ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... ขอระบาย ...

    ... สำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องของ " ร่างทรง คนมีองค์ " ในกระทู้นี้ของ กาลีนะ ส่วนมากจะเป้นการบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ศึกษามา และ ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเจอ ด้วยเพราะ กาลีนะ เป็นผู้สนใจศึกษาหาคำตอบในสิ่งที่ตัวเองเจอในชีวิต .. และ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แกคนอื่นด้วย .. เพราะ กาลีนะ มักถูกทักว่าเป็น " คนมีองค์ " เวลาไปดูดวง หรือ ตำหนักทรงต่าง ๆ แต่ก้ไม่มีความรู้ว่ามันคืออะไร ก็ค้นหาคำตอบให้ตนเองเรื่อยมา .. แต่ก็ไม่ยอมรับขันธ์เป็นร่างทรง .. เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองจะทำได้ดีพอ .. และ เป็นคำขอของพระผู้ชี้ทางให้ กาลีนะ ได้มีโอกาศเดินต่อ .. และ ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตของตนเองที่เจอมา ความรู้ที่มี เพื่อให้ความรู้แก่คนอื่นบ้าง ...

    ... ใช่คะ กาลีนะ จัดเป็นคนมีองค์ประเภทหนึ่ง ( ไม่ขอบอกว่าแบบไหน แต่แน่ชัดแล้วในวันนี้ ) แต่เป็นผู้ไม่สามารถใช้ความสามารถขององค์ที่ตนมีได้ .. ยกเว้นจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น .. มีคนแนะนำให้ กาลีนะ " เดินสายเทพ " ซึ่งทุกวันนี้ กาลีนะ ก็ไม่ได้ศึกษาว่าต้องทำยังไงบ้าง และ ไม่รับขันธ์เป็นร่างทรง ... เพราะคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะช่วยผู้อื่นได้ .. เพราะขนาดผู้ชี้ทางของ กาลีนะ หลายท่านที่ว่าเก่งแล้วยังต้อง " พ่ายแพ้ต่อกรรม " เห็น ๆ กันอยู่ .. กาลีนะ ได้รับบทเรียนหลายอย่างในชีวิตที่ทำให้คิดได้ และ ในเมื่อตนเองมีสิทธิเลือก และ กำหนดเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเอง .. กาลีนะ ก็ขอใช้สิทธินั้นคะ ...

    ... เพราะ กาลีนะ ไม่ถนัดในการสร้างภาพ ไม่ชอบการสร้างภาพด้วย เวลาเห็น หรือ รู้สึกว่าใครกำลังสร้างภาพให้ตนเองดูดีทั้งที่ความจริงไม่ใช่ ... มันจะรู้สึกถึงความโกรธที่เกิดในใจทันที .. หรือ เวลาที่เราพูดคุย หรือ อ่านข้อความของใครใจของเรามันเหมือนจะดำดิ่งลงไปในความรู้สึกของคน ๆ นั้น เหมือนเรากำลังอ่านใจเขา ณ ชั่วเวลานั้นที่เขากำลังเขียน หรือ พูดอยู่มันจะเกิดขึ้นเองเมื่อใจของเราสงบนิ่ง .. ซึ่งมันเป็นความทรมานใจอย่างหนึ่งที่รู้สึกแย่มาก ๆ ไม่รู้จะจัดการกับสิ่งนี้ยังไงนอกจากทำยังไงก็ได้ให้มันฟุ้งซ่านเข้าไว้ทำให้จิตไม่นิ่งจะได้ไม่ต้องรับรู้ .. แกล้งโง่นั้นเอง .. จนบางครั้งก็โง่จริง ๆ รวมไปถึง " การสัมผัสภพภูมิในรูปแบบพลังงาน " ทุก ๆ วันพยายามนั้งคิดว่ามันเกิดขึ้นตอนไหนเกิดขึ้นได้ยังไง .. พยายามย้อนไปในอดีตสมัยเด็ก ๆ ตั้งแต่จำความได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง ตอนนั้นคิดยังไง ทำยังไง .. จนเกิดเป็น
    " กระทู้ ผีอำ หรือ ฝันไป " แต่ที่ลงไปยังไม่ถึงครึ่งที่เกิดขึ้นจริงเพียงแค่บางส่วนที่ต้องการบันทึกไว้เป็นความทรงจำให้ตนเองเท่านั้น .. ความจริงอยากตั้งกระทู้เพิ่มไว้เป็นความทรงจำอีกสักกระทู้เหมือนกัน .. อดีตชาติจากนิมิต .. แต่ยังไม่ทำเพราะแค่นี้ก็มีหลายท่าน " รับไม่ได้ หมั่นไส้ หรือ แอบแฝง " .. ส่วนกระทู้ ประสบการณ์ผี ฯ ที่หยุดเล่าไปนั้น ไม่ใช่ไม่มีเรื่องประสบการณ์มาเล่านะคะ .. เพราะชีวิตจริงเจอเป็นปกติไปแล้วแต่ยังไม่ชิน และ ไม่รู้จะเล่าไปทำไมเพราะแค่นี้ก็เจออะไร ๆ เยอะพอแล้ว .. หลัง ๆ เล่าน้อยลงไม่เหมือนตอนแรก ๆ เพราะคิดว่าตอนนั้นมีอิสระเสรีที่เราจะบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ตนเองได้เจอให้คนอื่นฟังบ้างเป็นวิทยาทาน .. แต่พออยู่ในเว็ปนี้นานไป .. กลับได้รับรู้ถึงสิ่งที่ซ้อนอยู่ภายในมากมายหลายอย่าง และ ได้สัมผัสจิตใจของคนมากมายจริง ๆ จนมองเห็นสัจจธรรมหลายข้อ และ เบื่อหน่ายที่จะเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์ความรู้ของตนเองต่อไป ..

    ... โดยเฉพาะกระทู้นี้ที่ถูกขนานนามว่า " กระทู้ล่อเป้า " เพราะความแหวกแนว และ ขัดขาคนมากมายคะ .. และ ในโลกของความเป็นจริงที่ได้เจอคนส่วนมากแสวงหาการเป็นผู้วิเศษ การมีองค์ การได้รับการยอมรับ นับถือ การกราบไหว้จากคนอื่น การใส่หน้ากาก .. การใช้คำพูด ภาษา เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำให้ตนพอใจ หรือ ให้เกิดผลบางอย่างแก่ตนเอง บางครั้งก็คิดว่า .. ความละอายใจในคนเรามันมีเหลือกันอยู่แค่ไหนกัน .. ทั้งที่รู้ว่า " หลอกคนทั้งโลกได้ แต่หลอกจิตใต้สำนึกของตัวเองไม่ได้ " ... ความจริงใจต่อกันของคนเรามันเหลืออยู่แค่ไหน ??? ไม่ใช่ กาลีนะ ไม่เคยหลงระเริงในโลกียะของโลกหรอกนะคะ .. แต่ก็ไม่ใช่ผู้ปลงได้กับชีวิต .. เพราะมีความคิด และ แนวทางของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ กาลีนะ พยายามสอนตัวเองเสมอ คือ

    .... " หากเราอยากให้ใครจริงใจให้เรา .. เราต้องยื่นความจริงใจให้เขาก่อน เราไม่ชอบการพูดโกหกไร้สาระไปเรื่อย เราก็ต้องพยายามไม่โกหก ( เพราะคนเรามันพลาดกันได้ ) หากเราอยากให้เขาให้เกียรติเรา เราก็ต้องให้เกียรติเขาก่อน ( ยกเว้นเขาจะทำลายเกียรติที่เราให้ ค่อยว่ากัน ) .. คนที่ใคร ๆ บอกว่าเป้นคนเลว ชั่วช้า เป็นคนไม่ดี .. บางทีในจิตใจเขาลึก ๆ อาจมีความดีซ่อนอยู่ก็ได้เพียงเราหาไม่เจอเท่านั้นเอง ( เพราะไม่มีใครดีที่สุด และ เลวที่สุด ) ทุกคนน่าจะได้โอกาศแก้ไขมันอย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง .. ( อ.ต๋อง บอกว่า กาลีนะ โชคไม่ดีที่มีสายตาที่มองเห็นความดี .. ในคนเลว จึงคลายข้อสงสัยว่าทำไมถึงชอบให้โอกาศคนไม่ดีได้แก้ตัว ) และ อีกหลย ๆ อย่างที่ไม่อาจพูดได้หมด .. ประสบการณ์มันสอน กาลีนะ มาแบบนี้ "

    ... สำหรับกระทู้นี้มีน้องหลายคนบอกว่า กาลีนะ ดูน่าเกรงขาม ดูเป็นคนดุ เข้ม แรง ฯ .. เหตุผลก็คือ ปกติจะเป็นคนไม่ค่อยมีสาระในสายตาคนรอบข้างทำตัวปัญญาอ่อนไปวัน ๆ แต่ตอนที่ตัดสินใจสมัครเข้าเว็ปพลังจิตนั้น ก้เพราะต้องการแยกจิตของตนเองออกเป็นสองส่วนเป็นอิสระจากกันทางความคิดนั้นเอง และ กระทู้นี้ กาลีนะ ได้ใส่ความเป็นตัวเองอีกด้านหนึ่งลงไปในทุกตัวอักษรที่พยายามสื่อออกไปให้คนอื่นที่ยังไม่เข้าใจลึกซึ่ง ผู้เริ่มต้น ได้รู้สึกเหมือนเรากำลังเริ่มต้นเดินไปด้วยกัน .. ใส่ความรู้สึกของอีกจิตหนึ่งลงไปอย่างเต็มที่ .. และ ไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด หรือ ให้เกิดน้อยที่สุด .. และ เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ๆ

    ... สำหรับตัว กาลีนะ ตั้งแต่เริ่มเรียนรู้ และ ศึกษามาจนปัจจุบัน .. สิ่งที่ กาลีนะ ให้ความสำคัญเลยคือ เรื่องของ จิตใจ และ เจตนาภายใน ... เพราะมันหลอกกันไม่ได้ มันสมมติไม่ได้ มันคือ ความจริงที่สุดที่ซ้อนเอาไว้ในใจทุกคน .. หากไม่จำเป้น กาลีนะ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ " สิ่งของเท่าไหร่นัก เป็นแค่ส่วนประกอบ อามิสสินจ้าง เครื่องแสดงความเคารพ เป้นแค่วัตถุอย่างหนึ่งเท่านั้น ... จะมีประโยชน์อันใดหากมีของกำนัลมากมาย แต่จิตใจคนให้มีสิ่งไม่ดีแอบแฝง .. เทพท่านอ่านจิตคน .. ไม่ได้ต้องการสิ่งของ ท่านเป็น อากาศธาตุที่มีพลังในตนเองเท่านั้น และ อยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมเหมือนเราทุกคน .. " ลองคิดภาพว่าเราได้อยู่ท่ามกลางคนมากมายที่นำสิ่งของมีค่า หรือ ของดี ๆ มาให้เราแต่เรารู้ว่าเขามีจิตใจที่ไม่บริสุทธ์ กับคนที่แทบไม่มีอะไรให้เลย .. แต่มีความจริงใจที่ใสสะอาด .. หากคุณเป็นท่าน ... คุณจะเลือกช่วยใครก่อน .. อาจจะเลือกช่วยคนที่ให้ของกำนัลมากมายแต่นั้นมันก็เหมือนเราเพื่อผลประโยชน์ให้ตนเองเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เขาให้ของเรามา .. เรียกว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน .. หมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งไม่จีรังยั่งยืน ... แต่ถ้ากับคนที่เขาจริงใจบริสุทธิ์ใจนับถือคุณจริง ๆ คุณจะมีความสุขรู้สึกเมื่อได้ช่วยเขาอย่างเต็มกำลังไม่ตะขิดตะขวงใจ รู้สึกถึงศักดิ์ศรีในตนเอง รับรู้ได้ถึงมหากุศลจริง ๆ ... จากหลักการง่าย ๆ " ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ สิ่งที่ให้ บริสุทธิ์ นั้นคือ มหากุศล บุญอันยิ่งใหญ่ ความสุขใจที่อธิบายไม่ถูกนอกจากสัมผัสเองเท่านั้น "

    .... กาลีนะ จะยังคงยืนยันความเป็นตัวเองของ กาลีนะ เช่นเดิม สิ่งใดรู้ก็จะพยายามบอก สิ่งใดไม่รุ้ก็จะตอบตรง ๆ ไม่แน่ใจ คือ ไม่แน่ใจ .. เพราะ กาลีนะ พยายามยึดถือแนวทางของ " ผู้มีวาจาสิทธิ์ " ถือศีลของ " ฤษี คือ สัจจะ ตามแนวทางของเทพที่ กาลีนะ เคารพรัก " .. ถึงจะมีรุ่นพี่ในเว็ปนี้ที่หลาย ๆ คนให้ความนับถือมากมาย และ เป็นที่รู้จักกันดี .. จะถาม กาลีนะ ว่า " เธอมีไหว้ครูทุกปีไหม๊ เธอคิดว่าตัวเองลงทรงแบบไหน แบบเต็ม หรือ แบบแฝง " เพราะแกบอกว่าแกตรวจสอบแล้วว่า กาลีนะ จัดอยู่ในประเภท " ทรงเต็มองค์ " ( ก็ไม่รู้ว่าเป้นยังไงคะเต็มองค์เนี๊ยะ เท่าที่ศึกษาคือจะไม่รู้ตัว แต่ กาลีนะ รู้ตัวตลอดรับรู้ทุกอย่าง ) เวลามีปัญหาเรื่องภพภูมิรังแก รังควาญ หรือ ถูกพวกมีวิชาใจชั่วช้าลองของ ส่งอวิชามาทดสอบ กาลีนะ ก็ไม่มีอะไรจะไปสู้กับเขาหรอกคะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างมีแค่ความรู้ที่ศึกษามาเท่านั้น กับ รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรเพื่อป้องกันตัวเองได้บ้าง ส่วนมากจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากกว่าคะ บางครั้งพี่ ๆ เขาก็ตอบกลับมาว่า .. แค่นี้เองทำไมเอ็งทำไม่ได้ละอย่างแกทำได้สบาย ๆ อยู่แล้ว .. บอกตรง ๆ คะอยากร้องไห้ตรงนั้นเลยสมเพชตัวเองจริง ๆ แต่ไม่ได้อายนะคะที่ทำไม่ได้ .. เพราะถ้าหากการที่เราอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดามันเป็นเรื่องน่าอาย กาลีนะ ยอมอายคะ .... เพราะบอกตัวเองเสมอว่าจะไม่เดินเข้าไปเส้นทางนั้นหากไม่จำเป็นจริง ๆ หรือ ยังไม่พร้อม .. ก็จะหาหนทางในการใช้ชีวิตในแบบของตนเองต่อไป ..

    ... และ สิ่งหนึ่งที่ กาลีนะ อ้อนวอนขอพรต่อเทวดาประจำตัว และ พระรัตนะไตรตลอดเพื่อป้องกันตนเองจากคนที่คิดไม่ดี ปองร้าย ทำร้าย ให้ร้าย กาลีนะ .. คือ การพลิกแพลงดัดแปลงสิ่งที่ติดตัวมาให้เกิดประโยช์แก่ตน .. เป็นเสมือน " กระจก " สะท้อนสิ่งเหล่านั้นกลับไปหาพวกเขาไม่ช้าก้เร็ว คือ ใครที่ คิดร้าย ทำร้าย กาลีนะ ก็ขอให้ถือว่าเขาได้ทำร้าย บิดา มารดา และ ครู ของตนเอง ซึ่งถือเป็น .. กรรมหนักหนึ่งในห้าอย่างนั้นเอง ( ผู้มีครูก็ถือว่า ผิดครู ) .. นั้นคือเทคนิคที่ อ.ต๋องเคยแนะทางไว้ แล้วได้นำมาปรับปรุงใช้กับตนเอง ... เรียกว่าใช้สิ่งที่เรามีในตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ... ตอนแรกว่าจะไม่บอกคะ .. ว่าจะปล่อยให้พวกที่เขาคิดร้าย ทำร้าย กาลีนะ ได้รับกรรมไปเองแบบไม่รู้ตัว .. แต่พอคิดอีกทีบอกเลยดีกว่าคะไม่ชอบมีความลับ ไม่ชอบทำอะไรลับหลังถ้าไม่จำเป็น .. เพราะปกติก็ไม่ชอบไปหาเรื่องใครก่อน หรือ ทำอะไรใครก่อนอยู่แล้ว ให้เกียรติทุกคน ยกเว้นเขาจะทำตัวเอง ...



     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอระบาย ... ด้วยคน...
    สมัยที่เตี่ยผมมาจากเมืองจีน เหยียบแผ่นดินไทยหมาดๆ เดินผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง มือกำธูปเอาไว้ จุดไหว้อะไรยังไง ไม่เป็นสักอย่าง...
    ซิ้มแก่ๆคนนึง นั่งหันหลังให้ แต่เรียกเตี่ยไปหา ด้วยน้ำเสียงผู้ชาย และเรียกชื่อ ที่รู้กันเฉพาะพ่อลูก...กลายเป็นวิญญาณก๋ง ที่เคยมาทำงานที่เมืองไทยแล้วกลับไปตายที่เมืองจีน มาเข้าร่างทรงคนนี้ เพื่อจะคุยกับเตี่ย...นับแต่นั้นมา เตี่ยที่ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางคางแดง...ก็เป็นอันต้องยอมรับ...

    สมัยเด็กๆผมตามแม่ไปที่บ้านคนทรง ร่างทรงเป็นคนจีน ทรงแป๊ะกงบ้าง กิมท่งเอี๊ยะ บ้าง ลงทรงมาก็ช่วยรักษาโรค ช่วยแก้ปัญหา แก้คุณไสย ไม่คิดเงิน แต่คนก็พากันมาบริจาคเยอะมาก มีงานทีนึงนี่ปิดถนน ปิดซอยกันเลย ร่างทรงคนนี้เองที่ผมเคยเล่าไปว่า สามารถเรียกวิญญาณคนที่ตายไปแล้ว มาเข้าใครก็ได้ เพื่อจะซักถาม โดยให้ถามได้ในชั่วเวลา 1 ก้านธูป...

    พออายุ 14 ย่าง 15 แม่ผมก็มาเสียชีวิต หลังจากยอมรับขันธุ์แล้วเป็นร่างทรงได้ไม่นาน โดยไปรับขันธุ์กับปู่ ที่บอกว่าเป็นพระพรหม ร่างทรงเป็นผู้หญิง ซึ่งผมไม่ค่อยถูกโฉลกสักเท่าไร...การเสียชีวิตของแม่ผมก่อนวัยอันควร ทำให้ผมเร่งรัดการฝึกกรรมฐาน เพื่อจะค้นหาความจริง และที่แอบๆทำไปด้วยคือ การศึกษาเรื่องร่างทรงองค์เทพ...

    ต่อจากนั้นเป็นต้นมาเวลาไปเหยียบตำหนักทรง ตำหนักไหน ไม่เกิน 4 เดือนที่นั่นไม่ไฟไหม้ ก็มีเหตุอันถึงแก่การวิบัติฉิบหายไปหมด ที่สุดท้ายคือศาลเจ้าพ่อเฮ่งเจียที่ตลิ่งชัน ตอนนั้นเตี่ยให้พาไป หน้าที่ลูกก็ต้องพาไปนะครับ..ไปแล้วก็ไปอยู่ห่างๆ ร่างทรงก็ยังอุตรส่าเรียกเข้าไปหาจนได้ เหมือนจะเห็นอะไรในตัวเรา...และทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำอะไรใดๆ เพียงแต่ทรงกำลังจิตเอาไว้ในกรรมฐานเท่านั้นเอง...หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าท่านป่วยและจากไปเสียแล้ว...

    เท่าที่เคยเห็นเรื่องราวเหล่านี้ผ่านมาในชีวิต...พอจะมีข้อสังเกตบางประการอยู่แบบนี้ครับ
    ร่างทรงที่ได้รับเลือกจากองค์เทพ ซึ่งมีสายใยบุญผูกพันธ์กันมาในอดีตชาติ พวกนี้ไม่ต้องรับขันธุ์ เข้าทรงได้ไม่ต้องสั่น แค่ยกมือท่วมหัว ท่านก็มาแล้ว เวลามา ท่านจะลอยอยู่เหนือหัว ไม่ได้มาเข้าทับร่าง ร่างจะรู้สึกตัวรู้ตัวหมด แต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นสิ่งที่ท่านต้องการให้พูด และร่างสามารถพูดคุยสื่อสารกับท่านได้ เวลาท่านออกไปแล้วไม่มีอาการอ่อนเพลีย...พวกนี้แหละครับ ที่ผมเรียกว่า ลงทรงเต็มตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องรับขันธุ์ด้วย ส่วนการบูชาท่านเป็นประจำทุกปี เหมือนกับการไหว้ครูนั้น เป็นการทำเพื่อเคารพท่าน เป็นการแสดงความเคารพรัก ความกตัญญู มากกว่า...

    พวกที่ต้องรับขันธุ์ เวลาทรงต้องนั่งสั่นแรงๆ ก็เพือปรับธาตุขันธุ์ของตัวเองให้เข้ากับท่าน พวกนี้จะมีบุพกรรมเกี่ยวพันกันมา และโดยมากที่ผมเห็น มักไม่ใช่เทพ...อย่างที่มาเข้าทรงแม่ผม เป็นพวกผีตายโหง ที่มีฤทธิ์ ...

    อีกพวกนึงคือ นั่งสมาธิไปบ้างแล้วเกิดนิมิตเห็นเทพเทวา แล้วน้อมจิตไปว่าท่านจะมาอยู่ด้วย จนเกิดเป็นอุปทาน แล้วเข้าสู่ภวังคจิต ฝังลึกไปในใจ ต่อมาก็ไปหาคนทรงรับขันธ์แล้วก็รู้สึกไปเองว่า ตนได้ทรง หลวงปู่ทวดบ้าง หลวงพ่อองค์โน้น เทพองค์นี้ แบบนี้ก็มี...

    อีกพวกหนึ่งคือ ศึกษาวิชาไสยศาสตร์มาบ้าง โหราศาสตร์มาบ้าง แล้วเอามาหลอกว่าเป็นร่างทรง เพื่อหลอกเอาเงิน แบบนี้ก็มี...

    ส่วนอีกพวกหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะนับเป็นร่างทรงหรือไม่ คือจะมีองค์เทพคอยคุ้มครองแล้วส่งฌาณมาหนุน เพื่อจะได้ใช้ในการเกื้อกูลช่วยเหลือผู้คน โดยไม่ต้องประทับทรงเหมือนร่างทรงทั่วไป แต่ต้องปฏิบัติธรรม คือฝึกสมาธิและทำบุญ ทำทานอยู่เนืองๆ ยามปกติก็เหมือนคนทั่วๆไป แต่เวลาต้องการเป็นเรื่องเป็นราว จะปรากฎท่านเหล่านี้แสดงตนออกมาอย่างชัดเจน บางคนเรียกลักษณะนี้ว่า เป็นการผ่านฌาณ...

    ปกติผมนี่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันร่างทรงองค์เทพ เนื่องจาก มีที่เป็นเทพลงมาทรงจริงๆ ไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเห็นจะไม่ใช่...ตรงนี้ไม่ได้ไปรังเกียจใดๆ แม้ว่าจะเป็นผีมาทรง ปอบอาคมมาทรง หรือสัมภเวสีมาสิงมาทรง ทั้งนี้เพราะผมคิดว่า ต่างคนต่างอยู่ ทางใครทางมัน เขาเป็นของเขาอย่างนั้นก็เพราะบุพกรรมเขาทำกันมาอย่างนั้น ไอ้เราก็มีกรรมของเราอยู่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างไปตามทางของตน ก้มหน้าก้มตาเดินกันไป ... มีมิตรไมตรีกับทุกคนทุกฝ่าย ... มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ไหวก็คอยเป็นกำลังใจให้...

    อ้อ...การเป็นร่างทรง หรือการมีองค์ แล้วเปิดเผยตัวแบบแม่กาลีนะ เป็นความเสี่ยง ที่จะต้องโดนลองของเป็นธรรมดา แล้วถ้าไม่มีวิชาติดตัว ก็มีตาเหลือกตาเหลืองได้เหมือนกัน ซึ่งปกติแล้ว องค์เทพที่มาอยู่ด้วย จะเป็นผู้สอนให้ เว้นเสียแต่ จะมีเงื่อนไขเฉพาะบางประการ ที่ท่านกำหนดแล้วยังไม่สามารถทำให้ท่านได้ หรือยังไม่ถึงเวลา ท่านก็จะระงับไว้ก่อน...แต่แม้กระนั้นก็ตาม เวลาเกิดเรื่องอะไร แม้บาดเจ็บมากมาย ทุกข์ยากลำบากบ้าง ก็ไม่ถึงตาย เพราะถ้าวิกฤติจริงๆ องค์เทพเหล่านี้ท่านจะเข้ามาช่วยเสมอ...บางครั้งการที่ไม่เข้ามาช่วย จะเป็นการทดสอบกำลังใจก็มี หรือบางทีก็เรียกว่าลองใจ...
     
  3. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... กราบขอบคุณคะพี่ระมิงค์ .. ที่อธิบายให้เข้าใจเพราะบางทีหนูก็พูดไม่เป็นเรียกไม่ถูกเช่นกัน ...

    ... หนทางไปนั้น หนูรู้คะว่าต้องทำประมาณยังไงบ้าง อ.ต๋อง และ พี่ติ๋ม รวมทั้ง อ.บุญชู ท่านก็ได้แนะนำแนวทาง วางแผนนำทางให้เดินมาบ้างแล้วคะ ท่านก็เคยติงว่าทำไมไม่ปฏิบัติละแค่ชั่วเวลาไม่นานก็ทำได้แล้ว .. แต่ด้วยความที่เราศึกษามาเยอะเฝ้าสังเกต และ มองตัวเองคุณสมบัติไม่เพียงพอคะ เพราะในจิตใต้สำนึกส่วนลึก ๆ รับรู้ได้ถึงความ .. อำมหิต ของใจตนเองไม่สามารถควบคุมมันได้บางเวลา .. เหมือนหนึ่งเป็นสีขาว อีกหนึ่งเป็นสีดำ พอเรานำมาผสมกันมันเลยกลายเป็นสีเทา ๆ .. ทุกครั้งที่ไม่สามารถควบคุม " โทสะ " ของตัวเองได้ .. มันจะเหมือนมีอีกคนหนึ่งที่เป็นเราอยู่ในตัว .. เป็นผู้หญิงที่น่ากลัว และ ดุมาก .. หากมีศัตรูและต้องสู้ .. ใจมันจะเกิดความคิดเดียวเท่านั้น " ศัตรูมันต้องตาย " และ สมองมันก็จะชี้จุดตาย หรือ จุดอ่อน ของศัตรูให้เรารู้เหมือนมีเรด้าห์ติดไว้ .. เพราะผู้หญิงคนนั้นจะบอกว่า .. ทำยังไงก็ได้ให้ทำร้ายศัตรูครั้งเดียวให้ตายไปเลย .. เขาจะได้ไม่ทรมานมาก ... หากเป็นในนิมิตจะบังเกิดเป็น มีด ดาบ ปืน ไฟเผา แล้วแต่สมองจะคิดได้ตอนนั้นเป็นเหมือนสัญชาติญาณการเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง ... แต่เมื่อโทสะลดลงพอมีสติก็จะรู้สึกแย่ในสิ่งที่ทำลงไป แยกแยะไม่ออกว่าสรุปตัวเราคือคนไหนกันแน่ ... จนต้องแยกออกเป็นสองส่วน .. และพยายามฝึกการควบคุม โทสะของตน ไม่ให้เกิดขึ้น .. พอรู้จักกับพี่คนหนึ่งแกเก่งมากแก่ก็แนะให้เอาเมตตานำหน้าไปก่อน จิตนั้นจึงค่อยอ่อนลง .. ทำให้เรีนรู้ได้ว่า " จิตสองดวงที่เราพยายาแยกแยะมันนั้น ต่างกันยังไง ทำอย่างไรจะควบคุมให้มันสงบได้เร็ว เพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อคนอื่น "

    ... อนึ่ง .. ผู้ชี้แนะแนวทางรุ่นก่อน ๆ ท่านได้ปูทางเดินมาให้แล้ว และได้ทำนายไว้ว่า .. เมื่อถึงเวลาจะมีผู้เข้ามารับช่วงชี้แนะแนวทางให้เอง ตอนแรกก็ห้าสิบห้าสิบคะ .. แต่ตอนนี้เชื่อแล้วว่า " จริง " หลังจากที่ได้รู้จักพี่ ๆ หลายท่านที่เมตตามาตลอด ..

    .. สำหรับคำว่าไม่พร้อมนั้น ก็ได้มีผู้ชีแนะวิธีการ เลี่ยง เบี่ยง ให้ทดเวลาไปได้คะ จนกว่าจะพร้อม .. และ ยังสอนวิธีที่ให้อยู่ได้กับท่านแบบไม่ต้องทำหน้าที่โดยตรงด้วย ... ทำให้หนูรักพระสองท่านนี้มาก เพราะท่านคือผู้ให้โอกาศแก่หนู และพี่ติ๋มอดีตร่างทรงที่ช่วยชี้ทางให้หนูไปตามหา " พระที่เมตตา " จนหนูหาเจอ และ กลายมาเป็น กาลีนะ ในทุกวันนี้ที่ทุกคนรู้จัก ... และ หนูคิดว่า " หากเราเองยังไม่เข้าใจในองค์ของตนเอง เราจะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนได้อย่างไร ประสบการณ์ก็ยังน้อย ความสามารถก็ยังน้อย .. จะช่วยคนอื่นได้อย่างไร ... จะอาศัยแค่กำลังองค์ตนเองอย่างเดียว มันก็ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไป .. เราควรดิ้นรนด้วยตนเองก่อน .. อย่ารักสบายเกินไป มันรู้สึกไม่ภูมิใจในสิ่งที่ทำ ดูไม่ค่อยมีศักดิ์ศรีเอาสะเลย " มันเป็นความคิดของหนูนะคะ ..

    ... แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะบีบทางเดินให้เหลือน้อยลงทุกที ... กาลีนะ จึงได้คิดดัดแปลงคำอธิฐานที่ส่งไปให้พี่ดูล่าสุดขึ้นมา เพื่อสร้างเกราะป้องกันตนเองไว้ล่วงหน้าตามแนวทางของ อ.ต๋อง เป็นหลัก .. เพราะรู้ว่าเมื่อเดินเข้ามาในสายนี้ และ เว็ปนี้จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง .. เลยต้องสำรวจหาสิ่งที่มีในตนขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด .. ในเมื่อหนูมีความเป็นแม่อยู่ในดวงจิต และ ทราบดีว่าเมื่อถึงเวลาคับขันจริง ๆ องค์ท่านจะช่วยเอง และคงไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาตอนนี้ไม่มีพ่อแม่ให้กำเนิด ผู้ที่เรียนวิชา อาคม ทุกคนย่อมต้องมีครู ทุกสรรพสิ่งต่างเชื่อมโยงไปหาต้นกำเนิดทั้งสิ้น .. และได้เรียนรู้ถึงกฏแห่งกรรมมาพอสมควร โดยเฉพาะกรรมหนักห้าอย่างที่จะ " ส่งคนชั่วลงนรกได้โดยที่เรายอมเสียอะไรสักเล็กน้อยเท่านั้น " แต่ผลที่ได้มากกว่าสิ่งที่เราต้องแลก ... สร้างภัยเงียบที่น่ากลัวให้บังเกิด บางทีก็ถามตัวเองว่าเราทำเกินไปหรือเปล่าที่ใช้สิ่งที่มีตอบโต้ศัตรู แต่ก็มีคำตอบให้ตนเองว่า .. เราไม่ได้ไปร้ายใคร หากเขาไม่ได้มาทำร้ายเราก่อน มันจะบังเกิดผลต่อผู้ที่มีจิตใจคิดร้ายผู้อื่นเท่านั้น และ เหลือทางออกให้สำหรับคนที่สำนึกได้ .. จึงทำให้พี่ทักว่าถ้าใส่คำว่า " โอม " ลงไปมันก็กลายเป็น " โองการ " แล้ว ... แต่กาลีนะ ไม่รู้หรอกนะคะว่าการเขียนโองการเขาทำกันยังไงบ้าง .. แต่ถ้าวันหนึ่งสามารถงัดของเก่าตัวเองมาใช้ได้ และ สามารถพัฒนามันได้ในอนาคต .. คงไม่ได้เอาไว้ใช้ทำสิ่งไม่ดีหรอกคะ .. และคงไม่ใช้พร่ำเพรือคะ .. กลัวตนเองตกนรกเหมือนกัน .. ถ้ามันไม่คุ้มที่จะแลกก็ไม่แลกคะ .. ทุกอย่างยังคงพยายามปล่อยให้เป็นไปตามกฏแห่งกรรม
     
  4. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .. และ ที่ตัดสินใจเขียนบอกลงไปทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะเก็บไว้ไม่บอกใครให้รู้เพราะกลัวว่าคนจะมองว่าเรา " อวดอุตริ " แต่พอพี่ที่เคารพทักว่า ชอบแบบนี้เหรอ .. เลยทำให้เกิดความคิดว่าบอกไปสักหน่อยก้ดีนะ .. อย่างน้อยเขาจะได้คิดก่อนที่จะทำอะไรลงไป .. เพราะหากเขายังฝืนจะทำ หรือ คิดต่อไป .. ก็แสดงว่า .. เขายินดียอมรับผลของกรรมหนักนี้ด้วยความเต็มใจไม่ได้บังคับ .. เพราะมันก็จะไม่ส่งผลกรรมมาถึงตัวเราเองมากเท่าไหร่ .. เพราะเราป้องกันตัว และ เขาทำตนเอง .. กรรมที่ต้องรับมันแตกต่างกันมาก .. จากนี้ก็คงพยายามไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แจ้งแค่นี้พอ ... ต่อไปจะได้ไม่รู้สึกผิดในใจอีก ... เพราะผลของกรรมหนักห้าข้อเป้นยังไงทุกคนก้พอทราบกันดีอยู่ .. ถ้าอยู่กันอย่างจริงใจ ถ้อยทีถ้อยอาสัย เอื้อเฟื้อต่อกัน มีน้ำใจให้กัน .. มันก้อยู่กันได้อย่างมีความสุขจริงไหม๊คะ ..
     
  5. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... กาลีนะ ต้องการเรียนรู้ และ ศึกษา ไว้เพื่อประดับความรู้เท่านั้น .. ไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งตนเป็น " ตำหนักทรง " แต่อย่างใด .. เพราะพอจะรู้ในสิ่งที่ตัวเองเป็นมานานแล้ว .. เพราะคนแรกที่ทำให้สนใจเรื่องการมีองค์นั้นมันนานมาเป้นสิบปีแล้ว ลองแล้วมาหลายรูปแบบ พิสูจน์มาแล้วจนแน่ใจ ... และ พยายามจะไม่ก้าวล่วงเข้าไปมากกว่านี้ รักษาระดับตนเองอยู่ .. และ หาวิธีป้องกันตนเองจากพวกที่ร้อนวิชา .. พวกอยากลอง พวกชอบมาแอบดูดพลังงานของคนอื่น .. พวกอยากได้ผลประโยชน์บางอย่าง เอาง่าย ๆ เลยคะ .. พวกไม่จริงใจ ไม่บริสุทธิ์ใจ .. อยากใช้ชีวิตแบบนักศึกษาที่ชื่นชอบเท่านั้น ..

    .... เพราะในความเป็นจริง คนเหล่านั้นน่าจะเอาไปลอง ไปทดสอบ กับพวกที่เขาเก่ง ๆ มากกว่าจะใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองเอามา " รังแกคนที่อ่อนแอกว่า หรือ คนไม่มีทางสู้ " เพื่อสนองตัณหาของตนเอง .. แล้วก็มาอ้างพระอ้างเจ้า .. อ้างว่าตนเองเป็นคนดี มีศีลธรรม ใจบุญ .. สาระพัดจะเอามาอ้าง .. ในสังคมปัจจุบัน .. คนอื่นอาจไม่รู้ ... แต่ กาลีนะ เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง .. เชื่อว่าสิ่งที่พุทธองค์สอนไว้ในเรื่องของกรรมเป็นสัจจะธรรม ..

    ... ใครจะหมั่นไส้ หรือ นินทาในใจ ก็ตามสบายเลยนะคะ เพราะนี้คือความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่ไม่เข้าใจในจิตใจคนพวกนั้น .. เพราะ กาลีนะ ก็คงใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองเลือกแล้วต่อไป .. แต่ยังคงให้เกียรติทุกคนเช่นเดิม .. ยกเว้น .. พวกเขาทำให้เกียรติของตนเองหมดไป ก็จะไม่ได้รับการให้เกัยรติอีกต่อไป .. โอเคนะคะ .. จบปิ๊ง .. นอกเรื่องมามากละ
     
  6. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    ผมสงสัยว่า เทพ พรหม มีการทรมารสังขาร คนที่เลือก หรือทำให้ร่างบ้าบอๆ เพื่อให้ยอมรับ ด้วยเหรอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  7. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... ถ้าประสบการณ์ตัวเองที่เจอ ... ไม่มีคะ ... ท่านจะให้สิทธิ์เลือกเองว่าจะเอาไง .. แต่คนส่วนมากที่ขึ้นชื่อว่าผู้ถูกเลือกนั้น .. มักมี " วิบากกรรมหนักติดตัวอยู่แล้ว " การที่ท่านเลือก คือ ท่านให้โอกาศคุณได้แก้ตัว ช่วยบรรเทาให้มันเบาลง หรือ ให้คุณสามารถผ่านมันไปได้ .. ถ้าเราคนเดียวกรรมนั้นเทียบเป้นร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ต้องรับ .. ถ้ามีท่านอยู่ก็เหมือนหารสองนะคะ แล้วถ้าเราทำตัวดีในชาตินี้ และ รู้วิธีเลี่ยงกรรมตัวเองได้อีก .. อาจไม่ต้องรับเลย หรือ รับแค่สถานเบานิดหน่อยคะ

    .. กรรมใครทำคนนั้นก็ต้องรับต่อให้คุณขึ้นชื่อว่า " เป็นร่างอวตาร " ก็ยังต้องอยู่ใน " กฏแห่งกรรมทั้งสิ้น " เพราะแดนมนุษย์เป็นที่รู้กันว่าเป็นที่ที่สามารถสร้างได้ทั้ง " กรรมดี และ กรรมชั่ว " ขนาดผู้ต้องการสู่นิพพานยังต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลยคะ .. ทำได้ก็เจอทางรอด .. พลาดก็นรกขุมสุดท้าย .. เหตุนี้เอง เทพ เทวดายิ่งขั้นสูง ๆ ยิ่งมี " หิริ โอตัปปะ ความละอายในการทำบาป " แล้วคิดว่าท่านจะทำร้ายคนที่ท่านเลือกไหม๊คะ หรือ ร่างอวตารของท่าน .. นอกจากเขาทำตัวเอง แล้วโทษคนอื่น
     
  8. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... แต่ถ้าจากการที่เราไปศึกษาหาข้อมูลจากของคนอื่น ๆ เท่าที่หาได้ส่วนมากจะบอกว่าแบบนั้นคะ ( ไม่รับจะถูกลงโทษ ) ตอนแรกก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน คิดว่าถ้าเรามีพลังของพวกท่านแฝงอยู่แล้วเราสามารถจะหนีกรรมได้ ... แต่พอลองพิสูจน์หลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา .. มันหนีไม่ได้คะ .. มีแค่การเลี่ยงเท่านั้น .. และเทพท่านมักจะให้เราได้รับวิบากรรมนั้นก่อนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งก่อนที่ท่านจะยื่นมือเข้าช่วย .. เหมือนการอาศัยจังหวะชีวิตนั้นแหละคะ .. นอกจากการจะเกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่คิดทำร้ายเราโดยเราไม่ควรรับกรรมนั้น หรือ ผลมันไม่ร้ายแรงขนาดนั้น .. ท่านจะยื่นมือเข้าช่วยคะ .. นั้นจึงทำให้ กาลีนะ ได้รับความช่วยเหลืออยู่บ่อย ๆ

    ... เพราะถ้าระดับเทพขึ้นไปแล้วท่านย่อม " อ่านจิต " ผู้อยู่ในระดับเดียวกันลงไปได้อยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องพูดก็ได้ หรือ สื่อออกมานิดเดียวท่านก็อ่านออก หรือ ที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ .. ซึ่งมันจะมีติดตัวมาแต่เกิดอยู่แล้วมากน้อยแล้วแต่คนไป .. บางครั้งแค่อ่านใจได้แต่บางครั้งมันก็มีภาพขึ้นมาให้เห็นด้วย .. แล้วแต่คะ .. บางครั้งนี้รู้ด้วยว่าคนนั้นโกรธขนาดมือสั่น หรือ กลัวมาก เกรงใจ ทุกข์ใจจริง ๆ มีความสุขมาก ๆ กำลังหลอกตัวเอง ต้องการความช่วยเหลือ โอ้อวด ยกตนข่มท่าน ... มันจะรู้ได้เองคะ ไม่มีเสียงใครมาบอกเราทั้งนั้นมันจะขึ้นมาเองว่าเขารู้สึกแบบนี้นะ เป็นแบบนี้นะ .. ถ้าเราฝึกดี ๆ ก็จะสามารถควบคุมมันใช้งานได้อีกเยอะ .. แต่ถ้าปล่อยตามธรรมชาติมันก้ไม่เสื่อมแต่แค่ควบคุมไม่ได้ .. แต่สำหรับ กาลีนะ คิดว่ามันเป้นการทรมานทางจิตใจอย่างหนึ่งที่จะต้องมารับรู้ความคิดของคนอื่นที่มีต่อเรา หรือ ความคิดของคนอื่นที่ต้องการสื่อกับเราบางครั้งไม่ต้องเจอหน้า หรือ สื่อสารอะไรอยู่ ๆ มันก็จะเกิดขึ้นเอง .. ตามแรงกำลังจิตที่อีกคนมี .. ประมาณนี้คะอธิบายไม่ค่อยละเอียดมากเพราะไม่เคยฝึก..

    ... หรือ บางครั้งที่ใครสักคนวิงวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย และ เขาก็ได้รับเลือกให้ได้สมปรารถนา .. ถ้าเขาขอต่อองค์ของเรา หรือ ไม่เจาะจงแต่องค์เราพอใจ .. เราก็จะรู้สึกได้คะ .. อันนี้เคยมีประสบการณืมาพอสมควร .. หรือ เขาอาจติดขัดอะไรท่านจะดลให้เรารู้ และ บอกเขา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  9. rungsun2503

    rungsun2503 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +1,186
    จริงมั๊ยครับ ที่เค้าว่ากันว่า คนมีองค์ถ้าทำผิดจะมีโทษมากกว่าคนทั่วไป
     
  10. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    ชอบคอมเมนจ์ นี้มากเลยครับ คนที่ไม่ดีอาจเป็นคนดี ที่ถูกสถานการณ์ บังคับ หรือ พลาดพลั้ง ไป แต่ก็อย่างว่าล่ะฮ่ะ คนบางจำพวก ต่อ ให้เราทำดีแค่ไหน เขาก็มอง เราเป็นลูกไล่อยู่ดี หรือเราพลาดครั้ง ก็ถล่มกันจนยืนไม่ติดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2015
  11. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... จริงคะ .. เท่าที่ศึกษามานะคะ ก็คนธรรมดาหนึ่งเท่าเพราะคนเดียวเพียว ๆ ไม่มีสิ่งเจือปน .. แต่พอมีองค์ปั๊บ .. ส่วนของกรรมไม่ดีองค์ท่านจะไม่เอาด้วยนะคะ .. เราต้องแบกรับส่วนนั้นเองกลายเป็นสองเท่า ... งง กันละสิ

    ... สมัยก่อนก็งงเหมือนกันคะ .. ก็ได้พี่ ๆ ชี้แนะให้หลายท่านทำให้มีความเข้าใจส่วนตัวว่า ... ถ้าเราไม่เอากายเนื้อมาวัดนะคะว่ากันเป็น " ดวงจิต "

    1. คนธรรมดาจะมีหนึ่งดวงจิตเท่านั้น เวลาทำดี หรือ ทำชั่ว ก็รับคนเดียวเต็ม ๆ อันนี้เข้าใจง่ายคะ ..

    2. คนมีองค์ เท่ากับมี สองดวงจิตขึ้นไป ... และ ต้องแยกการกระทำในรูปแบบต่าง ๆ ออกไปอีก ..

    2.1 ร่างทำคนเดียว .. คือ กระทำด้วยตนเองไม่ได้ใช้พลังขององค์ใด ๆ ทั้งสิ้น .. อันนี้รับแบบคนธรรมดา

    2.2 ร่างใช้พลังแฝง หรือ พลังขององค์ที่มีในการทำ

    2.2.1 ทำความดี .... แบ่งกันอันนี้ก็ดูสัดส่วนว่าเราใช้ของเราร่วมกับท่าน หรือ ท่านองค์เดียว ..

    2.2.2 ทำความชั่ว ... ซึ่งแน่นอนเทพท่านไม่เล่นด้วยแน่นอน .. นอกจากพวกอมนุษย์ .. กรรมนั้นเราก็เลยต้องรับเป็นสองเท่า เพราะท่านไม่เต็มใจ หรือ ไม่มีเจตนาต้องการที่จะทำ แต่ร่างมีเจตนาในการทำชั่วโดยอาศัยการยืมมือองค์มาใช้ ( พลัง ) ... กรรมชั่วที่เกิดร่างก็ต้องรับในส่วนขององค์ไปด้วยเป็นสองเท่า .. อย่าลืมว่าองค์ท่านมาสร้างบารมี .. ไม่ได้อยากมาสร้างกรรม ..

    ... นอกจากนี้ .. ยังมีแบบปลีกย่อยลงไปอีกนะคะ .. เช่น องค์บางท่านจะมีข้อห้าม และ บางองค์ไม่ค่อยมีข้อห้ามอะไรมาก คล้าย พวกสายปราบ ก็จะสามารกำจัดพวกไม่ดีได้ตามกรรมที่เขาสร้าง โดยที่กรรมที่เกิดก็จะไม่มากเท่าที่ควรรับแบบปกติ ..
     
  12. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์อีกนั้นแหละคะ ... ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง .. เป็นกันทุกคนแค่ใครมากน้อยกว่ากัน ใครละวางได้มากกว่ากัน ..

    ... พุทธองค์สอนให้เราละกิเลศไม่ใช่เพิ่มกิเลสในใจ .. ขนาดองคุลีมาลย์พุทธองค์ยังทรงไปโปรดเลยเพราะเล็งเห็นจิตใจในส่วนดีของเขา เพียงแค่เขาหลงผิดไป และ ได้รับคำสอนที่ผิด ๆ นั้นเอง .. พุทธองค์จึงช่วยชี้ช่องทางให้เดิน .. สุดท้ายท่านก็สำเร็จอรหันต์ ... แล้วคนเราตอนนี้ก็น่าจะได้โอกาศดี ๆ ไม่ใช่เหรอคะถ้าเขาตั้งใจจะกลับตัวกลับใจจริง ๆ เพราะบางทีคนดีในสายตาทุกคน .. อาจยืนหยัดอยู่ได้ด้วยเบื้องหลังที่สกปรกก็ได้ ..
     
  13. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... พอกล่าวถึง ท่านองคุลีมาลย์ ทำให้นึกถึงคำพูดเรื่องการสอน ... ว่าทำไมเวลาที่ กาลีนะ เขียนตอบอะไรก็ตามที่เป็นความรู้พยายามบอกว่า นี้คือ ความคิดตนเอง หรือ เอามาจากที่ไหน .. เพราะกลัวจะเกิดกรรมทำให้คนอื่นหลงผิดเช่นกัน .. เพราะหากเขาเกิดเข้าใจผิด ๆ หรือ เอาไปใช้ในทางไม่ดี .. เราอาจจะซวยมีเอี่ยวในกรรมนั้นด้วยไม่มากก็น้อย .. แต่ถ้าเป็น " ครู กับ ศิษย์ " อันนี้หนักหน่อย ..ต้องใช้ความระมัดระวังสูง .. จะมักง่ายไม่ได้ .. และ มันเป็นจรรยาบรรณของความเป็นครูด้วย .. อันนี้ในความคิดตัวเองนะ
     
  14. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... พอดีวันนี้ ..ได้ไปเจอคำสอนของพี่ที่เก่งมาก ๆ ท่านหนึ่งคะ .. เลยเอามาฝาก ..

    ..แต่มีเรื่องเล่าครับ..ถ้าเราแสดงกิริยาต่างๆ
    ทางกาย ทางวาจา ตลอดเขียนเป็นข้อความได้ไม่ว่าจะทางสื่ออะไรๆก็ตาม.
    และไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม..และไม่ว่าจะเป็นเรื่องกุศลหรืออกุศลก็ตาม..รวมทั้งคิดต่อไปเป็นเรื่องอื่นๆได้ รวมทั้งรู้สึกถึงอารมย์
    อื่นๆได้ด้วย และก็ใช้ความเห็นในการตีความร่วมด้วยกับ ข้อความ ความคิด ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้นแล้ว..แสดงว่า ตัวจิตเรามันถูกอุปโลกตัวมาปรุงแต่งจิตเข้าไปแล้ว..และตัวอุปโลกเหล่านี้มันซ้อนทับแล้วซ้อนทับอีกไปไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นไปแล้วครับ..แต่ส่วนใหญ่เรามักจะไม่รู้ทันตรงนี้และไม่สนใจ
    เพราะไม่ว่าเราจะรู้สึกดี หรือ รู้สึกไม่ดี หรือรู้สึกเฉยๆ ก็แสดงว่าตัวอุปโลกมันอุปโลกให้เป็นไปอย่างนั้นทั้งสิ้น..เพราะเราขาดการสร้างเครื่องมือ
    เข้าไปสังเกตุตรงจุดนี้..เรามักเป็นไปตามตัวอุปโลกที่มันมีกำลังมาก...
    เราจึงไม่เข้าใจว่า..อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรสมควร อะไรไม่สมควร..
    เราควรละ ควรปล่อยตั้งแต่ตัวอุปโลกตัวแรก ที่มันทำให้รู้สึกได้ ทำให้คิดได้
    ทำให้ปรุงแต่งได้ ทำให้เราระลึกได้.ถ้าทำได้นะครับ...ถ้าทำไม่ได้ก็ควรที่จะต้องระงับ และหยุดสร้างเหตุ สร้างเรื่องราวเอาไว้ก่อน.อย่าไปร่วมปรุงแต่ง
    ตาม อย่าไปแสดงกิริยาร่วม พูดง่ายๆอย่าไปเป็นตัวละครในนั้น..ไม่ใช่ทำไปแล้ว.ถึงมาให้ความเห็น มาตีความ มันก็จะตีความและให้ความเห็น
    ไปตามตัวอุปโลกนั่นหละครับ.ทางโลกเรียกข้ออ้างหรือข้อแก้ตัว.
    ถ้าอกุศลก็รีบดับซะ ถ้ากุศลก็ทำๆไปแล้วๆไปอย่าไปยึด...
    และต้องไม่เอาทั้งตัวเครื่องมือ ที่ทำให้เรารู้ว่า มันกุศลและอกุศลด้วย..
    จิตเรามันถึงจะเข้าสู่ความว่าง ที่ไม่ใช่ว่าว่าง หรือไม่ว่าง นั่นหละคือว่างครับ..



    ปล.แค่คิดได้ ระลึกได้ ไม่ว่ากุศลหรืออกุศล.
    ก็ไม่ใช่ความลับในโลกใบนี้แล้วครับ...
    ไม่ต้องพูดถึงการไปเป็นตัวแสดงร่วม การไปปรุงแต่งความคิดร่วม..
    เพราะฉนั้นอยู่แค่ไหน ช่วงไหน ก็ให้รู้ๆตัวและพยายามกันเองเองนะครับ..
    กระแสจิตคล้ายๆกัน มันก็มักจะดึงเข้าหากันนั่นหละครับ.....
    ทำไมคุณ ทำไมเค้า ถึงอยู่ร่วมกันได้และไม่ได้. มันก็อยู่ที่ตัวอุปโลก
    ที่พวกคุณสร้างมันขึ้นมาไม่ว่ากุศลหรืออกุศลนั่นหละครับ..
    ยังไงก็ลองตรองดูเอาเองนะครับ..
     
  15. rungsun2503

    rungsun2503 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +1,186
    คนมีองค์ เท่ากับมี2 ดวงจิตขึ้นไป ตรงนี้คาใจผมมานาน เพราะเคยมีคนบอกผมว่า ผมมีจิตอีกดวงอยู่ในตัว ถ้าผมรวมดวงจิตเข้าด้วยกันได้จะดีมาก แต่ผมเคยถามอาจาร์ยผม ท่านว่าอย่าทำเลยเพราะถ้าเรารวมไปแล้ว เราก็จะเป็นบริวารของดวงจิตนั้นไป เรื่องนี้ขอผู้รู้ช่วยคลายความสงสัยนะครับ
     
  16. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันมันเป็นแนวทางของ ฮินดู คะ .. พราหมณ์ กับ ฮินดู เป็นอย่างเดียวกันนะคะ .. ต่างแค่คำเรียกเท่านั้น ..

    ... การรวมสองดวงจิตเข้าด้วยกันก็เพื่อเป็นการดึงพลังที่มีอยู่ออกมาใช้งานได้เต็มที่ ไม่แปลกแยกกัน รวมเป้นหนึ่งเดียวกัน ..

    ... ส่วนการเป็นบริวารของดวงจิตนั้น ... มันก็ต้องแยกออกเป็นกรณีนะคะ มันละเอียดอ่อนพอสมควร แต่จะพยายามอธิบายง่าย ๆ คะ ..

    ... คุณคิดว่าสีที่แตกต่างกันสองสีเมื่อมารวมกันสีไหนจะเด่นชัดคะ .. ย่อมเป็นสีที่มีจำนวนปริมาณมากกว่า เข้มกว่าใช่ไหม๊คะ ..

    ... ในทางเดียวกัน .. จิตที่มีพลังมากกว่าย่อมสามารถควบคุมจิตที่มีพลังน้อยกว่าได้อยู่แล้ว .. มันก็ขึ้นอยู่กับว่า .. จิตที่มีพลังมากกว่าเขาต้องการทำแบบนี้เพื่อสิ่งใด .. หากเขาต้องการดึงเราไปเป็นบริวารแสดงว่าเขาก็ย่อมต้องรู้หนทางที่จะชักจูงเราให้เดินไปตามทางที่เขาวางแผนไว้ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่เขาต้องการแล้ว .. เขาก็ย่อมมีสิทธิ์มีอำนาจเหนือเรา ..
     
  17. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... เหมือนความเชื่อทาง ฮินดูที่ว่า ถ้าพระศิวะ กับ พระแม่อุมา รวมกันในร่างเดียว .. จะมีพลังมหาศาล และ เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง .. หรือ การรวมของมหาเทพทั้งสาม กลายเป็น พระตรีมูรติ เป็นต้น .. ก้เพื่อเพิ่มพลังอำนาจให้มากขึ้น และ ใช้งานได้แบบเต็มที่ .. มันก็เป็นพื้นฐานของการเข้าทรงอยู่แล้ว .. เพียงแต่ว่า องค์ และ ร่าง จะไม่มีการต่อต้านกัน .. เชื่อมกันได้สนิท ไม่มีอาการข้างเคียง ..
     
  18. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    โดนใจค่ะ (kiss)
     
  19. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... ดูจากสไตร์การเขียนก็น่าจะรู้นะคะว่าใคร ... ป๋านบภากาญจน์ ของเรานะเอง .. บางท่านอาจไม่ค่อยเข้าใจนะคะเพราะป๋าแกใช้คะศัพท์ที่เข้าใจยากสักหน่อย ..

    ... กาลีนะ เห็นว่ามันพอจะอธิบายในส่วนที่เรากำลังพูดถึงอยู่พอดีในแนววิชาการได้เลยเอามาให้ลองพิจารณาดูคะ ... หรือ ที่เขาเรียกว่า " การอ่านจิต " ของคนอื่นได้ นั้นคือ ความสามารถในการอ่านจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ส่วนจะถูกต้องแม่นยำแค่ไหนก็แล้วแต่บุคคล .. เพราะตัว กาลีนะ เองก้อยู่ในระดับกลาง ๆ ยังไม่เก่งมาก .. นอกจากสิ่งนั้นมันจะเป็นการพาดพิง หรือ สื่อมาถึงตัวเราคะ .. แต่เราต้องทำสมาธิในการจับด้วย นะคะ จิตเราต้องนิ่ง และ เป็นกลาง ประมาณนี้คะ .. เหมือนจิตเราเป็นจานรับคลื่นสัญญาณ แต่ถ้าเข้ามาในเว็ปนี้ส่วนมากจะใช้ตัวนี้ในการสื่อสาร และ รับรุ้คะผ่านทุกตัวอักษรทุกคำที่ใช้มันจะบ่งบอกตัวตน และ อารมณ์ของเขาในขณะนั้นด้วย .. ทั้งนี้เราต้องฝึกด้วยนะคะจะได้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
     
  20. TEE_L

    TEE_L สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +23
    กระทู้เงียบไปนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...