เหรียญมนต์พระกาฬ ประสบการณ์มากมาย มาแล้ว หลวงปู่สิมพะลี วัดป่าวิชัยรวมมิตร

มันเป็นความเชื่อเฉยๆครับ เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้วครับ มีแต่คนเท่านั้นที่ส่งจิต ทะเลาะกันเองครับ

 

ส่งชื่อ ที่อยู่เข้า pm ด้วยครับ

 

ขอบคุณครับ เดี่ยวจัดส่งของแถมไปให้นะครับ

 

รับทราบครับท่าน

 

ข่าวสารเล็กๆน้อยๆ ให้รางวัลสำหรับคนที่ติดตามกระทู้นี้ครับ
เรื่อง เงินๆทอง ให้ระวังให้จงหนัก
ลองอ่านดูครับ
ดูรูปภาพด้วยนะครับ ว่าที่ไหนเอ่ย
อ่านแล้วให้เป็น สติเตือนตน เท่านั้นนะครับ อย่าตกอกตกใจ เพราะ สถานการณืเปลื่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเพราะ ขึ้นอยู่ว่า มนุษย์ กลับใจเป็นคนดีมากกว่านี้ไหม

 

อาจารย์ครับ ตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการเสร็จแล้วบอกผมด้วยนะครับ

 

เสร็จแล้วครับ รูปที่ลง ผมได้มาแล้วครับ

 

ครับผม เสร็จแล้ว บูชา 700 บาท ครับผม

 

ตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการ มีอีกมั๊ยครับ มีจอง 1 ดอกครับ

 

เกือบพลาดของดี ขอจอง 1 ดอกครับอาจารย์

 

ตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการ ถักเชือกลงรักดำ อุดแร่เพิ่มพลังกายใส่น้ำมันขวดเล็ก
ขอจอง 1 ดอก ครับ ขอบคุณครับ

 

ตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการ ถักเชือกลงรักดำ อุดแร่เพิ่มพลังกายใส่น้ำมันขวดเล็ก + ตะกรุดสลายกรรม จองอย่างละ 1 ดอกครับ

 

จองตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการ 2 ดอกค่ะ
ถ้าเลือกเบอร์ได้ขอจองเบอร์ 5 กับ 9ค่ะ

 

จองตะกรุดนาคราชรวยล้านพิเศษกรรมการ 1 ดอก

 

หากใกลถึงวันเปลี่ยนแปลงจริงๆ ควรอยู่แถวใหนดีครับ
พอดีมีหลวงพ่อท่านบอกมาเหมือนกัน พูดแล้วขนลุก
เดี่๋ยวคงต้องศึกษาจริงๆ สักหน่อย เพราะว่ามีโอกาศ มากเลยที่เดียวครับ
วัตถุมงคลหลวงปู่ผมก็มีนะครับ ขุนแผนหลังน้ำมัน เบอร์ 196
แน่ไม่แน่ไม่รู้ พึ่งได้มา 2 วันแฟนยังไม่บ่นเรื่องงี้เง้าให้ได้ยินเลย แค่นี้สำหรับผมก็นับถือหลวงปู่มากแล้วครับ

ผมไม่ต้องการอะไรนะครับ แค่อยากให้เพื่อน ลองคิดในสิ่งที่พี่เจ้าของกระทู้เค้าตั้งใจจะเตือนเราด้วยครับ

 

รับทราบการจองนะครับ แต่เดี่ยวเช็คจำนวนก่อนนะครับว่า เหลือมาเท่าไหร่ นี่

ส่วนข่าวสาร ก็คงมีมาให้อ่านเรื่อยๆนะครับ ถ้าขยันเอามาลง ช่วงนี้อยู่ในช่วงพิสูจน์ ที่อาจารย์ร้องขอไป 2 ปีสำหรับประเทศไทยนั้น จนถึง พฤศจิกายน 2557 ว่า ยังไม่ค่อยมีเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่รุนแรงเท่าไหร่ แต่ประเทศอื่นๆไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ

รู้แล้วก็เฉยไว้ เตือนสติตัวเอง เท่านั้น ว่าข้างหน้ามันควรจะมีอะไร เราควรจะเตรียมใจอะไรบ้าง เพราะถ้าใจมันรู้ล่วงหน้าแล้วจะไม่สติแตก ห้ามนำไปเผยแพร่ที่อื่น นอกจากก็อปปี้เก็บไว้อ่านของตัวเองเท่านั้น มิเช่นนั้นข่าวสารจะมิได้เอามาให้อ่านอีกต่อไป.....
เรื่อง เศรษฐกิจก็เหมือนกัน เตือนกันมาตลอด มันจะค่อยๆ ต่ำลงๆๆๆ จนพวกเราเองก็ยังงง ฉะนั้น การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับพวกท่าน ว่าจะต้องดำเนินชีวิตกันแบบไหน
ข่าวสารนี้แจ้ง ก่อน ธันวาคม 2555

 

เพื่อมีใครถามว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ เป็นใครลองอ่านดูนะครับ


(((+))) หนังสือเรียนประจำห้องเรียน
< จะทยอยเขียนให้นักเรียนอ่านกันเป็นการบ้าน >
(((บทที่ 1)))
ตอนที่ 1: มนุษย์เป็นใคร?

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....

มนุษย์ในยุคพลังงานเก่าจำนวนมาก มองเห็นสภาวะแห่งการเกิด การเจ็บป่วย การชราภาพ และการตายเมื่อหมดสิ้นอายุขัยของเครื่องยนต์แห่งกรรม ทั้งของผู้อื่นและตนเองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ทุกคนต้องเผชิญด้วยกันทั้งสิ้น ในยามที่ทารกน้อยๆก่อกำเนิดออกมาลืมตาดูโลก ทุกๆคนที่เกี่ยวข้องต่างล้วนเริงร่าเฉลิมฉลองดีอกดีใจกันยกใหญ่ ทั้งจดบันทึกทั้งจำวันเวลาตกฟากกันไว้อย่างแม่นยำ เพื่อใช้วันดังกล่าวเป็นโอกาสเฉลิมฉลองแห่งปีครั้งยิ่งใหญ่ในทุกๆปี แล้วก็จะเป็นทุกข์ใจในยามเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายสังขารของตน เจ็บปวดป่วยไข้ได้รับบาดเจ็บ และทุกข์ใจเมื่อตนล่วงสู่วัยชราด้วยสังขารที่ร่วงโรย ทั้งจะโทมนัสโศกสร้อยเมื่อคนที่ตนรักต้องตายจากไปชั่วกาล ยามเครื่องยนต์แห่งกรรมดับลง
มนุษย์ล้วนเริงร่า และโลดแล่นไปบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกโดยจะทุกข์จะสุขอยู่กับชีวิตรายวัน ด้วยบทบาทที่ไม่แตกต่างกัน คือ
1.ต่อสู้แข่งขันกับผู้อื่น เพื่อการกินดีอยู่ดีมีชีวิตที่มั่นคงมั่งคั่ง
2.ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม เพื่อความอยู่รอดและมีอายุขัยยืนยาว
3.ต่อสู้กับความไม่รู้ของตนเอง เพื่อให้ได้รู้มากกว่าที่คนอื่นเขารู้
4.ต่อสู้กับผู้อื่น ด้วยการใช้อำนาจทำลายอำนาจผู้อื่นเพื่อความเหนือกว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่พากันมองว่า บทบาทที่ตนแสดงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติวิสัยเพราะว่าใครๆเขาก็เป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้ ที่จะไม่อาจฉุกคิดกันได้ว่าบทบาททั้งสี่แบบดังกล่าวนั้น มันเป็นความเหลวไหลอันสมควรแก้ไขปรับเปลี่ยนอย่างยิ่ง
มนุษย์จึงไม่เคยสงสัยเลยว่า ตนเองนั้นเป็นใครกันแน่ รู้กันแต่เพียงว่าพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นใคร ชื่อนามว่ากระไร แต่ไม่รู้ว่าหน้าที่ของตนที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าตนสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง และไม่รู้ว่าตนทำอะไรไม่ได้บ้าง
มนุษย์โลกจะถูกเสี้ยมสอนให้รู้จริงในหลักการดำเนินชีวิต เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและพวกตัวในประเด็นหลักๆต่อไปนี้
1.สอนให้รู้ความต้องการของตนเองมากกว่าความต้องการของผู้อื่น
2.สอนให้เรียนรู้ผู้อื่นมากกว่าการทำความรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้
3.สอนให้เรียนรู้ที่จะเอาชนะ มากกว่าการเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นผู้แพ้เสียบ้าง
4.สอนให้เรียนรู้ที่จะได้มา มากกว่าการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
5.สอนให้เรียนรู้ที่จะแสวงหาอำนาจ เพื่อการเป็นผู้มีอำนาจเหนือนำผู้อื่น



Visudhi Punya บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย….

เพราะมนุษย์เยี่ยงพวกเจ้าเกิดการยึดติดและติดยึดพฤติกรรมขยะเหล่านี้นี่เอง พวกมันจึงกลายเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของพวกเจ้าไป สภาวะจิตใจพวกเจ้าจึงถูกพอกพูนเอาไว้ด้วยกามกิเลสตัณหาราคะ ซึ่งนับวันเวลาจะยิ่งพอกเพิ่มมากขึ้นไปตามวัย และมันจะทวีคูณไปในทางต่ำลงเรื่อยๆเมื่อผ่านการเกิดเป็นมนุษย์กันมามากภพชาติเข้า หากมิได้มีการชำระใดๆ ด้วยเหตุนี้เอง

จิตมนุษย์ จึงเต็มไปด้วยจิตหยาบ
เพราะจิตที่หยาบ จึงทำให้เกิดการคิดแบบจิตมนุษย์
เมื่อยังคงคิดแบบจิตมนุษย์ มนุษย์จึงย่อมขาดสติได้ง่าย
เมื่อขาดสติแล้ว ความสามารถในการใช้สติปัญญาของสมองก็จะบกพร่อง
เมื่อความสามารถในการคิดด้วยกระบวนการทางสมองบกพร่อง มันจึงยังผลให้ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆในชีวิตและรายรอบตัวบกพร่อง และความสามารถในการตัดสินใจใดๆในชีวิตก็พลอยด้อยประสิทธิภาพตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง....
พวกเจ้าจึงพบว่า การแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมขยะที่ผู้อื่นไม่พอใจหรือไม่ชอบ อันเกิดจากจิตสำนึกของผู้กระทำบกพร่องนั้นจึงมีให้พบเห็นอยู่ดาษดื่น ซึ่งพฤติกรรมขยะทั้งหลายแบบต่างๆนั้น ล้วนเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของตนเองด้วยกันทั้งสิ้น จนกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขด้านลบกระทบจิตใจผู้อื่น ให้เกิดการต่อสู้ การตอบโต้ การต่อต้านซึ่งกันและกัน และการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน จนพวกเจ้าไม่อาจสร้างสันติสุขอย่างแท้จริงร่วมกันได้

มนุษย์ส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ จึงต่างพากันสอบตกบททดสอบจิตสำนึกเพื่อการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันมาช้านาน ดังจะเห็นได้ว่าพอรวมตัวกันมากคนเข้าเมื่อไหร่ มันมักจะไม่ค่อยได้ความเสมอ

นี่คือภาพรวมหยาบๆของมนุษย์ส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ที่ขาดความสมดุลในตนเองเพราะขาดการยกระดับสติปัญญา ขาดการพัฒนาจิตสำนึก ขาดการฝึกตนเองให้มีมหาสติ และขาดปณิธานแห่งนิพพานในการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกัน

ถ้าพวกเจ้าแต่ละคน ยังไม่คิดที่จะถามตนเองเลยว่า ตนเป็นใคร พวกเจ้าก็ย่อมยังคงว่ายวนอยู่กับความทุกข์ อยู่กับความสุกๆดิบๆในวิถีชีวิตที่เจ้าเองล้วนเป็นผู้กำหนดอย่างเช่นทุกวันนี้ต่อไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน
Visudhi Punya บุตรรักทั้งหลาย....
พวกเจ้าจักต้องรู้ด้วยว่า การเป็นสิ่งมีชีวิตของเจ้าซึ่งเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่บนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกดวงนี้นั้น มันเป็นผลจาก “กระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อการสร้างใหม่” ที่เกิดขึ้นภายในครรภ์มารดา โดยที่กระบวนการนี้มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและเกิดอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งมหาจักรวาลอันไพศาลแห่งพระบิดานี้ มิได้เกิดมีเฉพาะกลุ่มของพวกเจ้าเท่านั้น

การปฏิสนธิเป็นทารกในครรภ์มารดา เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเพื่อการเกิดใหม่ ที่มีเพศพ่อกับเพศแม่เป็นผู้แรกร่วมกันสร้าง การที่ต้นพืชผลิดอกออกผล การเกิดหินงอกหินย้อย การแทงหน่อต่อยอดผลิใบใหม่ๆของต้นพืชก็ล้วนเป็นการสร้างใหม่ตามกฎสากลจักรวาลที่กล่าวมาทั้งสิ้น โดยสิ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อการสร้างใหม่ที่ยิ่งใหญ่ก็คือ “พลังงานชีวิต”

พลังงานชีวิตภายในทุกรูปธรรมของสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นพลังงานที่ได้จากพื้นผิวโลก อันประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆจากแสงแดด จากดิน จากน้ำ และจากก๊าซต่างๆในอากาศ ซึ่งถูกนำมาหล่อหลอมรวมกันไว้อย่างลงตัว มนุษย์โลกทั้งหลายจึงยังต้องรู้ด้วยว่า

1.ทุกสรรพสิ่งที่มีตัวตนรูปธรรมไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ต่างก็ล้วนมีพลังงานที่เร้นตนเองอยู่ข้างในเป็นเครื่องมือของการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น โดยที่นอกจากจะใช้เพื่อการสร้างใหม่แล้ว ยังใช้เปลี่ยนแปลงเพื่อการดำรงอยู่และใช้เปลี่ยนแปลงเพื่อการเสื่อมสลายของรูปธรรมซึ่งเป็นมวลหยาบๆด้วยกันทั้งสิ้น

2.พลังงานพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งอันก่อให้เกิดกระบวนการต่างๆ ที่เรียกว่า “พลังงานชีวิต” นี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน หรือสิ่งมีชีวิต เช่น ต้นไม้ต้นไร่ และรูปธรรมมนุษย์เองก็ตาม ล้วนต้องมีพลังงานชีวิตเร้นอยู่ภายในรูปธรรมนั้นๆเสมอ มิเช่นนั้นแล้วสรรพสิ่งนั้นจะไม่สามารถดำรงรูปธรรมหยาบๆของตนเอาไว้ได้เลย

3.รูปธรรมของสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ที่พวกเจ้าจับต้องรูปธรรมของมันได้นั้น มันจะทำหน้าที่เป็นเปลือกนอกของพลังงานชีวิตที่เร้นอยู่ข้างใน ซึ่งสองตาเปล่าของพวกเจ้ามองเข้าไปไม่เห็น ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้ที่มีรูปธรรมซึ่งพวกเจ้าสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้ต่างก็ล้วน เป็นเช่นที่ว่านี้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่รูปธรรมมนุษย์คือตัวเจ้าเอง โดยพลังงานชีวิตที่ว่านี้จะทำหน้าที่ยึดรั้งมวลหยาบๆหรือกายหยาบของรูปธรรมที่เป็นเปลือกนอกของตนเอาไว้ เพื่อการดำรงอยู่ หรือมีชีวิตอยู่ ของสรรพสิ่งนั้นหรือรูปธรรมนั้น โดยที่พลังงานชีวิตดังกล่าวจะมีการสั่นสะเทือนตนเองไปตามคุณสมบัติเฉพาะตัวของตนอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

ก้อนหินแต่ละก้อนที่เจ้าแลเห็นหรือสัมผัสมันอยู่นั้น จึงเป็นแค่เพียงตัวตนที่เป็นมายาหรือเงาของพลังงานชีวิตที่เร้นอยู่ข้างใน เพื่อช่วยทำหน้าที่เป็นเปลือกนอกของพลังงานชีวิตซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ให้ได้ยึดเหนี่ยวไว้โดยแท้ เปลือกนอกที่เป็นมวลหยาบของแก่นแท้นั้นๆ จึงก่อร้างสร้างรูปตนเองขึ้นตามคุณสมบัติเฉพาะของพลังงานชีวิตซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่แฝงเร้นอยู่ข้างในนั่นเอง
Visudhi Punya 4.รูปธรรมมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ที่เป็นสิ่งมีชีวิตนั้น จะมีโครงสร้างของเปลือกนอกแตกต่างไปจากมวลหยาบๆของก้อนหิน ดิน ทราย เพราะสิ่งมีชีวิตจะมีระบบเซลล์และกลไกต่างๆสลับซับซ้อนกว่า เพราะถูกสร้างให้เป็นกลไกที่วิเศษกว่าตรงที่ สามารถแบ่งตัวเองเพื่อการเจริญเติบโตได้ และสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ คลื่อนไหวได้ ตอบสนองสิ่งเร้ารายรอบตัวเองได้ ขับถ่ายของเสียออกจากระบบ สามารถรับเอาสสารเข้าไปภายในระบบได้ และยังสามารถสืบพันธุ์ได้อีกด้วย ในขณะที่รูปธรรมหยาบๆของก้อนหินซึ่งไร้ชีวิตไม่สามารถทำเช่นว่านี้ได้

ด้วยเหตุนี้เอง พลังงานชีวิตที่เป็นแก่นแท้ภายในรูปธรรมมนุษย์ จึงต้องเป็นมากกว่าพลังงานชีวิตของสิ่งไม่มีชีวิตทั่วๆไปเพราะเป็นพลังงานซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถ สั่นสะเทือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในระดับเซลของตนเองได้ในแบบที่ก้อนหิน ก้อนดิน หรือสิ่งไร้ชีวิตทำไม่ได้ดังกล่าวแล้ว ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทุกรูปธรรมรวมทั้งพวกเจ้าเองจึงขาดรูปธรรมทางพลังงานชนิดพิเศษนี้ไม่ได้ ถ้าขาดพลังงานชนิดพิเศษนี้เมื่อใด มันจะมีผลกระทบต่อเปลือกนอกที่มีมวลหยาบๆคือกายสังขารของเจ้าไปในทางต่ำเมื่อนั้น หรือถ้าร่างกายของเจ้าไม่มีพลังงานชีวิตชนิดพิเศษดำรงตนเป็นแก่นแท้อยู่ข้างในแล้ว ร่างกายของเจ้าจะแน่นิ่งหยุดการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า สิ้นชีวิต หรือ ตายทันที

พลังงานชีวิตชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นแก่นแท้ในรูปธรรมหยาบๆของพวกเจ้าที่ว่านี้ ก็คือ สรรพสิ่งที่พวกเจ้ารู้จักกันในนามของ “จิตวิญญาณ” นั่นเอง

พวกเจ้าส่วนใหญ่ เรียกสภาวะของการไม่มี “จิตวิญญาณ” เป็นแก่นแท้ว่า “การตาย” โดยความหมายในความเข้าใจแบบจิตมนุษย์ของพวกเจ้าก็คือ การดับสิ้นหรือดับสูญ คือ ไม่มีแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว มันจบแล้ว เลยพาลเหมาเอาว่า “การเกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นเรื่องธรรมดาไป สิ้นใจตายเมื่อไหร่ก็จบกันแค่นั้นเอง เหตุที่คิดกันเช่นนี้เพราะพวกเจ้าหลงผิดโดยเข้าใจเอาเองว่า “ตัวตนที่แท้จริง” ของตนคือ ร่างกายที่เป็นมวลหยาบๆรูปธรรมมนุษย์ โดยไม่รู้ว่าแก่นแท้ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า คือ “พลังงานชีวิตชนิดพิเศษ” ซึ่งเรียกว่า “จิตวิญญาณ” ที่เร้นตนเองอยู่ในร่างกายหยาบๆของเจ้าต่างหาก

(โปรดติดตาม ตอนต่อไป)

ป.วิสุทธิปัญญา
04-06-2013

 

supako ครับ ไม่ทราบว่าตะกรุดสลายกรรมแขวนเอวตลอดเวลาได้หรือเปล่า ตะกรุดจะได้แนบเนื้อตลอดเวลา เพราะที่คอก็อย่างอื่นแขวนอยู่แล้ว

 

ขอจองเพิ่มอีก 1 ดอก รวมเป็น 2 ดอกครับ

 

ขอเปลี่ยนจากตระกรุดนาคราช ธรรมดา เป็นรวยล้านพิเศษกรรมการ ได้มั้ยครับ