การกินเจน่ะ มันเป็นการบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ นะ (ไม่ต้องกินเจ)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 5 ตุลาคม 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    สวัสดีครับ วันนี้มีข่างฝากจากบางท่าน
    ที่เขาอยากเตือนท่านที่บำเพ็ญบารมีกัน
    หน่อยว่า การบำเพ็ญบารมีนี่มันให้ผลที่
    ต่างกัน ถ้าเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก็
    อาจบำเพ็ญแล้วกลายเป็นพระปัจเจกฯ
    ไปได้โดยไม่เจตนาก็ได้ อ้าว แล้วมันจะ
    มีการบำเพ็ญต่างกันอย่างไร? เอาละ ก็
    ลองมาคุยกันดูง่ายๆ ตามเดิมครับ
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พลังมารเทวทัต ยังคงมีผู้สืบทอด เพื่อดึงคนออกจากพระพุทธศาสนา!


    อย่างแรก ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าถึงแม้ว่าพระเทวทัตจะตายแล้วตกนรก
    ก็จริง แต่ตำแหน่ง "มาร" ที่ว่างลง มันจะว่างไม่ได้ บนสวรรค์จะมีผู้สืบ
    ทอดตำแหน่งนี้ต่อ ทำงานเหมือนมารเทวทัตเลย ก็คือ การทำให้ศาสนา
    พุทธ ปั่นป่วน, แตกแยก, ล่มสลาย หรือกลายพันธุ์เป็นแบบพระปัจเจกฯ
    เอาละ ต่อมา ที่ท่านควรจะทราบคือ "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" มีบารมีมา
    2 อสงไขยเป็นพื้นฐาน และพร้อมตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยง่าย
    และยุคนี้ คนมีบุญน้อยจึงต้องอาศัยบารมีของอวโลกิเตศวรมากกว่าองค์
    อื่น ทว่า ท่านก็อาจเป๋เข้าทางสายปัจเจกฯ ได้ง่ายๆ ดังนั้น จึงต้องให้ท่าน
    มาเกิดเป็น "สตรีเพศ" ทั้งที่ท่านคือ "มหาบุรุษ" เพื่ออะไร? ก็เพื่อกันไม่
    ให้ท่านตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง เรื่องของเรื่องมันเป็นมายังงี้
    ทว่า มันไม่จบแค่นี้ เพราะมารเทวทัตยังทำงานอยู่ และเขาก็ครอบงำให้มี
    การบำเพ็ญเป๋ออกไปนอกทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของสัตว์สังคม
    ให้เพี้ยนไปเป็น "ศาสนาของพระปัจเจกฯ" ไปแทน ดังนั้น จึงเอาแนวคิด
    ในการบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกฯ มาครอบงำ, แทรกแทนการบำเพ็ญ
    ในแบบเดิม ถ้าจะลองสังเกตุดูจะพบว่าพระบรมโพธิสัตว์ในทศชาติชาดก
    ไม่มีชาติใดเลยที่บำเพ็ญบารมี "เพื่อการกินเจ" ? ทว่า การกินเจนี้ เป็นที่
    มาจาก "พระเทวทัต" โดยตรง และพระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง
    มีอะไรก็กินๆ ไปตามบุญตามกรรม ไม่ต้องเลือกมาก ไม่ต้องไปกำหนด คุย
    กันเรียบร้อยแล้ว พระเทวทัตก็โมโห เลยเล่นงานเสียหมู่สงฆ์ แตกเป็นสอง
    ฝ่าย จนสุดท้ายพระพุทธเจ้าเลยไปโปรดเทวดาบนสวรรค์เสียนานเลยครับ
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    การกินเจ เป็นการเตรียมพร้อมดำรงอยู่แบบพระปัจเจกฯ ในป่าที่มีแต่พืช


    ต่อไปคือ การดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนานั้น จะไม่อยู่แบบแยกตัวออก

    ไปจากสังคมมนุษย์นะครับ ท่านจะอยู่ร่วมกับสังคมมนุษย์ได้ และก็จะทำ
    หน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญของโลก" อยู่ได้ด้วยการ "รับทักษิณาทาน" ครับ
    แต่พระปัจเจกฯ ท่านจะดำรงอยู่อีกแบบคือ จะดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเองเดี่ยวๆ
    ท่านจะมีป่าอยู่ ไม่มายุ่งกับสังคมมนุษย์มาก เพราะท่านคือ "ปัจเจก" ไม่
    นิยมเข้าสังคมมั่วสุมกับคนมากอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างที่ท่านอาจมีวิบากเข้ามา
    เกี่ยวข้องกับคนซึ่งไม่ใช่ปกติของการดำรงชีพประจำวันของท่าน ดังนั้น
    ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพื่อการกินเจ เพราะถ้าอยู่ป่าแล้วไม่กินเจไม่ได้ครับ ก็
    เพราะถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็ต้องล่า ต้องฆ่าสัตว์กิน อย่างนั้นย่อมจะไม่ได้
    นิพพาน เพราะยังมีกรรมมากอยู่ แต่พระพุทธศาสนาเรานี้ ท่านไม่ได้ไปฆ่า
    สัตว์เอง ท่านบิณฑบาตรรับมาตามบุญตามกรรม ไม่ใช่ไปทำกรรมใหม่ให้
    ได้มาซึ่งอาหารนะครับ อันนี้ ต้องเข้าใจ แยกกันให้ออกให้ชัดเจนด้วยครับ
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    สัตว์กินสัตว์ เป็นธรรมชาติหนึ่งของวิบากใน "สัตว์สังคม" ที่ไม่ใช่ปัจเจกฯ


    ต่อไปคือ ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ จะมีทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินสัตว์

    ซึ่งไม่มีอะไรถูกหรือผิดครับ มันก็แค่ "ธรรมชาติ" เท่านั้นเอง มันมีวิบากกัน
    มาอย่างนั้น เลยต้องมาเกิดเป็นเช่นนั้น ชดใช้กันอย่างนั้น ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มี
    ทางหลุดกันหมดครับ เพราะมันเป็นสัตว์สังคม จึงต้องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง
    กับสัตว์ตัวอื่น จะหลุดพ้นไปได้โดยไม่กระทบกับใครเลย ไมได้ เพราะไม่ใช่
    "ปัจเจกวิถี" ไงครับ อีกประการ ถ้าสัตว์ในโลกเกิดมาแล้วตายไปโดยไร้ค่า
    ชีวิตและเนื้อหนังเน่าเปื่อยไปโดยไม่มีบุญบารมีอะไรได้มาเลย สัตว์นั้นก็จะ
    ไม่มีบุญเลี้ยงตัวที่จะยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น พ้นความเป็นเดรัจฉานไปได้
    หรอกครับ ดังนั้น เขาต้องสร้างบุญบารมีด้วยการ "ยอมให้สัตว์อื่นกิน" จึง
    จะได้บุญบารมีมากพอหลุดพ้นจากภพเดรัจฉานครับ ซึ่งเป็น "แนวทางใน
    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ทำตามๆ กันมาเป็นพุทธประ
    เพณีแล้ว" เช่น พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ เคยเกิดเป็น "กระต่าย" ก็กะโดด
    เข้ากองไฟให้คนกินจึงได้บารมีครบในชาตินั้น, เคยเกิดเป็น "สุเมธดาบส"
    ก็โดลงหน้าผาให้แม่เสือกิน จึงได้บารมีครบในชาตินั้นได้ครับ ถ้าไม่มีวิถีให้
    สัตว์กินกันเป็นทอดๆ แล้ว มันจะไม่มีบุญกรรมเชื่อมโยงกัน ฉุดดึงกัน จนได้
    เป็น "สัตว์สังคม" ขึ้นมาได้เลย เรียกว่าตัวใครตัวมัน บุญกรรมไม่เกี่ยวพัน
    กันมาเลย สัตว์ก็อาจจะต้องกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไปหมดได้นะครับ
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    การตัดเวรตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร ก็ทำให้เข้าสู่วิถีของพระปัจเจกได้


    ต่อไปคือ ยังมีอีกมากมายหลายวิธี ที่ทำให้ท่านอาจเผลอเข้าทางปัจเจกฯ

    เช่น การทำบุญหรืออะไรๆ เพื่อ "ตัดเวร-ตัดกรรม" หรือชดใช้กรรมกันให้
    หมดๆ ไปเสีย อะไรแบบนั้น คือ ไปคิดเอง ทำเอง เอาตัวรอดจากบ่วงกรรม
    ไปเอง โดยไม่ "รอให้สัตว์อื่นเข้ามายุ่งกับตนแล้ว" แบบนี้ บางอย่างก็อาจ
    ได้ผลจริง คือ ตัดเวรกรรมหมดกันไปได้จริง ด้วยปัญญาของคนที่คิดมานั้น
    ทว่า มันจะทำให้ท่าน "หลุดพ้นไปแบบพระปัจเจกฯ" ได้นะครับ มันยังมีวิถี
    การบำเพ็ญบารมี อีกมากมายหลายประการเลย "ที่ไม่เคยมีมา แบบที่พระ
    บรมโพธิสัตว์เขาทำกัน" แต่มันมาจาก "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" ที่ใกล้ ที่
    ต้องการตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มาเกิดเป็นผู้หญิงแล้วทำตัวเป็นผู้นำ
    สร้างลัทธินิกายใหม่ๆ สอนให้คนบำเพ็ญบารมี และสุดท้าย ก็เข้าสู่วิถีของ
    พระปัจเจก ครับ มันไม่ใช่วิถีทีทำให้เข้าสู่พระพุทธศาสนาที่มีพระพุทธเจ้า
    เป็นผู้นำเลยครับ สรุปง่ายๆ เพราะพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเป็นหญิงเหล่านี้ก็
    มาจาก "อวโลกเตศวรโพธิสัตว์" ที่พร้อมจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจก ได้ง่ายๆ
    อยู่แล้ว ด้วยบารมีฐานเก่าคือ "สองอสงไขย" ทว่า ท่านไม่ได้มีบารมีมาก
    ครบสมบูรณ์แบบ "พระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์" ไม่ได้สามารถบำเพ็ญ
    บารมีเป็น "ต้นแบบ-ผู้นำ-พี่ใหญ่" ให้แก่พระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ครับ ก็
    ได้แต่ "ปูพื้นฐานไว้ก่อน" เพื่อรอ "ต้นแบบ-ผู้นำ-พี่ใหญ่" มาเติมส่วนที่
    ขาดหายหรือบกพร่องไป "ให้เต็มครับ" ทว่า มารเทวทัตหรืออะไรก็ดี ได้
    ครอบงำให้ผู้หญิงเหล่านั้น หลงตัวเอง ตั้งตัวเองเป็นเจ้าลัทธิยิ่งใหญ่ หลง
    ลืมพระโพธิสัตว์ใหญ่องค์นั้นไปก็เลยกลายเป็นปัญหาแก้ไม่ตกถึงทุกวันนี้
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ถ้าจะบำเพ็ญบารมี "ก็ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า" ไม่ใช่ไปดูอวโลกิเตศวร


    ต่อไปคือ การบำเพ็ญบารมีก็มีมากมายหลายแบบ ได้มากมายเยอะแยะ

    แต่ว่าแต่ละแบบให้ผลไม่เหมือนกัน คนเราเลยเกิดมาไม่เหมือนกัน และ
    ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากันจริงๆ "น้อยมาก" ที่เหลือก็เป็นอย่างอื่นคับ
    ไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้นไม่มีบารมีนะครับ มีมากๆๆๆๆ เลย ล้นมากๆๆๆๆ ก็
    มีครับ ทว่า "ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมีแบบพระพุทธเจ้า" แล้วจะให้ผลมี
    ผลได้ เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? เอาละ ไม่ต้องไปหลงทางมาก ลอง
    ดูตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีองพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ก็ได้ ว่าท่านทำ
    อะไรมาบ้าง ทำมาอย่างไร? ไม่เห็นจะเหมือนกับพระอวโลกิเตศวรครับ
    ต่างกันเล็กน้อย คนละแบบกัน ได้ผลคนละอย่างกัน ไม่มีใครผิด-ถูกแต่
    เขาปรารถนากันคนละแบบ เลยบอกกะท่านว่าถ้าจะดูตัวอย่างการทำดี
    บำเพ็ญบารมี ก็ทำตามพระพุทธเจ้าในอดีตก็ได้ ทำไมไปแห่ทำตามพระ
    อวโลกิเตศวร? (ระวังจะเป็นนางแก้วยกโหลเน้อ) ทีกินเจละทำกันมาก
    ทำกันได้ กันดี ทีทำตามพระพุทธเจ้าในอดีต เช่น พระเตมีย์ใบ้, พระเวส
    สันดร ฯลฯ ละก็ "หาแทบไม่ได้เลย" นี่ละน้า ทำไม พระพุทธเจ้าถึงเกิด
    ได้ยาก ทำไม นางแก้วมันถึงมีเป็น "พันๆ" เอาละ ก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ไปสอนให้คนกินเจ ใช่ว่าจะไม่มีกรรม เดี๋ยวโรงงานขายไก่ ก็เจ๊งกัน?


    ต่อไปคือ การไปสอนให้คนกินเจ คุณอาจได้บุญบารมีเพราะการกินเจ
    ก็ได้ ส่วนหนึ่ง ทว่า ส่วนหนึ่งก็กระทบต่อระบบเศรษฐกิจนะครับ คือ คน
    ที่เขาขายไก่ เลี้ยงสัตว์ สัตว์ได้ใช้ชีวิตเลือดเนื้อตนเอง สร้างบุญบารมี
    ส่วนเขาก็ได้เงินไป คนกินก็ได้อร่อยไป นั่นแหละ ถ้ามันกระทบ มันก็คือ
    กรรมเหมือนกัน กระทบกับธุรกิจ, เศรษฐกิจ ซึ่งมีคนและสัตว์เกี่ยวข้อง
    อยู่ในระบบนี้มากมาย คนที่ไม่มีกรรมจริงๆ คือ ไม่ก่อกรรมทั้งสองด้าน
    ไม่ว่าจะด้านสนับสนุนให้คนกินเนื้อสัตว์หรือสนับสนุนให้คนกินเจกล่าว
    ง่ายๆ คือ "ช่างมัน" ปล่อยมันไปตามเวรตามกรรมของมัน ก็แค่นั้นเอง
    ส่วนคนที่ "ไม่ปล่อยมันไปตามกรรม" แต่กระทำกรรมไม่ว่าขาใดก็ตาม
    มันก็ยังมีบุญมีกรรม เกิดขึ้นอยู่ดีนั่นแหละ คำสอนให้กินเจนี่ ไม่มีในคำ
    สอนของพระพุทธเจ้าเลย ท่านสอนแต่เรื่องปล่อยไปตามธรรมชาติ ไป
    ตามกรรม บุญ-บาป ท่านก็ปล่อยหมดลอยหมดแล้ว ไม่ได้กระทำไปอีก
    จบแล้ว หมดแล้ว ไม่มีต่อไปอีกแล้ว ก็แค่นั้น ส่วนการสอนเรื่องการสร้าง
    บารมี บำเพ็ญบารมีอะไรนี่ ไม่ใช่ว่ามหายานจะถูกนะครับ ง่ายๆ ไม่ต้อง
    ไปคิดอะไรใหม่ ทำตามพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ก็ได้แล้ว ง่ายที่สุด ยัง
    ไปคิดใหม่ทำใหม่อะไรกันมากมาย เอามาจากไหนกัน? แล้วจะให้ผลมี
    ผลเป็นอย่างไรกัน? ก็ยังไม่รู้เลย เอาละ ไม่ขวางใคร อยากอะไร ก็ทำๆ
    ไปละกัน "สอนกันไม่ได้หรอก" ทำตามใจตัวเองกันทั้งนั้น อยากทำอะไร
    ก็ทำไป เรื่องของใครของมัน ฉันก็พูดแล้วก็จบแค่นี้ละ ไม่ใช่เรื่องของฉัน
     
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    คิดอีกแบบนึง

    ถ้ากินเจ กินผัก ผักมันจะเจือปน การทำร้าย ทำลาย น้อยมาก ยกเว้น เจือปน อารมณ์คนปลูก เจือปนอารมณ์คนเก็บ เจือปนอารมณ์คนขาย หรือ ไม่ขาย เจือปนอารมณ์คนทำกับข้าว มันไม่มีอารมณ์ การฆ่า ชีวิต

    ถ้ากินเนื้อ อันดับแรก เจือปนอารมณ์ ความกลัวตายของสัตน์นั้นๆ อารมณ์ทุกข์ของสัตว์ที่รู้ว่าต้องตาย อารมณ์ทุกข์ของสัตว์ ขณะถูกฆ่าตาย เจือปน อารมณ์คนที่ฆ่าสัตว์ ตัวนั้น เจือปน อารมณ์คนแล่เนื้อ เจือปนอารมณ์คนขายเนื้อ คนทำกับข้าว มันมีอารมณ์การทำร้าย ทำลายชีวิต ในเนื้อนั้นด้วย

    และ คนกิน เอง

    ถ้ากินผัก คนกิน ก็ จะได้รับ อารมณ์ ที่เจือปนมาน้อยกว่า กินเนื้อ กินเจถือว่า กินแบบ ไม่อยากรับรู้ อารมณ์ทุกข์ มากเกินไป กลัวรับไม่ไหว

    ถ้ากินเนื้อ คนกิน จะได้ รับอารมณ์ที่หนัก มาก รับทุกขเวทนาที่เจือปนมาด้วย และจะได้ รู้ความจริงว่า ทุกข์นั้น มีอยู่ ทุกหนแห่ง แล้ว เรียนรู้ที่จะรับมือ กับทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ วิธีดับทุกข์ วิธีพ้นทุกข์ ได้ ด้วย ตนเอง

    แล้วแต่ ท่านจะพิจารณา ครับ

    ทุกข์นั้น ยังคงมีอยู่ และมีมากด้วย มันเจือปนมาหมดแหล่ะครับ ทั้ง เครื่องใช้ อุปโภค บริโภค ทุกสิ่ง ล้วนเพื่อ การพาณิชย์ ผลประโยชน์ ความอยากของคนสร้าง มันมา

    ไม่เมา ก็ มีน แหล่ะครับ งานนี้

    ใครใช้ ไม่รู้ ตัว ก็เหมือน การสะสม ความอยาก ให้กับ ตนเอง ด้วยอารมณ์ความอยากของคนอื่น ที่เจือปนมา กับ วัตถุ สิ่งของ ทั้งหลาย นั้นเอง

    ส่วนของที่ไม่เจือปน ก็เช่น ตามป่า ตามธรรมชาติ ที่ไม่มี ใคร คนใด เข้าไป จับจอง เป็นเจ้าของ นั่นแหล่ะครับ

    เช่น ทาน หรือ ผ้าห่อศพ

    ทำไม ผีบ้า ถึง ต้อง คุ้ย ถังขยะ ของที่คนอื่น ทิ้งแล้ว มากิน ก็เพราะ มัน ไม่ได้ เจือปน อารมณ์ ใครไงครับ มันไม่มีเจ้าของ ไม่มีอารมณ์ใครเข้าไปยึด กับ สิ่งของที่ทิ้งไปแล้ว ว่า เป็นของตนเองหรอก

    ผีบ้า นี่ ไม่ธรรมดา หรอกเด้อ
     
  9. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    "ผู้หญิง" ที่เป็นอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่ดื้อด้านสอนยาก จะเป็นปัจเจกฯ


    สุดท้ายคือ ยังมีอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อีกมากมายที่มาเกิดเป็นผู้หญิงและ

    ก็เป็นผู้หญิงเก่ง, สวย, รวย, และมีอำนาจด้วยครับ เยอะแยะเต็มบ้านเมือง
    ทีนี้ พวกที่ดื้อด้านสอนได้ยาก ไม่ยอมผู้ชาย จะต้องไปเกิดเป็นพระปัจเจกฯ
    ครับ โดยเฉพาะพวกตัวตั้งตัวตี ไปสร้างลัทธินิกายแล้วยกย่องตัวเองซะยิ่ง
    ใหญ่นี้ ไปกันใหญ่เลย ตัวเองไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านำพาสัตว์ให้ถึง
    นิพพานได้จริง และมันมีปัญหาแล้วในปัจจุบันนี้ "ผู้หญิงไม่ยอมผู้ชาย" จะ
    ทำตัวเป็นใหญ่ เพราะ "ผู้ชายห่วยแตก" ใช่ ผู้หญิงเขาดีจริงๆ สวย, รวย,
    เก่ง, มีอำนาจ, ทำตัวดี, ฯลฯ และผู้ชายก็ "ห่วยแตก" บ้าง, เลวบ้าง, ไม่
    ได้เรื่องบ้าง มันก็จริงอ่ะ แต่นี่มันคือ "วิบากกรรมของสัตว์เขา" ที่ผู้หญิงใน
    ยุคนี้ "ต้องยอมรับไป" ไม่รับไม่ได้ เขาสร้างมาอย่างนี้ ถ้าไม่ยอมรับ ก็ต้อง
    ไปตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ เอง จะไปทำตัวอย่าง "บูเช็คเทียน" ไม่ได้ เพราะ
    นั้นมัน "ภาคแบ่งของพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์" มันไม่ได้เกิดมาเพื่อที่
    จะเป็นผู้หญิงกะเขา มันแหกคอกจะไปแหกคอกตามเขาได้ไง บุญบารมีคน
    เราทำมาไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน เอาละ ผู้ชายทั้งหลาย ฟังให้ดี ไม่ต้องไป
    ทำตัวดีอะไรมากกะผู้หญิงนัก ทำตัวเหมือนอุ้ยเสี่ยวป้อนั่นแหละ ไม่ต้องไป
    ง้อมาก แต่ทุ่มเทเวลาไปทำเพื่อปวงสัว์ หรือ "ภาพรวม-ภาพใหญ่" ไป ซึ่ง
    เป็นบทบาทของผู้ชายอยู่แล้ว สุดท้าย "มันหนีกรรมไม่พ้น" คนมันต้องได้
    ต้องมี ต้องเป็นสามีภรรยากัน ยังไงมันก็หนีกันไม่พ้น ไม่ต้องไปทำอะไรให้
    ได้มันมาหรอก ไม่ต้องเลยนะ ทำดีมากไปเดี๋ยวเขาหลงเพลิน นิยมเกิดเป็น
    หญิงกันยกใหญ่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฟ้าต้องการ ฟ้านิยมก็แต่มหาบุรุษเพศครับ


    จบ ...
     
  10. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    5 ต.ค. 2555


    "เสียงจากนิรนาม"
    รับสื่อสารโดย


    瑠璃王
     
  11. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    เจและผัก มันก็คร่าชีวิตสัตว์นับไม่ถ้วน


    เริ่มตั้งแต่ ไถพรวน ใส้เดือนตายเป็นล้านๆ
    ฉีดยาฆ่าแมลงอีก แมลงตายเป็นพันๆ ล้าน
    ตายนับไม่ถ้วนหรอก คิดหรือว่ามันไม่มีพลัง
    งานด้านลบของสัตว์ที่ตาย "ในผักหรือเจ"?


    มันถึงได้แตกเป็นลัทธินิกายไง พระพุทธเจ้า
    ท่านสอนมาหรือไง? เรื่องกินเจอะไรเนี่ย?
     
  12. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    เขาจะกินเพื่อสุขภาพและความเมตตาไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ขัดการสร้างกุศลเขาทำไม บาปเปล่าๆ

    บาปที่ไม่รู้ตัว.......เพราะยัดเยียดบาปให้พระพุทธเจ้า

    เรื่องพระเทวทัตในพระไตรปิฏกนั่น คนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องจริง เป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าจะบอกให้กินเนื้อสัตว์ มันขัดกับความเมตตา .......ที่จริงพวกอาจารย์ที่ติดเนื้อสัตว์แหกคอก ตัวเองชอบกินเนื้อสัตว์ เลยแต่งใส่เข้าไปในพระไตรปิฏกเพื่อให้ตนเองมีความชอบธรรมในการกิน พวกนี้ตกนรกกันไปแล้ว แต่มนุษย์ไม่รู้

    วิธีคิดคือ ใช้หลักตัดสินพระธรรมวินัยที่พระองค์ให้ไว้ การไม่กินเนื้อสัตว์ ย่อมไม่เบียดเบียนเขา ก็ไม่เป็นการเพิ่มกิเลสนั่นเอง

    ฉนั้นฝ่ายมหายานเขาจึงไม่กินเนื้อสัตว์เพราะพวกนี้ปฏิบัติจริง จึงรู้อะไรเป็นอะไร รู้ว่าพระองค์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ฝ่ายเถรวาทซึ่งมีเพียงนิดเดียว ไม่ชอบปฏิบัติเพราะมันยาก ชอบอ่าน แต่ตำรา แล้วตีความกันเข้าข้างตัวเองไปเรื่อย สนุกกับการสังคายนาพระไตรปิฏกหลายๆครั้ง จนของจริงแทบไม่เหลือ

    พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนไทย เป็นคนอินเดียๆ เขาว่า พระพุทธเจ้าไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งนั้น มีแต่พี่ไทยนี่แหละ ลืมไปคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย เลยเอานิสัยแบบไทยๆให้ท่าน และทั่วโลก(ยกเว้นประเทศไทย) เขารู้กันทั้งนั้นว่า พระพุทธองค์มีความเมตตาจริง ไม่เบียดเบียนแม้สัตว์

    ลองพิมพ์.......famous vegetarain จะมีรายชื่อบุคคลสำคัญของโลกมากมายและมีพระพุทธเจ้าด้วยที่ไม่กินเนื้อสัตว์

    การอ้างว่าพระองค์ไม่ให้เลือกนั้น หมายถึงไม่ให้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมแล้ว (ไม่ผิดศีล) ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดมีคนบ้าๆถวายเหล้า ก็ต้องกินอย่างนั้นหรือ .....คนไทยชอบเอาแบบศรีธนญชัย คิดแบบที่ตัวเองได้เปรียบไว้ก่อน......พี่ไทยซะอย่าง ตามใจฉันคือไทยแท้

    ถ้ายังไม่เชื่ออีก ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองเลย ลองเชือดเนื้อตัวเองกินซิ ถ้ามึความสุขดี ก็แสดงว่า พระพุทธเจ้าไม่ห้ามกินเนื้อสัตว์......ไม่เห็นมีใครกล้าสักคน 555555
     
  13. คนวนขวา

    คนวนขวา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2012
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +41
  14. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ห้ามพระฉันเนื้อสัตว์ 10 อย่าง (ไม่ได้บอกว่าห้ามทุกอย่างที่เป็นเนื้อสัตว์)

    --------------------------
    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้
    พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อช้าง
    [๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก สมัยอัตคัตอาหาร ประชาชน
    พากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อช้าง
    ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉัน
    เนื้อช้างเล่า เพราะช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใสต่อพระสมณะ
    เหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
    ห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อม้า
    สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก สมัยอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และ
    ถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า เพราะม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
    พระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน
    เนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อสุนัข
    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวก
    ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลาย
    ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้องู
    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุ
    ผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
    พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง แม้พระยานาค
    ชื่อสุปัสสะก็เข้าไปในพุทธสำนักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
    ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บรรดาที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีอยู่
    มันคงเบียดเบียนพวกภิกษุจำนวนน้อยบ้าง ของประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระ-
    *คุณเจ้าทั้งหลายโปรดกรุณาอย่าฉันเนื้องู ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระยานาคสุปัสสะ
    เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นพระยานาคสุปัสสะอันพระผู้มีพระภาค
    ทรงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำ
    ประทักษิณกลับไป
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
    แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อราชสีห์
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อ
    ราชสีห์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุ
    ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่งและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อ
    เสือโคร่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้าม
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลืองและถวายแก่พวกภิกษุ
    ผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย
    เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
    ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อหมี
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
    พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่าเหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
    เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือดาว
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่น
    เนื้อเสือดาว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติ
    ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๑๓๘๕ - ๑๕๐๘. หน้าที่ ๕๖ - ๖๑.
     
  15. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เรื่องพระเทวทัตในพระไตรปิฏกนั่น คนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องจริง เป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าจะบอกให้กินเนื้อสัตว์ มันขัดกับความเมตตา .......ที่จริงพวกอาจารย์ที่ติดเนื้อสัตว์แหกคอก ตัวเองชอบกินเนื้อสัตว์ เลยแต่งใส่เข้าไปในพระไตรปิฏกเพื่อให้ตนเองมีความชอบธรรมในการกิน พวกนี้ตกนรกกันไปแล้ว แต่มนุษย์ไม่รู้ ------------พระสงฆ์ที่สังคายนาพระไตรปิฎกตั้งแต่แรกล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ คุณปากแมวแบบนี้คุณเองนั่นแหละระวังจะตกนรก

    ฉนั้นฝ่ายมหายานเขาจึงไม่กินเนื้อสัตว์เพราะพวกนี้ปฏิบัติจริง จึงรู้อะไรเป็นอะไร รู้ว่าพระองค์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ฝ่ายเถรวาทซึ่งมีเพียงนิดเดียว ไม่ชอบปฏิบัติเพราะมันยาก ชอบอ่าน แต่ตำรา แล้วตีความกันเข้าข้างตัวเองไปเรื่อย สนุกกับการสังคายนาพระไตรปิฏกหลายๆครั้ง จนของจริงแทบไม่เหลือ -------------------------------------ขณะนี้ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งก็คือดินแดนของเถรวาทที่มีจำนวนนิดเดียวที่คุณว่านั่นแหละ พระอรหันต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันล้วนมีถิ่นกำเนิดอยู่ในสุวรรณภูมิทั้งนั้น คุณเอาอะไรมาพ่นว่าเถรวาทไม่ชอบปฏิบัติ

    ถ้ายังไม่เชื่ออีก ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองเลย ลองเชือดเนื้อตัวเองกินซิ ถ้ามึความสุขดี ก็แสดงว่า พระพุทธเจ้าไม่ห้ามกินเนื้อสัตว์......ไม่เห็นมีใครกล้าสักคน 555555------ คุณคงไม่เคยได้เรียนตรรกศาสตร์ ตรรกะนี้ผมขอบอกว่าเป็นตรรกะควายๆ ที่ไม่เป็นความจริง แถข้างๆคูๆ ตามใจฉัน แค่นั้นเอง ลองคิดดูดีๆ เชือดเนื้อหรือไม่เชือดเนื้อตัวเองกิน มันสรุปไม่ได้เลยว่าพระพุทธเจ้าห้ามกินเนื้อสัตว์ หรือไม่ห้ามกินเนื้อสัตว์


    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ส่วนมาก ไม่ติดในพรตข้อนี้ทั้งนั้น เพราะ
    ทุกอย่างมันสำคัญที่ใจ กิเลสเอาออกจากจิต ไม่ได้เอาออกจากกาย ถ้าไม่ยังงั้นวัวควาย ที่แดk หญ้ามันเป็นพระอรหันต์กันหมดละ

    แม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเองก็เคยหลงผิดไปถือพรตนี้ ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่เป็นเวลาหลายปี แต่ก็พบว่ามันไม่ใช้หนทางที่ทำให้่กิเลสลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  16. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    เถียงกันไป เถียงกันมา สร้างกรรมให้กันเปล่าๆ ครับ เอาหละครับพระอรหันต์อย่างหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ท่านก็ฉันทั้งผักทั้งเนื้อไม่ใช่หรือครับ ท่านก็บรรลุอรหันต์เข้านิพพานได้เหมือนกัน ถ้าฉันแต่ผักอย่างเดียว บังเอิญมีญาติโยมบ้านโน่นบ้านนี่ นิมนต์ฉันเพล จะบอกญาติโยมว่าอาตมาไม่ฉันเนื้อนะ ท่านจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้อีกอาบัติเปล่าๆ ฉะนั้นท่านเดินทางสายกลางดีกว่าครับไม่ต้องไปยึดติดอะไรมาก


    พระพุทธศาสนาเถรวาทและการบริโภคเนื้อสัตว์
    ทำไมพระพุทธศาสนาเถรวาทจึงไม่มีบทบัญญัติห้ามพระฉันเนื้อสัตว์
    สมัยหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ พระเทวทัตพร้อมด้วยพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ดังนี้ (๑) ภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต (๒) ภิกษุควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต (๓) ภิกษุควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต (๔) ภิกษุควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต (๕) ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อ

    พระพุทธตรัสห้ามว่า

    อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ บ้าน ภิกษุใดปรารถนาก็จงเที่ยวบิณฑบาต ภิกษุใดปรารถนาก็จงยินดีการ นิมนต์ ภิกษุใดปรารถนาก็จงถือผ้าบังสุกุล ภิกษุใดปรารถนาก็จงยินดีผ้า คฤหบดี เราอนุญาตรุกขมูล(การอยู่โคนไม้)ตลอด ๘ เดือน(นอกฤดูฝน) เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑)ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ยิน (๓)ไม่ได้รังเกียจ
    เรื่องนี้ปรากฏในคัมภีร์พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ และมีกรณีตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งคือ สีหเสนาบดี เดิมนับถือศาสนาเชน เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ฟังธรรม บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน นิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารในเรือนพวกนิครนถ์(เชน)เที่ยวกล่าวหาว่า สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารถวายพระสงฆ์ พระสมณโคดมก็ฉันเนื้อสัตว์นั้น ครั้นสีหเสนาบดีทราบคำกล่าวหาก็ชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง

    พระพุทธเจ้าทรงทราบข้อกล่าวหาของพวกนิครนถ์ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามฉันเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าทำถวาย เจาะจงภิกษุ ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุที่ฉันเนื้อสัตว์ที่เขาเจาะจงฆ่าทำถวาย ในขณะเดียวกันก็ทรงอนุญาตให้ฉันปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ยิน (๓)ไม่ได้นึกรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้ตนบริโภค เรื่องนี้ปรากฏในคัมภีร์พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ เล่ม ๕


    คัดมาจาก
    Mahachulalongkornrajavidyalaya University



    พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ผิดวินัยหรือไม่

    จากกรณีตัวอย่าง ๒ เรื่องนี้ สรุปได้ในว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามภิกษุฉันปลาและเนื้อ ถามว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันเนื้อสัตว์หรือไม่ ? มีเนื้อความแห่งสิกขาบทที่ ๙ ในโภชนวรรค พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒ ว่า สมัยหนึ่ง พระฉัพพัคคีย์(กลุ่มภิกษุ ๖ รูป)ออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉัน ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตำหนิแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า

    ก็ภิกษุใดออกปากขอโภชนะอันประณีตเช่นนี้ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม มาเพื่อตนแล้วฉัน ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์

    ต่อมามีกรณีภิกษุเป็นไข้ ไม่กล้าออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉัน จึงไม่หายจากอาการไข้ ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงอนุญาตให้ออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉันได้ ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เป็นอนุบัญญัติว่า

    อนึ่ง ภิกษุไม่เป็นไข้ ออกปากขอโภชนะอันประณีตเช่นนี้ คือ เนยใส เนย ข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม มาเพื่อตนแล้วฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     
  17. phaenwong

    phaenwong เปียวคอมฯ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +791
    การกินเจไม่สามารถทำให้คนบรรลุธรรมได้ การกินเนื้อสัตว์ก็ไม่สามารถทำให้คนบรรลุธรรมได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างหากสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เมื่อมีศีล สามาธิก็ตามมา ปัญญาก็เกิด คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิเศษที่สุดแล้ว ทางตรงที่สุดแล้ว ศาสนาอื่น หรือลัทธิใด ไม่มีพระศาสดาที่เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกับ ศาสนาพุทธ...ผมกินเจมา 10 กว่าปี (ทุกวันนี้ก็ยังกินอยู่) ครูบาอาจารย์ ที่เป็นอรหันต์ก็ไม่เห็นกินเจ กลับนิพพานเป็นหมื่น เป็นแสน อย่าเอาเรื่องกินเป็นใหญ่เลย พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงสอนให้กินเจ ถ้าอยากรู้ด้วยตนเอง เข้าฌาน ให้ได้ครับแล้วทูลถามท่านโดยตรง จะรู้เอง เป็นปัจจัตตัง (ลูกหลานหลวงพ่อฤาษี ทำได้กันเยอะเยะไป)...
     
  18. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ลองเฉือนเนื้อตัวเองกิน พิสูจน์ซิ........

    อย่าลืม พระพุทธเจ้า ไม่เคยสอนให้เชื่อตำรา หรือขนาดตัวท่านสอนจบในขณะนั้น ยังบอกอย่าเพิ่งเชื่อเลย(ลองไปค้นในพระไตรปิฏกซิ ว่าจริงไหม) ต้องพิจารณาหรือพิสูจน์ก่อน

    ฉนั้น ถ้าเชื่อเลยแสดงว่า เก่งกว่าพระพุทธเจ้า......เออ น่าเป็นห่วง
     
  19. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    เรื่องการเปรียบเทียบว่า ถ้าวัวควายกิพืช ทำไมไม่เป็นอรหันต์กันหมด เปรียบเทียบไม่ถูกต้อง เช่นเราก็ว่าได้ว่า แล้วสัตว์ที่กินสัตว์ก็ไม่เห็นบรรลุพระอรหันต์เหมือนกัน

    เรื่องของสัตว์จะมาเปรียบกับคนไม่ได้ แต่ความเมตตาไม่ว่าคนหรือสัตว์ต้องการเหมือนกัน
     
  20. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    เรากลัวพวกที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า ขอคารวะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...