อยากบรรลุธรรมเข้ามา

ลึกไปท่านก็ไปไม่ถึง ถ้าท่านบอกว่าดับลมหายใจได้ก่อน จะบอกให้ว่าหลุมดำที่นักวิทยาศาสตร์นั้นมันคืออะไร

 

สมการอนัตตา = ไม่มีความยึดถือเป็นตัวเป็นตน

คนที่ว่าบรรลุนั้นๆนี้ๆอะไม่บรรลุหรอกเพราะยังมีสมมติว่าบรรลุนั้นนี้

คนที่บรรลุเค้าจะบอกว่าไม่ได้บรรลุอะไร เพราะบ๋อแบ๋ไม่มีเหลือ

เรื่องภาษานี่อะเป็นแนวเป็นไปตามกาล อยู่กับโลกแต่ไม่หลงไปกับโลก
ถ้าเป็นพระในเครื่องแบบก็ควรสำรวมมิให้คนติฉินนินทา :boo:

 

อย่าลืมซิท่าน newamazing ไม่ได้มีตัวตนนะ เป็นเพียงนามสมมุติเพื่อจะมายืนยันในธรรมที่ประเสริฐของพุทธองค์ ในแง่มุมหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางของผู้เิดินบนเส้นทางธรรม ผมไม่ได้มีลาภสักการะอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมนั้นก็ไม่ปรารถนาเพียงแต่ต้องการทำเพื่อยืนยันในธรรมะของพระพุทธองค์ ถ้าไม่บอกว่าบรรลุจะมีใครสนใจมั้ย แต่สนใจแล้วผมได้อะไรกับสิ่งนี้เล่า

 

เช่นนั้น ขอท่านแสดงธรรมแบล็คโฮล์ลึกล้ำยอดเยี่ยมนั้นด้วยเถิด

 

ก็เพราะ ไม่ลองเงี่ยโสตลงฟังกันไง ก็เจอดีกันอย่างนี้. ผมถึงพูดว่าไม่ควรมาพูดอะไรไม่ดีกับเค้า. น่าจะลองฟังๆไปก่อน เพราะห้องธรรมมะเราควรให้ผู้อื่นอธิบายด้วย ไม่ใช่ไปชัดง้านลูกเดียว เป็นเรื่องไปเรี่ยรายไถเงินเค้า.เค้าก็ให้เงิน เเต่ พอรู้ว่าเค้าเป็นพระนี้ มันก็กับตัวไม่ถูก ไม่ใช่ว่าคุณมองเค้าเเค่มนุษย์ห่มผ้าสีเหลืองอย่างนนั้น อันนี้คือลวงตนเอง.เเต่ถ้า. พอคิดได้เเล้ว เเต่กลับไปสั่งสอนเค้าว่าเค้าผิด. เเทนที่จะไปขอขมาลาโทษ อันนี้ลวงคน เพราะยังไงท่านก็เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ก็ควรทำให้ถูกตามประเพณี ไม่งั้นก็เป็นการปรามาสทั่งขึ้นเเละล่อง

 

ผู้อยากบรรลุจะไม่บรรลุ
ผู้อยากดับทุกข์จะบรรลุ

คือ ทำจากเหตุจึงเกิดผล

กล่าวแก้ให้แล้วกัน
เห็นคุยเรื่องแบล็คโฮล์อยากได้ฟังว่าจะแสดงธรรมยังไง

พระนี่ก็อาชีพนึงที่เหมาะแก่การปฎิบัติธรรมระดับพ้นโลก
เป็นผู้นำทางการสอนธรรมะ ก็สมควรยกย่องฐานะทางโลก
เพราะสั่งสอนยกระดับจิตใจคน
แต่ถ้าพระทำผิดเราก็ตำหนิได้นี่ครับ ผิดมากจับสึกยังมีเลย

เรื่องขอโทษนี่ มันแสดงถึงใจคนนั้นโดยตรง
1.ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ จำต้องขอโทษเพราะน้ำใจ เกรงใจ แต่ต้องทำสิ่งที่ถูก คือถูกต้องไม่ถูกใจแต่ขอโทษเพราะเป็นมิตรกันมา
2.รู้สึกว่าได้ทำผิดต่อเค้าจริงๆจึงขอโทษ มีเจตนาพลั้งเผลอชั่วไปบ้าง (แอบสะใจก็ถือว่าใช่)

 

ผมอ่านกระทู้นี้ ได้จากท่านเล่าปังเพิ่มบ้างเหมือนกัน คุณพลาดอะไรไปเยอะนะ เพราะน้ำคุณเต็มแก้วไม่พร่องเลย

 

ทุกอย่างนั้นมีเหตุผลเสมอ ควรที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆให้ดี ผลของการกระทำทางกาย วาจา ใจ ตรงนี้มันส่งผลอยู่เเล้ว สิ่งต่างๆที่ทำลงไปมันให้กลับมาเสมอไม่ต้องกลัว การที่เรามีความนอบน้อมถ่อมตนกับผู้ที่สมควรไหว้ ทำอัญชลี ลุกรับ ให้อาสนะ. สอบถามว่าสิ่งไหนควรเสพสิ่งไหนไม่ควรเสพ ตรงนี้ถึงเราจะทำถูกเจตนาอย่างไรก็ตาม เเต่สิ่งที่ได้รับจากการกระทำต่อผู้เป็นเนื้อนาบุญอาจจะไม่ถูกกับใจตนไปบ้างนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ เเต่มันสำคัญตรงการกระทำ ผลจะส่งให้เอง ตรงนี้ก็เป็นอนิสงส์อย่าง1 ของบุพกรรมในส่วนของมหาปุริสลักขณะ ที่จะส่งผลต่อเมื่อเรากระทำสิ่งต่างๆที่พระองค์บอกเหตุปัจจัยไว้ เเต่สำหรับพราหมณ์จะจำเเต่บทสวดได้อย่างเดียว ไม่รู้เหตุได้ซึ่งผลจากการกระทำนั้นๆ เพราะงั้น ถึงเเม้จะไม่อยากรับอนิสงส์ในการกระทำ อย่างการที่เรามีความนอบน้อม ยังไงมันก็จะส่งผลให้ ไปสู่ตระกูลสูงศักดิ์ มีผลเสมอ เเต่ในทางกลับกันกับปฏิปทาข้างตนนั้นถ้าทำผิดเเผกออกไป ผลมันก็จะให้ผลทางกลับกัน.

 

กั๊กๆ เห็นไหมว่า สอนธรรมไม่เป็นอ่าวตังเกี๋ยเลย

คุณอรัมภบทมาด้วย โมหะมูลจิต รากเง้าของกิเลส แหม ล่อ
อรหัตถผลมาเลย เอา ชัยชนะมากระตุ้นให้เกิดความดำริใคร่
ออกจากทุกข์ แต่............

โดย สะเก็ดทางตามมี ที่คุณอ้างว่ามี มันก็เป็น คุณธรรมรัดคอตัวเองว่า
กล่าวมาอย่างเลื่อนลอย กล่าวมาอย่างคนไม่รู้ แต่............

ไม่ว่ากัน หากตอนนั้นอาศัย พุทธวัจนะมากล่าว ก๊อปปี้ไปก่อน ก็จะจัด
เป็นอนุบุพพกถาอะไรไป เรียกว่า เกริ่น .....

พอเกริ่นมา แถมเลื่อนลอย ตัวคุณเองก็ยังไม่รู้ ( รู้ไม่ได้ เพราะ โมหะ
มูลจิตเป็นเรื่องของอรหัตถผล ) เราก็เลยถามว่า ตื้นเขินเกินไป สักแต่
ว่าเอ่ยเอื้อน ก็เลยให้โอกาสกล่าวใหม่ หรือ เพิ่ม ซึ่ง ก็ควรจะดีใจ เพราะ
มองอีกแง่ เหมือนเขาลงให้ และ อยากฟังที่ยิ่งๆ ขึ้นไป ( ธรรมเนียม
ของการสดับธรรม )

ทว่า

โง้ง อยู่ไง สอนก็ไม่เป็น ก็เลย ต้องงัดเรื่องขี้ๆ ก้อนขี้จักรวาล มา ทาด่า

มันเกี่ยวกับ ธรรมะ ว่าด้วยสุญญตา ตรงไหน ผมเนี่ยะ พูดจา ถ่อยนะ
แต่ไอ้คนพูด ศัพท์สูง แต่กลับ เอาธรรมะไปเปรียบกับ "Black Ass Hole"
เนี่ยะ สมควรเหรอ

************

ทาด่า เป็นเสียง ดนตรีชุดเครื่องเป่า หากใครเคยใช้ชินบัญชร98 จะรู้
จักเสียง ทาด่า ดี ไฟลซิสเต็มจะชื่อ "tada.wav"

 

ทำสมถะแล้วติดสังขาร..บ้านคุณสอนหรือ อ้อ อาจารย์ ทอมแอนด์เชอรรี่ ที่คุณไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์มาใช่ไหม..เลอะเทอะจริงๆ คุยเอามันส์แต่ไม่รับผิดชอบในองค์ความรู้เลยเล่าจังตังส์อยู่ครบ..อิอิ

 

ผมน้ำไม่ล้นหรอก เพราะผมเองเดินทางบนเส้นทางนี้ด้วยการตรวจสอบตนเองเสมอ โดยการไม่หยุดทำความดีเลยเช่น ทำทานประจำ รักษาศิลให้มากขึ้น ภาวนาสม่ำเสมอ เห็นตนเองยังไม่สะอาดหมดจดตลอด แต่สิ่งไหนเป็นความรู้ที่ได้เพิ่มเติมก็จะบอกว่าได้เพิ่ม ส่วนไหนไม่ไ้ด้เพิ่มก็จะบอกว่าไม่ได้เพิ่มก็เท่านั้น เพราะธรรมที่ท่านๆแสดงมานั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจหมดแล้ว แต่ธรรมที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นท่านอาจจะไปไม่ถึงโดยสภาวะ

 

บอกก่อนผมเป้นฆราวาสนะครับไม่ต้องเกรงใจเต็มที่ตามความถนัดไม่ถือโทษกันครับ โลกธรรม ยิ้ม

 

ในจักรวาลนั้นก็มีเกิดดับเช่นกันอย่างเช่นดวงดาวต่างๆระบบจักวาลต่าง ธาตุทั้งหลายเปลี่บยแปลงตลอดเวลา เกิดดับ แตกสลาย เปลี่ยนแปลงไม่มีคงสภาพเดิมเช่นกันกับร่างกายมนุษย์เรา รูปทั้งหลายถูกทำลายด้วยธรรมชาติก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นโดยสภาพนั้นๆ อย่าเช่นคนเราสลายไปก็ต้องไปเป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างใด เช่นกันดวงดาวหรือจักวาลก็มีอายุของมันเมื่อถูกธรรมชาติทำลายก็จะเปลี่ยนไปเป็นอะไรต่ออะไร เป็นอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด แต่จะมีสภาวะหนึ่งถ้าพูดในระบบใหญ่อย่างนักวิทยาศาสตร์พูดกันก็คือหลุมดำอะไรนั้น นั้นจะเรียกว่าอะไรก็ช่างเถอะ ตรงนั้นคือสภาที่ทุกอย่างถูกทำลายหมดไม่มีวันจะกลับมาเป็นอะไรได้อีกคือถ้าเข้าไปแล้วจบทุกอย่าง เป็นสภาสูญญตาที่แท้จริง แต่ไ่ม่มีใครรู้จริงตรงนั้นนอกจากผู้ที่เคยรับรู้เท่านั้นอธิบายอย่างไรก็ไม่มีวันเข้าใจ อย่างเช่นเรามองไปบนท้องฟ้ามันเหมือนจะว่างเปล่า แต่นั้นยังไม่ใช่ความว่างเปล่า ยังจะมีช่องว่างของท้องฟ้านั้นอีก ซึ่งผู้เข้าถึงเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ท่านก็จะมีข้อโต้แย้งซึ่งอย่างไรก็ผิด มนุษย์เราที่เข้าไปเห็นนั้นจะต้องอย่างน้อยจะต้องโสดาบันที่เห็นจริงแต่ไม่ได้เข้าสภาวะสูญญตา แต่เพียงเห็นจริงว่าที่สุดแล้วทุกสิ่งใจเอกภพนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น มือเห็นจริงว่าทั้งหมดคือความว่างเปล่า คนเหล่านี้ความเห็นถูกจะทำลายสักกายทิฎฐิ แต่บางท่านกิเลสหลักยังไม่ได้ถูกทำลายเลยเช่นโลภ โกรธ หลง พราะกิเลสนั้นจะถูกทำลายลงด้วยเงื่อนไขของรูปนาม เมื่อรูปกับนามแยกจากกันเวทนาจะดับ ตรงนี้กิเลสที่ละเอียดจะถูกทำลาย ตามสภาวะของแต่ละขั้นตามมรรคจิตนั้นๆปรากฎ

 

เจ้าของกระทู้อาจจะเป็นลูกศิย์พระอาจารย์เยื้อน เป็นแน่แท้

 

การชำระจิตให้สะอาดปราศจากกิเลสนั้นมันเป็นไปตามมรรคนั้นแหล่ะมันถึงจะสะอาดได้จริง เมื่อสะอาดจริงแล้วท่านรู้มั้ยล่ะว่าจิตที่สะอาดจะไปไหน ท่านก็ไม่รู้ท่านก็เดาเอาตามความรู้คาดคะเนไปว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
มนุษย์เราเป็นแค่อนุภาคปรมณูเล็กๆจะหนีความเป็นจริงของจักรวาลได้อย่างไรในเรื่องblack hold หน่วยของวัตถุที่เล็กและหน่วยที่ใหญ่เป็นสิ่งเดียวกันไปในที่เดียวกัน เพียงมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กอย่างหนึ่ง อวิชชาเป็นตัวนำเกิดฉะนั้นเราจึงต้องดับอวิชชาเสียก่อน การจะดับอวิชชาได้นั้นเราก็ต้องรู้ความจริง ถ้าไม่รู้ความจริง จะดับอะไรได้ และความรู้ในใบลานนั้นเป็นความรู้ขั้นสุดตะ นำพาจินตาให้เข้าใจ แต่ไม่เข้าถึง เหมือนคนรู้วิธีปรุงแกงมีส่วนผสมอะไรมากมาย แต่ไม่รู้ชาติของรสแกง เพราะไม่ได้ลงมือชิม ผมเองไม่รู้ส่วนผสมอะไรมากมายหรอกเพียงฉลาดที่จะชิมแกงเลย และก็ไม่สงสัยด้วยว่ามันมีอะไรผสมอยู่ในนั้น แล้วแต่นะ ท่านอาจจะเป้นคนรู้ส่วนผสมของการทำแกง เพื่อให้แกงหม้อนี้มันถูกปรุงขึ้นมาไม่สูญหายไปพื่อให้คนรุ่นหลังได้กินแกง แต่ก็อย่าลืมกินแกงล่ะ เดี๋ยวแกงจะบูดเสียก่อน (การเห็นจริง สัมมาทิฎฐินี้เป็นของโสดาบัน)

 

ไม่ใช่ครับ

 

เพราะท่านเอาลักษณะการยิ้มของท่านมาไง หรืออาจจะ เอามาจากที่อื่น
แต่ถ่ายทอดความหมายไม่เหมือนกัน เลยทำให้ วิจิกิจฉา ขึ้นมา

 

ยิ้ม เป็นสิ่งวิเศษ

 

ขอถามเจ้าของกระทู้ประโยคหนึ่งนะคะ

อมตะธรรม กับ สัจธรรม เหมือนกันไหม

ถามจากการตั้งกระทู้

 

อมตะธรรมนั้นต้องยกความหมายตามพระพุทธองค์นั้นแหล่ะครับ ผู้ที่เข้าถึงที่จะเข้าใจได้ ส่วนสัจจะธรรมนั้นทุกอย่างมีความหมายในตัวมันเองก็คือ เป็นเช่นนั้นเอง