ฟังแต่พระพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย sawok B, 2 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎกภาคปฏิบัติ

    ปกติหลวงตาไม่ค่อยจะว่างนะวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่เช้าเรื่อย จะมีว่างเฉพาะตอนเที่ยงตอนบ่ายเล็กน้อย นอกนั้นจะมีอยู่เรื่อย ๆ ติดกันอยู่เรื่อย วันหนึ่งมารับแขกนี้หลายครั้ง รับเป็นเวลา ๆ ถ้าจะรับตามแขกที่มาหาซึ่งไม่ขาดวรรคขาดตอนนี้ก็เรียกว่าเรานั่งทั้งวัน จึงต้องมีเวลาพักเป็นวรรคเป็นตอน ตอนบ่ายนี้ก็รับ เดี๋ยวคณะนั้นมาก็รับ ๆ แล้วตอนเช้านี้เต็มทุกวันนะ เหมือนมีงานทุกวันเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นวันธรรมดาแต่คนมาก มันหลายจังหวัด ตอนเช้ามาจากจังหวัดไหน ๆ เขามาถึง ตอนเช้ามาจังหันเสร็จแล้วทีนี้ก็รอฟังเทศน์แหละ

    ต้องได้เทศน์ทุกเช้า เทศน์จากนี้แล้วก็ขึ้นเทป เทปอัดไว้ข้างบน จากนั้นแล้วก็ออกทางวิทยุ เทศน์ตอนเช้านี่ทุกเช้า ๆ ออกวิทยุ อย่างสถานีอุดรฯ นี้มี ๘ แห่ง สถานีวิทยุ ๘ สถานีออกหมดเลย เป็นแต่เพียงว่าไม่ซ้ำเวลากัน ออกหมดทุกสถานีในวันหนึ่ง ๆ จากนั้นก็ไปออกทางกรุงเทพอีก แล้วอันดับต่อไปที่สามก็คืออินเตอร์เน็ต อยู่กรุงเทพ กระจายมากเวลานี้อินเตอร์เน็ต เขามาเล่าให้ฟังว่า ต้องได้ขยายที่ที่คนมาติดต่อขอ อินเตอร์เน็ตนะ ต้องได้ขยายที่ออกไป คนมากขึ้นทุกวัน ๆ

    จากนี้ก็ออกไปถึงเมืองนอกนะ ออกทั่วโลกไปเลย คนทางเมืองนอกซึ่งเป็นคนไทยเรา ตั้งหน้าตั้งตามาถึงนี่เลยมีเยอะนะ พวกสหรัฐ พวกอังกฤษ ออสเตรเลีย ที่เด่นมากมีอยู่ ๓ ประเทศนี่ที่เข้ามา ตั้งหน้ามาเลย มาแล้วก็ยังไม่แล้วยังจะนิมนต์หลวงตาไปเทศน์ที่เมืองนอกอีก โอ๊ย ถ้าไปต้องเตรียมโลงผีไปพร้อมนะเราบอก ไปคราวนี้ไม่ได้กลับแหละเราว่า เราก็บอกตรง ๆ เลย ต้องขอบอกอย่างตรงไปตรงมานะ หลวงตานี้เป็นคนไทยและพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นเนื้อหนังอันเดียวกันกับพี่น้องชาวไทยเรา เราขอตายเมืองไทยเราบอก ถึงเมืองนอกจะเป็นพี่น้องชาวไทยก็ตามแต่จำนวนน้อยมาก ไม่เหมือนพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ

    แล้วอยู่ ๆ ถึงเวลาแล้วก็จะเอาไปตายเมืองนอก เอาหีบศพไปไม่ทันนะเราว่า ไปแล้วไม่ได้กลับเราบอก เขากลับไปแล้วว่าจะตีตั๋วเครื่องบินส่งมาให้เลย ถึงขนาดนั้นละ เราบอกว่ารับไม่ได้แล้วยังไม่ยอม ยังจะตีตั๋วเครื่องบินส่งมาถวาย โอ๋ย ตีกี่ตั๋วก็ไม่ได้เรื่องแหละถ้าว่าไม่ไปแล้ว พวกสหรัฐมาบ่อยนะ พวกชาวไทยเราไปอยู่โน้น เขาติดตามมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่มช่วยชาติบ้านเมือง แล้วเวลานี้ออกอินเตอร์เน็ตแล้วยิ่งเห็นชัดเลย มาเรื่อยนะ เขาก็มาถวายพวกดอลลาร์พวกอะไร ๆ เพื่อชาติไทยของเรา แล้วออสเตรเลีย อังกฤษ พวกนี้มา เราก็บอกตรง ๆ เลยว่า เรารักเมืองไทย เราจะขอฝากศพให้พี่น้องชาวไทยเราทั้งหมด เราไม่ฝากละทางเมืองนอก แม้จะมีคนไทยก็ไม่กี่คน เรามอบให้พี่น้องชาวไทยเราทั้งหมดเลยศพของเรา ถ้าใครอยากเผาศพอยู่เมืองนอกก็ให้เข้ามาได้ ตั้งแต่อยู่นี้ก็ยังมาได้นี่นะ

    เทศน์ก็ออกจากนี้ตอนเช้า ๆ ถ้าหากว่ามาตอนบ่ายที่สมควรจะเทศน์ก็ออกอีก เป็นปลีกเป็นย่อยไป แต่ส่วนหลักใหญ่ออกจากนี้ตอนเช้า เพราะพอเวลาฉันเสร็จแล้วนี้เต็มไปหมดคอยมาจ่อฟัง หูกี่หูก็ตามคอยฟังปากเดียวนี้ออก ได้ฟังเสียก่อนแล้วค่อยไป ถ้ายังไม่ได้ฟังไม่ยอมไปนะ จ่ออยู่งั้นละ ต้องเทศน์ให้ฟัง เทปอยู่ข้างบน แล้วก็กระจายออกไป เพราะฉะนั้นจึงไปกว้างขวางมากนะ

    สำหรับการเทศน์หลวงตาเรียนตามความเป็นจริงนะ หลวงตาเทศน์อยู่ทั่วประเทศไทยมานานแล้วนะ เรียกว่าทุกภาค ๆ มานาน แต่ก่อนเทศน์อยู่ใต้ดิน หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์อะไรนี้ไม่ค่อยมีแต่ก่อน เราเทศน์มาตลอด ประการหนึ่งเราก็ไม่อยากยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ด้วย ประกอบกับสิ่งเหล่านี้ยังไม่มี ครั้นนานมา ๆ ค่อยกระจายออก ๆ ทีนี้เวลาออกช่วยชาติบ้านเมืองจึงเรียกว่าเทศน์บนดินเทียวที่นี่ แต่ก่อนเทศน์อยู่ใต้ดินคนไม่ค่อยทราบ ทั้ง ๆ ที่เราเทศน์ทั่วประเทศไทยมาเป็นเวลาตั้ง ๕๐ กว่าปีแล้วนะ ไม่ว่าภาคไหนเรียกว่าทั่วประเทศไทยเราไปเทศน์ทั้งนั้น ๆ เทศน์แล้วก็หายเงียบไป ๆ เพราะไม่ได้สนใจกับทางทีวงทีวี หนังสือพิมพ์เขาก็ไม่ได้ออก จึงเป็นเหมือนว่าหลวงตาไม่เทศน์ ความจริงคือเทศน์อยู่ใต้ดินมานานแล้ว

    ทีนี้พอออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ก็เลยกลายเป็นเหนือดิน ทุกสิ่งทุกอย่างเครื่องประกอบมีพร้อม เทปก็มีพร้อม อะไรก็พร้อม โทรทัศน์อะไรก็มี จากนั้นก็ออกทางอินเตอร์เน็ตอีกยิ่งกว้างขวาง จึงประหนึ่งว่าพึ่งได้ออกเทศนาว่าการให้พี่น้องชาวไทยฟังในเวลาที่ออกช่วยชาตินี้เท่านั้น ความจริงเราออกมาได้ ๕๐ กว่าปีแล้ว เทศน์ใต้ดินก็เทศน์ เหนือดินก็เทศน์ เพราะฉะนั้นการเทศน์นี้เทปจึงมีมาก พระกรรมฐานนี้ทั่วประเทศไทยเอาออกจากนี้ทั้งนั้น เทปนะ ติดต่อมา ใครอยู่ภาคไหน ๆ บรรดาพระกรรมฐานติดต่อมาขอเทปจากวัดนี้ ๆ ส่งไปหาพระกรรมฐาน

    แต่เทศน์สอนพระรู้สึกจะมีแกงหม้อเล็ก หม้อจิ๋ว เทศน์ธรรมะขั้นสูง ขั้นสูงสุดไปเลย ถ้าเทศน์แกงหม้อใหญ่ก็อย่างที่เรานำชาติทุกวันนี้ก็เทศน์แกงหม้อใหญ่ จะมีหม้อเล็กบ้างก็เพียงเล็กน้อย เช่นสถานที่ใดมีพระปฏิบัติมาสนใจฟังเทศน์ในงานนั้น เราก็แบ่งสันปันส่วน อันนี้เป็นแกงหม้อใหญ่ ประเภทนี้เป็นแกงหม้อเล็กบ้างไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าไม่มีพระมาเลยก็มีแต่แกงหม้อใหญ่ล้วน ๆ ตีสะเปะสะปะไปแกงหม้อใหญ่เข้าใจไหม ถ้าจะตีแรงก็กลัวจะถูกหัวเด็ก แล้วกลัวจะถูกหัวคนแก่ นักเลงโตมันอยู่ข้างหลังก็ตีไม่ถูก นี่ละแกงหม้อเล็กเลยตีลงไม่ได้ หม้อจิ๋วยิ่งตีไม่ได้เลย ก็ตีได้สะเปะสะปะ นั่นแกงหม้อใหญ่ ได้ระวังหัวเด็กหัวคนแก่ ทีนี้หัวอันธพาลมันแอบอยู่ข้างหลังก็ไม่ถูกมันซี มันฉลาด นี่เรียกว่าแกงหม้อใหญ่

    เทศน์สอนประชาชนก็เทศน์ประเภทหนึ่ง เทศน์ภาคทั่ว ๆ ไปให้ได้รับอรรถรับธรรมตามนิสัยกำลังความสามารถ พื้นฐานของจิตใจต่างกัน ก็ให้ได้รับทุกขั้นทุกภูมิไป ถ้าเป็นเทศน์แกงหม้อเล็กนั่นเป็นพระที่ท่านปฏิบัติ มุ่งต่ออรรถต่อธรรมล้วน ๆ และผู้มีภูมิอรรถภูมิธรรมเป็นลำดับลำดาไปก็มีเยอะ การเทศน์จึงได้พุ่งใส่จุดนี้เลย แกงหม้อใหญ่ไม่เอาละถ้าลงแกงหม้อเล็กก็ขึ้นสูงเลย ยิ่งแกงหม้อจิ๋วแล้วเหมือนจรวดดาวเทียม ต้องขออภัยนะถ้าลงเทศน์ทางด้านจิตใจแล้วมันหมุนติ้วเลย พุ่งเลยทันที ออกได้ง่ายที่สุดเพราะถอดออกจากหัวใจ พุ่ง ๆ เลย

    เราไม่ไปหาเอาจากตำรับตำราที่ไหน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หาในตำรับตำรา พระสงฆ์สาวกไม่หาในตำรับตำรา เพราะแต่ก่อนตำรายังไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นองค์ตำราเลย พระสงฆ์สาวกเป็นองค์ตำราเลย เวลาท่านเทศน์ท่านถอดออกจากนี้เทศน์สอนทั่วสามแดนโลกธาตุ เทวดาอินทร์พรหมเทศน์ได้สอนหมด ออกจากพระทัยพระพุทธเจ้าล้วน ๆ ที่ท่านทรงไว้แล้วเต็มอรรถเต็มธรรม จากนั้นบรรดาพระสาวกทั้งหลายเมื่อรู้แล้วก็ถอดออกจากนี้สอนเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นธรรมแท้จึงอยู่ที่หัวใจ

    ที่ไปจดจารึกในคัมภีร์ท่านถอดออกจากนี้ไป ไปเป็นคัมภีร์ เรียกว่าพระไตรปิฎกนั้นพระไตรปิฎกนี้ ซึ่งมีเกิดขึ้นทีหลัง ที่เป็นธรรมแท้นั้นอยู่กับพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่าน เพราะฉะนั้นจึงควรพูดได้ อย่างสมัยปัจจุบันนี้เรียกว่า พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก

    พระไตรปิฎกในคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านทรงไว้ บริสุทธิ์ล้วน ๆ

    พระไตรปิฎกนอกแยกออกไปจดเป็นคัมภีร์ใบลาน

    จึงแยกเป็น ๓ ประเภท พระวินัยปิฎก แยกออกไป พระสุตตันตปิฎก แล้วก็พระอภิธรรมปิฎก เป็น ๓ ปิฎกด้วยกัน เวลาแยกแล้ว ท่านถอดออกจากการได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายไปจดจารึกออกมา ได้มา จดไปไว้ในคัมภีร์ นั่นเรียกว่าพระไตรปิฎกนอก พระไตรปิฎกในคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านทรงไว้ในธรรมอันสมบูรณ์แบบ ถอดออกจากนี้ไปก็ไปเป็นคัมภีร์ จึงเรียกว่าพระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก แล้วแยกออกไปอีกได้อีก พระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี

    คำว่าพระไตรปิฎกตาบอดคือยังไง พวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี่เป็นคลังกิเลสด้วยกัน ธรรมพระพุทธเจ้าที่จะแสดงบริสุทธิ์สุดส่วนขนาดไหนก็ตาม ก็คนมีกิเลสไปเรียนไปจดไปจำ มันก็ต้องคลุกเคล้าไปด้วยกิเลสความมัวหมองจนได้ ธรรมจึงไม่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าพระไตรปิฎกตาบอด คือใจมันบอดอยู่ ธรรมกระจ่างแจ้งก็จริง แต่ใจมันบอดด้วยกิเลสตัณหาครอบงำอยู่นั้น เวลาไปคลุกเคล้ากับธรรม ธรรมก็เลยมัวหมองไปด้วย ผิด ๆ พลาด ๆ ไปบ้าง

    แต่พระไตรปิฎกตาดี อย่างพระพุทธเจ้าทรงสว่างกระจ่างแจ้ง ในพระทัยกระจ่างครอบโลกธาตุ พระอรหันต์ก็กระจ่างแจ้งเต็มภูมิของท่าน นี่เรียกว่าพระไตรปิฎกตาดี ผู้สว่างกระจ่างแจ้ง ได้แก่ผู้บริสุทธิ์ทรงธรรมนี้ไว้ จึงสว่างกระจ่างแจ้ง นี่เรียกว่าพระไตรปิฎกตาดี

    พระไตรปิฎกตาบอดคือพวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละไปจดจารึกมา ว่าบาปสงสัยบาป ว่าบุญสงสัยบุญ ทั้ง ๆ ที่บาปบุญท่านสอนไว้ตามหลักความจริง แต่กิเลสความมัวหมองมืดตื้อ เวลาไปเรียนมาแล้วจำมาแล้วก็ หือ บาปมีจริง ๆ เหรอ นรกมีจริง ๆ เหรอ บุญมีจริง ๆ เหรอ สวรรค์มีจริง ๆ เหรอ สุดท้ายลบมีจำนวนมาก บาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพานไม่มี สิ่งที่มีคืออะไร ก็คือความทะเยอทะยานความดีดความดิ้น ความหลงเนื้อหลงตัว นี้คือกิเลสทั้งนั้นมันปิดบังหุ้มห่อทางดีไว้เสียหมด คนเราจึงไม่กลัวบาป ทั้ง ๆ ที่บาปมีมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ มีมาตลอด บุญมีมาตลอด พวกนรกอเวจีเหล่านี้มีมาดั้งเดิม

    พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้สิ่งที่มีนี้ทั้งนั้น ไม่มีพระองค์ใดลบล้างกันได้นะ ที่ตรัสรู้มานี้มีมากขนาดไหน มารู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เวลามาแสดงสอนโลกก็ต้องสอนแบบเดียวกัน ไม่ขัดไม่แย้งกันเพราะเห็นอย่างเดียวกัน ทีนี้พวกตาบอดคือพวกเรานี้ไปเห็นที่ตรงไหน ความสงสัยสนเท่ห์มันตามลบ ๆ สุดท้ายบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี เอ้า ย่นลงไปอีก ตายแล้วไม่ได้เกิด เกิดมาหนเดียว ตายแล้วสูญ ไปอีกนะ นี่ผู้นี้ผู้จะสร้างบาปสร้างกรรมที่หนักมากที่สุดคือผู้ไม่สะทกสะท้าน เพราะว่าเกิดชาติเดียว อยากทำอะไรก็ทำ ความอยากทำมีแต่เรื่องของกิเลสจะฉุดลากลงทางต่ำ

    นรกมันไม่ได้สูญ มันเป็นความสำคัญเฉย ๆ กิเลสหลอกเฉย ๆ บาปไม่ได้สูญ บุญไม่ได้สูญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานไม่ได้สูญ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่มีมาดั้งเดิมไม่เคยสูญ ถ่ายทอดกันไปอย่างนั้น ผู้นี้หมดบุญหมดกรรมไปแล้วผ่านไปแล้ว ผู้นี้ต่อกันมา เหมือนนักโทษในเรือนจำ เรือนจำไม่เคยร้าง นักโทษติดอยู่เรื่อยออกอยู่เรื่อยเข้าอยู่เรื่อยอยู่งั้นเป็นประจำ เพียงในหัวเมืองเท่านั้นเราก็ทราบได้แล้วว่านักโทษที่ไหนร้าง ไม่มีคนไปติดคุกติดตะรางไม่มี ที่ไหนอัดแน่น ๆ

    พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกถึงกรุงเทพ หลวงตาก็ไปช่วยกรุงเทพนะ ลาดยาว ตั้ง ๖-๗ ล้านเฉพาะลาดยาว สร้างตึกให้เขาหลังหนึ่ง ๖ ล้าน แล้วก็มอบมูลนิธิให้ ๑ ล้านและให้เงินก้อนอีกหลายหมื่นบาท นี่มันแน่นคือไม่มีที่อยู่ที่พักเขาก็มาขอ ไม่ได้ยินว่าเรือนจำลาดยาวคนร้างไปหมดแล้ว นิมนต์หลวงตาบัวไปกุสลาให้หน่อยนะ เวลานี้เรือนจำลาดยาวนี้ตายแล้วไม่มีคนไปอยู่ไม่เคยมี มีแต่มันหนามันแน่นขึ้นทุกวัน เราจึงต้องไปช่วย เห็นไหมเรือนจำ

    อันนี้เมืองเปรตเมืองผีมันขนาดไหน สามแดนโลกธาตุนี้ไม่นอกเหนือจาก นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นสถานที่อยู่ของสัตว์นะ ทำมากขนาดไหนก็ตาม เรื่องที่ว่าจะให้นรกไม่มีเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นอฐานะ มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์ไหนก็มาเห็นนรก ๆ มาเห็นสวรรค์ มาเห็นพรหมโลก มาเห็นนิพพาน นำเอาสิ่งที่รู้ที่เห็นนี้มาสั่งสอนสัตวโลกด้วยความแม่นยำ เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง จึงไม่มีผิดพลาด พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้สอนแบบเดียวกันหมดเลย

    ทีนี้พวกเราพวกคนมีกิเลสนี้ มีแต่ไปลบไปล้าง ลบเท่าไรก็ลบเจ้าของเอง ทำลายเจ้าของเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเชื่อธรรมเกิด มีทางออกได้ หิริโอตตัปปะมีความกลัว ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม มีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อการบุญการกุศล นี้มีทางออกได้ ถ้าลงว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีแล้วหมดเลย ทีนี้ว่าตายแล้วสูญมันไม่ได้สูญซี มันไปจมลงนรกที่ลึกที่สุดนั่นซี ถ้าว่ามันสูญอย่างนั้นโลกนี้จะไม่มีใครได้รับความทุกข์แหละ เพราะตายแล้วสูญหมดแล้ว พวกเราอยู่นี้เอาอะไรมานั่งถ้าไม่เอาของมีอยู่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาผสมกันเป็นร่างกายนี้ก็มีอยู่ ดินมี น้ำมี ลมมี ไฟมี จิตวิญญาณที่เข้าไปเป็นเจ้าของครองร่าง ที่เรียกว่าเกิดว่าตาย คือจิตวิญญาณดวงนี้ไม่เคยตาย นี่ก็มีอยู่ในสัตว์ในบุคคล ถ้าหากว่าสูญไปแล้วจะมาปรากฏตัวได้ยังไง มันต้องเอาออกมาจากของมีอยู่นั่นเอง

    แต่กิเลสมันบอกว่าตายแล้วสูญเห็นไหมล่ะ เราเชื่อมันได้ลงคอไหม ถ้าว่าสูญเราเอาอะไรมาเกิด มันก็ต้องสูญไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สูญหมดไม่มีเหลือ แต่นี้ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนเต็มไปด้วยของมีอยู่ทั้งนั้น แล้วเรายังไปยอมเชื่อกิเลสอยู่ก็แสดงว่าหนามากนะพวกเรา ให้รีบแก้ไขตนเองนะ เวลาตายแล้วนิมนต์พระไป กุสลา ธมฺมา หญิงคนนี้ตายไปไหนนา ยายคนนี้ตายไปไหนนา มานิมนต์หลวงตาบัวนี้เอาฝ่ามือเปรี้ยงเลย เวลายังมีชีวิตอยู่ไม่เห็นทำบุญทำทาน ปฏิเสธบาปบุญนรกสวรรค์วันยังค่ำ ตายแล้วมานิมนต์ไปกุสลาหาอะไร เราก็จะว่าอย่างนี้ คือตีเสียก่อนเราถึงจะบอก ถ้าไปบอกเสียก่อนแล้วค่อยตีมันไม่ทันเขาใช่ไหม นั่นละให้พากันระมัดระวังนะ

    หลวงตาพูดจริง ๆ นะ หลวงตานี้สอนโลกไม่ได้สอนด้วยเหตุโลกามิสมาเจือปนหัวใจนะ เราสอนด้วยเมตตาล้วน ๆ ใจของเราพอทุกอย่างแล้ว บอกตรง ๆ เลย เราประกาศก้องมาใครจะว่าเป็นบ้า ก็ขอให้เป็นบ้าแบบหลวงตาบัวเถอะน่ะว่างั้นเลย อย่าเป็นคนดีแบบซุ่ม ๆ ซ่าม ๆ ติดคุกติดตะรางตกหลุมตกบ่อแล้วไปลงนรก ดีแบบนี้ไม่มีใครต้องการนะ แต่ความเห็นมันไปอย่างนั้น เพื่อจะดีแบบนั้น ไอ้ดีแบบหลวงตาบัวใครจะว่าอะไรก็ตามก็เป็นส่วนเกิน เขามาชมเชยก็เป็นส่วนเกิน เขามานินทาก็เป็นส่วนเกิน ธรรมชาตินี้พอหมดแล้วเราไม่เอาอะไร เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ไม่เอา

    เราสอนโลกด้วยความพอทุกอย่าง เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจของเรา ตั้งแต่ก่อนฟัดกันกับกิเลสอยู่ในป่าในเขาเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม โหย แทบสลบไสล ๆ จะเอาให้ได้พระนิพพาน จะให้ถึงเป็นพระอรหันต์ให้ได้ เมื่อได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นมาแล้วเป็นที่ถึงใจ ตัดสินใจลงตั้งแต่บัดนั้นขึ้นเวที ประหนึ่งว่าไม่มีกรรมการแยก ไม่มีการให้น้ำ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ ซัดอยู่เต็มเหนี่ยวถึง ๙ ปีเต็ม แทบสลบไสล ไม่ว่าแต่สลบ เอ้า ตายก็ตาย ลงกับกิเลสแล้วไม่ถอยกันละ เราจะครองพระอรหันต์ให้ได้ในชาตินี้ ซัดกันถึงเวลา ๙ ปี ก็ประกาศก้องขึ้นบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั้นเป็นวันประกาศชัยชนะขึ้นแล้ว

    ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว นตถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราไม่กลับมาเกิดตายอีกแล้ว นี่พระพุทธเจ้าสอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ธรรมประเภทนี้ผู้ปฏิบัติก็ไปเจออย่างนั้น เมื่อเราไปเจออย่างนั้นแล้วจะให้เราว่ายังไง ก็ยอมรับ เบญจวัคคีย์ก็ยอมรับ

    นี่ละที่ว่าธรรมที่เลิศเลอ เลิศเลออย่างนั้น เรารู้อย่างนี้ เราเห็นอย่างนี้ ใครจะว่าไม่รู้ไม่เห็นก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราเป็นเรื่องของเรา พอแล้วเราก็บอกว่าพอแล้ว เราไม่หาอะไรอีกแล้วเวลานี้ เราสอนโลกเราจึงสอนด้วยความเมตตาทุกส่วนเลย ไม่มีอย่างที่บรรดาพี่น้องชาวไทยบริจาคทรัพย์สมบัติเงินทองมามากน้อยนี้ เราเป็นผู้รับผิดชอบเองนะ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ยุ่งอะไรกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก่อนไม่เคยยุ่งนะ กับการเงินการทอง ไม่เคยยุ่งเลย ได้มาแล้วบริจาคหมด ๆ วัดนี้สละตั้งแต่มาสร้างวัด ไม่เคยมีอะไรเก็บแหละ สงเคราะห์โลก

    เริ่มต้นตั้งแต่คนทุกข์คนจน สถานสงเคราะห์ ที่ราชการต่าง ๆ โรงร่ำโรงเรียน ตลอดถึงโรงพยาบาล เวลานี้มันทั่วประเทศไทยโรงพยาบาล ร้อยกว่าโรง เราสละมาตลอด จากนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสายวุ่นวาย เราก็สงสารวิตกวิจารณ์ แล้วก็จึงนำตัวออกมาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเราไม่เคยคิดไว้เลยว่าเราจะมาทำอย่างนี้ได้ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เมื่อมันเจอกันแล้วกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องขึ้นมา เหมือนว่าหลวงตาบัวนี้ไปเล่นกับการบ้านการเมือง

    การเปรตการผีมันมากินธรรมต่างหากนี่ ธรรมมีอยู่ก็ฟาดกันบ้างล่ะซีเข้าใจไหม ของมีเจ้าของ สมบัติพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศเป็นสมบัติมีเจ้าของไม่ใช่เหรอ หลวงตาบัวเป็นหัวหน้า เมื่อใคร ๆ จะมางาบก็ฟัดกันบ้างล่ะซีก็ของมีเจ้าของ มาซิอยากงาบปากแตกว่างั้นเลย ใส่เปรี้ยงเลย นี่ละเรื่องเราที่มาเกี่ยวข้องกับพี่น้องทั้งหลาย เราเกี่ยวเพื่อชาติไทยของเราล้วน ๆ เงินเหล่านี้ได้มาเท่าไรเราลงทะเบียนบัญชีเราเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดนะ ไม่ว่าทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ทุกธนาคารเราเป็นผู้ถือสมุดแต่ผู้เดียว ส่วนที่จะนำเข้ามาธนาคารนั้นธนาคารนี้มีผู้รับไว้ ๆ แต่เวลาจะจ่ายเราต้องเป็นคนสั่งจ่ายแต่ผู้เดียว เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบจึงอยู่กับเราหมด

    เหล่านี้เราไม่ได้หวังเอาอะไรเลยนะ หวังที่จะอุ้มชาติบ้านเมืองของเราในวาระสุดท้ายของเราที่เกิดมาชาตินี้ เราจะเกิดเพียงชาติเดียวดังที่เห็น ๆ อยู่นี้ เราประจักษ์ในหัวใจเราแล้วไม่ต้องไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองนั้นแลเป็นธรรมอันเอก พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ถ้ายังไปทูลถามพระพุทธเจ้าอยู่ ข้าพระองค์สำเร็จแล้วยัง สนฺทิฏฺฐิโก ก็ไม่มีความหมาย ให้รู้เองเห็นเอง นั่นฟังซิ เป็นที่แน่ใจตลอด อันนี้ยังไปถามท่านอยู่ ธรรมอันนี้ก็ไม่มีความหมาย นี้ไม่ต้องทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ไม่ถามใคร พระสาวกแต่ละองค์ ๆ กี่พระองค์พระสาวกไม่ถามพระพุทธเจ้า

    อันนี้ก็จะถามใคร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามกันหาอะไร เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คำว่ากล้าก็เอามาพูดเผิน ๆ นะ อันนี้มันไม่มีกล้าไม่มีกลัว มีแต่ความจริงเต็มหัวใจ พูดออกมาตามหลักความจริง ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องกรรมของสัตว์ เพราะเราไม่มีได้มีเสียกับอะไรแล้ว มีแต่ความเมตตาสอนโลกเท่านั้น เราจึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายอยู่เวลานี้ ทั้ง ๆ ที่พอทุกอย่างแล้วเราไม่เอาอะไรเลยนะ เราก็พยายามเพราะเห็นแก่พี่น้องชาวไทยเรา ก็เป็นลูกของชาวพุทธ เราเป็นลูกชาวพุทธ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นศาสดาองค์เอก ธรรมอันเอก พระสงฆ์อันเอก เป็นพ่อเป็นแม่อันใหญ่หลวงของเรา เราเคารพนับถือตลอดมา แล้วก็นำศาสนาเข้ามา

    จึงได้เอาศาสนามาช่วยพี่น้องทั้งหลาย โดยพ่อแม่ของเราคือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นองค์ประธานเอาไว้ เรานำธรรมของท่านออกมากระจายให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน นี่ที่ได้มาช่วยโลกช่วยอย่างนี้เอง แต่ก่อนไม่เคยคิดนะ คิดว่าตายเมื่อไรก็ไปได้ เราไม่มีปัญหาเรื่องการเป็นการตาย ความตายความเป็นอยู่มีน้ำหนักเท่ากัน ความเป็นอยู่กับความตายสำหรับเราแล้วมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีได้มีเสียอะไรจากการเป็นการตาย แต่เวลาเทียบถึงประโยชน์ของโลกที่จะได้รับในเวลามีชีวิตอยู่นี้ การเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่า เราจึงได้ทะนุถนอมบำรุงร่างกายนี้เพื่อช่วยโลกเท่านั้นเอง สำหรับเราเองตายที่ไหนไม่เห็นยากอะไร ไม่ยาก มันไม่กล้าไม่กลัว มันเรียนจบแล้วเรื่องความจริงทุกอย่าง ความตายก็เป็นความจริง ความเป็นอยู่ก็เป็นความจริง ก็มีเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงได้สอนพี่น้องทั้งหลายทราบนะ

    ให้ระวังนะการปฏิเสธบาปบุญนรกสวรรค์นี้มันจะมาทำลายตัวนะ พระพุทธเจ้าสอนดึงออกจากภัย ๆ เราอย่าบึกบึนเข้าไปหาภัยนะ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี นี้คือดึงฟืนดึงไฟมาเผาไหม้เจ้าของ เพราะใจนี้ไม่เคยมีป่าช้านะ ใจนี้ไม่เคยตาย ใจอาศัยกับร่างกายก็เรียกว่าเกิด พอร่างกายหมดสภาพแล้วจิตก็ถอยตัวออกมา อันนั้นก็เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ พอถอยออกมาแล้วมันก็เป็นไปด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ใครมีบาปมากบุญมากไปตามสายของตนเอง

    เพราะคำว่ากรรมดีกรรมชั่วนี้เหนือโลกธาตุ ไม่มีอะไรเหนือกรรมได้ ท่านพูดไว้ว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอันใดที่จะมีอานุภาพยิ่งกว่ากรรม ผลของกรรมดีกรรมชั่วนี้ครอบทุกตัวสัตว์ ใครจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ไม่พ้นจากอำนาจแห่งกรรม จะครอบอยู่ตลอดเวลา จึงต้องให้พากันระมัดระวังตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ

    วันนี้ก็เป็นมงคลที่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามมาเยี่ยมหลวงตา ก็เทศน์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องทั้งหลาย ให้พากันปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีนะ เราเป็นข้าราชการแต่ละคน ๆ เรียนก็เรียนเพื่อความเป็นคนดี มาเป็นข้าราชการแต่ละคน ๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่การงานให้สมเหตุสมผล เพื่อชาติไทยของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน เพราะอำนาจแห่งธรรม ถ้าเรื่องของกิเลสนี้ทำความเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย ดีไม่ดีเมืองไทยเราจะจมได้

    กิเลสความโลภมันก็ไม่พอ อะไรไม่พอ ๆ ความโกรธเมื่อไม่สมใจโกรธเคียดแค้นฆ่าฟันรันแทงแหลกเหลวไปหมด ราคะตัณหาได้ไม่พอ มีเมียหนึ่งคนอยากได้สิบคนเป็นอย่างน้อย มีผัวคนหนึ่งอยากได้ ๒๐ ผัวเป็นอย่างน้อย นี่คือราคะตัณหา มันหนุนให้อยากให้ทะเยอทะยาน ถ้าธรรมะแล้วตัดบทปุ๊บทันที อย่ายุ่ง เมียเดียวนี้พอทุกอย่างแล้ว ผัวคนเดียวนี้ไม่บกพร่องพอทุกอย่างแล้ว เอามาอวดกันซิถ้าว่าหญิงไหนดีกว่าเมียเรา เอา หญิงคนนี้มันมีกี่อันเอามาเทียบกัน เมียเรามีอันหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้มันมี ๑๐ อันหรือถึงจะมาแข่งเมียของเรา มาลากเมียของเราไป มันก็มีอันเดียว ตีปากมันปั๊วะเลย อย่ายุ่งอย่าพูดว่างั้น

    ทีนี้ทางผู้ชายก็เหมือนกัน มันมีกี่อันผู้ชาย มันก็มีอันเดียวเท่ากันกับผัวของเรานี้ ไปยุ่งมันทำไม เข้าใจไหมล่ะ ฟาดปากมันเลย นี่คือศีล ศีลข้อ กาเมสุ มิจฉาจาร เรียกว่าฟาดปาก เอาศีลข้อนี้ให้เด็ดขาด ผัวเมียจะอยู่กันด้วยความสะดวกสบายราบรื่นดีงาม ทุกข์บ้างจนบ้างไม่เป็นไร ขออย่ามาทำลายหัวใจซึ่งกันและกันระหว่างผัวเมียปันใจนี้ เป็นโทษอันหนักแน่น ในธรรมท่านก็แสดงว่า โทษนี้หนักมากนะ กาเมสุ มิจฉาจาร นี้เป็นโทษที่หนักมากที่สุดอันหนึ่ง

    หลวงตาก็ได้นำธรรมเหล่านี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย นี่ละราคะตัณหาตัวนี้มันไม่พอ เพราะฉะนั้นจึงเอา กาเมสุ มิจฉาจาร ศีลข้อที่สามตีมันไว้เลย พอแล้วนะเมียคนเดียวนี่ พอทุกสิ่งทุกอย่างไม่บกพร่องอะไรเลย ผัวคนเดียวนี้พอแล้วไม่บกพร่องอะไรเลย อย่าหามายุ่ง อย่าหาเรื่องอุตริเอาไฟมาเผากัน ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วผัวเมียอยู่ที่ไหนอยู่ไปเถอะ ไปทำงานในบ้านนอกบ้าน ต่างคนต่างไว้ใจซื่อสัตย์สุจริต มีความพึ่งเป็นพึ่งตายกันแล้วไปได้ทั้งนั้น ได้มามากน้อยกินใช้กันด้วยความอบอุ่น ไม่มีการรั่วไหลแตกซึมกับที่มีหลายผัวหลายเมีย อันนั้นทั้งไฟด้วยนะ ทุกอย่างนั่นแหละ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้

    อย่างนี้ละเทศน์ธรรมะป่า พูดอย่างตรงไปตรงมานี้เรียกว่าธรรม ถ้าเทศน์อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ไม่เรียกว่าธรรม เขาเรียกว่ากิเลส สมมุติว่าถ้ากิเลสพูดนะ นี่ได้เมียคนหนึ่งเป็นยังไง โอ๊ย ยังไม่พอใจ พูดเบา ๆ กระซิบนะ ถ้าได้อีก ๑๐ เมียจะเหมาะ ถ้าเอา ๑๐ เมียมาให้ อู๊ย ยังไม่พอ อยากได้สัก ๒๐ เมีย พูดอย่างหวานปากเลยนะ นี่เห็นไหมกิเลส มันจะฟาดผัวเมียให้แตกจากกันเข้าใจไหม ไปถามเมียก็แบบเดียวกันก็เลยพัง นี่ละกิเลสกระซิบกิเลสกระซาบ มันหวานนะ ตามันก็หวาน หูมันก็หวาน ที่มันจะเอายาพิษมาเผาเราให้แตกกระจายเข้าใจไหม จำเอาไว้ ให้เด็ดด้วยศีลข้อที่สาม แล้วครอบครัวของเราจะเย็นหมดนั่นละ เอาละพอ ให้พร

    พระไตรปิฎกภาคปฏิบัติ
    วันที่ 18 มกราคม 2544
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด

    Luangta.Com -
     
  2. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    เราก็รู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นผิดไปจากพระไตรปิฏก

    แล้วรู้หรือไม่ว่าพุทธวจน นั้นทรงตรัสจริง ใครรับรอง

    ถ้ามีการรับรอง แล้วผู้รับรองเชื่อได้จริงหรือ

    ผมขอสรุปว่า ??????????????????????

    จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ จะเชื่อก็ไม่ได้ นี่แหละเสน่ห์ของธรรมมะ

    น่าค้นหาเป็นที่สุด

    " ผู้ปฏิบัติพึงเห็นผลการปฏิบัตินั้นได้ด้วยตนเอง "
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ที่คุณยกมา 4 ข้อ เรียกว่า มหาปเทศ บ้างก็เรียก มหาประเทศ ใช้ตัดสินข้อความที่ คนอ้างว่า พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้นเช่นนี้ ก็อย่าพึ่งเชื่อ ให้ตรวจสอบให้ดีก่อน ว่าท่านพูดจริงไหม

    แต่ถ้าท่านอธิบายธรรม ที่ไม่มีในพระไตรปิฎก แม้จะใช้ความรู้ของตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าเสมอไป เพราะพระพุทธเจ้าได้ประทาน หลักตัดสินในกรณีแบบนี้ไว้ ในหลักตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการนั้นเอง ถ้าคำสอนนั้นเป็นไปเพื่อ ความคลายกำหนัด . . . เลี้ยงง่าย นี่ก็ถือเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

    ยกตัวอย่างเช่น

    พระสารีบุตรฟังธรรมจากพระอัสสชิบรรลุโสดาปัตติผล ไม่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ดังที่คุณ firstini ยกมา

    หรือพระอานนท์บรรลุโสดาฯ ก็ฟังธรรมจากพระปุณณะมันตานีบุตร
    ไม่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าเช่นกัน

    หรือ พระพุทธเจ้าตรัสภัทเทรัตตสูตรทิ้งไว้ พระก็ไปถามรายละเอียดกับพระกัจจายนะ ท่านก็อธิบายด้วยความรู้ของท่านเอง พอภายหลัง พระไปถามพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสว่า ถ้าถามตถาคต ตถาคตก็ตอบเช่นนั้นเหมือนกัน ดูรายละเอียดได้ที่

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=7223&Z=7493&pagebreak=0

    สรุปคือ
    ฟังจากสาวกได้ แต่ต้องเทียบเคียงตรวจสอบว่าถูกต้องและตรงหลักพระธรรมวินัยหรือไม่ ถ้าตรงก็รับไว้ ไม่ตรงก็ทิ้งเสีย แต่ถ้าสาวกพูดไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ยึดสาวกเหนือพระพุทธเจ้า

    ตัวอย่างเพิ่มเติมของพวกงมงายยึดสาวกหรือความเห็นตนเองเหนือพระพุทธเจ้าเช่น

    1. อภัยทานเหนือกว่าธรรมทาน
    2. กัปนี้มีพระพุทธเจ้า 10 องค์
    3. บอกอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตนแก่พระด้วยกันเพราะเข้าใจผิด และไม่มีเจตนาอวด ถึงจะไม่อาบัติปาราชิกแต่ก็จัดเป็นอาบัติอื่นๆ
    4. พระรับเงินไว้ใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวได้
    5. ทำโดยไม่เจตนา ก็จัดเป็นบาป หรือ ผิดศีล
    ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    กระทู้น่าจะเป็นอย่างนี้นะ หน้าจะฟังแต่คำพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ถ้าครูอาจารย์เรารู้ว่าเราหยั่งลงมั่นต่อคำตถาคต ท่านคงดีใจในตัวลูกศิษย์ท่านนะครับ
    ทำไมเราถึงต้องประกาศแต่คำพระศาสดาของเรา พระองค์ทรงสั่งนักสั่งหนาว่า ห้ามแต่งใหม่ ถึงแม้แต่ละท่านจะหวังดีมีเจตนาที่ดี แต่สิ่งที่พระองค์รู้ล่วงหน้นั้น ในเหตุกาลข้างหน้าถ้ามีแต่คำแต่งใหม่เกิดขึ้นคำของตถาคตนั้นจะต้องอันตรธานหายไปหมดสิ้นดั่ง กลองศึกของกษัตริย์ชื่ออนากะ ที่มีแต่ลิ้มใหม่ที่ถูกตีเข้าไปใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าสาวกแต่งใหม่คำตถาคตก็จะเป็นดั่งนั้นในที่สุด

    มักจะมีคำถามว่า แล้ว หลวงปู่ หลวงตา หลวงน้าที่เราเคารพนับถือล่ะ ท่านก็กล่าวตามที่ได้อ่านมาบ้าง ได้ปฎิบัติ รับรู้มาจากความรู้สึกที่ได้เจอมา มันก็มีตรงบ้างไม่ตรงบ้าง เราเป็นผู้ฟัง ฟังมาก็เอามาตรวจทานดูเอา ว่าตรงมั้ย ถ้าตรงก็แสดงว่าท่านจำมาตรง ถ้าไม่ตรงก็แสดงว่าจำมาผิดก็เท่านั้นไม่เห็นมีอะไรเลย ส่วนท่านใดจะหาพระอริยะกราบไหว้จะเพื่อเหตุผลอะไรนั้นก็ทำได้ครับ พระก็ดูกันตรงศิลและข้อวัตรข้อปฎิบัติ และเราผู้ดูก็ต้องรู้ข้อวัตรข้อปฎิบัติ ต้องใกล้ชิดกันนานพอสมควรถึงจะรู้ได้ เรานับถือท่านด้วยท่านเป็นรัตนหนึ่งในรัตนตรัยดีกว่านะครับ

    พระพุทธองค์ก่อนดับขันธปรินิพพานก็สั่งไว้ว่าจงมีธรรมเป็นที่พี่ง จงมิตนเป็นที่พึ่ง ฉะนั้นเราเป็นพุทธบริษัทเมื่อเราทราบแล้วว่าพุทธประสงค์ของพระองค์ว่าให้ประกาศคำตถาคต เราควรมาประกาศคำตถาคตให้เจริญไพรบูรณ์สืบต่อไป แล้วเรายังได้อนิสงค์แบบง่ายๆอีกด้วยเพียงเราหยั่งลงมั่นแบบไม่หวั่นไหว เราก็ได้เป็นรัตนห้าที่หาได้ยากในโลกอีกด้วย เรามาประกาศคำตถาคตกันเถอะครับ อนุโมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2013
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320


    1. การกรวดน้ำในปัจจุบัน ถ้าญาติโยมมาวัด หลวงปู่หลวงพ่อ เห็นแล้วว่า สอนการเดินจิตยังไง ก็ไม่มีทางละนิวรณ์ได้ภายในวันนั้นแน่ๆ แต่ญาติโยมเขาอยากส่งบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะทำเช่นไรดี?

    2. แปลว่าผู้ที่บริกรรม พุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ ไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้อย่างนั้นหรือ?
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านอิน อย่าดื้อ อย่าดิ้อ พระพุทธองค์บอกอย่าไรก็ทำเช่นนั้น ก็เพียงทำจิตให้สงบน้อมไปเพื่ออุทิศส่วนบุญนั้นก็ได้ ไม่ต้องวิ่งไปหาน้ำหาท่าที่ไหน ความหมายก็มีประมาณนี้ ไม่ใช่ต้องไปนั่งทำฌานให้ได้ก่อนแล้วค่อยอุทิศ อย่าดื้อๆ นี่เป็นคำตถาคตนะ

    ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่ายุบหนอพองหนอ พุทธโธ เป็นอรหันต์ได้ไม่ได้ ประเด็นเขาอยู่ที่ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เมื่อเราทราบแล้วตัวเราต่างหาก ต่อไปจะปฎิบัติตนอย่างไร ส่วนท่านที่ยังไม่รู้ก็ไม่ว่ากัน ส่วนท่านใดจะสำเร็จอรหันต์ด้วยคำบริกรรมเหล่านี้ เราเองก็ไม่สามารถไปรู้ได้เลยว่าท่านใดสำเร็จขั้นไหนจริงเปล่า หรือว่าท่านรู้ว่าท่านใดเป็นอรหันต์ท่านอิน อย่าดื้อๆนี่เป็นคำตถาคตนะ หรือท่านจะดื้อต่อพระพุทธองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    วิสัยของ newamazing จะทราบได้อย่างไร ว่าในจิตของผู้อื่น เจตสิกตัวใดเกิด เจตสิกตัวใดไม่เกิด เมื่อไม่เกิดก็ไม่มีเจตนาในการกระทำ

    หลวงปู่มั่นรักษาศีลข้อเดียว
    ชาวกรุงเทพ
    ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช้ไหม

    หลวงปู่มั่น
    ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว

    ชาวกรุงเทพ
    ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร

    หลวงปู่มั่น
    คือใจ

    ชาวกรุงเทพ
    ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ

    หลวงปู่มั่น
    อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท
     
  8. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    จขกท. ผมอยากรู้ว่าสูตรที่ จขกท. นำมาอ้างนั้น ใช่ อาณิสูตร ไหม?
    ผมเองอ่านสูตรนี้หลายครั้งแล้ว ไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่ห้ามฟังพระสาวกเลย
    (โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าพระไตรฉบับที่ จขกท. ใช้อยู่มีปัญหาอยู่หลายจุดทีเดียว)

    ---------------------------------------------------
    อาณิสูตรตามพระไตรฉบับมหามกุฏ
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
    ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก
    พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป

    สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม

    แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
    อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่
    จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา

    แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้
    มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่
    จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ
    ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก
    เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน
    เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา
    กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ
    ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง
    จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ

    --------------------------------------

    ที่ จขกท. พูดมาก็ถูกอยู่ ที่พระสาวกเป็นผู้เดินตามมรรค
    แต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอก ให้ฟังแต่พระองค์เท่านั้น ผมว่าจขกท. ตีความเกินไป

    ผมยกตัวอย่างนะ

    มีพระพรหมองค์หนึ่ง(ตายนะเทพบุตร อดีตศาสดาของศาสนาหนึ่ง) ลงมาสอนพระพุทธเจ้าเพราะมีกรุณา คิดจะสงเคราะห์พระพุทธเจ้า และศาสนาของพระองค์ โดยไม่รู้ถึงอานุภาพของสัพพัญญุตญาณ(เป็นการอธิบายตามอรรถกถา ถ้าไม่มีอรรถกถา คุณก็จะไม่รู้ว่าทำไมพรหมถึงมาสอนพระพุทธเจ้า)

    ครั้งนั้น ตายนเทวบุตรผู้เป็นเจ้าลัทธิมาแต่ก่อน เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว
    มีวรรณอันงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์

    มุนีไม่ละกาม ย่อมไม่เข้าถึงความที่จิตแน่วแน่ได้

    ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นจริงๆ พึง
    บากบั่นทำความเพียรนั้นให้มั่น เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน
    ยิ่งเรี่ยรายโทษดุจธุลี

    ความชั่วไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง
    ก็กรรมใดทำแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้วประเสริฐกว่า

    หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเองฉันใด
    ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปเพื่อเกิดในนรก ฉันนั้น

    กรรมอันย่อหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง
    วัตรอันใดที่เศร้าหมองและพรหมจรรย์ที่น่ารังเกียจ ทั้งสามอย่างนั้น ไม่มีผลมาก


    หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็เรียกประชุมสาวกแล้วตรัสสอนพระภิกษุไปตามโอวาทตายนเทพบุตร
    แล้วตรัสดังนี้

    " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตายนเทวบุตรครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็อภิวาทเราทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงศึกษา จงเล่าเรียน จงทรงจำตายนคาถาไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตายนคาถาประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์"


    นี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ตายนเทพบุตรเองก็ไม่มีสัพพัญญุตญาณ (และน่าจะยังเป็นปุถุชนอยู่) พระพุทธเจ้ายังรับฟังเลย
    (พระพุทธเจ้าเป็นผู้เคารพธรรม เมื่อตายนเทพบุตรให้โอวาทที่ชอบธรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงรับธรรมนั้นมาโดยเคารพ)
    -------------------------------------------------

    จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังใคร่จะฟังธรรมจากพระสาวก เช่น ตอนอัครสาวกปรินิพพาน
    พระพุทธเจ้าก็ตรัสขอให้ท่านทั้งสองแสดงธรรมให้ฟังเป็นต้น

    แล้วเราไม่ควรจะฟังพระสาวกจริงหรือ?

    ป.ล. จริงๆ ผมก็ว่าดีนะที่คนจะศึกษาพุทธวจนะกัน แต่ถ้าถึงขั้นไม่ศึกษาอรรถกถาหรือฟังผู้รู้ท่านอื่นเลยผมว่าเกินไป

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มีนาคม 2013
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมไม่ทราบหรอกครับว่าท่านใดจะเป็นอย่างไร เพราะผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนั้นสนใจแต่ใจตนเองเท่านั้น แต่หลวงปู่มั่นท่านก็กล่าวตรงคำพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้กลับท่านใดท่านหนึ่งผมจำชื่อไม่ได้ ท่านนั้นบอกพระพุทธองค์ว่าศิลเยอะท่านรักษาไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยบอกให้รักษาใจเพียงอบ่างเดียวก็ได้ ก็ไม่ผิดกับธรรมที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ ส่วนพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้นั้นท่านใดจะประพฤติอย่างไรไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า อย่าดื้อๆอินทรบุตร
     
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าให้ฟังแต่พระองค์ ให้ฟังแต่คำของพระองค์ให้สาวกนำคำของพระองค์ไปแสดง ส่วนคำกล่าวของสาวกนั้นถ้าฟังมาก็ให้ตรวจทานซะก่อนถ้าตรงก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าไม่ตรงก็แสดงว่าทรงจำมาผิดคับก็มีเท่านี้เอง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระองค์ทรงห่วงใยเรื่องอะไรสั่งไว้อย่างไร เราสมควรจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้สำคัญกว่านะครับ สาธุๆ
     
  11. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ยังเถียงกันอยู่อีก เรื่องของลูกศิษย์หลวงปู่ชา? ที่วัดท่านถูกวัดหนองป่าพงตัดออกจากความเป็นวัดสาขา
    ...ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก เพราะหลวงพ่อคึกฤทธิ์ท่านไม่ได้มองเรื่องครูจารย์เป็นหลัก เท่าwordings

    ถามว่ามีคำกล่าวใดของพระพุทธองค์ที่บอกว่า
    "จงอย่าฟังคำของสาวก ให้ฟังเฉพาะคำที่ออกมาจากปากของเรา"
    ... เพราะย่อมมีสาวกของพระพุทธองค์ที่แสดงธรรมจากใจของท่านเอง
    โดยมิได้อ้างถึงคำของพระพุทธองค์ และใช้ภาษาของท่านเองด้วย
    พระพุทธองค์กล่าวจริงหรือว่า
    "ให้ตรวจทานคำกล่าวของสาวก ว่าตรงกับของท่านหรือไม่ หากตรงจึงให้เชื่อ"
    ถามว่าท่านให้ตรวจทานจากอะไร ตรวจทานอย่างไร

    สืบเนื่องจากข้อนี้
    ...จริงหรือไม่ที่ว่า หลวงพ่อคึกฤทธิ์ไม่สนับสนุนให้อ่านหนังสือของครูจารย์ท่านใดเลย
    ไม่ว่าจะเป็น ประวัติหลวงปู่มั่น หรือหนังสือคำสอนโดยหลวงปู่ชา รวมถึงหนังสือของหลวงตา

    สุดท้าย
    หากจะให้ตรงกับพุทธวจนะจริงๆ ต้องอ่านจากบาลีสิ
    ถามว่าหลวงพ่อคึกฤทธิ์อ่านบาลีแตกฉานระดับไหน?

    ปล...
    ลืมไปครับ พระพุทธองค์กล่าวเมื่อใด เมื่อพรรษาที่เท่าใด
    ว่า "ต้องสวดปาติโมกข์150ข้อเท่านั้น" ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็นี่แหละนะ เพราะเป็นอริยบุคคลเก๊ ไม่เข้าถึงสภาวะจริง เลยไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ยกไป ต้องการสื่ออะไร...
     
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    โถๆๆอินทรบุตรผมจะเก๊หรือจริงไม่สำคัญหรอก ท่านจะบอกเรื่องรักษาใจอย่างเดียวเท่านั้น รักษาใจอย่างเดียวของท่านนะ มันจริงเหรอ ท่านคิดว่าท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่จะรักษาใจได้เหรอครับ
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไปติดตัวบุคคลกันซะส่วนใหญ่เลยไม่จบ เอาสั้นๆง่ายๆพระพุทธองค์ตรัสอย่างไร พุทธวจนแสดงไว้อย่างไร รู้แล้วตัวเราๆท่านๆจะทำอย่างไรต่อไปต่างหากสำคัญสุด ผมเข้าใจได้นะ คนเราน่ะขนาดผ้าเปลือกปอที่ว่าเนื้อแสนเลวยังมีคนซื้อมาใส่เลย
     
  15. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ผมว่านะครับ
    แม้แต่ "ฟังแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น" ก็ไม่ใช่ครับ

    พระพุทธเจ้าทุกๆองค์ล้วนบรรลุธรรม อันนำไปสู่นิพพาน
    พระอริยเจ้าทุกๆองค์ล้วนบรรลุธรรม อันนำไปสู่นิพพาน
    (มิใช่ ฟังธรรม แล้วนำไปสู่นิพพาน)
    เพราะ ธรรมนั้นกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่าป่าใหญ่ของใบไม้ในกำมือ

    พระพุทธองค์ทรงให้ ปฏิบัติ แล้วถามใจตัวเอง ว่าใช่หรือไม่

    จึงไม่มี "ฟังแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น"
    ผู้ที่พูดประโยคนี้คือใคร?
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ฟังแต่คำตถาคตเท่านั้น ไม่ใช่ฟังแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ ก็หมายความว่าออกจากปากตถาคตหรือสาวกที่นำคำตถาคตไปเผยแผ่เท่านั้น นอกนั้นไม่ควรเงี่ยหูฟัง ไม่ฟังด้วยดี ฯ
     
  17. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ถ้าอย่างนั้น ต้องเปลี่ยนหัวข้อกระทู้แล้วครับ

    - ยังถามตามเดิมครับว่า พุทธวจนะที่ทรงกล่าวว่า
    "จงฟังเฉพาะคำสอนของเรา" มีอยู่ตรงไหน?
    - ยังถามตามเดิมครับว่า พุทธวจนะที่ทรงกล่าวว่า
    "จงสวดปาติโมกข์ ๑๕๐ข้อ" เกิดขึ้นเมื่อพระพุทธองค์อายุเท่าไหร่
    - ยังถามตามเดิมครับว่า ผู้ส่งสาส์น คือ หลวงพ่อคึกฤทธิ์
    เข้าใจภาษาบาลีในระดับใด
     
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมขอตอบแทนไปพรางๆก่อนนะครับ เรื่องหัวข้อยกเอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องสวดปราติโมกข์นั้นหาข้อยุติไม่ได้เอาไว้ก่อน ส่วนถามว่าอาจารย์คึกฤทธิ์เข้าใจบาลีในระดับใด ถ้าตอบก้ไม่น่าเข้าใจเท่าเปรียญ9ประโยคแน่ๆ

    แตjถ้าถามว่าท่านมีความประสงค์จะเผยแผ่แต่คำตถาคตที่เป็นดั่งพระตถาคตเจ้าที่มีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์นำคำของพระองค์ไปเผยแผ่นั้นน่าจะมีความสำคัญมากกว่านะครับ ถึงท่านอาจารย์จะไม่เป็นผู้ที่รอบรู้ไปทุกอย่างเพราะท่านก็คือสาวกเท่านั้น ย่อมมีการวินิจฉัยผิดบ้างในบางประเด็นนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา

    เพราะท่านก็บอกแล้วว่าฟังคำตถาตคเป็นหลัก ส่วนคำของท่านก็ฟังแล้วเอาไปตรวจทานกับหลักความจริงที่แสดงไว้ อาจารย์พุทธทาสเป็นผู้เริ่มโครงการนี้ไว้แต่ไม่มีใครต่อยอด เพราะว่าขาดการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในคำของพนะพุทธองค์เลยว่าทำไมต้องประกาศแต่คำตถาคตเท่านั้น

    ท่านสังเกตุมั้ยว่าทำไมตอนนี้เราถึงมีหลายสายหลายนิกาย สาเหตุมันเกิดจากอะไร ทั้งๆที่เรามีพระศาสดาองค์ดียวกัน มีคำสอนที่เหมือนกัน แต่บ้านเราคุยกันตอนนี้ เธอมาจากสายไหน ฉันมาจากสายนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ และไหนจะพิธีกรรมต่างๆมากมาย ซึงเป็นข้อวัตรที่พระองค์ทรงห้ามกระทำมากมาย แต่มีให้เห็นกันกลื่นกลาด

    จะสังเกตุได้ว่าเพราะมีการแต่งใหม่ในบทพยัญชนะนั้นเข้าไป สมมุติว่าบทพยัญชนะนั้นไม่ได้ทำลายการเข้าถึงธรรมหรอก แต่ท่านลองคิดดูซิครับนานวันไปนานวันไป มีแต่คนแต่งใหม่คำตถาคตจะเหลืออะไร ดั่งที่พระองค์ยกตัวอย่างเหตุที่เกิดขึ้นจริงอย่างกลอง อนากะ นั้นแหล่ะครับ

    ทำไมเราประกาศคำของศาสดาเรามันก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาของเราไม่ใช่หรือครับ เพื่อความสืบไปในอนาคตกาลเพื่อลูกหลานเราจะได้มีคำสอนที่ไม่ออกนอกแนวครับ สาธุ
     
  19. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ถ้ายังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ก็อย่าพึ่งฟันธงว่า ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นการตัดรอนครับ
    ภาษาบาลียังไม่แตกฉาน ยังต้องพึ่งฉบับแปล ก็อ้างอิงฉบับแปลนั้นโดยไม่สามารถตรวจสอบได้เอง
    เมื่อยังตรวจสอบไม่ได้เอง ย่อมไม่สามารถฟันธง
    เอาแต่เรื่องสวดปาติโมกข์ ยังไม่สามารถสรุปว่า150ข้อ แล้วไปฟันธง อย่างนี้มีแต่เสีย
    เปรียบได้กับ คนมองเห็นนกยืนขาเดียว แล้วสรุปป่าวประกาศว่า นกมีขาเดียว
    จวบจนนกตัวนั้น ยืดขาอีกข้างออกมา ก็เหวอ

    ถึงต้องมีครูจารย์ไงครับ
    หลวงปู่ชาหายไปไหน ทั้งวัดของหลวงพ่อคึกฤทธิ์ ไม่มีหลวงปู่ชาเลยครับ
     
  20. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=G6ErNEDQ7eU]สิกขาบท๑๕๐ข้อ - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...