุกขอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ
    ๒. สมุทัยอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ
    ๓. นิโรธอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ
    ๔. มรรคอริยสัจ มีญาณ ๓ คือ สัจจญาณ – กิจจญาณ – กตญาณ
    ๑ สัจจญาณในอริยสัจ ๔ ที่เกิดขึ้นแก่พระโสดาปัตติมรรคว่า
    - ทุกข์นี้เป็นความจริงของพระอริยะ
    - นี้เป็นเหตุตั้งขึ้นพร้อมแห่งทุกข์
    - นี้เป็นธรรมที่ดับสนิทแห่งทุกข์
    - นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ จัดไว้ในภูมิของพระเสขะ
    ๒ กิจจญาณในอริยสัจ ๔ ที่เกิดขึ้นแก่พระอริยมรรคเบื้องสูง ๓ ว่า
    ทุกข์ควรกำหนดรู้ เป็นต้น จัดไว้ในภูมิของ พระเสขะเหมือนกัน
    ๓ กตญาณในอริยสัจ ๔ คือ ปัญญาที่กลับพิจารณาว่า ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    เป็นต้น จัดไว้ในภูมิของพระอเสขะ (ปัจจเวกขณญาณ)

    พระองค์ตรัสว่า เพราะเราและเธอ ไม่รู้แจ้งอริยสัจ จึงทำให้สงสารของเราและเธอ ต้องยาวไกล เนิ่นนาน แล่นไป ร่อนเร่ รอนแรมไป ในภพน้อยภพใหญ่ แต่เมื่อเราและเธอได้ตรัสรู้อริยสัจแล้ว สงสารของเราและเธอจึงขาดสะบั้นลง ไม่ต้องยาวไกล เนิ่นนาน แล่น ร่อนเร่ รอนแรมไป




    เข้าใจคนเดียวก็พอตอนนี้ รอเวลา


    จงทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราไม่อาจทนเห็นผู้อื่นต้องทนทุกข์กว่าเราได้ เพราะฉนั้นเราจึงควรสละตนเพื่อเหตุนั้น จงเป็นผู้ที่เจ็บปวดและทุกข์ทนมากที่สุดในสังสารวัฎร ขออย่าได้มีผู้ใดต้องเผชิญกับความทุกข์ทนทรมานกายและใจเท่ากับเราเลย



    ตราบใดยังมีผู้ลำบากอยู่ เราก็หวังที่จะลำบากมากกว่าเขา และเมื่อเขาทั้งหลายฯไม่ลำบากเท่าเราแล้ว เมื่อถึงครานั้นเราก็สบายใจ




    ตรัสแก่ภิกษุ
    ภิกษุ ! ในกรณีนี้ ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ย่อมไม่คิดไป
    ในทางทำตนเองให้ลำบากเลย ไม่คิดไปในทางทำผู้อื่นให้ลำบาก ไม่คิดไป
    ในทางทำทั้งสองฝ่ายให้ลำบาก; เมื่อจะคิด ย่อมคิดอย่างเป็นประโยชน์
    เกื้อกูล แก่ตนเองเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งสองฝ่าย คือเป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่โลกทั้งปวงนั่นเอง. ภิกษุ ! อย่างนี้
    แล ชื่อว่า ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก.

    บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๐/๒๔๐. - จตุกฺก. อํ .๒๑/๒๔๑/๑๘๖


    หลอมรวม เป็นหนึ่ง ธาตุบริสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2016
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ไปขอเขากิน เรียกว่าบินทบาตรโปรดสัตว์
    กินแล้วนั่งหลับตาเรียกว่าภาวนาปฏิบัติ
    ถ้ากินแล้วหลับสนิทเรียกว่าบําเพ็ญกิจวัติ
    พูดมากน่ารําคาญเรียกว่าเชี่ยวชาญปริยัติ
    เข้าป่าหลายปีเรียกว่ามีดีกรีชมัด
    พอออกจากดงก็ประสงค์จะสร้างวัด
    บอกคนโน้นบอกคนนี้มาลงบัญชีเสียอัฐ
    บอกเลขบอกหวยหวังรวยทางลัด
    พอได้ที่มีสถานหวังเป็นสมภารเจ้าวัด
    แจกเครื่องรางของขลังหวังจะดังเหมือนจุดประทัด
    พอมีเงินมีทองก็คิดจะครองคฤหัสถ์
    เห็นสีกงสีกาก็ทําท่าอยากจะฟัด
    พอสึกหาลาเพศเลยกลายเป็นเปรตอยู่ข้างวัด


    จากหลวงพ่อเดิมพูดกับหลวงตาอุ้ยให้หลวงพ่อจรัญ(บวชไหม่)เป็นพยาน
    นาฑีที่๒.๐๒
    มักกะลีผลบทที่ 61-70 นิยายธรรมะ หลวงพ่อจรัญ
    https://www.youtube.com/watch?v=MNq6nkiEqGQ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    อโหสิ อโหสิ อโหสิ คลายเครียด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    งานเข้าเรื่อยๆ ไม่เหงา


    คนไร้สติจะเชื่อในสิ่งไร้สาระ คนมีปัญญาจะเชื่อในสิ่งมีสาระ



    แนวหน้า - คนไร้สติจะเชื่อในสิ่งไร้สาระ คนมีปัญญาจะเชื่อในสิ่งมีสาระ


    เมื่อใดออกสำนักข่าวใหญ่กว่านี้ ครานั้นก็คงจบ และจะจบไปหลายคน แบบ เงิบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2016
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    การที่จะคอยมานั่งเสียเวลาจับผิดบุคคลที่รู้อยู่แล้วว่าทำผิดแน่ๆ ประจานความผิดของบุคคลนั้นเพียงฝ่ายเดียว ก็เสมือนรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า

    แต่ว่าการรู้ว่าผิดแล้วก็พยายามชี้ถูกและผิด ให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ที่มีสติปัญญาพอที่จะรับรู้รับฟัง ในเรื่องที่ตนแสดง แล้วสอนว่านี่ใช่! นี่ไม่ถูกต้อง! สิ่งนี้ถูกต้อง! นี่เป็นประโยชน์

    และเมื่อไหร่จะรู้จักตนเองเสียทีคึกฤทธิ์ ถลำลึกไปข้างหน้า จบไม่สวยแน่นอน

    รู้ว่าต้องเข้ามาอ่านหลายครั้งต่อหลายครั้ง จนเราจะกลายเป็นผู้ดิ้นรนส่งข่าวที่ดี ให้รู้จักระมัดระวังตัวเอง ไม่ว่าไปอยู่ที่ในกาลใดๆ คึกฤทธิ์และศิษย์วัดนา จงเก็บไปคิดพิจารณาต่อไป

    ในเมื่อสร้างทางขึ้นไปสูงลิบอย่างนั้น อย่าลืมว่าขาลง การตกจากที่สูงมันเจ็บมากปางตายและตาย



    ถ้าไม่ทำลาย อภยปริตร เราก็คงไม่มีโอกาสได้ยุ่งเกี่ยวอะไร? จะโทษก็ต้องโทษที่ตนเองและพรรคพวกมีสติปัญญาที่น้อย ไม่รู้จักพระสัทธรรม โดยปฎิสัมภิทาญาน แต่อวดฉลาดไปแก้ไขบั่นทอนทำลายพระไตรปิฏก

    เอวังฯ ก็มีด้วยปะการะฉะนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201


    เรามีหน้าที่รักษา อภยปริตร ฉนั้นผู้ที่หวังความเจริญในพระสัทธรรม จงถอยออกมาจากความเสื่อมทั้งหลายเถิด
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "พระภูมิผู้ประกอบด้วยปัญญาในการรักษาจิต"

    เตลปัตตชาดก



    เหนื่อยใจท้อใจกับข่าวสารบ้านเมืองไม่เว้นแต่ละวัน นี่ล่ะ การที่ไม่มีพระภูมิอยู่ในจิตในใจ ยุคเพชฌฆาตตกงาน แต่คนบาปได้เป็นเพชฌฆาตเสียเอง

    ทั้งๆที่มีข่าวให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในแต่ละวัน ก็ยังฆ่าแกงกันสร้างบาปไม่เว้นในแต่ละวัน

    ไม่เหนื่อยหรือ?

    เวรกรรมของสัตว์โลกจริงๆ


    http://palungjit.org/threads/พระภูมิที่แท้จริงในใจของเราคือพระโพธิสัตว์ราชกุมาร.558045/
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  11. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    การที่พุทธวจนเป็นที่สนใจต่อทั้งพระสงฆ์และฆราวาสก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ในยุคเรานี้
    ท่านกำลังสร้างกรรมให้ตนเองเปล่าๆ รวมทั้งพาคนที่ร่วมโมทนา พาลงอบายด้วย
    ที่ท่านทำประโยชน์อะไรเกิดแก่ตัวท่าน ความสะใจอย่างเดียวหรือเปล่า ที่ผมเตือนแค่อยากให้ท่านฉุกคิด
    คนจะพากันพลาดจากประโยชน์ใหญ่ที่เค้าจะได้รับ ถ้าหลงไปกับสิ่งที่นำเสนอออกมา
    หากพระท่านทำผิดพลาดบ้าง ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ ตัวท่านเองเคยผิดพลาดบ้างไหม?
    ถ้าท่านเคยผิดพลาด ตนเองเท่านั้นหรือควรค่าแก่การให้อภัย
    พระท่าน ประกาศธรรมที่เป็นแก่น แม้จะแค่มีคนเดียวนำคำของพระพุทธองค์ไปใคร่ครวญสักบทหนึ่ง
    แล้วพ้นจากทุกข์ได้ ก็ชื่อว่าได้สร้างประโยชน์ใหญ่แก่คนทั้งหลาย
    ท่านจ่ายักษ์ลองย้อนดูตนได้สร้างประโยชน์ให้เกิดแก่คนทั้งหลายหรือไม่
    หรือท่านจ่ายักษ์เพียงแค่คอยโทษคนนั้นคนนี้มาทำลายพุทธศาสนา
    แต่ไม่เคยมองดูตนเองว่า ตนเองได้ทำลายพุทธศาสนาบ้างหรือไม่?
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ


    เว็บภัยพิบัติ Paipibat.com | ให้ความจริง ให้ความรู้ ทางภัยพิบัติ เพื่อสู้ข่าวลือ ลดความตื่นกลัว

    ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใสมีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคตภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไรกระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?

                 พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดีอาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อโอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก

    ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑลภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย

                              ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นาที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแก่การทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลกกระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียดเหลาะแหละ ให้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่

    จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาดเป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนักเป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผลเป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์ เที่ยวไป

                              อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคายบริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ

    ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้วตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควรผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ

    ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งผ้าห่มผ้ากาสาวะ

                              อย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟังพวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถี ฉะนั้น

    ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
                 ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก
    จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
                              ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย
    มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีลปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.


    เพราะความวุ่นวายในทุกๆเรื่องล้วนเกิดจาก พระสงฆ์ ที่ไม่ประพฤติปฎิบัติตนให้พ้นจากวิสัยปุถุชน ไม่เป็น มานะธรรม อันเป็นตัวอย่างแก่ เหล่าคฤหัสถ์ฆราวาสชน สอนให้เขาได้รู้ดีรู้ชั่ว ให้มีและเกิด หิริโอตัปปะ และมีศรัทธาในพระพุทํธศาสนาเกรงกลัวบาปอกุศลทั้งปวง จึงเกิดเรื่องวุ่นวายไม่ซ้ำในแต่ละวัน เพราะไม่รู้เหตุรู้กรรม จึงเห็นแต่เหตุการณ์วิสัยในภพใหม่ อันซึ่งเกิดขึ้นพึงรู้พึงทราบแต่เพียง รู้เห็นด้วยตาและด้วยหูที่ตื่นข่าวกันอยู่ร่ำไป

    ใครจะอยากสร้างบาปสร้างกรรม เมื่อรู้ว่าจะได้รับผลกรรมอย่างทนทุกข์ทรมานทั้งในภพนี้และภพหน้า

    เหตุและกรรมทั้งหลายฯนั้น ผู้จักระงับให้หยุดได้อันไม่กำเริบขึ้นอีกนั้นก็จักมีด้วยวิสัยผู้ อันมีธรรมอันอบรมสั่งสมมาเป็นการดีแล้ว ขอยกพุทธภาษิต

    ธมฺ โมหเว รักขติ ธรรมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ

    ธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติ ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ธรรมที่ที่ผู้ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้

    ยถากัมมัง คมิสสันติ ปัญญปาปผลูปคา
    นิรยัง ปาปกัมมันตา ปุญญกัมมา จ สุคติง

    สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้เข้าถึงผลของบุญและบาป จักไปตามกรรม ผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปในที่ไม่มีความเจริญ ผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่ที่ไปที่ดี


    อุปัทวะอันตรายจะกำเนิดแต่คนพาลเพียงเท่านั้น ไม่ใช่เกิดแก่บัณฑิต

    ตอนนี้ในชาติบ้านเมือง ต่างมีต่างเกิดเป็นทาสในกระแสบาปทั้ง ทางกาย วาจา ใจ คือ ความอาฆาตพยาบาทและเคียดแค้นโดยหมู่ชนเป็นอันมาก ซึ่งนั่นก็เพราะตนไม่รู้ไม่ทราบในวิสัยกระแสกรรมในพระธรรมคำสั่งสอน เพราะไม่มีมานะศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จึงทำให้เป็นบุคคลและสัตว์เหล่านั้น กำเนิดการกระหายอยากความเป็นธรรมอันตื้นเขิน โดยไม่รู้จักกรรมโดยมีเหตุผลของกรรมที่ตนได้สร้างมาในอดีตเป็นที่ตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเหล่าความพยาบาทเคียดแค้น อันลุแก่อำนาจและโทสะอันเป็นไปตามกิเลสอำนาจของพญามารได้เจริญเติบโต มาจาก ความไม่รู้และไม่เป็นธรรม ในสังคมอันเป็นโลกียะสุข อันเป็นธรรมของผู้ถูกโลกธรรม ๘ อันครอบงำบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ ก็จักสร้างทุกข์อันมากขึ้นไปทุกๆแห่งหนระแหง ประดุจคลื่นน้ำกระเพื่อมในอ่างน้ำ จึงเป็นการกระจายบาปกระแส ส่งเสริมกรรมที่นำมาซึ่งทุกข์ ซึ่งบุคคลและสัตว์เหล่านั้น เพราะได้คิดและไตร่ตรองแล้วว่าเป็นบุญเป็นกุศลโดยตื้นและโดยง่าย ที่ตนได้คิดได้พิจารณาได้ดังนั้น ว่าตนได้คิดถูกแล้ว และตนย่อมได้รับผลบุญ และไม่ได้รับบาปอย่างแน่แท้

    เมื่อคิดอย่างนั้นก็เป็นการที่คิดผิดเป็นอันมาก นี่ไม่ใช่วิธีคิดและวิธีแก้ไขของพระพุทธศาสนาไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา

    ควรชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเผชิญเหตุใดๆก็ตาม ไม่ควรประมาท แม้เราเองผู้เผชิญมาแล้วก็ต้องรับผลกรรมนั้น ให้ได้เช่นเดียวกัน

    การขาดองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อันทรงเป็นผู้ทรงพระทศพลญาน ๑๐ ไม่เพียงจะเป็นความวิบัติขาดสูญของการบรรลุและเจริญในพระสัทธรรมเพียงเท่านั้น แม้แต่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ก็ล้วนแต่พลอยได้รับ ความยากลำบากไปด้วยอย่างถึงที่สุด

    ถ้าพระทศพลญาน ๑๐ ยังอยู่ เราก็คงรู้เหตุแห่งกรรมทั้งหลายทั้งปวง ถ้ามีพระอริยะบุคคลหรืออรหันต์ผู้ทรงอภิญญาผู้รู้เหตุและผลของกรรมที่ได้เกิดขึ้น ชี้แจงเหตุและผลของกรรมนั้นได้ตามสมควรแก่กาลอยู่ เราก็คงผ่อนคลายจากทุกข์ที่เกิดขึ้น

    การที่จะคิดพยาบาทอาฆาตมาดร้ายต่อกันก็จะลดน้อยลงไปตาม รวมทั้งการรุกรานจากอวิชามารอสัทธรรมทั้งหลายทั้งที่อยู่ภายนอกและภายในด้วย

    แม้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิอาจพ้นจากอดีตกรรม ที่พระองค์ทรงกระทำไว้ได้แม้ในพระชาติสุดท้าย แล้วเราท่านทั้งหลายฯ เป็นใครจึงคิดจะหนีพ้นจากผลกรรมที่ได้เคยสร้างไว้ เมื่อไม่รู้ว่าตนเองเคยมีกรรมและเคยสร้างกรรมไว้ จะคิดว่าตนเองเกิดมามีความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากผลกรรมดีและกรรมชั่วทั้งปวงแล้ว จึงมีแต่โหยหาความเป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรมในชาติภพใหม่ของตนเองอย่างประมาท

    เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักข้อหนึ่ง เป็นเหตุให้อริยมรรคมีองค์ 8
    ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ เหมือนความถึง
    พร้อมด้วยความไม่ประมาทนี้เลย


    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

    ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตาย
    ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนคนตายแล้ว


    ขอจงมีสติและไม่ประมาทอยู่ทุกๆเมื่อ


    กรรมพึงเห็นดุจพระราชา กิเลสดุจดาบ มารดุจคนเงื้อดาบ พระโยคาวจรผู้เพ่งเจริญกายคตาสติ ดุจคนถือโถน้ำมัน.

    อันภิกษุผู้มุ่งเจริญกายคตาสติ ต้องไม่ปล่อยสติ เป็นผู้ไม่ประมาท เจริญกายคตาสติ เหมือนคนถือโถน้ำมันนั้น ด้วยประการฉะนี้.


    ขอจงมีสติและไม่ประมาทอยู่ทุกๆเมื่อเทอญฯ

    กมฺมุนา วตฺตตีโลโก
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม



    เพราะความพยาบาทเคียดแค้นนี่ล่ะ บาปใหญ่ของเราประการหนึ่ง เป็นข้อที่ทำให้เราได้เกิดเป็นยักษ์เป็นมารมาหลายภพชาติ และยังส่งเสริมให้ผู้อื่นคิดตามกระทำตามอีก นี่คือความชั่วที่เกิดมาจากความโง่ของเรา

    ไม่มีใครไม่เคยคิดผิด ทำผิด กล่าวผิด แต่เราต้องแสวงหาหนทางชำระที่ถูกต้อง อันเป็นไปตามเหตุและผลของพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานี้

    03-08-2015, 09:37 AM ถึงวันนี้, 7/5/2016 08:04 PM เกือบหนึ่งปี ถึงจะสามารถละจิตที่พยาบาทอาฆาตนี้ได้ รู้เหตุรู้ผลแยกแยะผลของกรรม เพื่อความเจริญเข้าสู่ธรรมที่ยังไม่บรรลุ


    แม้แต่เราก็ต้องเพียรพยายาม เพื่อการบรรลุในสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เข้าถึงในธรรมที่ยังเข้าไม่ถึง เพื่อการละความอาฆาตพยาบาท อย่างในวันนี้ เราพิจารณาเพื่อละอวิชชาที่เราเพียรพยายามสั่งสมเป็นนิสสัยติดตัวมา อยู่เนืองๆ เราจะต้องไม่ทำร้ายและทำลายชีวิตของผู้ใดอีก นี่ก็เป็นเหตุแห่งการที่จักได้บรรลุธรรมอันยิ่งขึ้นในกาลต่อไป

    https://www.change.org/p/ข่มขืนฆ่าต้องประหารชีวิตสถานเดียว?



    http://palungjit.org/threads/แก้บทลงโทษคดีฆ่าข่มขืนเด็กและสตรีให้หนักถึงขั้นประหารชีวิต.553254/





    บาปนี้ของเราโดยแท้ และขอให้ผู้ที่ได้พิจารณาเรา จงออกจาก อสัทธรรม คือความหายนะที่เราได้แสดง ไปเพราะจริตอาฆาตพยาบาทนั้นตามเราเถิด เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้หนึ่งผู้ใด นอกจาก เหล่าอามิสทายาทและโมฆะบุรุษทั้งหลายฯ ที่ไม่สามารถนำตนเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ เป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนมาสู่จิตใจของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายฯ ที่แสวงหาความพ้นทุกข์ได้อย่างถูกต้อง

    เมื่อถึงเวลาอันสมควรในฐานะ บรรพชิต เราขออธิษฐานไว้สืบเนื่องตั้งแต่บัดนี้ ตรงนี้ว่า ให้เราสามารถชี้และแนะนำแนวทางอันประเสริฐแก่ผู้หลงผิดตามเรา และที่หลงผิดตามผู้อื่น นำเหล่าสหายกัลยาณมิตรออกจากอสัทธรรมทั้งปวง ตามสติปัญญาในธรรมสมบัติอันคงแก่เรา เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายสืบไปเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2016
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://youtu.be/G_mmgqIwbes

    ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเป็นที่พึ่ง
    ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
    ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

        เมื่อใดแลที่เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ได้เกิดความหวาดกลัว เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว เมื่อใดแลที่เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้เกิดความหวาดกลัว เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว

    เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

    (พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ   ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ    สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ)

        เมื่อใดแล เกิดความเมามัว อันเป็นเหตุแห่งความไม่สงบวุ่นวาย ผืนแผ่นดินไหลอาบนองแดงฉานไปด้วยเลือด เปลวไฟแห่งความมุ่งร้ายเบียดเบียนแผดเผากระจายไป

        จิตใจของหมู่มวลมนุษย์กลับกลายไปเป็นดั่งเดรัจฉาน มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ภายในแผดเผาเร่าร้อน

    เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

    (พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ   ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ    สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ)

        เมื่อใดแล ความรักความเมตตาแห้งเหือดหายไปจากโลกความกรุณาสงสารก็แห้งเหือดหายไป คนทั้งหลายเชือดเฉือนสายใยแห่งความรัก ขอบทแห่งมนต์อันประเสริฐ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวภารตะ

    แม้ของมารดาตนเอง เกิดแผ่นดินเลื่อนลั่น ฟ้าสั่นไหว

    เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ขอให้ท่าน จงหมั่นเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ไว้บ่อยไเถิด
    (พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ   ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ    สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ)

        พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดแล ผู้ทรงขจัดเสียซึ่งความมืดมิดภายในจิตใจที่เร่าร้อนของปวงประชามวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้พบหนทางแสงสว่างเพียงแค่ได้สัมผัสเส้นใยแห่งรัศมีที่แผ่ออกมาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด

        ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ขอพระสัจจธรรมอันเป็นที่พึ่งพิง ขออริยสัจจ์คือความจริง จงเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน

        ขอมวลหมู่มนุษย์จงเห็นอกเห็นใจเกื้อกูลเอ็นดูกันเถิด ของมวลหมู่มนุษย์จงทนุถนอมคความรักความเยื่อใยของมนุษย์ด้วยกัน อยู่อย่างร่มเย็นสันติสุขเถิด

        ขอบทเพลงแห่งมนต์อันประเสริฐ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวภารตะ จงกระหึ่มกังวานไปในทุกครัวเรือน

        เพื่อนมนุษย์เอ๋ย ขอให้ท่านจงหมั่นเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ไว้บ่อยๆเถิดขอให้ท่านจงหมั่นเปล่งคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ไว้บ่อยๆเถิด

    (พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ   ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ    สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ)


    ขอท่านทั้งหลา่ยจงสำเร็จผลในการเจริญภาวนา
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรามีหน้าที่รักษา อภยปริตร ตามกาลในวาระพระพุทธศาสนานี้


    ท่านไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้จัก ปฎิสัมภิทาญาน และไม่รู้จักพระสัทธรรมดีเท่าเรา ท่านก็อย่าแสดงเลยว่า โมฆะบุรุษผู้นั้นได้สอนธรรม และสามารถเป็นผู้สอนธรรมได้

    ในเมื่อท่านไม่เอาไม่มีความสามารถในการพินิจ พิจารณาในธรรมที่เราได้แสดง เราก็ไม่ได้บีบบังคับท่านให้ท่านต้องเชื่อเรา


    ท่านจะถือดีเอาตามบุคคลนั้น มีจริตชื่นชมนับถือเป็นครูบาอาจารย์ท่านก็จงทำไปตามกำลังศรัทธาตามสติปัญญาที่ท่านมีไปเถิด ธรรมโดย ปฎิสัมภิทาญานที่เราแสดงไว้นี้ เราประสงค์มีประสงค์ได้ให้ผู้จักเป็นมังกรได้ ไม่ใช่แก่บุคคลพาลผู้คบหากันโดยธาตุ


    ถ้าท่านคิดว่า สำนักวัดนาป่าพงได้สร้างพระพุทธศาสนา รักษาพระศาสนา ท่านก็จงเห็นดีและปฎิบัติตามไปเถิด ยังเหลือสินค้าอีกหลายอย่าง ท่านจงไปชักชวนบุคคลที่เห็นดีเห็นงามกับท่านช่วยกันผลิตเถิด ผ้าอาศัย ตามพระพุทธวจน จริงๆยังมีอยู่

    ไปผลิตเถิด ถ้าคิดได้ทำได้ตามนั้น และทำให้สุดๆไปเลย เราหมดภาระตั้งแต่ ชี้เหตุแห่งการทำลาย อภยปริตร แล้ว


    อย่าเอาวิสัยของปุถุชนผู้ไม่มีคุณสมบัติ ๕ ในสากัจฉสูตร ที่มีอยู่ในตน มาทำการอเสวนา กับ ผู้เสวนาอย่างเรา

    บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในทิพยภูมิของพระอริยะ จักมาสอนมาเตือนผู้ที่อยู่ในทิพยภูมิของพระอริยะจักมีมาแต่กาลไหน ไม่ใช่ฐานะ ของ อสัตบุรุษ ที่จะรู้ว่า บุคคลนี้เป็น สัตบุรุษหรือเป็นอสัตบุรุษ

    ถ้าท่านคิดว่าเราสร้างกรรมแสดงธรรมมาเป็นอย่างอสัตบุรุษ ท่านก็คงประมาณตนเองแล้วว่า ตนนั้นรู้ว่าตนเป็นดั่ง สัตบุรุษ ถ้าไม่ใช่สัตบุรุษ นี่ก็ไม่ใช่ฐานะที่ท่าน จะมาปุจฉาวิสัชนาได้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็น อสัตบุรุษ หรือ สัตบุรุษ

    การประมาณในบุคคลที่ท่านกระทำแก่ ผู้แสดง ปฎิสัมภิทาญาน จะส่งผลแก่ท่านให้จมปลักอยู่ใน ปริยัติงูพิษ ชั่วกาลนาน หากไม่เพิกถอนชำระเสีย ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง



    เราไม่เคยปกปิดความชั่วของตนเอง และเราในอดีตเป็นคนที่ชั่วร้ายและเลวร้ายมากที่สุดถึงที่สุดจะมีได้ในกาลอดีตและจนถึงปัจจุบัน เพราะฉนั้น มหาปณิธานของเรา จึงเป็นเรื่องจริง ที่มีที่เป็นได้ ที่จะต้องเป็นและได้เป็น เคยเป็นบุคคลที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดเป็นตัวอย่างที่ทำได้ยาก และจักเป็นกำลังใจแก่ผู้ที่ไม่อาจทุกข์ทนลำบากได้เท่าเรา เพราะเห็นผู้มีทุกข์มากกว่า เราได้ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์อยู่ทุกขณะจิต

    แล้วท่านล่ะ ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์จนได้เข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะหรือยังจึงมา อเสวนากับผู้ต้องวิมุตติธรรม อย่างเรา ไม่ใช่ฐานะเลย



    ไม่เคยได้อ่านกระทู้ "ไม่เคยมีใครปรามาสพระรัตนตรัยได้เทียมเท่าเรา" ที่เราเคยแสดงไว้ในอดีต ก็เป็นอย่างนี้ ผู้ดูแลเขาลบทิ้งเพราะชั่วมากมหาศาล

    และคนที่ชั่วๆอย่างนั้นแหละ ที่มาสอนคนออกจาก อสัทธรรม

    แล้วคนที่ไม่สามารถชั่วช้าเลวทรามได้แม้แต่เพียงเปรียบเทียบเพียงฝุ่นผงใต้เท้าเรา จะวิจารณ์เราในเรื่องความชั่วได้อย่างไร? ไม่ใช่ฐานะเลย

    มานะธรรมที่เรามี สมควรเป็นประโยชน์แก่ผู้อดทนมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ไม่ใช่กับคนพาลที่วิตกจริต แยกแยะดีชั่วไม่ได้ ตามกำลังปัญญาที่ควรแก่สภาวะธรรม เป็นบุคคลที่สับสนในชีวิตและไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต โดยจักไม่สามารถพยากรณ์ตนเองได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2016
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เราสนทนากับสหายเพื่อยกเขาออกจาก อสัทธรรม แต่เจ้าอยากให้เราแสดง วาทะเอง ผลก็เลยต้องแสดง
    เพื่ออรรถรส คุณลักษณะในการรับชม ย่อมต้องใช้การแสดงศาสตร์และวาทะศิลป์ ในการอุปมาอุปไมย ที่ปัญญาชน สามารถไตร่ตรองตาม เห็นจริงได้ เปรียบประดุจ หากปราถนาจะทำการบรรเลงทาสี ดูดกลืนกินทับถมพื้นที่เก่า ที่มีสีดำอ่อนๆจางๆ ย่อมต้องใช้สีดำสนิท ที่มีความเข้มข้นลึกล้ำยิ่งกว่า มาระบายวาดสี ในอรรถเหล่านี้ ผู้ใดมีดวงตาและจิตใจ ที่ไม่มืดบอด ย่อมเล็งเห็นประโยชน์ เห็นดีเห็น ไม่ดีและสามารถ รู้จักแยกแยะ พิจารณาดีหรือชั่วได้อย่างละเอียด ตามความเพียรปัญญาของตน เสมือนคนร่อนกรวดหา แร่ทองและเพชรพลอย ที่อยู่ในโคลนตม ย่อมได้ซึ่งแร่ธาตุและอัญมนีนั้นฯ เราเองก็มิได้โกรธเกลียด อะไรเขาดอก ทำไปพรรณนั้นๆแหละ! อุปมา:ดุจเพชฌฆาต ผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษ แม้มิได้มีเรื่อง โกรธเคืองใจกันมาก่อน ก็ต้องจำใจประหารชีวิตนั้น ผู้มีสติระลึกได้ ก็ต้องอาศัยตนเป็นหลัก หากไม่รู้จักเตือนตนแล้วไซร้ จักไปตักเตือนอะไรใครที่ไหนได้ ดังพุทธสุภาษิต

    ทน.โต เสฏ.โฐ มนุส.เสสุ
    ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐที่สุด

    แม้เราผู้มีภูมิรู้ปานนี้คือ ออกไปอยู่นอกเหตุ เหนือผลทั้งหลายแล้วฯ แม้ฉะนี้ก็ยังคิด และพิจารณาเสมอๆว่า อันเด็กอ่อนผู้บริสุทธิคุณด้วยบุญญาธิการมาจุติ และกำลังเจริญเติบโต อยู่ถ้วนทั่วทั้งสหโลกธาตุ จักมีความประเสริฐดีงาม เพียบพร้อม ทั้งจริยธรรมคุณธรรม อันยังประโยชน์สุข ให้แก่มหาชนนั้น ยังมีสติปัญญาและความชาญฉลาด กว่าตัวเราอีกมากมายนัก ท่านจะเห็นผิดเป็นไฉน ในการกล่าว ยกย่องเชิดชูตนเอง ว่าดีเลิศประเสริฐศรี กว่าผู้อื่นอยู่อย่างนั้น จักแตกต่างอะไรกับ ผู้มีปัญญาทรามต่ำช้าเล่า ท่านเอย


    สำหรับบุคคลผู้มีสติปัญญา อ่านหน้าแรก ที่แสดงไว้ก็คงได้เข้าใจ ไม่ต้องอธิบายมาก ซ้ำๆซากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2016
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จะยอมรับ จะเอาแต่ผล เอาแต่ส่วนดีและคิดว่าดีเลิศประเสริฐสุด แต่ส่วนชั่วของตนไม่เอาไม่มีผลไม่แสดง นี่ศาสนาไหน ใครสอน

    ชุกมือเปิบ จะเอาแต่ได้ จะเอาแต่ความสุขความสบายพ้นทุกข์ โดยไม่ปฎิบัติเห็นธรรมเป็นของง่ายแบบนั้น นี่ล่ะเรียกว่า บุคคลผู้เนรคุณและอกตัญญู

    ไม่มีใครบอกนอกจากเดียร์ถีย์ลัทธิอื่นนอกพระศาสนา ว่า ผลของศีล ทาน ภาวนา การฟังธรรมและการปฎิบัติอื่นๆนั้น ไม่มีและไม่สามารถส่งผลอะไร?

    แต่ว่าถ้าเริ่มต้นผิด ก็อย่าหวังจะได้บรรลุธรรม เสมือนบุคคลผู้เดินหนึ่งหน้าไปได้เพียงหนึ่งก้าว แต่นำน้ำกรดและพิษอันรุนแรงสาดกระจายขวางเส้นทางของตนเอง จนพิษร้ายนั่นแทรกซึมกระจายออก จนต้องถอยหลังหลบหนี เช่นนั้นฉันใด บุุคคลที่คิดว่าตนได้นิสสัยต่อเนื่องในชาติที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา และคิดว่าหนทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กี่มากน้อยแล้วผู้เรียนธรรมและปฎิบัติธรรมต้องหนีเร้น ออกจากการศึกษาเล่าเรียนและต้องผจญทุกข์อยู่ในทุคคติอย่างยาวนานเพราะ ไปเคารพและส่งเสริมคนพาลที่ทำลายพระรัตนตรัย

    ถ้าคิดว่า สำนักวัดนาป่าพง ไม่ได้ทำลายพระรัตนตรัย ก็ไปสู่สำนักนั้นที่ชอบๆเถิด สำหรับเรา เราเชิญชวนแต่ผู้ที่ไม่ทำลายพระรัตนตรัยเท่านั้นมาสู่การปุจฉา-วิสัชนาธรรมในที่แห่งนี้

    ถ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร? อย่าวิสัชนา

    มองโลกให้กว้างๆถึงวัตรปฎิบัติอื่นนอกพระศาสนาในยุคสมัยนั้นด้วย ว่ากว่าจะทรงค้นพบทางพ้นทุกข์นั้น มันต้องลำบากทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายขนาดไหน ท่านจะหมายให้เราลืมพระมหากรุณาธิคุณในข้อนี้ แล้วไปปฎิบัติวัตรอื่นที่ทำได้ผล ที่เราทำอยู่แล้วนั้น เรารู้ดีพอตัว แต่นี่หมายถึงปรารถนาการปฎิบัติอันยิ่งขึ้นไป นี่เรียกว่า การปฎิบัติบูชา อานิสงค์มันมี ไม่ใช่ไม่มี

    สุดท้ายแล้วแต่ท่านปราถนาเถิด เราปราถนาอย่างนี้ เราเป็นผู้ผิดสำหรับท่าน ที่เรามีความปราถนามีวัตรปฎิบัติอันที่เราศรัทธามาปฎิบัติเอง ชีวิตเราเป็นของท่าน หรือของเรา พรหมจรรย์นี้เป็นของท่าน หรือ ของเรา หรือ ของใคร?


    แล้วถ้าคนที่มองเห็นองค์คุณข้อนี้มันผิดชั่วช้านัก เราขอรับบาปนั้นเอง ท่านอย่าบาปเลย
    บอกแต่แรกแล้วว่า อันตรายิกธรรม นี้เราขอรับไว้เอง แต่มันจะทำให้ท่านครุ่นคิดถึงมันอย่างเจ็บปวดไปตลอดระยะเวลาที่ยังทรงจำอยู่สหาย

    [ทุกปัญหามันไม่ได้ใหญ่ ไปกว่าใจของข้าพเจ้าหรอก]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2016
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สำหรับตัวเองนั้นก็ยังเคยมีความลังเลสงสัยเหมือนกันเลยค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ใช่สัตบุรุษ ก็ยังย่อมไม่รู้ว่า สิ่งใดเป็นสัตบุรุษหรืออสัตบุรุษ แต่สิ่งหนึ่งที่มีในใจเสมอจะไม่ทำลายธรรมของสัตบุรุษอย่างเด็ดขาด ฝึกใจไว้ให้ปราศจากอคติ ๔ ค่ะ. และธรรมนี้เป็นธรรมเพื่อนำไปเป็นสัตบุรุษค่ะ และก็ต้องอาศัยการชี้แนะธรรมจากสัตบุรุษเช่นเดียวกันค่ะ พิมพ์ไปก็เห็นใจของตัวเองไป ต้องฝึกขัดเกลาอีกเยอะเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2016
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อ่านข้อความนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนแรกปล่อยวางเรื่องการบวชแล้ว ความเป็นหหญิงการบวชยากกว่าชาย แต่เหมือนปลุกกระตุ้นเตือนจิตสำนึกลึกๆในใจให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเรื่องการบวช ลึกๆในใจแล้วอยากบวชมากเลยค่ะ
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมื่อพูดผิด กล่าวผิด ต้องยอมรับว่าผิด แสดงผิด แล้วเริ่มต้นใหม่ แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดนี่คือ อริยะวินัย

    แต่ผู้ที่พูดผิดกล่าวผิดแล้ว ไม่ยอมรับว่าผิดแล้วยังเที่ยวสั่งสอนสัตว์ไปในทางที่ผิดๆ

    ต่อให้มีแผนที่ ที่ถูกต้องชัดเจน แต่สารถีคนนำทางชี้ทางบอกเส้นทางผิดๆ จะไปไหนได้ ก็มีแต่จะหลงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตไม่จบไม่สิ้น แถมยังมีกระแสกรรมจากการปรามาสพระรัตนตรัย ทั้งที่ถอดถอนพระสัทธรรม และดูหมิ่นพระอรหันตสาวกและพุทธบริษัท ซึ่งมีแต่จะทำให้หลงวนเวียนจมอยู่ในกองทุกข์แห่งสังสารวัฎรอย่างยาวนาน

    ไม่ว่านิกายไหนๆ ก็โดนเหมือนกันหมด ตราบใดที่ไม่หลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว เข้าสู่เส้นทางที่แท้จริง


    จะบอกว่า ปริยัติ ของตนถูก ที่อื่นผิดหมด แต่ไม่ปฎิบัติ จนได้ปฎิเวธ แล้วไม่กลั่นกรองให้เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วนำออกมาสอนตามแบบ หรือว่าสอนตามจริตตนก็ตาม มันก็ต้องกว้างขวาง ลึกซึ้ง ครอบคลุม ไม่คับแคบจึงจะประเสริฐสูงสุด

    และไม่ว่า จะอยู่ในระดับใดๆ ในองค์คุณความรู้ ทั้งปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ ถ้าไม่กลั่นกรอง ให้เป็น สัมมาทิฏฐิ ก็เป็นเพียง ปริยัติงูพิษ ปฎิบัติงูพิษ ปฎิเวธงูพิษ เพียงเท่านั้น เป็นอย่างอื่นที่เจริญกว่านี้ไม่ได้เลย

    รู้ไม่จริง สอนสุ่มสี่สุ่มห้า คิดว่าตนรู้ตนเก่งกว่าพระสาวกแก้ว อัน ธรรมสมบัติ นั้นก็อย่าหวังว่าจะได้รับเลย
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สำหรับตนเองแล้ว ถ้าจะใครจะอ่านเฉพาะพระพุทธพจน์คงไมใช่ความผิดเพราะหลายคนไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกทั้งเล่ม ความคิดนี้มีมานานแล้วก่อนที่จะมีสำนักนี้ขึ้นมาอีก ท่านคิดว่าอย่างไรค่ะ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...