เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    (มีมนุษย์ยักษ์ เรียกว่า เนฟิลิม จริงๆด้วย นี่แหละตำนานเรื่ิองยักษ์มีทั่วโลก พอๆกับมังกร-งูศักดิ์สิทธิ์--งูเทพเจ้าจากสวรรค์)
    ------------------------------------------------------
    ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขา รู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่ การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง

    องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้า หน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับ ชาวเทียมัต เพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่ง มีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”


    และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุป ว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย


    แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิต นี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่ง มีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลาน และเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะ กระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา


    ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่อง จากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ ครอบครองเทียมัต


    ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวก เขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าใน อินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม


    นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษา ผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้ คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟ ทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้า กับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)


    เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำ ท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ใน บริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น


    พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนู ได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สง ครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและ บารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร


    ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยาน อวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโม ราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัส เชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้ พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอ นดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย

    และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวก เขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานใน กลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาว เนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาว ได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้

    ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึก ลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็น ต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุค แห่งพระเจ้า

    ข้อมูลจาก คุณ fernezzo

    ที่มา บทความ มารู้จักกับความลับของPlanetX กัน (ดาวปริศนาNibiru)และมันเกี่ยวอะไรกับปี2012..
     
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    Race--แปลว่า เผ่าพันธุ์--แปลว่าการแข่งขันก็ได้
    --Continent--ทวีป
    ---Isolate โดดเดี่ยว--ถูกตัดขาด
    --- Dark Force-- พลังมืด

    ------------------------------------------
    * เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม


    2010/01/20
    (ข้อมูล เหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    ช่วงที่ continent (white race ตั้งชื่อว่า Da’Arya) จม นั้นหมายถึงว่า white race เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แล้ว(ที่ continent ) ประมาณ370,000 ปี นับเวลาจากที่ ระดับ white race ทั้งสี่เผ่าได้นำยาน viatmaras ลงจอดทีี่ continent เมื่อ 500,000 ปีก่อน และcivilization ในขณะนั้นสุงมาก ผู้คนอยู่อย่างสงบและมีความสุข

    ในขณะนั้น ดวงจันทร์ดวงแรกชื่ิอ Lelia ได้มี พวก Dark force เข้ามาบุกรุก และสร้าง base ไว้บนดวงจันทร์ดวงนี้ เพื่อจะทำการยึดครองโลก และ source of life และมี star war บน Lelia และ Demigod ชื่อ Dazdbog ได้ตัดสินใจทำลายทำลายดวงจันทร์ดวงนี้ โดย ใช้ power of thought ชิ้นส่วนของ Lelia ได้ ตกลงมาบนโลก เหมือนห่าฝน จึงส่งผลให้เกิด polar shift ครั้งแรก และ continent จมในเวลาต่อมา (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง)และในขณะนั้น มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตเพราะไปขึ้น ไม่ Vitmanas ทัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ใช้ Star Gates และ Vitmanas อพยพไปยัง กลุ่มดาวหมีน้อยหมีใหญ่ (ursa minor ) บางส่วนอพยพไปอยู่แถบไซบิเรีย ต่อมาเริ่ม continent จมลง Arctic Ocean (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง) นั่นคือยุค ice age

    หลังจากนั้นประมาณ 40,000 ปีก่อน ได้กลับมาอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง แถบไซบิเรีย และ มีอีก 3 race ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ คือ yellow race ,red race,black race และ white race ได้จัดให้แต่ละ race อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับ ดาวบ้านเกิดที่สุด เดินทางมาโดย star gate ,viatmaras viatmanas ใน 3 race นี้ black race เป็นเสมือน refugee จากสงคราม เพราะดาวบ้านเกิดเขาถูกทำลาย เพราะนั้นพวก black race จึงเข้ามาอยู่มากกว่า race อื่น และ มีหลายเผ่า (พวกที่มีหน้าตาแบบแอฟริกา และ ผิวดำลักษณะคนอินเดีย) ระดับ consciousnessความรู้ความสามารถ ของแต่ละ race (1)white race (2) yellow race (3) red race (4)black race

    black race เป็นพวกที่มีความอ่อนแอทางด้าน spiritual ตลอดเวลาในสงครามที่ยาวนาน (star war)ผู้คนจาก black race ส่วนมากถูกควบคุม และสนับสนุน ฝ่าย Dark force ในการทำสงครามระหว่าง
    Dark และ Light


    จากที่เกิด polar shift เกิดยุค ice age ในยุคนั้น white race รุ่นต่อๆมา เริ่มอพยพหนีหนาวร่น ลงมา
    อยู่กระจายกันออกไป แถบยุโรป และ แอตแลนติก

    หลังจากสงครามใช้ไม่ได้ผลพวก parasite เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ที่แลกมาด้วยชีวิตของชาว white race มากมาย ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงเปลี่ยนวิธี ใช้ กลวิธีไหม่ นั่นคือแอบแฝงเข้ามาในโลก และเจาะจงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม white race โดยใช้กลอุบาย คือ การโกหก โดยที่พวกนี้(parasite) จะเลือกใช้กลอุบายนี้ กับพวกที่มี ระดับ spiritually immature (spiritual ไม่เติบโตเต็มที่ )

    *หมายเหตุ มนุษย์จากดาวต่างๆ มีศักยภาพ ทางเทคโนโลยี่และระดับ spiritual ที่ต่างกัน(แม้กระทั่ง race เดียวกัน )

    Ants เป็นเผ่าหนึ่งของชาว white race Ants เป็นเผ่าที่ยังมี spiritual ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
    พวก parasite จึงหลอกล่อ คนเผ่านี้ ให้หันมาสนใจในการพัฒณาในเทคโนโลยี่ โดยลืมพัฒณาทางด้าน spiritual และในที่สุดระดับ consciousness เริ่มตกต่ำลง parasite จึงใช้ช่องว่างยุยงให้คนเผ่า Ants
    คิดครอบครองโลก และเริ่มแผนการอย่างลับๆ โดย เริ่มสร้างฐานบนดวงจันทร์ Fatta


    และในช่วง13019 ปีก่อน (2010)มีสงครามนิวเคลียร์ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครั้งแรกบนโลกใบนี้
    ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล กับพืช สัตว์ และแหล่งน้ำ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และต่อมาภาย Radiation หลังส่งผล gene ของมนุษย์บางส่วนเปลี่ยนไป (มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปรกติ ที่คนในยุคต่อมาเรียกว่า เนฟิล)
    ผู้นำ Ants เดินทางหนี โดยใช้ยานViatmara และ Viatmana และในขณะนั้น God Niy ใด้ทำลาย ดวงจันทร์ Fatta เพราะมี base ของ Ants และพวก parasite อยู่ เนื่องจาก Fatta มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
    จึงเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนของ Fatta ตกลงมาชิ้นใหญ่ยังโลกหลายชิ้น และบางส่วนก็ไปกระแทกกับดวงจันทร์ Mesiats(ดวงปัจจุบัน) ส่งผลให้ polar shift เอียง 23.5 degrees

    และ Atlantic จมในเวลาต่อมา star gate ทุกที่ถูกปิด (ในยุคนั้น star gate เปรียบเหมือนสถานี ที่ไปได้ยังดาวทุกดวง มีการคบหาสมาคมกับดาวดวงอื่นๆ หรือว่าถ้ามองภาพให้ชัดขึ้น ก็จะเหมือนกับรถไฟไต้ดิน และ สถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถึงกันได้) สาเหตุที่ ต้องปิด star gate ทุกที่ เพราะ ป้องกันไม่ให้พวก Dark force ใช้งาน

    ในครั้งนี้พวก Dark force ชนะ ตามที่คาดหวังไว้ ที่จะเห็น consciousness ของมนุษย์คนตกต่ำลง
    และระดับ civilization กลับไปเริ่มต้นจาก 0 ไหม่ จาก the galactic level กลายมาเป็น the level of the Stone Age และเป็นยุคice age ช่วงสุดท้าย ทางตอนบนของยุโรปร้างผู้คน อยู่ระยะเวลาประมาณ 5000-6000 ปี หลังจากนั้น ต่อมาเพิ่งจะมีผู้คนได้กลับขึ้นไปอาศัยอีกครั้ง

    ในช่วงเวลานั้น-จนถึงปัจุบัน โลกใบนี้จึงเปรียบ เสมือนเขตกักกันโรค ที่ถูกตัดขาด จากโลกภายนอก(Isolate this planet)
    แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างซะเลยทีเดียว เป็นช่วงระยะเวลา สงบศึก เท่านั้น
     
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    * เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้



    (ข้อมูล เหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ย้อนกลับไปอีกนิดนึง ทำไมพวกจาก Dark force สนใจและไม่ยอมทำลายและละทิ้งโลกนี้ไป เพราะแร่ธาตุที่อยู่บนโลกนี้ ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้
    เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะทองคำ (สำหรับพวก Dark force ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง(cosmic parasite -พวกที่ควบคุมพวกที่มีร่างกายเรียกอีกที ก็คือ เจ้านายของพวกที่มีร่างกาย) จะยังชีพด้วยพลังงานจากทองคำ)
    พวก Dark force เคยขุดหาแร่ธาตุ จากดาวต่างๆ บุกรุก และทำสงคราม นำมนุษย์(จากดาวนั้นๆ) บางส่วนมาเป็นทาส โดยการควบคุมและลบล้างความทรงจำ (โดยการแผ่รังสีชนิดนึง อันนี้ผมจำไม่ได้ ขอกลับไปอ่านอีกทีแล้วค่อยมาเติมนะครับ) ใช้ในการขุดหาแร่ธาตุ และหลังจากขุดแร่ธาตุดาวดวงนั้นๆ หมดแล้ว ก็จะทำลายดาวดวงนั้นๆทิ้ง แล้วก็ค้นหาแหล่งไหม่ไปเรื่อยๆ
    (หมายเหตุ มนุษย์ของดาวแต่ละดวงมีศักยภาพ และ consciousness ในระดับต่างกัน ในสงครามก็มีดาวบางดวงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    อ่อนแอกว่า ก็ถูกพวก Dark force ยึดครอง )

    *ส่วนโลกใบนี้ แร่ธาตุถูกขุด เกือบหมดแล้ว แต่ที่พวกนี้ ยัง สนใจอยู่ไม่ยอมไปจากที่นี่หรือทำลายทิ้ง โลกใบนี้ วิเศษตรงไหน

    เพราะว่าที่นี่ มี Source of life

    Source of life คือ crystal -generator เป็นพลังงานฟรีที่เข้มข้น และมีพลังงานมหาศาล ให้พลังกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และที่สำคัญสามารถ improve gene และ improve consciousness ได้ เพราะโลกใบนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมของหลายเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้ ทางด้าน spiritual (เพราะจุดเริ่มต้นของ golden way วางไว้ที่โลกใบนี้)

    Source of life มาจากพลังงานต้นกำเนิด หรือว่าพระเจ้านั้นเอง Source of life สามารถ improve gene ของสิ่งมีชีวิตทุกชิด ดังนั้นเองพวก Dark force ก็ต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวทุกดวงจะมี Source of life และ Source of life ไม่ได้กำเนิดขึ้นเองในโลกใบนี้ ชาวอารยัน บันทึกไว้ว่า Demigod จาก light force ได้นำมาไว้ที่โลกใบนี้ เมื่อ 50,000 ปีก่อนที่ continentจมลงสู่มหาสมุทร

    โดยใส่ Source of life ลงไปลึกในใจกลางโลก โดยมีทางเข้า กลางป่าลึกแห่งหนึงแถบยุโรป หน้าทางเข้าจะมีคนเฝ้าประตู ชาวอารยัน เฝ้าอยู่ แต่ไม่มีกุญแจ หรือรู้รหัสทางเข้า ที่นี่เคยมี Dark force ส่งคน(bio robot)เข้าไปก่อกวน เกือบ 200 คน แต่ทางฝ่าย light force ได้ส่งชาวอารยัน หรือคนของฝ่าย light ที่มีความรู้ความสามรถในการต่อสู้ (คล้ายๆกับนินจาที่เรารู้จักกัน)ในจำนวนเรียกได้ว่า 1/100 ได้กำจัดพวก Dark force ราบคาบ

    ที่นี่พวก Dark force ไม่กล้าบุกรุกเต็มที่ เพราะ light side demigod ปกป้อง Source of life โดยการ ให้ light force จอด vaitmana หลายลำเทียบท่าบน cosmos เพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูตลอดเวลา


    พลังงานของ Source of life ได้กระจายไปตามที่ต่างทั่วโลก มากบ้า้งน้อยบ้าง และก้อขึ้นอยู่กับวิธีการดึงมาใช้ และโดยธรรมชาติเอง พืช ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพลังงานของ Source of life โดยตรงพวกเขาก็จะเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่มากกว่าปรกติ

    levashov เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการ รู้จักวิธีดึงพลังงานของ Source of life มาใช้กับพืชที่เขาปลูกอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตหนาวได้เลย แต่กลับเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ

    *หมายเหตุ บางส่วนของข้อความได้มาจากแหล่งอื่น บางส่วนจากในหนังสือของ levashov
     
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    * กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์


    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook และ ebook - slavonic Aryan Vedas เล่มนี้ ที่แปลจากภาษา รัสเชีย ซึ่งต้นฉบับมาจากภาษารูน(Rune) ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ประวัติศาสตร์ เป็นคำที่คนในยุค ปัจจุบันเรียกกัน แต่ในยุคโบราณแล้วมันเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมา


    เกี่ยวกับภาษารูนนิดนึง ภาษารูน(Rune) เป็นภาษาเก่าแก่ภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และยังเชื่อกันว่าเป็นภาษาของพระเจ้า ในอักขระ ทุกตัวอักษรนั้นมีพลังเพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเป็นส่วนประกอบของภาพสามมิติ และเป็นภาษาที่เข้าใจหรือทะลุทะลวง

    ใน 3 โลก คือ Materialworld, spiritual world ,God world

    คนที่จะอ่านได้และเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มี consciousness สุง มีความคิดที่เป็นบวกการออกเสียงนั้นจะต้องมีการฝึกการหายใจเพราะเป็นการพูด ที่ใช้พลังเสียงออกมาจากภายใน ภาษารูนในยุคนี้หายสาปสูญไปแล้วเพราะคนที่อ่านแบบเข้าใจนั้นไม่มี เพราะพวกปรสิต(Reptilians)คนโบราณเรียกกันอย่างนี้

    ทำลายหลักฐานเกือบหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บอย่างดีไว้ในที่ลึกลับเพื่อให้พ้นหูพ้นตาจาก พวกปรสิต โดยสลักไว้บนแผ่นทองคำ

    ชาวอารยัน (Aryan)เป็นผู้ที่เริ่มต้นใช้ ภาษารูน(Rune)(ส่วนใหญ่ไม่มีใครใช้แล้ว แต่ว่าใช้เขียนคำสาปจะขลังมาก--มีใช้มากแถวแดนไวกิ้ง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    คืนก่อน ผมฝันเห็นเสือตัวโตเข้ามาในบ้าน ลูกสาวบอกให้เล่นกับมัน ปรากฏว่าไม่ดุ และกอดรัดฟัดกับมัน ขนมันหนาาและนุ่มมาก ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่นอนหลับโดยไม่ฝัน ถ้าฝันจะเห็ฯชัดเจนแบบนี้ ได้ทั้งกลิ่นน้ำหอม ได้ยินเสียง เห็นภาพขัดเจน
    [​IMG]
    ลูกหมาเกิดใหม่บ้านคุณแมว กำลังน่ารัก ซนมากๆ นัง"ข้าวต้มมัด" และ "ไอ้เสมา"
     
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    .กำเนิดโลกและจักรวาล....

    จากภาษารูนที่เขียนบอกเล่าไว้เป็นคำอธิบายที่ให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจได้ ง่ายที่สุด (แต่กระบวนการคงซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างเรา)ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่ง แรกเริ่มนั้น พระเจ้า หายใจ ออกมาเป็นแสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ และแสงนี้ แตกกระจาย ออกไป ไกลและไกลออกไปเรื่อยๆ บางส่วน ทะลุเมฆดำจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าถาวร และบางส่วนก็แตกกระจายออกไปเรื่อยๆ และส่วนที่ออกมาจากความสว่างนั้น ยิ่งไกลจากพระเจ้าออกไปส่วนต่างๆเหล่านั้นก็เกิดเป็นระดับที่จับต้องได้ หรือ Materialworld ส่วนที่อยู่ไกล้พระเจ้าเข้ามาคือ spiritual world และส่วนที่อยู่ในบริเวณของพระเจ้า คือ God world แต่ละระดับก็มีจำนวน Dimension ที่ต่างกัน และ มีหลาย universe



    **กำเนิดมนุษย์**

    แสงสว่างที่ออกมาจากพระเจ้า นั้น project มนุษย์ หรือเรียกอีกทีให้เข้าใจว่าเป็นเสมือนกระจกเงา แต่มนุษย์ที่พูดถึงนั้นเป็นมนุษย์ที่อยู่ในระดับ God world คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า

    มนุษย์ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าได้ project มนุษย์อีกหลายเผ่าพันธ์ ในระดับ spiritualworld และมนุษย์จากระดับspiritual world

    project มนุษย์ ใน Material world และมนุษย์ใน Material world บางส่วนที่มีระดับ spiritual ที่สุง เรียกว่า demigod ซึ่งเป็นผู้สร้าง

    สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในโลก ในระดับ Material world มี demigod ผู้ที่มีระดับ spiritual ที่สุงสุดกว่าคนอื่น ชื่อ Svarog

    Svarog (ภรรยาชื่อ Lada ) มีบุตรชาย ชื่อ Dajdbog , Dajdbog (ภรรยาชื่อZhiva,Zlatogorka,Marena )มีบุตรชายชื่อ perun(ภรรยาชื่อ Diva) เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื่อสายมาจาก perun
     
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    Dimension--แปลว่า มิติ
    Polar or Pole Shift --การเคลื่อนของขั้วโลก
    ------------------------------------

    ***สงครามระหว่างDark and light **(ความมืดและแสงสว่าง)




    นานมาแล้ว ที่ โลก Arleg (ระดับ Material world ที่มีระดับ spiritual ที่สุง )

    เป็นที่อาศัยของ Messengerหรือผู้ส่งสาร ที่นี่มี 256 Dimension

    มี demigod ผู้หนึ่งชื่อว่า Chernobog ผู้ที่ไม่ต้องการทำตามกฎ (เพราะการที่จะไต่ระดับ ไปสู่ spiritual world หรือ God world

    นั้น ต้องเป็นไปตามกฏเกณท์ Chernobog เป็นชนชาวผิวดำ( Black demigod) ต้องการไต่ระดับไปตามทาง Golden way

    ขยายความ Goldenway ซักนิด นั้น เป็นทางเชื่อม โลก3โลก เข้าด้วยกัน มีอยู่ทุก universe ,galaxy ,planet.

    แม้แต่โลกเราก็มี Goldenway

    ชาวอารยัน (Aryan)นั้นรู้ความลับนี้เป็นอย่างดี

    จึงมีการทำสงครามกันระหว่าง Belobog (white demigod) และ Chernobog( Black demigod)

    และมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ทุกๆ 4000 ปี เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน



    ****ที่มาของมนุษย์บน โลก ****



    ในช่วงสงครามนั้น มียานแม่ ชาวอารยันเรียกว่า Vaitmara และในยานแม่นี้มียานลำเล็กข้างในเรียกว่าVaitmana ทั้งหมด 144 ลำ

    เกิดเสีย และลงจอดที่ Planet earth หรือโลก ที่ continent (แถบขั้วโลกเหนือปัจุบัน) ในเวลานั้นยังไม่เกิด polar shift

    ที่นั่นจะอุณหภูมิคล้าย กรีซ และอิตาลี ปัจจุบัน

    ข้างในมีชนผิวขาวอยู่ 4 เผ่า

    กลุ่มแรก ชื่อ Aryan มี2เผ่าคือ Da'aryan และ H'aryan

    กลุ่มหลัง ชื่อ Slav มี2เผ่าคือ Rassen และ sretorus



    แต่ละเผ่ามีลักษณะ สีของดวงตา ต่างกัน Da'aryan มีดวงตาสี เทา H'aryan มีดวงตาสี เขียว

    Rassen มีดวงตาสี น้ำเงิน sretorus มีดวงตาสีน้ำตาล



    ทั้ง 4 เผ่านี้มาจากกลุ่มดาว Beta Leo Star System galaxy นี้ มีดาวดวงนึงที่มีลักษณะเหมือนโลก ชื่อว่า Ingard- earth

    Ingard หมุนรอบตัวเอง 576 วัน และ มี ดวงจันทร์ 2ดวง ดวงนึงเล็ก ดวงนึงใหญ่ ดวงใหญ่ หมุนรอบ Ingard 36 วัน

    ส่วนดวงเล็ก 9 วัน

    หลังจากที่ซ่อมยานเสร็จมีบางส่วนที่กลับดาว Ingard และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่และ เรียกโลกใบนี้ว่า Midgard-earth

    ต่อมาก็มีการเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้เรื่อยๆ จากดวงดาวต่างๆ อีก3กลุ่มบ้างมาตามทาง Golden way (ประตูมิติ) บ้างก็มาโดยยานลำเลียง

    3กลุ่มหลังที่มา มีชนผิวเหลือง ผิวแดง และผิวดำ

    ชนผิวดำนั้น Aryanสงสารและนำพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะดาวของพวกเขาถูกทำลาย จากสงคราม

    และ เรียกลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดที่นี่ว่า As
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---- Homo sapiens --มนุษย์ในปัจจุบัน
    -----Humannoid----สิ่งคล้ายมนุษย์
    ----Neanderthal---มนุษย์ถ้ำโบราณ
    ----Cro-Magnon--(โครมันยอง) มนุษย์ยุคเก่าพวกหนึ่ง

    ---------------------------------------

    ก่อนมี Homosapiens ได้ Humannoid อีกจำพวกนึงคือNeanderthalแล้วทั่วทุกหนแห่ง ยกเว้นที่ continentเพราะมีทะเลล้อมรอบ

    Neanderthalครองโลกนี้อยู่หลายแสนปี ที่เรียกว่าครองโลกคือว่าพวกนี้เป้นพวกที่มีพละ กำลังมหาศาลไม่มีใครต่อกรได้ นอกจากเสือเขี้ยวดาบ

    และประมาณ 4 หมื่นปีก่อน มี homo sapiens ในหนังสือเขาบอกว่า appear คือไม่รู้ที่มาของ homo sapiens แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่พบหลักฐาน missing link พบฟอสซิลที่พบอยู่ทั่วไปหลายแห่งนั้นมีอายุเท่ากันทั้งหมดมี 4 race ฟอสซิลกระโหลกศรีษะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และมาจาก สายพันธ์เดียวกัน และไม่เคยมีการค้นพบโครงกระดูกระหว่างวิวัฒณาการจากNeanderthal- Homo sapiens


    มีการเช็ค dna ระหว่าง Neanderthal(ที่พบร่างอยู่ไต้น้ำแข็งบนภูเขาCalpine glacier) และHomo sapiens ปรากฏว่าไม่ได้มาจากสายพันธ์เดียวกัน เช่นเดียวกับ ลา และม้า ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสายพันธ์ และถ้ามีการสืบเผ่าพันธ์ได้ นั่นหมายถึงว่าถ้า Neanderthal สืบพันธ์

    กับ Homo sapiens ลูกที่ออกมาจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก(เป็นหมัน) เช่นเดียวกันกับล่อที่ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ต่อไป

    ส่วน Homo sapiens ที่พบกระโหลกที่ต่างกันนั้นสามารถสืบเผ่าพันธ์ต่อไปได้ (Compatible)

    หลังจากนั้น ประมาณอีก1000 ปี Neanderthal ก็สูญพันธ์แบบที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม Neanderthal ผู้แกร่งกล้า{supreme predator}จึงสูญพันธ์

    ซึ่งเมื่อเทียบกับ Cro-Magnonอ่อนแอกว่า และไม่มีขนปกคลุมร่างการให้ความอบอุ่นเหมือน Neanderthal


    Perun demigod ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลประชากรที่อยู่ในโลกนี้ เป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอณาคตของโลกใบนี้ว่า

    Galaxy นี้มีรูปร่างเหมือน swastika ทุกๆ 1000 ปี ซีกหนึ่ง ของ Galaxy จะโคจรเข้าไปในก้อนเมฆ เป็นระยะเวลา1000ปี

    ซึ่ง เป็นข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราวกับ ปรสิต (dark side) และเผ่าพันธ์มนุษย์ light side จะเข้ามายังโลกไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด

    1000 ปี และในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เกือบครบกำหนด 1000ปี Galaxy นี้เริ่มเคลื่อนออกมาจาก เงาเมฆ

    เชื่อ กันว่า ภายในปี 2012 นี้ ฝ่าย light side จะเริ่มเข้ามา ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีสงคราม(star war)อีก และมีบางส่วนที่เข้ามารอบ้างแล้ว และนานแล้ว แต่ยังรอเวลา

    ทั้งส่วนที่เป็นฝ่ายพันธมิตร (ชนผิวเหลืองและแดง) และจอดยานแม่ไว้ในหุบเขา(ในหนังสือบอกว่าที่ลึกลับบนเขา) คืออีก

    Dimension ที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้จะเห็นได้ว่าพวกปรสิตมันกำลังเตรียมการ ในสงครามครั้งนี้

    คลังรูปภาพ 5


    2010/01/18
    [​IMG]




    • หลักฐานทางปรวัติศาสตร์ แผ่นทองคำ ภาษารูน
    [​IMG][​IMG]
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    [​IMG]



    [​IMG]



    • แผ่นทองสลักภาพและภาษารูน
    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    • ภาษารูนบนแผ่นตะกั่ว
    [​IMG][​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]






    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG]




    • อักขระหนึ่งในภาษารูน บนปฏิมากรรม
    [​IMG]
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




    2010/01/17
    ฝึกบิน UFO​



    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]





    กู้ซาก UFO​



    [​IMG]

    Swastika--สวัสดิกะ รูปหมุนวนนี้ เดิมใช้ในพุทธศาสนานิกายมหายาน ก่อนที่นาซีจะนำมาใช้ และยังหมุนวนกลับทิศกันด้วย
     
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เฉลย !! คลิปคลอดลูกคาห้องเรียน ที่แท้คือ…?

    [​IMG]ภาพ © Youtube.com
    คลิปสุดช็อคเด็กมัธยมคลอดลูกคาห้องเรียน ที่แท้คือ…?
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคลิปเด็กนักเรียนระดับมัธยมที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น โดยภาพที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์เหมือนกำลังคลอดเด็กในห้องเรียน ล่าสุดมีผู้ไปเฉลยคลิปบนยูทูปแล้วปรากฎว่าเป็นงานโปรโมตงานของนักศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาโฆษณา osp10 โดยคลิปชุดนี้ทำขึ้นมาเพื่อโปรโมทงาน B.A.D Student Workshop 2012 ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำขออภัยและบอกว่าทำขึ้นมาเพื่อเสียดสีสังคม..และมีจุด ประสงค์เพื่อการโปรโมทงาน หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ
    ---------------------------------------.


    โอ้ว้าว!! 10 สาวพริตตี้เกาหลี…ขาว สวย หมวย เวอร์จิ้น

    [​IMG]ภาพ © เบสแฟชั่นไอเดียดอทคอม
    พริตตี้สาวสวยนัมเบอร์วันของเกาหลีมาอวดหุ่นสวยสุดเซ็กซี่ เช็กเรตติ้งความฮอตของพวกเธอ ตามมาดูกันได้เลย
    ระวังหัวใจจะเต้นรัวกับความฮอตของแต่ละนาง 1. นางแบบ-พริตตี้สาวสวยหน้าใส หุ่นเซ็กซี่ ชา ซอน ฮวา อวดผิวขาวๆ ให้เห็นบ่อยในงานมอเตอร์โชว์, 2.คิมฮายูล เรซควีนและนางแบบสุดฮอตของเกาหลี มาพร้อมกับสัดส่วน 33-25-34, 3. ฮอยุนมี สาวน้อยน่ารักที่ป็อปปูลาร์แบบสุดๆ ในวงการพริตตี้และเรซควีน, 4.ฮวาง มี ฮี นางแบบและเรซควีนที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมากที่สุดตอนนี้ เธอเป็น 1 ใน 3 สาวสวยของ “Korea's Top 3 Race Queens”, 5. อิม จี เฮ พริตตี้สาวที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเกาหลี, 6. นางแบบเอเชียและเรซควีนจากเกาหลี ลี อึน เฮ มาพร้อมกับความบ้องแบ๊ว และสดใส
    อีก 4 อันดับได้แก่ 7. เรียว จี เฮ นางแบบและเรซควีนมือวางระดับต้นๆ ของวงการ, 8. ปาร์ค ฮยุน ซอน นางฟ้าของวงการนางแบบที่มาพร้อมกับเรียวขาอันงดงาม, 9. ชอย บยอล อี อีกหนึ่งสาวที่ฮอตที่สุดของเกาหลีที่ปรากฏตัวอยู่ตามงานอีเวนต์ และคาร์โชว์ต่างๆ และ10. จู ดา ฮา มาพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ มัดใจชาย...โอ้ว้าวขาวโอโม่สุดๆ ไปเลย...เว้ยเฮ้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  13. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
     
  14. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    สวัสดีครับพี่เจษฎา และพี่ๆเพื่อนๆทุกท่าน มารายงานตัวครับขอบคุณสำหรับภูมิรู้ และข้อมูลต่างๆครับท่านอาจารย์ทุกท่าน (ขอไปเช็ดกำเดาก่อนน่ะครับผมแพ้ความขาวสงสัยนางฟ้าจะลงมาเกิดเยอะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  15. Isreal

    Isreal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    530
    ค่าพลัง:
    +1,327
    คุณ chandayot
    เราจำได้ว่าคุณเคยบอกว่า มีเทพมาบอกคุณให้เริ่มต้นใหม่ใช่ไหมคะ
    เรารู้สึกว่า เราอยากอวยพรคุณ ตั้งแต่ได้อ่านข้อความนั้นในบอร์ดนี้แหละ
    จำไม่ได้ว่าอยู่หน้าไหน แต่ก็ไม่ได้บอกอย่างเป็นทางการเสียที
    พอตอนที่คุณเล่าว่าฝันเห็นเสือและได้กอดรัดฟัดเล่นกันเรานึกถึง
    เสือที่เป็นยานพาหนะของพระแม่อุมาขึ้นมาทันทีเลย
    ก็ขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้นะคะ ^^

     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] [​IMG]
    A Seismic Adventure

    There's a giant crystal buried deep within the Earth, at the very center, more than 3,000 miles down. It may sound like the latest fantasy adventure game or a new Indiana Jones movie, but it happens to be what scientists discovered in 1995 with a sophisticated computer model of Earth's inner core. This remarkable finding, which offers plausible solutions to some perplexing geophysical puzzles, is transforming what Earth scientists think about the most remote part of our planet. "To understand what's deep in the Earth is a great challenge," says geophysicist Lars Stixrude. "Drill holes go down only 12 kilometers, about 0.2 percent of the Earth's radius. Most of the planet is totally inaccessible to direct observation." What scientists have pieced together comes primarily from seismic data. When shock waves from earthquakes ripple through the planet, they are detected by sensitive instruments at many locations on the surface. The record of these vibrations reveals variations in their path and speed to scientists who can then draw inferences about the planet's inner structure. This work has added much knowledge over the last ten years, including a puzzling observation: Seismic waves travel faster north-south than east-west, about four seconds faster pole-to-pole than through the equator.
    This finding, confirmed only within the past two years, quickly led to the conclusion that Earth's solid-iron inner core is "anisotropic" -- it has a directional quality, a texture similar to the grain in wood, that allows sound waves to go faster when they travel in a certain direction. What, exactly, is the nature of this inner-core texture? To this question, the seismic data responds with sphinx-like silence. "The problem," says Ronald Cohen of the Carnegie Institution of Washington, "is then we're stymied. We know there's some kind of structure, the data tells us that, but we don't know what it is. If we knew the sound velocities in iron at the pressure and temperature of the inner core, we could get somewhere." To remedy this lack of information, Stixrude and Cohen turned to the CRAY C90 at Pittsburgh Supercomputing Center.

    <table align="RIGHT" border="2" hspace="10"> <caption align="BOTTOM">Earth's layered structure -- a relatively thin crust of mobile plates, a solid mantle with gradual overturning movement, and the outer and inner core of molten and solid iron.</caption> <tbody><tr><td> [​IMG] </td> </tr></tbody></table> Getting to the Core

    Don't believe Jules Verne. The center of the Earth is not a nice place to visit, unless you like hanging out in a blast furnace. The outer core of the Earth, about two-thirds of the way to the center, is molten iron. Deeper yet, at the inner core, the pressure is so great -- 3.5 million times surface pressure -- that iron solidifies, even though the temperature is believed to exceed 11,000 degrees Fahrenheit, hotter than the surface of the sun. Despite rapid advances in high-pressure laboratory techniques, it's not yet possible to duplicate these conditions experimentally, and until Stixrude and Cohen's work, scientists could at best make educated guesses about iron's atom-to-atom architecture -- its crystal structure -- at the extremes that prevail in the inner core. Using a quantum-based approach called density-functional theory, Stixrude and Cohen set out to do better than an educated guess. With recent improvements in numerical techniques, density-functional theory had predicted iron's properties at low pressure with high accuracy, leading the researchers to believe that with supercomputing they could, in effect, reach 3,000 miles down into the inner core and pull out what they needed.

    <table align="LEFT" border="2" hspace="10"> <caption align="BOTTOM">Three crystal structures of iron. Yellow lines show bonds between iron atoms.</caption> <tbody><tr><td> [​IMG] </td> </tr></tbody></table> Rethinking Inner Earth

    On Earth's surface, iron comes in three flavors, standard crystalline forms known to scientists as body-centered cubic (bcc), face-centered cubic (fcc) and hexagonal close-packed (hcp). Working with these three structures as their only input, Stixrude and Cohen carried out an extensive study -- more than 200 separate calculations over two years -- to determine iron's quantum-mechanical properties over a range of high pressures. "Without access to the C90," says Stixrude, "this work would have taken so long it wouldn't have been done."
    Prevalent opinion before these calculations held that iron's crystal structure in the inner core was bcc. To the contrary, the calculations showed, bcc iron is unstable at high pressure and not likely to exist in the inner core. For the other two candidates, fcc and hcp, Stixrude and Cohen found that both can exist at high pressure and both would be directional (anisotropic) in how they transmit sound. Hcp iron, however, gives a better fit with the seismic data. All this was new information, but even more surprising was this: To fit the observed anisotropy, the grain-like texture of the inner core had to be much more pronounced than previously thought.
    "Hexagonal crystals have a unique directionality," says Stixrude, "which must be aligned and oriented with Earth's spin axis for every crystal in the inner core." This led Stixrude and Cohen to try a computational experiment. If all the crystals must point in the same direction, why not one big crystal? The results, published in Science, offer the simplest, most convincing explanation yet put forward for the observed seismic data and have stirred new thinking about the inner core.
    Could an iron ball 1,500 miles across be a single crystal? Unheard of until this work, the idea has prompted realization that the temperature-pressure extremes of the inner core offer ideal conditions for crystal growth. Several high-pressure laboratories have experiments planned to test these results. A strongly oriented inner core could also explain anomalies of Earth's magnetic field, such as tilted field lines near the equator. "To do these esoteric quantum calculations," says Stixrude, "solutions which you can get only with a supercomputer, and get results you can compare directly with messy observations of nature and help explain them -- this has been very exciting."

    Researchers: Ronald Cohen and Lars Stixrude, Carnegie Institution of Washington.
    Hardware: CRAY C90
    Software: User-developed code
    Keywords: Earth, inner core, geophysics, seismic waves, anisotropic, iron, crystal structure, body-centered cubic, face-centered cubic, hexagonal close-packed, quantum mechanics.

    Related Material on the Web:
    Pittsburgh Supercomputing Center
    Projects in Scientific Computing
    Ronald E. Cohen's homepage
    Geophysical Laboratory, Carnegie Institution of Washington
    Lars Peter Stixrude's homepage
    Georgia Technical Institute, School of Earth and Atmospheric Studies

    References, Acknowledgements & Credits

    --เชื่อว่าโลกมีแกนแข็งเป็นพวกเหล็กและนิเกิล ต่อมาคือส่วนที่เป็นเหล็กหลอมเหลว มีเปลือกบางๆคือทวีปที่เคลื่อนตัวได้ เชื่อว่ามี"ผลึก"อยู่ในแกนของโลก โดยผู้ค้นคว้าใด้ไปคำนวณที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ณ เมืองพิทส์เบิร์ก โโยเขาะพื้นโลกลงไป 12 กม. นำข้อมูลมาคำนวณ
    ผลึกที่เห็นทั้งสามแบบ เป็นผลึกของแร่เหล็ก

    --"จอร์เจียเทค" คือสถาบันค้นคว้าเรื่องภูมิศาสตร์โลก-ชั้นนำ เช่นเดียวกับไอสไตน์ที่จบแค่สถาบันเทคนิค
    --แต่คนไทยเรียนเทคนิคแล้วต้องตีกัน ฆ่ากัน--ระบบการศึกไทยจะต้องบกพร่องแน่นอน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    Next post



    The Crystals at the Center of the Earth





    [​IMG]
    Seismic waves traveling between Earth’s poles move faster than those moving east-west, and now scientists think they may know why.
    The iron alloys in the solid inner core of the Earth appear to have crystallized in such a way that it’s easier for energy to pass on the north-south axis than on the east-west, as described in a new study led by Maurizio Mattesini, a geologist at the Universidad Complutense de Madrid, which appeared in the journal Proceedings of the National Academy of Sciences.
    “The structure of the atoms looks different in one direction than the other,” explained Norm Sleep, a Stanford geologist who was not part of the new study,
    In the textbooks of yore, the Earth’s inner regions like the mantle and core were presented as simple, fairly homogeneous regions. But the geology of the core is turning out to be much more complex as scientists make use of more and better seismographs to generate better data about how seismic waves travel through the planet.
    The outer core is composed mostly of liquid iron. The inner core is solid ball about 750 miles in diameter, or a little less than the maximum width of the state of Texas, which formed as the Earth cooled over geologic time, said David Stephenson, a geologist at CalTech.
    “The center of the earth is literally a crystal,” said Stephenson. Over time, it grew and now is no longer a single crystal but an aggregate of them.

    In the mid-1990s, geologists began to notice an interesting thing. Seismic waves traveling north-south were reaching their destinations about 3 percent faster than waves moving along east-west paths.
    “It’s one of these things that’s been detected for some time but kind of why it occurs has been somewhat of a puzzle,” Sleep said. They didn’t know why, but then again, the middle of the globe is perhaps the most difficult place to gather data on Earth.
    The new paper suggests that as the crystals formed, they received a particular alignment. That alignment, known as anisotropy, makes it easier for waves to travel in one direction than the other.
    The most significant thing about the new paper, Stephenson said, is that the researchers were able to match up the results that seismologists have been getting on the speed of seismic waves through the core with new laboratory tests with particular kinds of iron crystals.
    Image: NASA
    “Hemispherical anisotropic patterns of the Earth’s inner core” by Maurizio Mattesinia, Anatoly B. Belonoshkob, Elisa Buforna, María Ramíreza, Sergei I. Simakc, Agustín Udíasa, Ho-Kwang Maod, and Rajeev Ahujae in the Proceedings of the National Academy of Sciences DOI: 10.1073/pnas.1004856107
    See Also:

     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ยินดียิ่งครับ คุณอาจมีองค์หรือ เป็นลูกหลานของเทพองค์หนึ่ง ขออวยพรให้คุณมีชีวิตที่ดี ชาตินี้หรือชาติไหนไม่ตกต่ำ มุ่งตรงสู่นิพพานอันเป็นสุขแท้ถาวร สาธุครับ
    --ใช่ครับ พระศิวะท่านมาบอกทั้งในฝัน และท่านมาด้วยตนเองครับ 10ปี เจอท่านเพียง 2-3ครั้งครับ พอท่านพูดแบบนี้ ผมโล่งใจอย่างประหลาด
    --ภรรยาบอกว่าท่านรักผมมาก ลึกๆแล้วผมรักนับถือท่านมากและมีนิสัยคล้ายกัน คือชอบไปนั่งตามป่าช้า ท่านเองก็ทำแบบนี้จนมีภาคที่มีผีร้ายเป็นบริวารครับ
     
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG]
    ในรายงานถัดจากภาพ นี้ ดร.อีโมโตะอธิบายว่า ขณะที่ถ่ายภาพผลึก ก่อนที่น้ำแข็งจะหลอมละลายเป็นน้ำ มันจะต้องผ่านสถานะแบบหนึ่ง ดังปรากฏในภาพดังกล่าว เมื่อน้ำแข็งตัวมันจะกลายเป็นผลึก ในขณะที่มันจะละลายกลับเป็นน้ำ ( โดยการเพิ่มอุณหภูมิ ระหว่าง -5 ถึง 0 องศาเซลเซียส ) มันจะก่อรูปชนิดหนึ่งขึ้นมา ที่มีลักษณะเหมือนคำว่า" น้ำ " ในภาษาจีน ดังนั้นอาจเป็นได้ว่า คนโบราณรู้จักปรากฏการณ์นี้ และได้บัญญัติอักษรคำว่า " น้ำ " จากพื้นฐานข้อมูลเช่นนี้ นี่เป็นประโยชน์อย่างมาก ในการตรวจสอบใหม่ เกี่ยวกับสมมติฐาน ความเป็นมาของ ตัวอักษรจีน


    เอาน้ำใส่ขวด ให้มันฟังดนตรีชุด พาสทอราล ของบีโธเฟ่น จะเป็นรูปผลึกที่สวยงามดังนี้

    [​IMG]
    เว็ปฟาหลุนไทย
    http://falunthai.org/pureinsight/pis2002/pis2002-05-03.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เนื่องจากช่วงนี้ได้ผมได้โพสข้อความมากเกินไป --จนนำเว็บญาณทพย์อยู่หลายแสนคำครับ ขอเดินช้าๆ อ่านเรื่องราวไปกอน มีสะดุดตรงไหนมาคุยกันครับ
    [​IMG]

    [​IMG]
    --เบย์เบอรี่ ผลไม้จากจีนครับ ต้นละประมาณ 250บาท ต้องซื้อ2ต้น เพราะมีตัวผู้และตัวเมีย คนจีนเรียกหยางเหมย
    [​IMG]

    [​IMG]

    เอามาให้ดู....แกล้งให้อยากซะงั้นครับ... คอแห้งเลยว่ามะ
    คนที่ชิมมาบอกว่า รสหวานชื่นใจ หมักเป็นเหล้าได้ง่าย.. ปีศาจสุราตาลุกโพลง
    [​IMG] หมักแล้ว มีผลสดประดับสวยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...