จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...สุข...ทุกข์...อยู่ที่ใจ...

    ...คนที่มีความสุข...มากที่สุด...

    ...หากเป็นเพราะว่า...เขาทำสิ่งที่เขามี...

    ...ให้ดีที่สุด...ก็เท่านั้นเอง...

    ...ความสุข...หรือความทุกข์...

    ...มันอยู่ที่...ใจของเรา...
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ทุกข์กับกาย...ทุกข์กับใจ...

    ...แล้ววางมันให้หมด...ไม่เอาตัวเอง...

    ...มนุษย์ทุกคนเกิดมาคนเดียว...

    ...ตายคนเดียว...

    ...อย่าตัดพ้อว่าฉันจะต้ออยู่คนเดียว...

    ...ทุกคนต้องตายไปคนเดียวทั้งนั้น...

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค...

    ...น้อมรับพระธรรมคำสอนของท่านเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ...
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    Welcome back ......wel lcome_pink...... หายไปเสียนาน เลย หนูผึ้งน้อยพเนจร ... วันนี้ ฤกษ์ดี แวะเวียน บินวน กลับมาชมสวนดอกไม้ กลิ่นหอมของ ธรรมะ เอ๊ย ! เกสรดอกไม้ ยังส่งกลิ่นหอม เหมือนเดิม นะคะ ... แวะมาบ่อยๆ สิคะ ... พี่ๆ คิดถึง หนูผึ้งน้อย นะจ๊ะ...
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    อึ้ง! คนไทย 14 ล้านคน สายตาพร่ามัว...!
    วิถีชีวิตของคนยุคใหม่นับวันต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นยุคGen S
    (Generation of Screen)
    ซึ่งเป็นยุคโลกดิจิตอลที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว โดยเฉพาะ 4 จอที่ว่า
    ได้แก่ จอคอมพิวเตอร์ จอแทบเล็ต จอมือถือ จอโทรทัศน์ เป็นต้น
    (แหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

    *จำนวนประชากรของประเทศไทย ปี 2556 มีทั้งหมด 64.6 ล้านคน (ชาย 31.4% หญิง 33.2%)
    (จากข้อมูลมหาวิทยาลัยมหิดล)

    อึ้ง! คนไทย 14 ล้านคนมีสายตาพร่ามัว...! (จากข้อความข้างบน)​

    แต่จะอึ่ง+ทึ่ง!ไปกว่านี้ก็คือ...
    ชาวพุทธเกิน 50% สายตาพร่ามัวแถมหน้ามืดเพราะศีลพร่องหรือไม่สนใจเรื่องศีล
    (แต่จริงๆแล้ว%มากกว่านี้ แต่เกรงใจ ไทยรัฐยังโดนบอมเลย)
    สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเดือนร้อน ความเบียดเบีน
    อันเป็นเหตุทำให้ภูมิสติภูมิปัญญา หรือภูมิต้านทานกิเลสตัณหาของคนไทยลดน้อยลง
    ในที่สุดคนไทยก็จะขาดความรัก ความมัคคี ความปรองดองเพราะเห็นผิดเป็นถูก เห็นตนมากกว่าผู้อื่น
    สุดท้าย ผู้ที่ไม่สนใจเรื่องศีล(ตนเอง) ก็จะนำเอาความทุกข์มาเยือนตนและผู้อื่น
    เพราะศีลตัวเดียวแท้ๆเลย ที่ทำให้โครงสร้างสังคมเสีย เพราะภายใน(จิต)ของคนมันเสีย
    การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องก็คือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต้นเหตุปัญหาของมนุษย์ชาติก็คือ จิตใจ
    ส่วนคำพูดหรือการกระทำจึงเปรียเสมือนปัญหาปลายเหตุ แก้ไขได้แต่ไม่รู้จักจบสิ้น ตามที่เห็นกัน
    แต่ถ้าทุกคนเห็นความสำคัญเรื่องศีลตามพระพุทธองค์ทรงได้ให้ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย
    ให้พากันรักษาศีลก็จะไม่เดือดร้อนกัน แต่ถ้าบุคคลใดมีกำลังใจมาก คืออยากออกจากทุกข์ตนเอง
    หรือออกจากสังสารวัฎ ก็ย่อมทำตามพระพุทธองค์กันได้
    แต่เราไม่ตำหนิผู้ใด แต่ถ้าหากคนไทยแค่พากันรักษาศีลหยาบ(ศีล๕)ของตนเอง
    มิใช่ศีลใครเขา เกินกว่าค่อนประเทศ ป่านนี้ประเทศชาติคงสงบสุขไปแล้ว มิใช่เป็นดั่งทุกวันนี้
    ถ้าทุกคนทำเพื่อส่วนรวมหรือประเทศชาติ มันก็ไม่มีคำว่า"ส่วนตัว" พวกพ้องหรือเห็นแก่ตัวเป็นแน่
    ขอโทษที่กล่าวล่วงเกินกรรมทางโลก เพราะเราที่มีขันธ์๕ย่อมหนีไม่พ้นโลกธรรม๘กันอยู่แล้ว
    ถ้าตราบใดผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบหรือผู้เจริญทั้งหายหมางเมินหรือไม่สนใจความทุกข์ผู้อื่น หรือ
    เอาแต่อุเบกขาอย่างเดียว แต่ขอถามกลับไปว่า..
    ถ้าเขามาเผาบ้าน เผาเมือง เผาญาติพี่น้อง เผาบ้านของผู้เจริญทั้งหลายกัน
    แต่ถ้าผู้เจริญทั้งหลายไม่ยอมออกถ้ำหรือเอาแต่อุเบกขา แล้วจะหนีเข้าป่าก็ไม่เป็นว่ากัน
    อย่าลืมพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม เห็นมีจิตใจคนที่ไม่ยอมรักษาศีล ไม่ทำภาวนานั้นเสื่อมแน่
    ได้โปรดอย่าได้เป็นอรหันต์เห็นแก่ตน ขนาดหลวงตามหาบัวออกมาหาเงินช่วยชาติ
    ท่านก็ยังโดนตำหนิจนได้ แต่ผลกรรมคนที่ทำก็ได้รับไปแล้วคือปากเบี้ยวพูดไม่ได้อยู่นาน
    สำหรับผู้ที่ปฎิบัติได้หรือจิตตนเองรอดไปแล้ว เราพอมีกำลังใจก็ให้พากันรักษาศีลอย่างเดียวก็ได้
    แต่ถ้าหากเรามีกำลังใจกันมาก หรือมีบุญบารมีมากก็ให้นำพากันทำภาวนาหรือแนะนำออกจากทุกข์
    ขอโมทนาสาธุกับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบหรือปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    ผู้ที่ปฎิบัติตามพระพุทธองค์เห็นมีแต่มีแต่ความสงบสุข ปราศจากบ่วงมาร กรรมตามสนองไม่ทัน
    โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังสูงก็ขอให้พวกเรานึกถึง ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยกันให้มากๆ
    หรือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะคุณของพระพุทธนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิต
    คือหาประมาณมิได แต่ถ้าหากบุคคลนั้นเข้าถึงนะ แล้วท่านคงเข้าใจ
    เหมือนดั่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านรักพระพุทธเจ้า รักนักรักหน๋านั่นเอง พอจะเข้าใจกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤษภาคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับความเพียรของคุณด้วยนะครับ เยี่ยมไปเลย
    ใช่เลย เตรียมจิตไม่ง่ายตามที่คนส่วนใหญ่คิด ไม่งั้นอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองแน่ๆ ใช่ไหม๊
    การปฎิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะมันยากเฉพาะทำจิตให้นิ่งสงบเป็นสมาธิกันนี่แหล่ะ
    ตราบใดยังมีลมหายใจก็ตามหาอุบายจากรรมฐานกองไหนที่จะมาทำให้จิตตนเองนิ่งสงบเป็นสมาธิ
    ปิดท้ายด้วยพบปัญญาตนเอง
    ผมเข้าใจดีครับ เพราะผ่านมาแล้ว มิใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคนที่บ้าพอแบบผม ไม่แน่
    บ้าในที่นี่หมายถึงจะต้องจริงจังกับธรรมปฎิบัติ แต่ก็อย่างที่คูรว่ามานั่นแหล่ะ
    มันมีปัจจัยหรือตัวแปรเยอะ เหมือนเรากำลังเดินหา/ตามหาอะไรสักอย่างนึงที่ใช่น่ะ ถูกใจน่ะ
    สุดท้ายนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณ
    และอวยพรให้คุณพบจิตพบธรรมหรือพบแห่งแสงปัญญาของตนเองในไม่ช้านี้ด้วยเทอญ
    (ถ้าคุณอยากเข้าถึงจิตถึงธรรมถึงพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าบ่อยๆแล้วคุณจะได้ดั่งใจ)
    สูๆๆ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานน้องก้องด้วย
    น้องก้องนี่ก็เก่งทั้งเรื่องปริยัติและปฎิบัติแถมได้ปฎิเวธคือผลการปฎิบัติด้วย
    โอ้เยี่ยมๆ :cool: ช่วยกันเน๊อะ จิตน้องก้องมีคุณภาพคือมีศีลธรรม
    (ขอยกหางตามเนื้อผ้าหน่อยนะ..อิอิ)
    ธรรมาทานเราจักต้องช่วยกัน ไม่มีผู้เก่งหรือรู้เรื่องไปหมดทุกอย่างหรอก
    ใครก็ได้ช่วยกันตอบ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผม วันหน้าชิงตอบก่อนเลยนะ
    ถือว่าช่วยกัน อย่าไปคิดว่าเราไม่เก่งคนอื่นเก่ง หรือเราเก่งคนอื่นไม่เก่ง
    ถ้าใครคิดแบบนั้นเสร็จเลย เพราะไปไม่ถึงไหน จิตที่จะพัฒนาหรือเจริญถึงขีดสุดได้นั้น
    จิตต้องปล่อยวางกับสมมุติทั้งหลายให้หมดจดนั่นเอง มิใช่ปฎิบัติเพื่อไปตามหาอัตตามานะเพิ่ม
    โดยเฉพาะผู้ที่เข้าถึงจิตละเอียดมักจะติดสุขจากฌาน หลงนิมิต บ้าอภิญญา
    อันนั้นปฎิบัติไปไม่ได้ไกลหรอก เพราะจิตไปติดสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว
    เพราะการปฎิบัติเมื่อเรารู้ เห็นหรือรับรู้ไม่ว่าจะทางใด สุดท้ายก็ต้องวางด้วยปัญญา
    แต่ถ้าปล่อยวางไม่ได้ นั่นก็แสดงว่า ปัญญาของเรายังมีไม่มากพอ นั่นเอง
    เมื่อใดจิตเรามีปัญญา จิตก็สามารถละปล่อยวางกับสิ่งเหล่านั้นได้เอง
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเก่งคนนี้ใครกันเนี๊ย พี่ภูลืมไปแร๊ะ คห แปลว่าไรหย๋อ?
    อยากให้คนมาแปลให้ฟังซะงั้น เด็กขาดผ้าห่ม..อิอิ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนดีต้องช่วยกันยกย่อง!​

    "จงทำดี แต่อย่าทำเพื่อให้ได้ดี แล้วคนดีจะเกิดเอง"
    จากใจผู้กอง
    (ร.อ.ภูมิพัฒน์ คงไทย ผบ.ร้อย บก.พล.ป.)

    แล้วชื่อของ ร.อ.ภูมิพัฒน์ คงไทย ผบ.ร้อย บก.พล.ป. ก็ดังในโลกออนไลน์ เพียงชั่วข้ามคืน โดยเริ่มต้นจาก เฟซบุ๊กเซเลบ "น.ส.วาสนา นาน่วม" ผู้สื่อข่าวสายทหาร นสพ.บางกอกโพสต์ กับกรณี "ผบ.ร้อย" ค่ายทหารจาก จ.ลพบุรี ผู้มีจิตใจอันงดงาม ช่วย "แม่คนหนึ่ง" ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ เพื่อมาเยี่ยมลูกชาย ซึ่งเป็นเพียงพลทหาร ทราบชื่อพลทหาร "นฤพันธ์" สังกัดร้อย บก. มีหน้าที่ฝึกและประจำการ อยู่ที่จ.ลพบุรี ด้วยความคิดถึง

    แล้วมาเกิดล้มฟุบลงหน้ากองรักษาการ หน้าค่ายพิบูลสงคราม เนื่องมาจากอาการมีโรครุมเร้า อยู่หลายโรค ทั้ง หอบ น้ำท่วมปอด หัวใจ ไต จนต้องรีบเข้ารับรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่า อาการหนักเข้าขั้น "ตรีทูต" ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีจาก ร.อ.ภูมิพัฒน์ ด้วยการตัดสินใจ อนุญาตให้เอาชื่อของแม่ของพลทหารคนดังกล่าว เข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านของเขาอย่างทันท่วงทีแล้วละก็ หากโชคร้าย "แม่-ลูก" คู่นี้ อาจจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเป็นแน่

    ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้โทรศัพท์ไปพูดคุย กับ ร.อ.ภูมิพัฒน์ คงไทย ผบ.ร้อย บก.พล.ป. ถึงเหตุผลที่ผู้กอง ตัดสินใจ ให้เอาชื่อแม่ของพลทหารรายดังกล่าว เข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน โดยผู้กองเปิดเผยว่า ถ้าไม่โอนย้ายการรักษาพยาบาล การรักษามันต้องเสียเงิน เสียทอง แล้วตัวเขา หรือ ญาติ ก็ไม่มีเงินเลย ทีนี้ผมดูอาการแล้วมันไม่ไหวแล้ว ก็เลยคุยกับแพทย์และพยาบาลที่ ร.พ.อนันต์ ทาง รพ. ก็เลยแนะนำ มาว่า ต้องทำการโอนย้ายชื่อเข้ามาในทะเบียนบ้านของคนที่มีภูมิลำเนาที่นี่ เพื่อจะได้สิทธิ์เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิ์ของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้ทันท่วงที
    ร.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวต่อว่า เพราะตอนนั้น หมอที่รับรักษา ก็ยืนยันว่า อาการหนักมากๆ ซึ่งกว่าจะโอนชื่อเข้ามาในทะเบียนบ้านผม ก็เป็นวันสุดท้ายเลย เกือบหมดเขตโอนย้าย เนื่องด้วยตามขั้นตอน จะต้องโอนย้ายชื่อเข้ามา ภายในระยะเวลา 3 วัน ถึงจะได้สิทธิ์รักษาพยาบาล 30 บาท ทั้งนี้ ทาง รพ.อนันต์ ก็ดีมาก เพราะผมก็ไปขอทาง รพ.ให้รับรักษาไปก่อน แล้วผมจึงจะหาทางอีกครั้ง จนนำมาสู่การตัดสินใจโอนย้ายชื่อแม่ของพลทหารคนนี้ เข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน ตอนนั้นผมคิดว่า หากทำไม่ได้อาจต้องทำเรื่องขออนุมัติงบฯประมาณจากค่ายทหารมาจ่ายแทน

    ซึ่งตอนนี้คนไข้ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ออกจากห้อง "ไอซียู" แล้ว แม้ยังต้องใช้เครื่องหายใจอยู่ เพราะแพทย์ ขอรอดูอาการ ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องตัดสินใจช่วยแม่ของพลทหารคนนี้ด้วย
    "ผมคิดอย่างนี้ครับว่า ลูกน้องของเรา ความจริงก็คือกำลังหลักของกองทัพ แม่ของเขาก็เหมือนครอบครัวของเรา ฉะนั้นเราต้องดูแลครอบครัวลูกน้องเราเหมือนครอบครัวของเรา เหมือนแม่ของเราเอง มันเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจของเราเอง ตอนนี้ ผมเลยตัดบัญชีรายชื่อของ พลทหารคนนั้น ให้ออกจากหน่วยฝึก เพื่อให้มาดูแลแม่จนหาย เพราะไม่มีใครจะดูแลได้ดีเท่าลูกตัวเอง" ร.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าว
    ร.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หลังจากการพูดคุยกับพลทหารรายนี้แล้ว ทราบว่า ที่ผ่านมา แม่-ลูกคู่นี้ ก็พักอยู่อาศัย อยู่กันมาเพียง 2 คน ไม่มีญาติที่ไหน คือ ตัวแม่เลิกกับสามี ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง อายุครรภ์ประมาณ 3-4 เดือน แล้วพอคลอดออกมา เด็กคนนี้แม่ก็เอาไปด้วย ไปอยู่ที่ไหน ก็ไปด้วยกัน เอาไปด้วยไปกันทุกที่ ตัวแม่เองก็ประกอบอาชีพหมอนวดแผนโบราณ ไม่ค่อยมีรายได้ แล้วเด็กคนนี้ (พลทหาร) ก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เรียนจบแค่ ป.3 ผมก็เลยว่า จะช่วยให้เขาเรียน กศน. ให้จบ ป.6 ก่อน ใช้เวลา 2 ปี ได้ ม.3 อีก 2 ปี ก็ได้ ม.6 ก็ต้องเป็นพลทหาร 5 ปี เพื่อจะได้เรียนถึง ม.6 ที่ช่วยทั้งหมด เพราะคำว่า "มนุษยธรรม"

    สำหรับคติประจำใจของผม คือ ทำให้ดีที่สุด จงทำ จงทำดี จงทำดี แต่อย่าทำเพื่อให้ได้ดี ผมมีคำอธิบาย คือ ส่วนใหญ่คนทุกคน จะทำดีเพื่อให้ได้ดี เพื่อให้ได้รับการตอบแทนที่ดี ทำดีเพื่อให้ได้ 2 ขั้น แต่บางที นายอาจจะไม่เห็น หรืองานที่ทำอาจไม่ค่อยได้โชว์ หรือ โชว์น้อย คือ เราคิดว่า เราทำดีที่สุดแล้ว แล้วมันไม่ได้ดี พอไม่ได้ปั๊บ มันก็จะเกิดการท้อ พอท้อ เราก็จะไม่ทำดีแล้ว

    ก็อย่างที่คนชอบพูดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี ก็ไม่ต้องทำละ? ที่จริงคำนี้ ทำให้คนนำไปใช้ จะเป็นคนดีได้ โดยอัตโนมัติ คือ ทำดีไปเถอะ ทำไปเดี๋ยวมันก็ได้ดีเอง อันนี้เป็นหลักยึดของผม....

    อยากฝากเอาไว้ ให้ทุกคน "ทำดีไปเถอะ แต่อย่าทำเพื่อให้ได้ดี แล้วคนดีจะเกิดขึ้นเอง ไม่ช้าก็เร็ว อาจปี 2 ปี เขาก็เห็นเอง แล้วเราจะกลายเป็นคนดี โดยอัตโนมัติ แต่มีคนอีกหลายประเภทที่คิดว่า ทำดีแล้ว เพื่อต้องการให้ได้ดี พยายามทำ อย่างเช่นมาทำงานแต่เช้า กลับเย็น แต่เฉพาะช่วงพิจารณาขึ้นตำแหน่ง พอหมดช่วงพิจารณาก็ไม่เอาแล้ว มันก็ไม่ได้" ร.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าว.

    ขอบคุณข่าวจาก: ไทยรัฐออนไลน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤษภาคม 2013
  9. Thammasawasdee

    Thammasawasdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +869
    ;) ธรรมะสวัสดี ขออนุโมทนาและน้อมรับคำชี้แนะนำธรรมะด้วยความยินดียิ่งค่ะ

    ได้ผู้รู้ช่วยชี้ช่วยแนะแสงแห่งปัญญาเกิดได้ในที่สุด ^^

    ธรรมะสวัสดี ^-^

    ขออนุโมทนาและขอขอบคุณทุกๆธรรมของผู้รู้ธรรมะ

    ที่เสนอแนะความคิดเห็นอันเป็นแสงปัญญาช่วยส่องนำ สาธุจร้า

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    กระผมมีวันนี้ได้ กระผมพัตนาจิตตนฝึกฝนอบรมจิตตนได้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปได้ ก็ด้วย ท่านพ่อภู ท่านแม่เพ็ญ ท่านครูลูกพลัง ครูอัญญะมณีและครูจิตบุญอื่นๆทุกท่าน กระผมไม่เคยลืมในคุณความดีที่ท่านมีต่อกระผมและเมตตาแก่กระผมครับ

    อนึ่งความเป็นครูอาจารย์ ที่ดี ย่อมเป็นผู้มีจิตใจที่สูง ย่อมเป็นผู้มีภูมิธรรมสูง ย่อมเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรม อันเป็นมหาพรหมวิหารธรรม มีจิตกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ามหาสมุทรทั้งจักรวาล เฉกเช่นเดียวกับ จิตใจของ ท่านพ่อภูและครูอาจารย์ทุกท่านครับ สาธุครับ
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา กับ คุณก้องด้วยค่ะ ที่ได้เข้าถึงจิตใจของตนเอง...ถ้าเราไม่มีความเพียร และความศรัทธาก็คงไม่มีวันนี้ คุณเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในทางหลุดพ้น และได้เข้าถึงซึ้งปัญญาฌาณ รู้ผิด-ถูก-ชั่ว-ดี เพราะการอบรมในทาง ศีล ภาวนา ปัญญา ก็เกิด ขออนุโมทนาสาธุ ขอให้คุณก้องจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ นิพพานัง ปรามัง สุขัง ค่ะ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -คำถาม - คำตอบ- ปัญหาธรรม...

    ...ถาม - หลวงปู่คะ เวลานั่งสมาธิกำหนดบริกรรมพุทโธโดยมีสติรู้อยู่

    .ที่นี้เมื่อพุทโธหายก็ให้สติรู้ว่าพุทโธหาย...คือให้มีตัวรู้อยู่ใช่ไหมคะ?

    - ตอบ -พุทโธหายนั้นไม่รู้แหละ...ถ้ารู้ไม่หาย มันเผลอตอนนั้นนะ เช่น...

    .เวลาพุทโธ ๆ พุทโธหายก็รู้ว่าพุทโธหายใช่ไหมละ...มันไม่ใช่ ถ้ารู้อยู่พุทโธจะไม่หาย

    -ตอนเผลอนั่นแหละพุทโธหาย...คือมันไปรู้อย่างอื่นเสียไม่รู้กับพุทโธ พุทโธก็หาย ถ้า

    พุทโธ ๆ รู้อยู่ พุทโธหายไปก็รู้...พุทโธจะไม่หายเพราะรู้อยู่นี่พอเราเผลอแผล็บเดียวเท่า

    นั้นพุทโธก็หาย...นั่นแหละหายไปเพราะความเผลอ พอเผลอจากนี่ปุ้บจับโน่นปั้บ...

    - ถาม - ตอบ ปัญหาธรรม หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี-

    ...น้อมกราบองค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบเจ้าค่ะ...
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    จิตนี้เร็วยิ่งนัก"

    สำหรับครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกจิตมาดีแล้ว ดังเช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ และหลวงปู่เกษม เขมโก เป็นต้น ท่านทราบอาการความเร็วของจิตได้ละเอียดกว่าเรา ๆ หลายหมื่นหลายแสนเท่า ชนิดไม่อาจเปรียบเทียบกันได้

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ดู่เคยอุปมาความเร็วของจิตให้ลูกศิษย์ฟังว่า "แค่ระยะเวลาที่เราคู้แขน-เหยียดแขน หลวงพ่อเกษมท่านไปกลับ (สุสานไตรลักษณ์ - วัดสะแก) ได้ ๗ ครั้ง" หรือ "แค่ระยะเวลาไม่กี่นาที จิตก็สามารถแล่นไปได้เป็นโกฏครั้ง"

    มิน่าเล่าท่านถึงได้เน้นการปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อการฝึกจิตให้ทันความเร็วของจิตหรือความคิด หากไม่มีกรรมฐาน ไม่ต้องพูดกันเลยเรื่องการดูการรู้การทันจิตหรือความคิด เหมือนจะจับลิงในป่า วิ่งตามเท่าไหร่ก็วิ่งไม่ทันลิง ป่าเขาก็กว้างใหญ่เหลือประมาณ แต่พอตะล่อมมันให้มาอยู่ในวงจำกัด จึงพอมีทางที่จับมันได้

    การจับตัวจิตหรือความคิดนี้ก็เหมือนกัน ต้องตะล่อมมันให้มาอยู่ในวงกรรมฐาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เป็นเรื่องใหญ่ และแจกแจงตามจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติ
    (ผู้ต้องการจับลิง) ไว้ถึง ๔๐ หมวด กรรมฐานซึ่งนอกจากจะเป็นการตะล่อมจิตหรือความคิดให้มาอยู่ในวงจำกัดแล้ว พร้อมกันนั้นก็ทำให้มันเชื่องขึ้น ๆ ไม่ว่องไวหนีเตลิดเปิดเปิงไปดังแต่ก่อน และยังเป็นการพัฒนาสติให้ว่องไวกระทั่งทันความคิด เรียกว่าคิดปั๊บ สติรู้เท่าทัน ความคิดนั้นดับไป ความคิดใหม่ผุดเกิดขึ้นอีก สติก็ระลึกรู้ทัน ความคิดใหม่ก็ดับไปให้เห็นอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป

    หากขาดกรรมฐาน กว่าจะรู้ตัว เราก็มักคิดปรุงเป็นเรื่องเป็นราวไปยกใหญ่แล้ว กระทั่งเกิดเป็นความยินดียินร้ายหรือความเศร้าหมองขึ้นในจิตไปแล้ว คุณภาพของจิตเสียไปแล้ว เหมือนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนจิตเราถูกเผาเป็นตอตะโกไปแล้ว เร็วขึ้นกว่านั้นก็ระยะที่ถูกเผาจนมีควันกรุ่นออกมา ก็ตามมารู้แล้วดับมันไว้ในขณะที่ยังไม่ทันเป็นเพลิงลุกไหม้ ดีที่สุด ไวที่สุดก็ต้องอาศัยกรรมฐานช่วยให้เห็นทันตั้งแต่ยื่นไม้ขีดมาจุด แล้วให้ขาดแค่นั้น ไม่ให้จุดติดไฟได้

    จิตนี้นอกจากเร็วยิ่งนักแล้ว ยังเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่าห้ามยาก ดัดยากไว้อีกดังนี้

    จิตดิ้นรน กลับกลอก ป้องกันยาก ห้ามยาก คนมีปัญญาสามารถทำให้ตรงได้ เหมือนช่างศรดัดลูกศร

    และ จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว ใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ ฝึกจิตเช่นนั้นได้เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้ ฯ

    ที่มา จากเวปหลวงปู่ดู่
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -ถาม -หลวงปู่คะ คือหนูตั้งใจจะถามว่าการมีสตินี้หมายถึงว่าการรู้ตัวใช่ไหม

    - ตอบ - สมมุติว่าพุทโธ ๆ ๆ ก็ให้รู้อยู่กับพุทโธ ๆ นี่เรียกว่าสติที่เราฝึกหัดไปนาน ๆ ๆ..

    เข้า สตินี้เลยกลายเป็นสัมปชัญญะไป...คือเป็นพื้นไปเลยเพราะ ความรู้สึกนี้สืบเนื่อง

    กันไปโดยลำดับ ๆ จนกลายเป็นสัมปชัญญะจะทำอะไร ๆ นี่เป็นสัมปชัญญะ เพราะสติเรา

    ฝึกหลายครั้งหลายหน...จนกระทั่งสืบเนื่องกันไปติดต่อกันไปได้ยืดยาว ........

    ...นี่เรียกว่าสัมปชัญญะ...ปัญหาธรรมหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน.สาธุ สาธุ สาธุค่ะ.
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรม สิ่งทุกๆท่านปรารถนานั้น ก็คือ "ปัญญาฌาณ" ที่ช่วยให้เรารู้เท่าทันกิเลส ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เห็นสักแต่ได้เห็น รู้สักแต่ว่ารู้ ไม่เอาความคิดปรุงต่างๆมาเป็นอารมณ์ เพราะอารมณ์ต่างๆก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเหมือนกัน คือไม่มีอะไรทนได้ถาวรสักอย่าง และการรู้เห็นได้ ต้องรู้เห็นแบบมีปัญญาฌาณ ก็คือผู้ปฏิบัติทุกๆท่านๆต้องการ และตัวปัญญานี่แหละที่ทําให้เราๆท่านๆไม่รับเอาทุกข์เข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนรู้มันเห็นมัน แต่ไม่เอามาเป็นอารมณ์ และการมีทุกข์นั้นทุกๆคนมีแน่ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีทุกข์ทางใจแล้วแต่ก็หนีไม่พ้นทุกข์ทางกาย เพราะเรามีกายอยู่นั้นเอง ต้องมีปวดหัว เจ็บท้อง และเป็นโรคนั้นโรคนี้ นั้นก็เพราะเรายังมีกายอยู่ แต่เราก็ต้องอยู่กับกายนั้นจนกว่าเราจะตายจากกายไป แบบพระอริยเจ้าท่านผู้ปฏิบัติจนสามารถตัดขันธ์ ๕ ของท่านได้นั้นแหละ จึงเรียกว่า พระอริยเจ้า(หรือพระอรหันต์)ผู้หลุดพ้นจากทุกข์ เราผู้ปฏิบัติตามท่านก็เพื่อสิ่งนี้ คือ ความหลุดพ้นจากทุกข์นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2013
  16. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านในธรรมทานนะคะ มาอ่านเมื่อไหร่ ก็เสมือนชาร์ตพลังงานให้ตน
    ขอบคุณในหลักการปฎิบัติ จิตเกาะพระ มากๆคะ ทุกวันนี้ เข้าใจธรรมได้อย่างแยบคายยิ่งขึ้นคะ
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ท่านตอบได้น่ารักมากเลยทีเดียว
    เป็นเพราะบุญบารมีของตัวคุณเองมากกว่า ส่วนพี่ภู/ครูสอน/ผู้แนะนำนั้น เป็นได้แค่คนบอกทางให้กับเธอทั้งหลายเดิน(เท่านั้น) เพราะที่เหลือจิตของผู้ปฎิบัติท่านนั้นจักเดินเอง พี่ภูหรือว่าครูเดินหรือทำแทนให้กันไม่ได้
    ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังเคยตรัสกับพระอานนท์เลย ว่า..พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้บอกทางหรือชี้แนะให้กับพวกท่านเดินให้ถูกต้องเท่านั้น หรือพระศาสดาของพวกเจ้านั้น ก็คือพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระองค์พระศาสดา..มิใช่ตัวของพระองค์

    (ทุกท่านโดยเฉพาะพุทธบริษัททั้งหลายย่อมทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าพระองค์ท่าน ก็คือพระศาสดาของพวกเรา แต่พระองค์ท่านกำลังตรัสสั่งสอนพระอานนท์หรือชาวพุทธทั้งหลาย ว่าอย่าไปยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เช่นขันธ์๕ หรือทั้งรูปนามสมมุติทั้งหลาย โดยเฉพาะกับคำสมมุติหรือคำบัญญัติทั้งหลายด้วย เช่น ฌาน/ญาณ/นิมิต/อภิญญา/อรหันต์/วิมุตติ เป็นต้น ยิ่งผู้ปฎิบัติที่สามารถสอบผ่านสมถกรรมฐานไป(บ้าง)แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอบผ่านวิปัสสนากรรมฐานหรือแต่อาจจะผ่านได้เฉพาะบางตัว ยกเว้น นามอันละเอียดตัวสุดหรือคราบมนุษย์ก็ตาม นักปฎิบัติท่านนั้นจักต้องตอบตนได้ชัดเจน โดยที่ไม่ต้องมีผู้บอกหรือมีผู้ชี้นำ เพราะถือว่าได้ตัวผู้รู้ตัวที่สองก็คือธรรมในจิต ที่แปลว่าความจริง นอกจากตามหาจิตตนพบแล้ว ต่อไปก็ตามหาตัวปัญญาหรือปัญญาญาณของตนกันต่อไป เพราะฉะนั้นไม่มีใครบอกว่าเราได้ฌานขั้นโน้นขั้นนี่ได้ หรือได้อรหันต์หรือได้วิมุตติ นอกเสียจากครูบาจารย์ที่ท่านทำสำเร็จหรือพระอรหันต์แล้วนั้นย่อมอ่านวาระจิตให้กับผู้เป็นศิษย์ของตนได้ เพราะฉะนั้นจึงอยากแนะกับนักภาวนาทั่วไป ว่า..อย่าไปยึดคำว่าฌาน/ญาณ/อรหันต์หรือวิมุตติ ให้ก้มหน้าก้มตาปฎิบัติอย่างเดียว แต่ถ้าจิตไปเกี่ยวกับกับคำสมมุติหรือคำบัญญัติเหล่านี้มาก จิตเราก็จะไม่เคลื่อนขึ้นที่สูง นั่นก็คือมรรคผลนิพพานของตน เพราะหารู้ไม่ที่จิตไม่บรรลุธรรมหรือเข้าวิมุตติกันไม่ได้สักทีนึง ก็เพราะด้วยเหตุนี้ จิตเท่านั้นที่จะยึดติดหรือปล่อยวาง พวกเราก็ลองคิดหรือไตร่ตรองดูเอาตามปัญญาแห่งตนกันด้วยเถิด)

    ขนาดพระองค์เป็นถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเลย แล้วพี่ภูหรือครูท่านอื่นเป็นใครหน๋อ?
    บอกตามตรงว่า พี่ภูละอายใจแทนครูสอนหรือผู้ที่ตั้งตนเป็นสำนัก เป็นเจ้าสำนักไม่เท่าไหร่ ไม่แปลก แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทำตัวหรือแสดงตัวตนออกมาชัดเจนว่า..ข้าคือเจ้าสำนักตัวจริงเสียงจริง เพราะมีลูกศิษย์คอยจะยกหางให้อยู่เรื่อย คราวนี้เจ้าสำนักก็เลยได้ใจเลย เรื่องนี้ขอยกเป็นอุทาหรณ์สอนใจเป็นอย่างดีให้กับพวกเรา
    โดยเฉพาะครูจิตเกาะพระ อย่าลืมนะ อย่าไปลืมตัว ระวังลูกศิษย์จะยกท่านขึ้นหิ้ง ยกให้เราเป็นโน้นเป็นนี่ สารพัดจะเรียกเอาตามใจชอบ เราก็อย่าไปหลงตามก็แล้วกัน แต่เราต้องไม่ไปตำหนิติเตียนหรือไปห้ามความศรัทธาของเขานะ ขอให้รักษาน้ำใจกันเข้าไว้ ใครให้อะไรก็อย่าไปว่าเขา ทั้งคนที่ชื่นชม ยกหาง เอ๊ย! ยกย่อง หรือผู้ที่เห็นต่างกับเราก็ตาม
    สรุปแล้ววางลงให้หมดและวางลงทันที โดยมิต้องเสียเวลาคิด แนะวิชาให้แล้วนะ วิชาหายตัวสลายตน หรือหายจากอัตตาตัวใหม่ มันมาแบบเนียนมาก จนเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป อย่าไปคบคราบมนุษย์ของตน
    โดยเฉพาะธรรมารมณ์ต่างๆ/ความรู้สึกนึกคิด/อารมณ์จิตของตนเอง เพราะเป็นนามตัวละเอียดตัวสุดท้ายที่นักภาวนาจะต้องใช้ตัวปัญญามากในการละ-ปล่อย-วางกับมันได้ เพราะแค่ตัวปัญญาธรรมดาๆของตนมันไม่พอเพียง
    โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังใจสูงยิ่ง/ผู้ปฎิบัติที่มุ่งหวังเพื่อพระนิพพาน หรือไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว เรา(จิต)จะต้องละขันธ์๕เด็ดขาด คือจะต้องละทั้งรูป-นามเด็ดขาด อันได้แก่ รูป๑(ร่างกาย) และนาม๔(เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ)

    ขออภัยสำหรับธรรมาทานนี้ ถ้าไปล่วงเกินจิตผู้ใดเข้า โปรดอโหสิกรรมให้แก่กันด้วย ข้าฯมิได้มีเจตนาไม่ดีกับผู้ใด
    แต่อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับสายบุญเดียวกัน แต่ถ้าคนละสายย่อมก้าวข้ามไป อย่าสนใจหรือติดใจใดๆทั้งสิ้น

    ขอโมทานสาธุกับผู้ที่พากันรักษาศีลและทำภาวนา โดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่ากราบไหว้บูชายิ่งกับพระพุทธเจ้า นั่นก็คือ ผู้ที่กำลังปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤษภาคม 2013
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความทุกข์เป็นความจริงล้วนๆ เพราะความทุกข์เป็น"สัจธรรม" เพราะทุกข์เกิดจากอาการเจ็บโน้น ปวดนี่ เช่น นั่งไปนานๆแล้วก็ปวดขาทําให้เราเป็นทุกข์ เราก็ให้ถือทุกข์นั้นเป็นหลักวิปัสสนา เช่น ส่วนไหนที่เด่นมากๆคือ ปวดมากๆก็ใช้ส่วนนั้นเป็นการพิจารณาในความทุกข์ ให้ตั้งสติลงไปในส่วนนั้นให้เห็นเป็นสักแต่ทุกข์ อย่าอยากให้มันหายเพราะความอยากให้หายปวดนั้นแหละ เป็น"วิภาวะตัณหา" เพราะความอยากนั้นเอง...เพราะยิ่งอยากให้ทุกข์ดับไป ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์ เราไม่ต้องการอยาก แต่เราจะพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ให้จิตจ่อดูอยู่ที่ความเจ็บปวดนั้น ก็คือใช้ปัญญา แยกแยะออกกําหนดให้เห็นในสัจธรรม แยกให้เห็นเวทนา ให้ชัดเจน เพราะร่างกายก็ไม่ทราบความหมายของกายว่าเจ็บปวด แต่เราเอาจิตไปยึดมันจึงเจ็บปวด เพราะมันออกมาจากสัญญาอารมณ์ที่เราไปให้ความสําคัญ ว่าเป็นเราเป็นของของเรา เราจึงกลัวร่างกายจะทนไม่ไหว เพราะกลัวในความไม่มีในเรานั้นเอง...เพราะถ้ามีในเราแล้วเวลาเวทนาหายไปคือหายปวดแล้ว จิตก็ยังทําหน้าที่ของเขาเหมือนเดิม เพราะกาย กับ จิต สามารถแยกออกจากกันได้ แต่จะได้อย่างนั้นต้องเป็นผู้ข้ามเวทนาไปได้นั้นเอง...จึงจะต้องอาศัยความเพียรเป็นเลิศ ตามรอยของพระอริยเจ้าผู้ไม่ยึดในกายของท่านแล้วนั้นแหละ คือผู้หลุดพ้น...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า "ธรรมะ"
    เป็นสภาวะแห่งความเย็น เบา สบาย อย่างอื่นไม่มี
    เห็นมีเพียงกิเลส ตัณหาและอุปาทานเท่านั้น ที่เป็นของร้อน ร้อนรน ใครไม่เรียนรู้เรื่องอริยสัจ๔ หรือไม่ได้ปฎิบัติให้สำเร็จหรือหลุดพ้น ผู้นั้นย่อมเป็นทุกข์หรือรู้สึกทุกข์เป็นธรรมดา

    คำว่า "บุญ" ก็แปลวว่า ความสบายใจ อย่างอื่นไม่มี
    สำหรับผู้ที่ทำบุญหรือผู้ปฎิบัติธรรมนั้น ปรากฎผลหรือไม่ได้ความเย็น เบา สบายหรือไม่มีสบายใจ นั่นแสดงว่าท่านผฎิบัติผิดทางแล้ว นั่นแสดงว่าท่านปฎิบัติตึงหรือหย่อนยานเกินไป แต่ถ้าเรารู้ก็ควรเริ่มต้นที่สติกันใหม่ เพราะสติเป็นต้นเหตุหรือบ่อเกิดปัญญาของตน ที่จะทำให้เราแยกแยะได้ก่อนแล้วตัวปัญญาจะบอกกับตัวท่านเองว่า อันไหนถูกผิด อันไหนเป็นกุศลหรืออกุศล อันไหนบาปหรือบุญ หรือว่าเราปฎิบัติถูกหรือผิด และตัวปัญญา/ปัญญาญาณเท่านั้น ก็จะนำจิตหลุดพ้นหรือออกจากทุกข์หรือวัฎฎะแห่งตนเองได้ในที่สุด
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฎิบัติตึงเกินไปหรือเอาสตินำจิต เช่น บังคับจิต ฝืนจิตจะต้องให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ อันนั้นผิดทั้งหมด อย่าลืม..จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เพราะฉะนั้นเวลาปฎิบัติที่อยู่คนเดียวก็อย่าได้เอาสติตนเองไปนำจิตจะต้องเป็นไปตามความต้องการ ตรงนี้ก็ถือเป็นจุดอ่อนของผู้ปฎิบัติทั่วๆไป โดยเฉพาะรู้ไม่จริง ก่อนจะลงมือปฎิบัติหรือทำสมาธิหลับตา เราจะต้องเรียนรู้หรือรู้เรื่องการทำสมาธิที่ถูกตเองนั้นเขาทำกันอย่างไร เพราะการทำสมาธิที่ถูกต้องนั้นเขาให้ทำกันแค่ ๓ อย่างเท่านั้นก็คือ ๑.ตามดูจิต ๒.ตามรู้จิต ๓.ด้วยใจเป็นกลาง
    สองข้อแรกไม่เท่าไหร่หรอก แต่ข้อที่สุดท้ายก็คือด้วยใจเป็นกลางนี่แหล่ะ ผู้ปฎิบัติใหม่ๆมักจะสอบตกกันเป็นแถวๆเลย ตกแบบไม่รู้ตัวซะด้วยนะ เพราะด้วยความไม่รู้จริงหรือมีปัญญาจะพอที่จะไปรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังปฎิบัติหรือเผชิญนั่นเอง
    คำว่า"ด้วยใจเป็นกลาง" ก็แปลว่าให้เราแค่ดูจิตและรู้จิตกันเฉยๆเท่านั้นเอง ทำกันเป็นไหม เราอย่าเอาสตินำจิตหรือไปบังคับจิตหรือฝืนจิต คือจะต้องให้เป็นตามใจของตน เราแค่กำหนดดู กำหนดรู้จิตตนว่า ในขณะนั้นที่สติเรารู้ว่าจิตเขาเป็นอย่างไร จิตสุขไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าจิตทุกข์กันนี่สิ ผู้ปฎิบัติมักจะเข้าไปปรับเปลี่ยนจิตตนเองว่าจะต้องทำให้เป็นสุข อันนั้นก็อย่าไปทำ เพราะมันผิดหลักการ เพราะผู้ปฎิบัติจะต้องอยู่แต่เฉพาะปัจจุบันหรืออยู่ทุกขณะจิตตนได้รับรู้มาเท่านั้นเอง อย่าพยายามไปทำอะไรยุ่งยากกัน เขาให้ทำแค่สามข้อเท่านั้นเอง แต่พวกเราดันไปทำให้มันยุ่งยากเข้าไปอีก นี่แหล่ะถ้าผู้ปฎิบัติเจริญสติไม่พอ ปัญญาหรือตัวที่ทำให้เรารู้นั้นก็ไม่พอ ก็เลยเผลอสติไปบังคับจิตหรือฝืนจิตตนเองเสียแล้ว เอาใหม่ๆนะ ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็เก่งเอง เกิดความชำนาญไปเอง ไม่มีผู้ใดทำครั้งเดียวแล้วผ่านฉลุยเลย เพราะสอบตกเป็นเรื่องธรรมดาของการปฎิบัติ แต่สอบผ่านนี่สิ น่าฉงน น่าประหลาดใจยิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2013
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -ถาม - ตอบ -ปัญหาธรรม -
    ...ถาม - ท่านคะ ผู้หญิงจะขึ้นถึงอรหันต์ได้ไหมคะ?

    ...ตอบ - ผู้หญิงผู้ชายมันขึ้นไม่ได้ละ...ใจต่างหากขึ้น...

    ผู้หญิงมีใจผู้ชายมีใจแล้วขึ้นได้ทั้งนั้น...ขอให้กิเลสสิ้นไป

    ด้วยความเพียรของเราเถอะ...มีความเพียรเป็นหลักตั้ง...

    ความเพียรนี่แหละจะเป็นกุญแจเปิดประตูนิพพาน เราอย่า.

    เอาเพศมาเปิดแล้วติดเพศไปไม่รอดนะ ถ้าว่าเพศพระก็ว่า

    เราเป็นพระใครก็นับถือ นอนกินก็ได้ นั่งกินก็ได้ นอนใจ อัน

    นี้ตัวขี้เกลียดใหญ่ ตัวกิเลสตู้กิเลสอยู่ในนั้นแหละ แม้แต่...

    หลวงตาบัวคุยโว้ ๆ อยู่นี่ก็ไม่เห็นดีอะไรถ้าขี้เกลียดเสีย

    อย่างเดียวไม่เป็นท่า...เรื่องกินแล้วขยันยิ่งกว่าลิง ใช้ไม่

    ได้อย่างนั้นการประกอบความเพียรให้เร็วให้คล่องตัว สติ

    ปัญญาให้คล่องตัวนั้นละกิเลสจะกลัว...

    .-ถาม ตอบ - ปัญหาธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ท่านเจ้าค่ะ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...