จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น

    ในปัจจุบันนี้ การศึกษาเรื่องจิตของตน ที่เราเรียกกันว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น ไม่ใช่สภาพเดิมของจิตที่เป็นเพียง "ธาตุรู้" หรือแม่ธาตุ

    จิตสังขาร ก็คือ จิตที่ได้ผสมปรุงแต่ง(ยึดเอา) อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่จิตมาเป็นของๆตน เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมาปรุงแต่ง(เป็นของๆตน) จิตย่อมแสดงอาการตอบสนองต่ออารมณ์นั้นๆ จนเป็นที่เข้าใจผิดๆ ไปว่าจิตของตนที่ไปยึดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นเกิด-ดับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกที่จิตไปยึดเข้ามา เกิดขึ้นและดับไปจากจิตของตนเท่านั้น

    เราเปรียบ"จิต"เป็นต้น เหมือน"น้ำ"เป็นต้นนั้น เมื่อพูดถึงอาหารที่เป็น"น้ำๆ" เราก็จะนึกถึง แกงส้ม ต้มมะระ แกงเขียวหวาน ต้นยำ ฯลฯ ที่ยกมานั้น ล้วนเป็นน้ำทั้งนั้น แต่เป็นน้ำที่ถูกผสมปรุงแต่งจนหารูปเดิมไม่พบเลย เช่นเดียวกับจิต ที่ผสมปรุงแต่งกับอารมณ์จนหารูปเดิมไปเจอ จนกลายเป็น มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ฯลฯ เช่นกัน

    จิตนั้นสามารถฝึกฝนอบรมชำระจนบริสุทธิ์หมดจดหลุดพ้นจากเครื่องหมองได้ฉันใด น้ำก็เช่นกันสามารถกลั่นกรองจนบริสุทธิ์หมดจดจากสิ่งปลอมปนได้ฉันนั้น

    ยุวชนคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักตำรานิยมผสมกลมกลืนด้วยวิปัสสนึกคิดเอาเอง มักเชื่อตามๆ กันไว้ก่อน จากตำรา(ปิฎก) ที่มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลัง บ้างก็ถูกบังคับให้ต้องเชื่อตามๆกันบ้าง ทำให้เกิดมีความเข้าใจผิดๆ กันไปอย่างมากมายถึงขั้นสับสนต่อการปฏิบัติ

    เนื่องจากตำรา(ปิฎก) ที่รจนาเพิ่มเติ่มเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักกล่าวถึง เรื่อง"จิตหรือธาตุรู้"ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในทางปฏิบัติธรรมว่า "จิตหรือธาตุรู้""เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่สามารถอบรมฝึกฝนบังคับบัญชาให้เป็นไปดั่งใจหวังได้ เพราะเป็นอนัตตาธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ (อนัตตา) แถมยังรวมเอาพระนิพพานเป็นอนัตตาธรรมไปด้วย ทั้งที่พระนิพพานนั้นเป็นวิสังขารธรรม

    และมีการสอนจนผู้ศึกษาธรรมเข้าใจผิดไปว่า เมื่อฝึกฝนอบรมจิตด้วยความพากเพียร เหนื่อยยากลำบาก จนได้รับผลแห่งความสำเร็จ กระทั่งเกิดนิพพิทาญาณขึ้นที่จิตของตน จิตหลุดพ้น หรือ จิตพ้นวิเศษจากอุปธิทั้งหลายได้ จิตจำเป็นอย่างยิ่งต้องหลุดพ้น หรือ พ้นวิเศษคือ"หายวับไปกับตา" ไม่เหลืออะไรเลย (มีตำราว่าไว้เช่นนั้น) คงเหลือไว้แต่คุณลักษณะที่พิเศษจำเพาะ(พระนิพพาน) คือความหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะไว้เท่านั้น

    และยังเข้าใจว่า "ผู้"ที่ปฏิบัติธรรมจนจิตหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือ สิ้นไปจากกามสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะ นั้น "ผู้"ที่หลุดพ้นไม่มี คงมีแต่การหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือ การสิ้นไปแห่งกามาสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะเท่านั้น "ที่ตั้งอยู่ลอยๆ" หาผู้รับผลไม่ได้

    ซึ่งขัดแย้งกับหลักเหุตผล ที่จะตริตรองตามความเป็นจริงได้ เพื่อให้เกิดการรู้ยิ่งเห็นจริงอย่างยิ่ง

    ตัวอย่างอื่นๆ ที่มีปรากฏ เช่น อริยมรรค ๘ เป็นทางเดินของจิต แต่ผู้เดินตามหนทางนั้นไม่มี ซึ่งทำให้ไม่เข้าใจว่า แล้วเราจะมาเสียเวลาอบรมฝึกฝนพัฒนา (ปฏิบัติ) จิตของเราไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ในเมื่อเห็นว่าจิตเป็นของเหลวไหล ไร้สาระ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์...


    เมื่อมีอริยมรรค ๘ (ทางไปสู่ความเป็นอริยะบุคคล) ทางเดินของจิต ย่อมต้องมีผู้เดินตามหนทางนั้น หากไม่มีผู้เดินตามหนทางนั้นแล้วไซร้ พระพุทธองค์จะตรัสได้อย่างไรว่า นี้คือหนทางเดินที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นของสัตว์ (จิตผู้ติดข้องในอารมณ์) จากอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองหมักดองทั้งหลายได้ และพระพุทธพจน์ยังกล่าวรับรองอย่างแน่นหนาว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์เลย" ก็กลับกลายเป็นว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ผิดสิ ที่ยัง"มีผู้ปฏิบัติ"อยู่


    เมื่อกล่าวถึงอริยมรรค ๘ แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ดีว่า อริยมรรค ๘ เป็นเลิศในฝ่ายสังขตธรรม เป็นหนทางเดินที่จะนำจิตไปสู่ความหลุดพ้น หรือก็คือ หนทางที่จะนำจิตไปสู่การสิ้นการปรุงแต่ง หรือ วิสังขารอย่างสื้นเชิง

    แต่มักมีการเข้าใจผิดๆไปว่า ตัวอริยมรรค ๘ นั้นเอง คือตัวปัจจัยปรุงแต่งเพราะเป็นสังขตธรรม แท้ที่จริงแล้วอริยมรรค ๘ นั้นเป็นหนทางเดินอันเอกของจิตเพื่อความหลุดพ้นของจิต จิตนำอริยมรรคมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นที่จิต เพื่อนำไปสู่ความสิ้นไปแห่งการปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นวิราคธรรม


    มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด
    (คำว่าอสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใดนั้น แสดงว่าอสังขตธรรมมีมากกว่าหนึ่งแน่นอน)

    วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
    บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในวิราคธรรม ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ก็ผลอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ฯ


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบภาวนานุโยค(สัมมาสมาธิ)อยู่
    จะพึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
    ไฉนหนอขอให้จิตของเราพึงพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
    ก็จริงอยู่ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมไม่พ้นไปจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นได้เลย.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร

    ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะเธอไม่อบรม เพราะไม่อบรมอะไร
    เพราะไม่อบรมสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ เพราะไม่อบรมอริยมรรคมีองค์ ๘

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยค(สัมมาสมาธิ)อยู่
    ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
    ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
    ไฉนหนอ ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
    ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น(เป็นวิราคะธรรม)
    ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

    ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะว่าเธออบรม เพราะอบรมอะไร
    เพราะอบรมสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ เพราะอบรมอริยมรรคมีออบรมจิตของตน เป็นหนทางเดินของจิต เพื่อนำจิตของตนเข้าสู่ความพระอริงค์ ๘
    จากพระพุทธพจน์ดังกล่าวมานี้ ล้วนกล่าวถึงการฝึกฝนอบรม หรือ ที่เรียกว่าอริยมรรค ๘ นั่นเอง


    ดังนั้น เมื่อยังมีผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ โลกจึงไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์ แน่นอน เพราะจิตของเราพึงพ้นแล้วด้วยดีจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น (เป็นวิราคธรรม)

    ทุกท่านทุกองค์ล้วนผ่านการขัดเกลาจิตใจของตนกันมาแล้วก่อนหน้า ด้วยความเพียรเพ่งในฌาน และดำเนินตามรอยบาท คือ เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ดังปรากฏใน มหาโคสิงคสาลสูตร ที่ ๒ ว่า

    ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว
    นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า
    จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย(เป็นวิราคธรรม) เพียงใด
    เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้



    เป็นที่ชัดเจนตามพระพุทธพจน์ที่ทรงกล่าวไว้ดีแล้ว การประกอบภาวนานุโยค หรือก็คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายของจิต (เป็นวิราคธรรม)

    ดังนั้น จึงขอกล่าวว่า อย่าเพิ่งรีบกลัวการติดสมาธิไปเลย เพียงแค่เริ่มต้นทำให้จิตสงบนิ่งรวมลงเป็นสมาธิยังทำกันไม่ได้ ทำกันไม่เป็น ยังจะรีบกลัวไปทำไม การติดการสงบนิ่งเป็นสมาธิ (กิเลสละเอียด) นั้น ก็ยังดีกว่าพวกที่ทำให้จิตของตนสงบนิ่งไม่เป็นเลยด้วยซ้ำไป

    การติดสมาธิจนจิตสงบนิ่งนั้น ยังพอที่จะให้ครูบาอาจารย์แนะนำให้รู้จักวิธีหลุดพ้นออกมาได้ (วิปัสสนา) ส่วนพวกที่ทำให้จิตสงบนิ่ง แม้ชั่วขณะช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นยังทำไม่ได้เลย จะพูดไปใยถึงเรื่องความหลุดพ้นให้เสียเวลา

    ยิ่งในทุกวันนี้ ยุวชนคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนานั้น ไม่คิดที่จะศึกษาสนใจธรรมะจาก พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่เก่าก่อนเลยว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ต้องใช้ความเพียรเพ่งในการฝึกฝนอบรมจิตของตนให้มีสติ สมาธิ ปัญญา โดยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) อย่างจริงจังกันมากขนาดไหน...

    สติปฏฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา การให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐาน อย่างต่อเนื่องเนืองๆ ไม่ขาดสาย โดยการลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ)อย่างจริงจัง จนกระทั่งจิตเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย จิตมีสติสงบตั้งมั่นคงที่ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เข้ามากระทบจิตของตน เหมือนศิลาแท่งทึบคงที่ไม่หวั่นไหวต่อลมพายุที่พัดมาทั่วทุกทิศทุกทางนั่นเอง

    ในพระสูตรที่เป็นพระพุทธวจนะนั้น พระองค์ทรงตอบคำถามของท่านพระอาจารย์มหากัสสปที่ทูลถามต่อพระองค์ ถึงเรื่องความเสื่อมไปของพระสัทธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร พระพุทธองค์ทรงตอบว่า

    [๕๓๓] ดูกรกัสสป
    ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้
    ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมา ก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป

    [๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้
    ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม

    เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
    ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
    ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา ๑
    ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม ๑
    ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์ ๑
    ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา ๑
    ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ ๑


    เราท่านทั้งหลาย เห็นหรือยังว่า แม้แต่ในครั้งพระพุทธกาลก็ยังมีการกล่าวถึง"เหตุแห่งพระสัทธรรมปฏิรูป"เพราะอะไร มีถึง ๕ ข้อ

    ข้อ ๑ ถึงข้อ ๓ นั้น ทุกคนย่อมให้ความเคารพอยู่แล้วถ้าเป็นชาวพุทธ ส่วนข้อ ๔ และข้อ ๕ นั้น ในปัจจุบันนี้ พุทธบุตรที่ขานนาคเข้ามา เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา ได้พยายามที่จะมองข้ามกันโดยไม่ใยดี

    ในข้อ ๔ นั้น กล่าวถึงสิกขา ซึ่งก็คือ สิกขา ๓ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรค ๘ นั่นเอง ส่วนข้อ ๕ เป็นการกล่าวถึง สมาธิ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในสิกขา ๓ เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญลงไป

    พระพุทธองค์ ทรงย่นย่อธรรมะที่ทรงตรัสสั่งสอนไว้ลงเหลือเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงแสดงไว้ว่า
    ศีล เป็นความงามในเบื้องต้น
    สมาธิ เป็นความงามในท่ามกลาง
    ขอเน้นย้ำนะครับว่า สมาธิเป็นความงามในท่ามกลาง
    ปัญญา เป็นความงามในบั้นปลาย

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับภิกษุที่พระองค์ทรงบวชให้เองในครั้งกระนั้น ๖๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ออกไปเผยแผ่พระศาสนา ให้ไปทิศละรูป อย่าไปในทิศเดียวกันสองรูป เรื่องที่พระองค์ทรงให้เผยแผ่ ก็คือเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ (ทางเดินของจิตเพื่อความเป็นพระอริยะ) นั่นเอง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเครื่องรองรับจิต
    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล
    คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
    สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นเครื่องรองรับจิต

    ดูกรภิกษุ คำว่า
    ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ
    เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ

    ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตะ

    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
    สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึงอมตะ

    สรุป
    อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทางเดินของจิตให้ถึงอมตะ หรือ พระนิพพาน เพื่อความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ และโมหะ จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย เป็นอมตธาตุ อมตธรรม หรือ วิราคธรรม ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ความนึกคิดเป็นจิตสังขาร หรือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง หรือ จิตเป็นต้นนั้นอีกต่อไป

    ซึ่งต้องประกอบภาวนานุโยค หรือก็คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย (เป็นวิราคธรรม) เพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นครับ
    ธรรมภูต
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................คุณอาว์...มีอยู่อย่างนึง ที่ถามว่า พวกเราจะมาศึกษากันทำไมในเมื่อ ------ก็มาศึกษาเพราะยังมีทุกขือยู่นะสิครับ ยังมีอุปาทานในขันธิ์5อยู่เลย....:cool:
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    หลานรัก....

    ทุกคนมีความคิดเช่นเดียวกัน

    เอาแต่ศึกษาให้ลึก และความคิดก็พร้อมตกผลึก หลงคิดว่ารู้แล้ว

    แท้จริง ไม่เคยลงมือปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง เพื่อเข้าถึง

    จะเอาอะไรมาพ้นทุกข์ หยุดอุปาทานได้หล่ะ

    ฝันยังไม่เป็นจริง เพราะไม่พัก(คิดเอา) แถมไม่เพียร(กลัวเกิดวิปัสสนูกิเลส)อีก

    เจริญในธรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    รบกวนคุณธรรมภูต เขียนสรุปประเด็นเนื้อหาหน่อยนะครับ
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............พุทธศาสนิกชน ผู้ พุทธบริษัท ที่เข้ามาสนใจ ศึกษา ไม่ว่าเพิ่งเริ่ม หรือ นานแล้ว ก็ต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฎฐิ ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่นั้นไม่ได้ผิดอะไร(เพราะเราท่านไม่ใช่ เริ่มต้นแล้วบรรลุธรรม มีสัมมาทิฎฐิ พอเพียง ที่จะเกิด สัมมาสังกัปปะพอเพียง)...ก็ ค่อยค่อยศึกษาไป.............ส่วนจิตจะเที่ยง หรือ ไม่ หรือ จะเป็น วิมุติญานทัสนะ หรืออะไร เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น...ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร ถึง เมื่อไหร่ คงเป็นเรื่องที่ต้อง รู้เอง เห็นด้วยตนเอง:cool:
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลานรัก....

    ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงชี้เสมอว่า

    นั่นราวป่า นั่นโคนไม้ นั่นที่ว่างจากเรือน เพื่ออะไร?

    เพื่อนั่งเรียน ท่องจำเอากระนั้นหรือ? เปล่าเลย

    ให้ไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา จะได้หายสงสัยว่า"จิต" คืออะไร?

    อย่าเที่ยวสรุปเองเออเองโดยที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่อง"จิต"

    ส่วน"เที่ยง"หรือ"ไม่เที่ยง"นั้น ปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจังดู ก็จะรู้ได้เอง

    ไม่ใช่ทึกทักเดาสวดเอาเองตามตำราที่เชื่อตามๆกันมา

    ส่วน"สัมมาทิฐิ"นั้น จะเกิดขึ้นได้จริง ต้องรู้จัก"จิต"ให้ถูกต้องเสียก่อน

    ทุกวันนี้ที่มีความรู้จากตำรานั้น ยังไม่ใช่"สัมมาทิฐิ" คือทิฐิชอบ

    เป็นเพียงทิฐิที่คิดว่าถูกต้องเท่านั้น ยังไม่"ชอบ"

    เพราะต้องผ่านการพิสูจน์จากการปฏิบัติธรรมภาวนาเท่านั้น

    จึงจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า"ชอบ" หรือ "ไม่ชอบ"

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    คิดว่าได้พยายามเชื่อมโยงให้เข้าใจง่ายขึ้นแล้วนา

    เอาเป็นว่าสงสัยประเด็นไหนมาว่ากัน เป็นประเด็นๆไป

    เดี๋ยวก็ซาบซึ้งเรื่อง"จิตไปเองนั่นแหละ

    ยิ่งถ้าเคย"ภาวนา"แบบเอาชีวิตเข้าแลกมาก่อน

    ยิ่งซาบซึ้งได้เร็วกว่าปรกติ ถ้าไม่เคยทำจริงจังมาก่อน

    อ่านไปเฉยๆก็พอ บอกไป คิดว่าเหนื่อยเปล่า55+

    ถ้าไม่หายสงสัย มีเวลาไปอ่านที่บล๊อกแบบช้าๆค่อยๆพินาเอา อาจพอเข้าถึงได้บ้าง

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติและสัมปชัญญะ
    เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่ อินทรียสังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ
    เมื่ออินทรียสังวรมีอยู่ ศีลชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรียสังวร
    เมื่อศีลมีอยู่ สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
    เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
    เมื่อยถาภูตญาณทัสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสนะ
    เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ
    เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์แม้กะเทาะของต้นไม้นั้น
    ก็ย่อมบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น ก็ย่อมบริบูรณ์ ฉะนั้น ฯ

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๗๑๔๓ - ๗๑๖๘. หน้าที่ ๓๐๙ - ๓๑๐.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php
    B=23&A=7143&Z=7168&pagebreak=0
    ^
    ^
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ่านในพันติปแล้ว. ฮา. เว่อร์
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    Lotus Postman
    ถ้ามัวเรียน ตามตำรับตำรา
    กลัวจะตายเสียก่อน ที่จะพ้นทุกข์

    ให้มุ่งปฏิบัติ ตั้งใจบำเพ็ญภาวนา
    จนจิตใจมั่นคง แข็งแกร่ง
    ตัดสิ้นขาดจาก อาสวะกิเลส

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ุ^
    ^
    นู๋นิ ก็ลองเข้าไปเสวนากับเค้าด้วยสิ ที่ชอบมั่วๆนะหงายหมาแน่นอน

    ว่าเค้าสนทนากันบนพื้นฐานอะไรกัน?

    รู้สึกคุณวงกลมจะเป็นหนึ่งในทีมงานดูแลบร์อดด้วยนะ

    จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น - Pantip

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ปุจฉาครับ

    เมื่อกล่าวว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ

    แสดงว่า

    จิต คือ นิพพานหรืออย่างไร?
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    จิต คือธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุ

    รู้ถูก คือ รู้จักอริยสัจจ์๔ตามความเป็นจริง

    รู้ผิด คือ ชอบส่งออกรู้จักแต่อารมณ์ ไม่รู้จักอริยสัจจ์๔ตามความเป้นจริง

    พระนิพพาน คือคุณลักษณะอย่างหนึ่งของ

    ไม่เห็นเหมือน"จิต" ตรงไหนเลยใช่หรือไม่?55+

    เจริญในธรรมสบายๆ แต่ไม่ลัดสั้นทุกๆท่าน
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    กาเลนะ ธรรมะสวนัง

    ปุจฉาครับ

    นิพพานชื่อว่าไม่เกิดไม่ดับ

    เมื่อหากกล่าวว่า จิตเองก็ไม่เกิดไม่ดับ

    อันนี้ลักษณะเดียวกันหรือไม่อย่างไร?
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แต่ก่อน เหมือนใครบางคนว่าเป็นอาการจิต เป็นเงาจิต ไม่ใช่จิต
    เดี๋ยวนี้ ฤาใครคนนั้น จะเปลี่ยน (kiss)
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สิบเอ็ด นาริกา^^
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ว้าว Lotus Postman = ธรรมภูต
    คุณหนวด เท่ๆๆ
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้ย.... อย่าเดาไปนะจ๊ะ

    เดี๋ยวเจ้าของเค้าเอาถึงตายแน่ รู้สึกว่าเค้าเป็นคุณผู้หญิงจริงๆด้วยนะ

    ไปเอาของเค้ามา จึงต้องใส่เครดิตให้เค้า

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2013
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เดี๋ยวๆ....อย่าสันสบตรงนี้ สำคัญนะ

    เรามาว่าถึงสภาวะพระนิพพานก่อน ไม่เคยเกิด ไม่เคยดับ สารพัดไม่

    เป็นสภาวะธรรม คือความสิ้นไปแห่งกิเลสและอุปกิเลสทั้งหลาย

    แต่อายตนะนั้นมีอยู่ คือการเชื่อต่อมีอยู่

    ส่วนจิตนั้น มีอาการของจิตให้เห็นสารพัดอย่างมากมาย

    ที่เกิด-ดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นแขกจรเข้ามาที่จิตของตน

    ขืนพูดมากไปกว่านี้ ผู้ใหม่อยู่จะยิ่ง"งง"

    เอาเป็น พระนิพพานไม่ใช่จิต แต่ก็เนื่องด้วยจิต55+

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรม

     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอโทษคร้า หนูหยอกเล่น จริงๆ หนูเอาความหมาย
    จากภาษาอังกฤษมาเป็นไทย
    จริงถ้าชื่อ ธรรมทูต ก็ตรงความว่า Lotus Postman
    ไม่ใช่ธรรมภูต ที่แปลว่า Lotus Devil
    ขอโทษค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...