อยากบรรลุธรรมเข้ามา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะสละอะไรเล่า ก็มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างมันไม่มีทั้งหมด
    แล้วจะไปพร่ำเพ้อ คิดเอาว่ามันมีอีก

    นี่มันพูดกันคนละเรื่องกัน ทางหลุดพ้น มันไม่ใช่เรื่องของการมี แล้วค่อยเอาออก นั่นมันผิดเรื่องแล้ว!!!

    แล้วไอ้การพูดถึงประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ก็ยังคงเป็นความเห็นว่า มันมีตัวตนคนอื่นอยู่ในโลกใบนี้อยู่หนะสินะ...
     
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ธรรมที่เป็นความว่างจริงอาศัยการตรึกไม่ได้ ถ้าอาศัยการตรึกนั้นก็แค่ขั้นจินตามยปัญญาเท่านั้น จะต้องเห็นเท่านั้น เห็นในที่นี้ก็คือเห็นจริงๆแต่ไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า คนไม่ทำทานคือคนตระหนี่ คนไม่ทำทานคือไม่มีปัญญา มีเพื่อนสหายธรรมบอกผมว่าผมทำทาน20บาทผมทำได้สบายเลย ดีแล้วเราไม่มีอัตตา20บาทแล้วนะ พอทำ100เริ่มขี้เหนี่ยว แสดงว่าเราเริ่มมีอัตตาในร้อย ผมก็บอกว่า จะ20หรือ100มันก็ไม่เหลือเป็นของเราอยู่ดี คือมันมีค่าเท่ากันเพียงแต่เราจะเข้าใจมันหรือเปล่า อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆให้เห็นว่าการยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ไม่ได้เปรียบว่าดีหรือไม่ดี เพราะดีหรือไม่ดีก็มีค่าเท่ากันถ้าไปยึด ที่กล่าวถึงทาน จุดประสงค์เพียงให้เห็นอัตตาของตนเองเท่านั้น มิได้กล่าวว่า คนไม่ทำทานจะเป็นอย่างไร ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง แล้วคำตอบจะบอกท่านเองว่า! ท่านถึงไหน มันเป็นบทพิสูจน์ตนครับ จะได้ไม่เป็นพระใบลานเปล่าที่ได้แต่แสดงธรรม แต่สละไม่เป็น
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เริ่มเกิดอาการ "แบ๊ะๆ" กลับไปยึดศีลอีกแล้ว...

    แต่ที่พูดก็ถูกนะ... ก็การรักษาศีลหนะ มันเป็นกุศโลบาย สำหรับการลดเจตสิกตัวที่เป็นอกุศล ให้เข้ามารบกวนขันธ์ทั้งหลายน้อยลง

    จริงๆ แล้ว อาการนี้เป็นอาการที่ดีนะ... เป็นผู้ที่เห็นว่า ธาตุสี่ในโลก มันไม่ใช่ของเรา
    แต่ยังกอดขันธ์ส่วนนามธรรมเอาไว้เต็มอกเลยนี่นา... มันก็ยังไม่เป็นการภาวนา...
     
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    การบรรยายธรรมนั้นสุงสุดก็พูดได้แค่นี้แหล่ะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา มันไม่มีอะไรว่างเปล่า พอควักสตางค์ให้ผู้อื่น อัตตามาเต็มเลย เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันมาเป็นขบวน เรื่องการสาธยายธรรม ก็เรื่องหนึ่งเพราะคนยังเข้าไม่ถึงธรรมก็บรรยายได้ยกตัวอย่างเช่นพระใบลานที่พระพุทธองค์ทรงเรียกภิกษุรูปหนึ่ง ผมเพียงยกตัวอย่างการให้เราๆท่านๆเพื่อพิสูจน์ตนเอง มิได้มีความหมายว่าการบรรลุธรรมนั้นจะมาจากการให้ทาน
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อันนี้ก็ถูก ลึกไปกว่านั้นผู่ที่เข้าถึงธรรมแท้จริงแล้ว ศิลยิ่งจะมากขึ้นจะเหมือนไม่ถือนะ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ถือ เพราะมันเป็นความปรกติเป็นชีวิตของอริยไปเสียแล้ว ยิ่งธรรมสูงขึ้นศิลยิ่งมากขึ้น เมื่ออัตตาน้อยลง สิ่งที่ยึดเหยี่ยวก็ยิ่งน้อยลง จนไม่เหลือสิ่งที่จะยึด ก็ปล่อยทั้งรูปธรรมนามธรรม
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮึย คุณคร้าบ คุณสังเกตหรือเปล่าวว่า เอ ทำไม คุณถึงได้มี ช่องโจม
    ตี ทักท้วง ผมเอาได้ง่ายๆ

    เชื่อหรือเปล่าว่า ยิ่งคุณอุปทานมากแค่ไหน คุณก็จะคิดว่า บางสิ่ง บางอย่าง
    ในเรื่องของทาน ผมไม่ได้กระทำ

    นึกออกไหม คุณอาศัยตรงนี้ เป็นประเด็นได้หลายโพสทีเดียว

    ยิ่งกล่าวไป ก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจว่า ผมไม่ได้ทำทาน มากขึ้นเท่านั้น

    อันนี้ ผมเรียกว่า การขุดหลุดให้เดินลงมา ไง

    คือ ตีซ้าย ออกขวา ถอยทัพ แต่ ยังรุกรบ

    คุณคร้าบ หากผมทำทานอยู่หละคร้าบ คุณมาเห็นจริงหรือเปล่า

    หรือว่า อาศัยละเมอ ตี !!! ตี !!! ตี !!!

    ผิดศีลเป็นว่าเล่นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แล้วเห็นกล่าว การทำบุญ วัตถุทานไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก็ได้ เห็นกล่าวอยู่แว๊บๆ

    แต่ พอจวนเจียนๆ หรือ ตอนยกตัวอย่าง โอ้ยยย วิ่งโกยอ้าวไปคว้าเรื่อง เงิน มาเป็น
    ตัวอย่าง ขอโทษนะ ความชัดเจนในธรรมหายไปจากสมองคุณ วั๊บเลย

    เพราะอะไร

    เพราะว่า หากวัตถุทานเป็นเรื่องของการ สละออก ทางนามธรรม คุณไม่กล้า
    ที่จะเอ่ยถึงไง มันกลัวพยานไม่มี ทั้งที่ คนภาวนาเป็นเนี่ยะ นามธรรม เนี่ยะ
    เขาพลิกซ้ายพลิกขวา ตะแคงหน้าตะแคงหลัง จับต้องได้ เหมือนตาเห็นรูปเลย
    นะ แล้วอานิสงค์ที่ได้ เยอะกว่าอีก

    เพียงแต่ว่า คนไม่มีตา เทวดาตาไม่ค่อยดี เขาไม่มีสิ่งเอาไว้เห็นตำตา ก็เลย
    นิยมโน้นๆๆๆๆ เงิน ทอง ข้าว ปลา อาหาร ว่ากันไป

    แค่นี้มันก็เห็นแล้วหละว่า ยังไม่รู้จักธรรมชาติที่มหาภูตรูป4 ตั้งไม่ได้

    หากยังไม่รู้จักธรรมชาติที่มหาภูตรูป4 ตั้งไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เวลาอ้างตัวอย่าง
    ก็ไปคุ้ยเขี่ย ของเก่า วัตถุเป็นก้อนๆ เป็นสายๆ สีเหลืองๆ ขึ้นมา โชว์

    แล้วถ้าเข้าใจ นามธรรม สามารถเป็น วัตถุทานได้ โอ้ย.............

    คราวนี้ ฮา เลย เพราะ คนเขาจะระลึกได้ว่า " สัพพทานัง ....... ชินาติ "
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านเข้าใจผิดแล้วที่กล่าวว่าผมเข้าใจว่าท่านไม่ได้ทำทาน คนละประเด็นใครจะทำหรือไม่ทำไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสาธยายทำเกี่ยวกับทานนั้นมิได้โจมตีใคร เพียงแค่ยกตัวอย่างไว้เป็นเครื่องพิสูจน์ตนเท่านั้น เพราะอาการตระหนี่นั้นจะเกิดของตัวผู้ปฎิบัติเองรวมถึงตัวขัาพเจ้าด้วย
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านกล่าวสัพพทานัง..ชินาติ ที่เรากล่าวนั้นแหล่ะคือการให้ธรรมทานโดยตรงเพียงยกตัวอย่างทานมาเป็นประเด็นตรวจสอบตน และจะต้องเป็นนิมต ของผู้หลุดพ้นแท้เทียม เรื่องธรรมะโดยพิศดาร เราเห็นมีมากแล้วและเราเองก็ไม่มีปัญญามากพอที่จะแสดงได้ละเอียด นอกจากเรื่องที่ประจักษ์คือสัพพเพธรรมาอนัตตาที่ประจักษ์ในมโนทวารโดยใช้อานาปานสติเป็นอุบายเข้าถึง และเพียงใช้ศรัทธาเป็นตัวเป้นตัวนำพาความเพียรให้เกิดสติปัญญา แทงตลอดในธรรมนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่เอาหน่า ประโยคสื่อสารมันก็เห็นๆ เด็กเล็ก อ่านแล้วยังเข้าใจได้ว่า

    ประโยคแบบนี้ กล่าวเป็นการทั่วไป หรือ ว่า กำลัง จี้ มาที่ตัวบุคคล

    เนี่ยะ จั่วไว้เอง ว่า จุดประสงค์คืออะไร

    สังเกตไหมว่า กล่าวไปลอยๆ ไม่ได้กล่าวตามเหตุปัจจัย พอกล่าว
    ไปลอยๆ ไอ้อะไรแบบนี้นะเขาเรียกว่า ถึงแม้ว่าสิ่งที่พูด จะเป็นจริง
    แต่กล่าวไปแล้ว หาประโยชน์ ไม่ได้ เขาไม่เพ้อเจ้อกันหลอก

    แต่ถ้า เป็นนักภาวนา เป็นชาวพุทธ ไม่มี นักภาวนาคนไหนหรอก
    จะหยิบเรื่อง ทาน เอามาเป็นประเด็นโต้งๆ แบบนี้ คือ โดยทั่วไป
    ชาวพุทธนี่ เขาทำทานกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว

    ดังนั้น เรื่องทำทาน มันจะต้อง ยกเป็นกรณี เช่น คุณกำลังเจอคน
    บ่นกระปอดกระแปดถึงความไม่ได้มา ความที่สูญเสีย แล้ว ใจคนๆนั้น
    กระปอดกระแปด แล้ว บังเอิญ เขาหันมาถามคุณ คุณก็อาศัย จังหวะ
    และ ความที่สืบทราบ มักคุ้น เคยเห็นเขาปฏิเสธทาน เคยเห็นเขาตำหนิ
    คนทำทาน เราก็เอาตรงนี้มาอธิบาย ถึง เหตุผล กลไก ของวัฏฏะ ให้
    เขาทราบ ให้เขาพิจารณา ให้เขาโยนิโสมนสิการใคร่ครวญ เมื่อเรา
    กล่าวเสร็จแล้ว เขาจะใคร่ครวญได้หรือไม่ได้ เราไม่บีบคั้นเขา ไม่ใช่
    ว่าจะต้องให้เขาขยับตามวาจาเราทันที เรากล่าวไปแล้วก็ถือว่าจบหน้า
    ที่แล้ว ทำสมบูรณ์แล้ว สามารถออกมาอยู่ห่างๆได้เลย แต่ถ้า บอกไป
    แล้วแล้ว ชะเง้อคอยดูผล ว่าเขาทำตามเรา หรือไม่ตามเรา อันนี้ พวกสอน
    ธรรมแบบลามกจกเปรต จริงไหม

    ก็นะ ไม่ต้องย้ำคิด ย้ำทำก็ได้ จุดประสงค์ คุณก็บอกชัดเจน ว่าเป็นเรื่อง ตัวบุคคล


    ตรงนี้หละ หมัดเด็ด คือ หากจะกล่าวเป็นการทั่วไป แล้ว ประโยคแบบนี้
    มัน ตลบแตลงกันได้เหรอครับ

    ใครอ่าน เขาก็ทราบทันทีว่า กรรม ของ ประโยค หรือ บุคคลที่สอง ที่ละ
    เอาไว้เนี่ยะ หมายถึง คนในกระทู้นี้ ที่สนทนากับคุณ

    เพราะ หากเป็น คนทั่วๆไป ไม่ได้จำเพราะ เจาะจง ตามที่คุณ ละเมอผิด
    ศีลซ้ำซากเนี่ยะ ใครทั่วไปเหล่านั้น ไปแสดงธรรม แต่สละไม่เป็นให้คุณ
    เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่

    หรือ จะเอาแบบนั้นจริงๆ

    คือ เขวี้ยง ด่ากราด ไม่ระบุตัวบุคคล ........... เฮ้ย ว่าผมคนเดียวเนี่ยะ
    มันดีอยู่แล้ว เพราะมันแค่คนเดียว แต่ จะเอาผมออก แล้วบอกว่า กูด่า
    กราดคนทั่วไปไม่เลือกหน้าเว้ยเฮ้ย

    แหม นะ .......................................เฮ้อ !!!
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แปลว่าท่าน newamazing สละได้บางส่วนแล้ว โดยไม่เสียดาย ใช่ไหมครับ?
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    นี่ก็ไม่ได้รู้เรื่อง

    คำว่า แสดงธรรมโดยพิสดาร หรือ แสดงธรรมโดยวิตถาร เขาหมายถึง แสดงสั้นๆ

    กล่าวเพียง คาถาสั้นๆ เนี่ยะ แสดงธรรมโดยพิสดาร หรือ แสดงธรรมโดยวิตถาร

    คุณยกตัวว่า คุณกำลังทำ ธรรมทาน ถูกไหม

    แต่ สังเกตหรือเปล่าหละว่า เอาเรื่อง วัตถุ รูปธรรม ออกไปได้ เนี่ยะ ใครนำพามา
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แน่ใจหรือ ว่าเป็นการ "ถือ" ศีล เป็นปกติของชีวิต?
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทีนี้ เรื่อง สละเป็น หรือไม่เป็น

    อันนี้ คุณอ้างใช่ไหมว่า คุณทำธรรมทาน แสดงธรรม แต่ สละเป็น เหรอ

    ถ้า สละเป็น ไม่มีหรอก จะมาจั่ว แล้ว ย้ำคิดย้ำทำ อยู่แบบนี้

    พูดอยู่แต่ไป สิ่งที่คุณชูธงเนี่ยะ ไม่ใช่หรอก

    เขาเรียกว่า สละไม่เป็นต่างหาก

    ถ้า สละเป็น แล้วแทงตลอดทิฏฐิธรรม คนเป็นเนี่ยะ เขาจะ พูดด้วยบัญญัติ
    อะไรก็ได้ ขอเพียงแต่ มันเป็น สื่อให้โน้มไปยัง มรรค เดียว มรรคหนึงเดียว
    ได้มันก็ โอ หมด

    แต่ถ้า ไม่ได้คุยจาก ผลงานการปฏิบัติที่เป็นมรรคเดียว แล้ว ขยายออกมา
    เป็น พยัญชนะ อนุพยัญชนะ ( ชื่อกรรมฐาน เจตสิกฝ่ายกุศล ) มันก็จะบ้อ
    ท่า งง แล้วก็ต้องพูดให้เหมือนเดิมเข้าไว้

    ทั้งๆที่ ธรรมจริงๆเนี่ยะ จะเอา ชื่อกรรมฐานใดเข้ารับก็ได้ จะเอาวิธีการอะไร
    เข้ารับก็ได้ และ กรรมฐานเนี่ยะ จะคงความเป็น "สุญญตา อนิมิต และ อัปณิหิต"

    ต้องเป็น ธรรมสามอย่างนี้เท่านั้น ถึงชื่อว่า พุทธศาสนา
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    555++ใจเย็นก่อนอย่าเข้าใจผิดในสุภาษิตเลย แล้วรู้สึกถึงการตระหนี่ในตนมั้ย สิ่งที่ผมกล่าวมาผิดธรรมมั้ยตัวเรา เงินเรามันเกิดกับเรามั้ย เห็นความเป็นตัวตนมั้ย นี่แหล่ะธรรมแท้เลย ผมเห็นความตระหนี่ผมทุกวันเพราะผมยังไม่จบกิจ แม้จะเห็นความจริงแล้วก้ตาม เพียงเรายอมรับในความจริงว่าการให้ทานนั้นเป็นบทพิสูจน์บทหนึ่งเท่านั้นที่เอาไว้พิสูจน์ตนเอง(หมายถึงเราๆท่านๆ)
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อันนี้แน่นอนครับ
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เยี่ยมมาก...

    ผมขอเงินสัก 2 แสนนะครับ

    หรือไม่ก็ เท่าไหร่ก็ได้ ที่ท่าน newamazing จะ "สละ" ได้

    เดี๋ยวผม PM หมายเลขบัญชีธนาคารไปให้นะครับ

    สะดวกโอนให้เมื่อไหร่ดีครับ?
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เอ้า เอ้า วกไปเรื่อง ตัวเงินตัวทอง อีกแล้ว จะไปควักเรื่อง เงินเรื่องทอง มาทำไมเล่าครับเฮ้ย !!

    นี่กล่าวไปตั้งหลายหน คุณเองก็กล่าวเฉียดไปเฉียดมา แต่ ก็ไม่ตรง
    สักกะที

    ทาน เขาไม่ได้ทำเพื่อเอาไว้ พิสูจน์ตนเชิงธรรม อนัตตาหรือไม่อนัตตา ขี้ครอกแบบนั้น

    ทาน เขาเอาไว้ อาศัยระลึก ใน เจตสิกฝ่ายกุศล

    ทาน เนี่ยะ เวลาทำ มันเป็นเรื่อง ของคนมีอัตตาอยู่แล้ว แล้วเป็นพวกที่
    ยังป้อแป้ๆ ไม่เห็นธรรมด้วย จึงต้องอาศัย ทาน เป็นเครื่องยังสุข

    คนที่เขาฉลาด เป็นบัณฑิต เขาจะพึงรู้ว่า ศีล เนี่ยะ หากประกอบแล้ว
    มันก็ได้ทานอัตโนมัติ คือ หากรักษาศีลได้ มันเกิดการทำทานประกอบ
    อยู่แล้วในตัว

    แล้วคนที่ ภาวนาเป็นเนี่ยะ คนเหล่านี้เขาจะทราบถึง สิ่งที่เขาเรียกกันว่า
    " นาบุญ " ว่ามันมีความประเสริฐอย่างไร

    ดังนั้น

    คนที่ ภาวนา เนี่ยะ ทานมันเกิดอยู่แล้ว แล้วเป็น ทานที่ทำแล้วแผ่ออก
    ไปสามโลกเลยหนะคร้าบท่าน ไม่ใช่ไม่ทำ

    เนี่ยะ !!

    ถึงบอกไงว่า ภาวนาไม่เป็น แถม อุปทาน ล้วนๆ

    มันถึงไม่เข้าใจว่า ภาวนา เนี่ยะ มีอะไรสัมปยุตอยู่ในนั้นบ้าง

    *****************

    เรื่อง ทานเนี่ยะนะ หากคุณจะก๊อปปี้ให้ดีกว่านี้ ผมแนะนำไปอ่าน
    เรื่อง ทานของพระเถระสองท่าน ท่านหนึ่งคือ พระอานนท์ ไปดู
    เหตุผลของการทำทานว่า ท่านทำทานเพราะอะไร

    ไม่ใช่หรอก เรื่องเอามาขัดเกลา เป็น นิมิต

    คนที่เขาได้รับทานหนะ เขาทำเหตุปัจจัยมาอย่างนั้นต่างหาก เขา
    จึงได้รับทานจากพระอานนท์ เนี่ยะ ลองไปศึกษาดูว่า มีกล่าวไว้
    อย่างนี้ไหม

    อีกท่าน คือ พระสารีบุตร ตรงนี้จะเข้าใจยากหน่อย กึ๋นต้องมี

    ที่แนะนำสองท่านนี้ เพราะ พระเถระสองท่านนี้ โดนกล่าวหา ในกรณี
    ที่ " บ้าทำทาน " กล่าวคือ กิจวัตรท่านส่วนมากมีแต่ให้ แล้วก็ให้
    ก็เลยโดนภิกษุด้วยกันตั้งขอสังเกตว่า ขยันทำทาน ผิดปรกติ น๊า เกิด
    การ ปักใจเชื่อ พอใจในงานการให้อะเป่า อะไรทำนองนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ออกดอกออกผลขนาดนี้แล้วยังมองไม่เห็นมรรคอีกเหรอ ดอกผลของมรรคนั้นคือการทำลายอัตตาจากน้อยจนถึงที่สุด จาคะนี่แหล่ะเป็นดอกผลอย่างหนึ่ง
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ...

    ท่าน newamazing อ่านข้อความนี้ให้ดีๆ นะ อ่านหลายๆ รอบเลยนะ มีธรรมระดับแก่น อยู่ในนี้ ที่ยากจะหาฟังได้จากที่อื่นนะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...