เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

หรือ ประกาศ เป็นป้ายหน้าวัดเลยว่า

วัดนี้ พาคุณพิสูจน์ นิพพานได้ พิสูจน์ นรก สวรรค์ได้

วัดนี้สอนให้คุณ พ้นทุกข์ ดับทุกข์ โดยสิ้นเชิงได้

ทำไม ผมเกิดมา สี่สิบปีแล้ว ไม่เห็น มี พระวัดไหน กล้าประกาศ ว่า เข้าถึง มรรคผล นิพพาน ล่ะครับ

เห็นที่ไหน ก็มีแต่ ซองผ้าป่า กับ สอนนั่งสมาธิ มโนมยิทธิ

ตกลง เมืองไทย เป็นเมืองแห่งศาสนาพุทธ จริงๆหรือครับ

ที่เห็นประกาศที่หน้าวัด ก็มีแต่บอกว่า จะทำบุญนั่น บุญนี่ ผ้าป่านั่น ผ้าป่านี่ ฉลอดพัดยศ ฉลองวันเกิดพระ

ตกลง นี่หรือครับ เมืองพุทธ ขนาดวัดยังบริหารวัดแบบ หวังผลกำไร

 

ศาสนาอิสลาม เขาศึกษา ตำราเล่มเดียว

ศาสนาคริส เขาก็ศึกษา ตำราเล่มเดียว

มีแต่ ศาสนาพุทธเรา มีตำราจากสาวก ออกมาแข่งกับ ศาสดากันทุกรูปเลย ตกลง ที่ศาสาดาท่าน ประกาศเอาไว้ มัน ไม่ดีจริงหรือครับ

ผม เพิ่งคิดได้ ว่า งง มั้ย ครับ ทุกท่าน

 

===========

เมื่อคืนภาวนา ก็เห็นพ้องเหมือนที่คุณ วงกลมจุด กล่าวมาอย่างนี้เช่นกันครับ

มันเป็นความจริงว่า การที่จะช่วยปลดทุกข์ให้ผู้อื่นหลุดพ้นทุกข์ให้สำเร็จจริงได้อย่างไร จะต้องไปที่ไหน ต้องทำอย่างไร ซึ่ง มันยังหาไม่ได้ ยังหาไม่เจอ ไปมาแล้วยังไม่ใช่ ยังไม่ถูกใจ นั่นเอง

ทีนี้ ความคิดมันก็ทำงานของมันต่อไปว่า
เราจะไปหา มันคงเป็นเรื่องยาก ด้วยกาลเวลาในปัจจุบัน มันเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนในสมัยพุทธกาล ในสมัยนั้น แค่ขอให้รู้ว่าเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ การเข้าไปหา ก็สามารถปลดทุกข์ได้จริง ไม่เกี่ยวด้วยสถานที่ เพราะพระอรหันต์ในพุทธกาล ปลุดทุกข์กันกลางป่าเขาลำเนาไพร ถือรุกขมูลธุดงควัตร์ นั่นเอง
แต่กาลเวลาในปัจจุบัน ไม่ใช่ และจะหาที่ปลดทุกข์ได้จริงมันก็ยากมากๆจริงๆเพราะปัจจัยหลายอย่างมันปรุงแต่งมากยิ่งขึ้นจนหาที่ปลดทุกข์ไม่เจอ

สุดท้าย ที่ปลดทุกข์ มันเป็นเรื่องของวาสนาบารมี และภูมิธรรม ที่เขาสั่งสมมา ณเวลานี้ อย่าไปเลือกหาสถานที่อยู่เลย แต่ให้เลือกหาที่จิตใจของเขาดีกว่า เพราะ การปลดทุกข์ที่แท้จริง มันปลดทุกข์ก็ที่ใจเราใจเขา เท่านั้น เมื่อถึงใจ เข้าใจรู้ใจเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ ชี้ทางให้เราเขาเข้าใจ กระผมเชื่อว่า สักวันเราเขาก็ต่างสามารถปลดทุกข์ได้หมดสิ้นทุกข์

สรุปเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว การไปปลดทุกข์ ก็คงต้องคิดใหม่ทำใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบุคคลนั่นเองครับ

 

โลกธรรม8 มันเป็นธรรมดาเช่นนี้จริงๆครับ

เมื่อพระสงฆ์ มีจำนวนมากขึ้น เมื่อคณะกลุ่มบุคคลเพิ่มมากขึ้น การอยู่ร่วมกัน จึงต้องเกิดสภาพ ความเป็นสังคมเกิดขึ้น เมื่อความเป็นสังคมกลุ่มชนกลุ่มพระสงฆ์เกิดขึ้น จึงต้องมีเรื่องการปกครองเกิดขึ้น เมื่อมีการปกครองเกิดขึ้น จึงมีเรื่องการเมืองเกิดขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงหรือหลีกหนีไม่ได้ครับท่าน

ปัญหาคือ เมื่อมีการเมืองการปกครอง การที่จะต้องคัดเลือกแต่งตั้งบุคคลหรือพระสงฆ์ผู้มีความดีพร้อมคุณสมบัติพร้อม กับฐานะ กับตำแหน่งหน้าที่ เพื่อการปกครอง จึงเป็นสิ่งที่ตอบได้ยากยิ่งว่า ควรจะต้องสรรหาอย่างไรจึงจะได้พระอริยะสงฆ์ ดีพร้อมสมควรแก่ฐานะและตำแหน่งหน้าที่การปกครอง

เมื่อวิถีการปฏิบัติในปัจจุบันเป็นอย่างนี้ ระเบียบปฏิบัติเป็นอย่างนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ยากและมีความสลับซับซ้อนยิ่งนัก

ต่างกับสมัยพุทธกาลมาก ดังนั้น การปกครองการเมืองจึงมุ่งเน้นไปในทิศทางของมันตามความเป็นโลกิยะชน

แต่แก่นแท้คือความเป็นผู้ประเสริฐผู้เจริญ ผู้เป็นพระอริยะ8จำพวกกลับถูกมองข้ามไปและเป็นสิ่งที่กลายเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ อุดมคติ ในฝัน กล่าวประกาศก็เป็นสิ่งไม่สมควร ไม่ได้ส่งเสริมเชิดชูให้เป็นอย่างยิ่งที่ควรจะต้องทำเป็นแบบแผนปฏิบัติ

นี่แหละความการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดความสับสนขุ่นมัวไม่ชัดเจนครับ เพราะเหตุปัจจัยมันส่งผลอย่างนี้ นั่นเองครับ สาธุ

 

ในวัด ยังมีมุม ให้เช่าวัตถุมงคล เพื่ออะไรครับ

ก็ไหน ว่า ทำดีได้ดี

ตกลงทุกวันนี้ เช่าวัตถุมงคลแล้วจะได้ดี งั้นหรือครับ

 

เรื่องวัตถุมงคล เป็นกุศโลบาย แต่ภายใต้กุศโลบาย สิ่งสำคัญคือ การมุ่งเน้นให้ชาวพุทธ เข้า สรณะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึง วัด เข้าถึง ความดี เข้าถึง ทาน ศีล ภาวนา

เนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนไป การจะดึงผู้คนเข้าถึงความดี จึงมีกลวิธีหรือกุศโลบาย นานาวิธี
ความดี เป็นสิ่งที่คนดีทำได้ง่าย คนไม่ดีทำได้ยาก การจะบอกให้คนไม่ดีหันมาเป็นคนดีทำความดี จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น จึงไม่แปลก แต่พระสวกทั้งหลาย วัดและพุทธสถานทั้งหลายก็ต้องไม่ลืมว่า แก่นแท้ของพุทธคืออะไร นั้นหมายถึง การปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

พุทธสถาน ต่างๆ เมื่อพระสาวก รู้พระธรรมแล้ว ปฏิบัติได้แล้วไม่มากก็น้อย มีศีลอันบริสุทธิ์แล้ว ก็ต้องมุ่งเน้นช่วยเผยแพร่พระธรรม ชักจูงให้ชาวพุทธ ปฏิบัติธรรม ให้มากๆ
เมื่อใดที่ชาวพุทธ มุ่งเน้นการปฏิบัติธรรม รักษาศีล ให้สมบูรณ์ นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะสร้างให้เกิดขึ้นครับ

 

การสืบทอดพระพุทธศาสนา แก่นแท้จริงหมายถึงการมุ่งเน้นให้ ชาวพุทธรู้พระธรรม มุ่งเน้นให้ชาวพุทธปฏิบัติธรรม กันให้มากๆ เพราะการปฏิบัติธรรม นี่เองเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนี่แหละคือหนทางแห่งการ ชำระจิต เพื่อความหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ครับ

 

ในอนาคตกาล
พระพุทธยังคงดำรงตั้งมั่นอยู่ในจิตใจของเหล่าชาวพุทธ
พระธรรมจะแตกแขนงมากยิ่งขึ้น พระธรรมจะบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ทำให้ชนรุ่นหลังไม่รู้จริงว่า พระสัทธรรมโดยแท้จริงเป็นอย่างไร จนเป็นเหตุให้หลงผิด
พระสงฆ์ สาวก จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ความเป็นอริยะสงฆ์8จำพวก กลับลดน้อยลง
เมื่อผ่านพ้นปีพศ3000เป็นต้นไป พระอรหันต์จะลดน้อยลง ไปมาก แต่ในขณะเดียวกัน พระโพธิสัตว์ เทพพรหม จะลงมาสร้างบารมีมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือ สรรพสัตว์

ในกาลเวลานี้ขอให้พวกเราจงภูมิใจ ว่าเวลานี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะยังมีพระอรหันต์ อยู่มากพอสมควร ที่เป็นแบบอย่างที่ดีงามที่ควรเข้าไปหา เพื่อสดับรับฟังพระธรรมจากท่าน เพื่อปัญญาที่ยิ่งๆขึ้นไปครับ สาธุ

 

ขอคำแนะนำบ้างได้ไม๊คะ รบกวนด้วยนะคะ

 

รบกวนคุณ tjs ทาง pm ด้วยค่ะ

 

============

บุญทานก็สั่งสมมามาก ศีลในอดีตแม้บกพร่องบ้างแต่ปัจจุบันก็รักษาได้ดีแล้วเกือบสมบูรณ์ ส่วนการภาวนา ก็ฝึกฝนมาบ้างแล้ว

สิ่งที่อยากแนะนำคือ
การทำบุญทาน ก็ควรทำไปตามโอกาสและกำลังแบบทำไปเรื่อยๆ หวังแค่การชำระจิตใจเราให้ดีงาม
ส่วนศีลตรงนี้ให้ฝึกสำรวมระวัง ฝึกสติประกอบการรักษาศีล เพื่อจะได้ไม่พลาดพลั้ง โดยเฉพาะการฝึกสติ ให้รวมอยู่ที่กาย ใจ ไม่ส่ายออกนอก นอกจากนี้ควรเพิ่มเรื่องศีล8 หรือศีลอุโบสถให้มากขึ้น ศีล8จะทำให้เราเห็นแจ้งยิ่งขึ้นในธรรมดาของสรรพสิ่งที่ปรุงแต่งกายปรุงแต่งใจเรามายิ่งขึ้น อันก่อให้เกิดปัญญามากขึ้น
สุดท้ายเรื่องภาวนา ใหม่ๆการสวดมนต์เป็นสิ่งสำคัญ แล้วต่อด้วยภาวนา การภาวนาตามจริตของคุณให้ฝึกสมาธิ แล้วเน้นวิปัสสนา พิจารณา สติปัฏฐาน4 จิตก็จะมีความก้าวหน้าทางธรรมได้รวดเร็ว ความรู้แจ้งในรูปนามเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อรู้แจ้งในรูปนามแล้ว ก็จะปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นได้เองในที่สุด โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ ก็จะลดลง ตัณหา อุปาทานก็เบาลง อวิชาก็จะค่อยๆดับไป นี่คือหนทางแห่งการชำระจิตใจ ให้ทบทวนอย่างนี้ทุกวัน ลองทำอย่างนี้ก่อน ครับ

สุดท้ายวิปัสสนาจะก้าวหน้า หมายความว่า อาจจะต้องใช้สมถะช่วย สมถะจะต้องก้าวหน้าเช่นกันสำหรับบางท่าน หากยังพิจารณากาย ตัดกายไม่ขาด ก็ต้องเน้นนำเอาสมถะเข้ามาช่วย อสุภะกรรมฐาน หรือมรณานุสติเข้ามาช่วย เมื่อไหร่ตัดกายตัดรูปได้แล้ว ก็ถือว่าผ่านแล้วครึ่งทาง ที่เหลือก็ให้ทำต่อไปอาศัยความเพียร ติดขัดอะไรก็ค่อยว่ากันเป็นเรื่องๆ ครับ ยินดีให้คำแนะนำครับ สาธุ

 

สาธุค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

 

================

จะตอบให้วันจันทร์ นะครับ พอดีต้องรีบเคลียร์งาน เพราะตั้งแต่วันศุกร์และเสาร์ ต้องไปเป็นผู้นำ ทำพิธีบวงสรวงเมืองโบราณ ที่ลพบุรีครับ

รอก่อนนะครับ สาธุ

 

จะรอนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

ใครที่ยังไม่เข้าใจว่าจิตทรงฌาน4ใช้งานคืออะไรตามที่ตัวเองฝึกมา(จิตเกาะพระ)

คือจิตนิ่งจิตไม่หวั่นไหวไหวตามอาการของกายประมาณว่าจิตแยกออกจากกาย

ต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกันประมาณว่าจะรู้สึกหิวเจ็บปวดโน่นนี้นั่น

ไม่เกี่ยวกับจิตร่างกายมันไม่ใช่กู ไม่ใช่ของกู ไม่มีในกู กูไม่เกี่ยวกับมึง มึงไม่เกี่ยวกับกู

มึงจะตายก็เรื่องของมึงไม่เกี่ยวกับกูอารมณ์ที่มากระทบมันไม่เข้ามาในจิต

โดนด่าโดนชมเฉยประมาณว่าด้านอะครับแต่สิ่งสำคัญคือสติสำคัญมาก

ผมยังต้องมีสติรู้ทันสังขาร วิญญานขันธ์ ของตัวเองซึ่งเป็นกิเลสละเอียดครับ


ใครสนใจฝึกไปลงทะเบียนฝึกได้ที่กระทู้จิตพร้อมรับภัยพิบัติอ.ที่จิตเกาะพระเก่งๆกันทุกท่าน

ค่าลงทะเบียนเรียนมีแค่ศีล5 กับกำลังใจที่อยากหลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิด

แล้วจะได้รู้ว่ามันยอดมากพระเจ้าจอร์ด^^

การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

 

================

ขออนุโมทนาครับ ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงใจ ครับ ท่านใดสนใจก็เชิญเข้าไปที่กระทู้พร้อมรับภัยพิบัติ เพื่อฝึกจิตเกาะพระ กันนะครับผมฝึกมาแล้วทำมาแล้วและเห็นดีมีประโยชน์อย่างยิ่งครับ ก็ขอเรียนเชิญครับ สาธุ

 

มานั่ง เท้าคาง รอ อ่าน ...ค่ะ ขออนุโมทนา ด้วยนะคะ

 

อยากให้ คุณ TJS เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่เป็นผู้นำ ทำพิธีบวงสรวงเมืองโบราณ ที่ลพบุรีค่ะ

 

กระผมได้ไปทำพิธีบวงสรวง ที่งานเมืองโบราณ ซับจำปา ตำบลซับจำปา ท่าหลวงลพบุรีครับ

การบวงสรวง คือเราแสดงถึงความกตัญญุตาต่อบรรพบุรุษ เป็นการแสดงถึงความเคารพแต่บรรพบุรุษ เป็นการแสดงถึงความนอบน้อมสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง เป็นการแสดงถึงความสามารถของชาวบ้าน

การบวงสรวง เป็นพิธีทางพราหม์ แต่สำหรับกระผม ต้องเริ่มด้วยการบูชาพระรัตนตรัย หลังจากนั้น จึงกล่าวอัญเชิญอาราธนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วต่อด้วยการอัญเชิญพระอรหันต์ 8ทิศ เสร็จแล้วจึงกล่าวโองการชุมนุมเทวดา ณร่ายทิพย์มนต์ อัญเชิญ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหม พระพรหม พระนารายน์ พระพิคะเนตร ท้าวสักกะเทวราช ท้าวจาตุมหาราชิการมหาราช ที่4ทิศ4พระองค์ตลอดจนเทพพรหม เทพเทวดาทุกชั้นภพ การกล่าวบวงสรวงเทพเทวดาเสร็จแล้ว ให้กล่าวบวงสรวงอัญเชิญจิตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองโบราณ อันประกอบด้วย สมมุติเทพบรมกษัติแห่งเมือง พร้อมด้วยพระปยุรญาติ คณาญาติ เทวดาประจำเมือง เทวดารักษาประตูเมืองคูเมือง เหล่าวดวงวิญญาณ ข้าราชบริพาล อำมาตย์ ทาสบริวารผู้รับใช้ ตลอดจนชาวบ้านและดวงจิตวิญญาณน้อยใหญ่ทุกดวง ขออัญเชิญทุกดวงจิตให้มารับเครื่องบวงสวรงสักการะบูชา และหลังจากนั้นก็ทำน้ำมนต์มหาประสิทธิมงคล ปะพรหม แสร็จแล้วโปรยดอกไม้มาลา เสร็จแล้ว จึงกล่าวคำถวายของบวงสรวง และให้ จุดธุปบูชาร่วมถวายเครื่องบวงสรวงร่วมกัน เสร็จแล้ว จึงกล่าวขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกพระองค์ สุดท้ายก็รอเวลา เสสังมังคะลา ยาจามิ ลาเครื่องบวงสรวง ก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ

รูปถ่ายตอนทำพิธียังไม่มีครับ รอเขาโหลดให้ครับ ทางเจ้าหน้าที่เขาถ่ายไว้ให้ครับ ตอนนี้ให้ชมรูปประวัติในอดีตที่เขาพบร่องรอยให้ชมกันก่อนครับ

 

พระพุทธรูปและอื่นๆที่พบครับ