ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย คุณสนุก, 4 พฤศจิกายน 2010.

  1. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    กราบพระองค์ที่ ๑ พระเถวโรวาส หรือหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม

     
  2. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีค่ะอาจารย์พี่ช้าง อาจารย์จงอาง คุณภัทร
    สวัสดียามดึกค่ะทุกท่าน

    วันนี้เดินทางไปวัดหรงบนพ่อท่านเขียวร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรค่ะ

    ออกจากหาดใหญ่ 7.00 น. ค่ะ มีเรื่องตื่นเต้นเล่าให้ฟังค่ะ

    ระหว่างที่เข้าเขตอำเภอระโนด มุ่งตรงไปอำเภอเชียรใหญ่
    ช่วงนั้นหันไปถามน้องว่าวันนี้แขวนพระหลวงพ่อทวดด้วยหรือเปล่า น้องลืมห้อยพระค่ะ
    เดินทางไกลก็อยากให้ใส่พระหลวงพ่อทวดติดตัว ก็เลยถอดสร้อยให้น้องใส่ซึ่งน้องนั่งอยู่เบาะหลัง พอหันกลับมาสังเกตเห็นรถบรรทุกข้างหน้าขับมาเร็ว ใกล้จะสวนกันห่างประมาณ 500 เมตร ปรากฎว่ารถพ่วงคันนี้บรรทุกอิฐบล๊อคมาเต็มคันรถ แล้วอยู่ๆอิฐตกมาเกือบครึ่งรถ โชคดีที่หล่นไปอีกด้าน(ซ้ายมือของรถบรรทุก ซึ่งเราอยู่ด้านขวาขับรถสวนพอดี) ไม่อย่างนั้นต้องโดนเต็มๆค่ะ

    ถ่ายภาพใกล้เคียง ระยะที่รถบรรทุกขับผ่าน

    *จริงๆแล้วตอนที่รถคันที่อิฐหล่นก่อนหน้านี้
    ช่วงนั้นก็ถือกล้องอยู่พอดี (ตกใจค่ะ)

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2012
  3. เส้นทางแห่งธรรม

    เส้นทางแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ที่สุดหลวงปู่ทวดที่ผมติดตัว.......
     
  4. ksongrit

    ksongrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    841
    ค่าพลัง:
    +7,402

    หวาดเสียวครับ แคล้วคลาดปลอดภัย หลวงปู่ทวดคุ้มครองครับพี่นวล
     
  5. motana2008

    motana2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4,929
    ค่าพลัง:
    +10,336
    เจ้ม จ้น มาก เลย ครับ พี่ นวล :cool:

    สวย สวย ชอบ ชอบ เอา ไป ห้า ดาว เลย ครับ:cool::cool::cool:

    ของวัดไหนครับ
     
  6. motana2008

    motana2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4,929
    ค่าพลัง:
    +10,336
    หลวงปู่ทวดคุ้มครองครับ น่าหวาดเสียวแทนเลย คงตกใจน่าดูครับน่าจะกริ๊ดกันทั้งคันเลย
     
  7. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    นำมาให้อ่านค่ะ
    ประวัติพ่อท่านเขียววัดหรงบนและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
    ตายไม่เน่า เผาไม่ไหม้


    [​IMG]


    ในเมืองไทยเรามีพระสงฆ์ผู้มีความศักริ์สิทธิ์ก็อยู่หลายรูป
    แต่จะหาอริยะสงฆ์แบบพ่อท่านเขียว วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช นั้นคงน้อยมากๆ เพราะว่าอะไรเราลองมาหาคำตอบกันดีกว่าครับ



    “วัดหรงบน” เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ยังมีการติดต่อได้ลำบาก จากลุ่มน้ำปากพนัง ต้องล่องเรือนานกว่าชั่วโมง ก่อนขึ้นฝั่งที่ บางตะพงษ์ แล้วจะต้องเดินลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้าไปอีกไกล จึงจะถึงวัดหรงบน เพื่อกราบนมัสการ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เนื่องจากไม่มีถนนเข้าไปถึง อีกทั้ง “พ่อท่านเขียว” ก็ยังไม่มีคนต่างถิ่น รู้จักมากนัก นานทีจึงจะมีคนเข้าไปกราบนมัสการท่าน


    “พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพไปแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหรงบนนัก และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจากบางตะพงษ์นั่นเอง การจัดการศพของท่านนั้น พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ เจ้าอาวาส วัดคงคาวดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้ตั้งศพของพ่อท่าน ไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืน พร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่าน


    จากนั้นรุ่งขึ้นจึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยังวัดหรงบน ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน ระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยบรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่าน ต่างต้องการแสดงความกตเวทิตคุณ ตามประเพณีงานศพของทางภาคใต้ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นถิ่น คือทำการจุดดินปืนที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีนี้คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่ามีงานศพ ปรากฏว่าการจุดในคืนแรก ดินปืนด้านหมดทั้งสามลูก ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว

    ต่อมาคืนที่สอง ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมดห้าลูก แต่ก็ด้านหมดทุกลูก ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างพากันประหลาดใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จากนั้นพอคืนที่สาม ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืนก็ ไม่ยอมลดละ ได้ทำการจุดดินปืนที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่าจุดไม่ติด เช่นกันกับสองคืนแรก


    จะมีก็เพียงควันพวยพุ่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดงวยงงสงสัย ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ก็จะทำการฌาปนกิจศพพ่อท่าน ตามประเพณี แต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแตก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้เผาศพพ่อท่าน แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่อยากให้เผา


    แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้เผาศพพ่อท่าน จะได้หมดห่วงหมดกังวล จึงทำให้ ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา ทำการต่อรองขอว่า “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” ทุกฝ่ายจึงต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี


    การฌาปนกิจศพ “พ่อท่านเขียว” ได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่กลางลานวัด โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่ายๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่านเลย ดังนั้น นายเหลี้ยง ชนะเสน เถ้าแก่โรงสี บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นผู้อาสาจุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธีขอขมาศพพ่อท่านก่อน แล้ววานท่านอาจารย์เพชร เป็นผู้จุดไฟที่ดอกไม้จันทน์ที่ตนถืออยู่ก่อน จากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อยๆลุกลามขึ้นไหม้ทั้งดอกไม้จันทน์


    ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพ และฟืนที่รองอยู่ จนควันโขมงและค่อยๆโหมแรงขึ้นๆจนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่ โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกา ว่าจะครบ ๑ ชั่วโมงเมื่อใด ไฟได้โหมแรงขึ้นๆจนกองฟืนที่สุมไว้ไหม้เกือบหมดแล้ว แต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการหงุดหงิดตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่เร่งเวลาให้ครบชั่วโมงโดยเร็ว แต่ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดก่อน ที่ผู้ที่จับเวลาจากนาฬิกาที่มีถึงสามคน จากทั้งสองฝ่าย ก็ได้ตะโกนบอกว่า “ครบชั่วโมงแล้ว”

    เสียงฆ้องเสียงระฆัง จึงตีรัวดังขึ้น ตามที่นัดหมายกันไว้ นาทีนั้นโดยไม่มีใครคาดคิด นายเหลี้ยง ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมาก แต่ นายเหลี้ยง ไม่นำพาและไม่ได้หวาดหวั่นกับไฟที่ยังคุกรุ่นเหล่านั้นเลย กลับเดินแหวกควันไฟเข้าไป พร้อมเอามือช้อนลงอุ้มศพของพ่อท่านขึ้นให้ทุกคนดู ปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็นว่าผ่านการถูกเผามาเลย แม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน


    ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ จึงต่างส่งเสียงดังลั่น ส่วนนายเหลี้ยง ที่ใช้มือช้อนใต้ศพ จึงถูกเหล็กรองโลงศพเข้าเต็มๆ แต่แทนที่เหล็กจะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลย ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างงงงวยกันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สุดอัศจรรย์โดยแท้ พอได้สติบรรดาญาติโยมต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านเก็บไว้ จนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ

    เรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่อท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคนยืนยันได้ เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ต่างยืนยันได้ทุกคน แสดงว่าบุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะเพียงแค่ “ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้ว แต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่จีวรที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย


    ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง



    ย่อจากบทความของ ‘แฉ่ง บางกะเบา’ จาก นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 1 กันยายน 2550




    [​IMG]





    จาก “ลุ่มน้ำปากพนัง” ล่องเรือนาน กว่าชั่วโมงก่อนขึ้นฝั่งที่ “บางตะพงษ์” แล้วเดินลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้าเวิ้งว้างไปยาวไกล มองเห็นพุ่มพฤกษ์พันธุ์นานาอยู่ข้างหน้าคนนำทางหนวดเฟิ้มบอกว่า “โน่นแหละวัดหรงบน” ผู้เขียนพร้อมด้วย “คุณประกอบ กำเนิดพลอย” และ “คุณณรงค์ เลติกุล” เดินตามไปด้วยความอ่อนล้ากว่าจะก้าวเข้า “วัดหรงบน” เพื่อกราบนมัสการ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์ขลังแห่งลุ่มน้ำปากพนังก็แทบหมดแรงไปตาม ๆ กัน


    การเดินทางไป “วัดหรงบน” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ สภาพความเป็นไปดังกล่าวนั้นเนื่องจาก “ไม่มีถนน” เข้าไปถึงอีกทั้ง “พ่อท่านเขียว”พระเกจิอาจารย์องค์นี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังมีคนรู้จัก “ไม่มากนัก” นานทีจึงจะมีคนเข้าไปกราบนมัสการท่านและการเดินทางไป “วัดหรงบน” ครั้งนั้นผู้เขียนและคณะก็ต้องพบกับความ “ผิดหวัง” เพราะ “พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก “วัดหรงบน” และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจาก “บางตะพงษ์” ที่ผู้เขียนได้ผ่านมาแล้วนั่นเองดังนั้นการไปครั้งนั้นเพื่อหวังได้กราบ “ยอดเกจิอาจารย์” จึงเป็นการไป “เสียเที่ยว” แต่ไหน ๆ เมื่อไปแล้วผู้เขียนจะ “ไม่ยอม” ให้เสียเที่ยวต่อจากนี้ไปจึงขอ “ถ่ายทอด” เรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นขณะ “พ่อท่านเขียวมรณภาพแล้ว” ที่ผู้เขียนทำการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องมาด้วยตนเองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒


    “พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์” เจ้าอาวาส “วัดคงคาวดี” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ “พ่อท่านเขียว” ได้ตั้งศพของพ่อท่านไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืนพร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่านจากนั้นรุ่งขึ้น จึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยัง“วัดหรงบน” รากฏว่าชาวบ้านเมื่อรู้ข่าวต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน แต่แล้วระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิด “เหตุอัศจรรย์” ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็ “เป็นไปแล้ว” เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและมี “พยาน” ที่พร้อม จะอ้างอิงได้อีกด้วยคือ….


    บรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่านต่างต้องการแสดง “ความกตเวทิตาคุณ” ตามประเพณีงานศพคือทำการ “จุดดินปืน”ที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีที่คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อ “ส่งสัญญาณ” ให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่า “มีงานศพ” ปรากฏว่าการจุดใน “คืนแรก” ดินปืนด้านหมดทั้ง “สามลูก” ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว ต่อมา “คืนที่สอง” ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมด “ห้าลูก” แต่ก็ด้านหมด “ทุกลูก” ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรกผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากัน “ประหลาดใจ” ว่าเป็นเพราะเหตุใด


    จากนั้น “คืนที่สาม” ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืน ก็ไม่ยอมลดละได้ทำการ “จุดดินปืน” ที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่า “จุดไม่ติด” เช่นกันกับสองคืนแรกจะมีก็เพียง “ควันพวยพุ่งขึ้น” เล็กน้อยเท่านั้นไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดเป็นงงสงสัยว่า เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อยแล้วก็จะทำการ “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน”


    ต่อไปตามประเพณีแต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแยก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่ายคือ “ฝ่ายหนึ่ง ให้เผาศพพ่อท่าน” แต่ “อีกฝ่ายหนึ่งต้อง การให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่ต้องเผา” สรุปความคิดเห็นแล้ว “ส่วนใหญ่” ต้องการให้เผาศพพ่อท่านจะได้หมดห่วงหมดกังวลจึงทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ทำการต่อรองขอว่าถ้าเช่นนั้น “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี ดังนั้นการ “ฌาปนกิจศพ พ่อท่านเขียว” จึงได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่ “กลางลานวัด” โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่าย ๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี…แต่พอถึงเวลากลับ “ไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่าน”


    เลย ด้วยเหตุนี้ “นายเหลี้ยง ชนะเสน” เถ้าแก่โรงสี “บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่” ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่งจึงเป็นผู้อาสา “จุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธี “ขอขมาศพพ่อท่าน” แล้ววานท่าน “อาจารย์เพชร” เป็นผู้จุดไฟที่ “ดอกไม้จันทน์” ที่ตนถืออยู่ก่อนจากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อย ๆ ลุกลามขึ้นไหม้ทั้ง “ดอกไม้จันทน์” ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพและ “ฟืน” ที่รองอยู่จนควันโขมงแล้วค่อย ๆ “โหมแรงขึ้น ๆ” จนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกาว่าครบ “๑ ชั่วโมง” เมื่อไหร่ทั้งที่ “ไฟได้โหมแรงขึ้น ๆ” จนกองฟืนที่สุมไว้เกือบหมด แล้วแต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการ “หงุดหงิด” ตาม ๆ


    กันแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้จึงได้แต่ “เร่งเวลาให้ครบชั่วโมง” โดยเร็วเท่านั้นกระทั่ง “ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดแล้ว” พร้อมทั้ง “ควันไฟ” พวยพุ่งท่วมลานวัดไปหมด “ผู้ที่จับเวลา” จากนาฬิกาที่มีถึงสามคนจากทั้ง “สองฝ่าย” จึงตะโกนบอก “ครบชั่วโมงแล้ว” “เสียงฆ้องเสียงระฆัง” ที่ตีรัวจึงดังขึ้นตามที่นัดหมายกันไว้ว่า “ครบชั่วโมง” จะตีฆ้องและ ระฆังบอกต่อกัน “นาทีนั้น” โดยไม่มีใครคาดคิด “นายเหลี้ยง ชนะเสน” ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมากแต่ “นายเหลี้ยง” ไม่นำพาและ ไม่ได้หวั่นหวาดกับไฟที่ยัง “คุกรุ่นเหล่านั้น” เลยกลับเดินแหวกควันไฟเข้าไปพร้อม เอามือช้อนลง “อุ้มศพของพ่อท่าน” ขึ้นให้ทุกคนดูปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็น “ปกติ” ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้เห็นว่า “ผ่านการถูกเผา” มาเลยแม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน


    เท่านั้นเอง “ผู้ที่เห็นเหตุการณ์” ต่างส่งเสียงดังลั่นส่วน “นายเหลี้ยง” ที่ใช้มือช้อนใต้ศพจึงถูก “เหล็กรองโลงศพ” เข้าเต็ม ๆ แต่แทนที่เหล็ก จะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับ “เย็นเฉียบ” ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลยทำให้ทุก คนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง “งงงวยตาม ๆ กัน” เพราะเป็นเรื่องที่ “สุดอัศจรรย์” โดยแท้ และพอได้สติบรรดาญาติโยมที่ไปรวมตัวทำการ “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน” ต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านจนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ


    ซึ่งเรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่งแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงาน “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคน ยืนยันได้เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน, พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์, ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไป ร่วมงานต่างยืนยันได้ทุกคนแสดงว่า บุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นกว้างใหญ่ไพศาล นับอนันต์จริง ๆ


    และเหตุการณ์นี้ไม่เคย “ปรากฏ” จากที่ไหนและที่ใดมาก่อนอีกทั้งคงจะ “ไม่ปรากฏ” ให้ได้เห็นและให้ได้ยินอีกเพราะเพียงแค่ “ท่าน มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้วแต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่ “จีวร” ที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้วโดยผู้เขียนมีโอกาสได้ไปสัมผัส พร้อมจับต้องดูปรากฏว่าสรีระของท่าน “แข็งและแกร่งมาก” คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ไว้โลงแก้วเพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้กราบไหว้บูชาและได้ชมสรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง


    เพราะเพียงท่านได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้งก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง ฉะนั้นหาโอกาสไปกราบเถิด “พระเถระ” ที่ละสังขารแล้วแต่มีเหตุอัน “อัศจรรย์” ให้ประจักษ์เช่นนี้หาไม่ได้ง่ายนักและเมื่อไปกราบแล้วให้สอบถามชาวบ้านถึงความ “อัศจรรย์” อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของท่านเอง “บางที” ท่านอาจจะได้ประจักษ์แจ้งมากกว่าที่ผู้เขียนเล่ามาด้วยซ้ำไป…นี่ละที่โบราณว่า…“เหนือลิขิต?? ประกาศิตฟ้าดิน??” โดยแท้เลย.


    ขอบคุณที่มา… บทความจากน.ส.พ. เดลินิวส์ วันที่ : 1 กันยายน 2550





    [​IMG]





    ประวัติพ่อท่านเขียว วัดหรงบล อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช




    พ่อท่านเขียว วัดหรงบล อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
    พ่อท่านเขียว ถือกำเนิดขึ้นในตะกูลชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้นแรมไม่ปรากฏ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.2424 บิดาชื่อนาย ปลอด มารดาชื่อแป้น มีพี่น้อง 4คน ชาย2หญิง2 พ่อท่านเขียวเป็นพี่ชายคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวเสียชีวิตก่อนท่าน


    การศึกษา

    เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ


    อุปสมบท

    "พ่อท่านเขียว"ท่านตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่วัดเมื่ออายุได้ 22ปี อุปสมบท ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ.2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี"ได้ปรนนิบัติรับใช้ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น พ่อท่านเขียว ก็กราบลาพระอุปัชฌายะ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลก และทางธรรม อบรมนิสัยให้เหมาะแก่สมณเพศ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น พ่อท่านเขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร หลวงปู่เขียวเดินธุดงค์ติดต่อกันหลายปี ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรังสุราษฎร์ธานี ชุมพร สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต พังงา และจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง


    วัตถุมงคล

    ในปี พ.ศ.2467 พ่อท่านเขียวอายุได้ 53 ปีพอดี ท่านพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(เกลื่อม)เจ้าคณะ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง ปกครองวัดกลาง(คงคาวดี)ศรัทธาต่อพ่อท่านเขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเอง ต้องการได้ของดีของอาจารย์เป็นที่ระลึก จึงหาผ้าขาวมา หาขมิ้นผงมาผสมน้ำทาใต้เท้า ใต้มือท่านแล้ว นิมนต์ท่านอฐิษญานจิตกดเป็นผ้ายันต์แต่ไม่ค่อยชัดนัก ต่อมามีผู้ต้องการมากขึ้น จึงคิดหาหมึกจีนเป็นแท่งมาฝนกับฝาละมีทาเท้าบ้าง ทามือบ้าง ให้พ่อท่านอธิษฐานจิตกดลงบนผ้าขาวเป็นผ้ายันต์ ปรากฏว่าชัดเจนสวยงามดี นับว่าผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าพ่อท่านเขียวปรากฏแพร่หลายขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคใต้ เมื่อมีผู้ศรัทธามาขึ้นจึงแพร่หลายบอกต่อกันไป มีประชาชนมาขอลูกอมท่านบ้าง พ่อท่านเขียวท่านเคี้ยวชานหมากเสร็จคลึงเป็นลูกอมแล้วมอบให้ บางคนท่านก็เอากระดาษฟางมาลงอักขระเป็นตัวหนังสือขอม หัวใจพระเจ้า 5พระองค์ นะโมพุทธายะ เสร็จแล้วเอาเทียนสีผึ้งห่อหุ้มปั้นเป็นลูกอม พ่อท่านเขียวเป็นพระใจดี พูดน้อยใครขออะไรท่านก็จะทำให้ตามความต้องการแต่ละคน
    วัตถุมงคลที่พ่อท่านเขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญ และรูปหล่อลอยองค์ พระเครื่องหลวงปู่เขียว เป็นที่ต้องการกันมาก


    พุทธคุณวัตถุมงคล

    วัตถุมงคล และพระเครื่องของพ่อท่านเขียว ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านปกป้องคุ้มครองสูงมาก เช่นผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าผู้ที่โดนโจรปล้นวัวเกิดต่อสู้กัน เจ้าของวัวพกผ้ายันต์ท่าน กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่พกผ้ายันต์ท่านได้ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า หลวงปู่เขียว วัดหรงบล เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้


    คาถาบูชา: " นะโมนมัสการ พระอินทมุนี โพธิสัตโต อาราธนานัง นะมามิหัง นะโมพุทธายะ "


    มรณภาพ


    "พ่อท่านเขียว" ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2519 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 1ค่ำ เดือน 7 ด้วยโรคชราตามสังขารอายุ รวมได้ 95ปี 74 พรรษา




    ความศักดิ์สิทธิ์ของ พ่อท่านเขียว วัดหรงบล อีกอย่างหนึ่งที่เกือบทุกคนรู้กันดีทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหลังจากพ่อท่านเขียวท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดได้เก็บรักษาสรีระของพ่อท่านไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า สรีระร่างกายของพ่อท่านเขียวท่านไม่เน่าเปื่อย และไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันครบกำหนดประชุมเพลิง สรีระของท่านเผาไฟไม่ไหม้ แม้แต่ จีวร ที่ห่อหุ้ม สร้างความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ปัจจุบัน สรีระร่างอันอมตะของ พ่อท่านเขียว ก็ยังประดิษฐานอยู่ใน***บแก้วที่วัดหรงบน ทุกวันนี้จะมีผู้คนไปกราบไหว้สักการบูชาอยู่เป็นประจำ

    อ้างอิง
    มหัศจรรย์เรื่อง "หลวงปู่เขียว วัดหรงบน"
     
  8. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ที่กล่องเขียนว่าหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
    พระผงว่านมหามงคลรวยxรวย รุ่นโภคทรัพย์ค่ะ
    ไม่รู้วัดไหนเหมือนกันค่ะน้องmotana2008
    พี่ถูกเลขท้ายสองตัว 38 หนึ่งใบค่ะ
    (พรุ่งนี้ไปทอดผ้าป่าวัดสุวรรณคีรีสงขลาค่ะ):d
    แต่เดือนนี้โชคดีค่ะน้อง

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2012
  9. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ไปถึงวัดหรงบล 9.18 น. วันนี้มีญาติธรรมมาร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร
    กันอย่างเนื่องแน่น ถึงวัดก็แวะทานอาหารเช้าค่ะ เพราะมีญาติธรรมผู้ใจบุญนำอาหารมาเลี้ยงญาติโยมกันวันนี้ อาหารอร่อยมากค่ะ ทานกันอิ่มท้อง
    ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพ่อท่านเขียวค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  10. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ทางวัดนำเอาวัตถุมงคลมาให้บูชาด้วยค่ะ
    อยากได้พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณด้ามเล็กไปไม่ทันค่ะ หมด
    มีแต่ขวานกับพระเครื่อง กุมาร ฯลฯ ค่ะ
    วันนี้พระอาจารย์สมนึกนำพระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เนื้อว่านซึ่งวัดหรงบนสร้าง
    เพื่อป้องกันภัยภิบัติที่จะเกิดขี้น จำนวนหมื่นองค์ หมดในเวลาช่วงบ่าย
    ท่านให้บูชาพร้อมเทียน ดอกบัว ธูป ผงแป้ง ร่วมบุญชุด 100 บาท
    เพื่อใช้ในพิธี
    คาถาประจำองค์พระ
    ภะ สัม สัม วิ สะเทภะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    นำมาให้อ่านค่ะ
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR bgColor=#958d68><TD hight="30">[SIZE=+2]<CENTER>ว่าด้วยยันต์เกราะเพชร</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2> พอดีไปอ่านเจอมาเลยเอามาแบ่งปันกันครับ

    ยันต์เกราะเพชร

    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดนครศรีอยุธยา องค์บูรพาจารย์ของหลวงพ่อ เป็นต้นตำรับการเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อเมตตาเล่าว่า งานเป่ายันต์แต่ละครั้ง เรือแพแน่นขนัดไปทั้งแม่น้ำ เดินข้ามไปอีกฝั่งได้สบาย ๆ ผู้คนหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน หุงข้าวพร้อมกันทีละแปดกระทะ ตั้งแต่เช้ายันเย็นยังไม่พอเลี้ยงคนเลย...!

    ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงปู่ปานศึกษาจากตำราพระร่วง โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้นมาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า



    อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
    ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
    ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
    โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
    ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
    คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
    วา โธ โน อะ มะ มะ วา
    อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ

    บางคนเรียกว่า คาถาปิติปิโสแปดทิศ เขียนแล้ว ชักสูตร จะออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร

    วันเป่ายันต์ เป่าได้เฉพาะ วันเสาร์ห้า คือ ต้องตรงกับ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนใดก็ได้ ผู้รับยันต์ต้องมี ธูปเทียน ๑ ชุด เป็นเครื่องบูชาพระ ถ้าเป็นหญิงมีครรภ์ ต้องจัดธูปเทียน เผื่อลูกในท้องอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้ไม่ต้องจุด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว นำกลับบ้านได้ ใช้สำหรับไล่ผีชะงัดนัก เอาธูปเทียนจี้เข้า ผีเผ่นกระเจิง...!

    การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว "พระ" ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง...

    หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี...

    ยันต์เกราะเพชรคือพุทธานุภาพ ขณะที่เราหลับตาภาวนา พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมา ครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์ หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา...

    เมื่อ ยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน ๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง...

    ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน หรืออะไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและ บริวาร จะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้ คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว...!

    การเป่า ยันต์เกราะเพชร เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย...

    การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือห้ามกินเหล้า และห้ามลักขโมย ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา "พุทโธ" ให้ใจสบาย แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชร จะคุ้มครองรักษา ให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ...

    ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้

    ๑. จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
    ๒. จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
    ๓. ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
    ๔. ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง

    ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...

    ลูก ศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน...

    รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด คุณแม่รายหนึ่ง เกรงว่าลูกจะเสียโฉม ให้หมอตำแยเอาเหล้่าพ่นพรวดเดียว ยันต์หายวับไปเลย...!

    หลวงพ่อเริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ที่ ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ ครั้งที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน ศาลา ๒ ไร่ ที่ยังไม่เสร็จดี ต้องเปิดรับคนจ</TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )

    อ้างอิงข้อมูล
    http://www.pantown.com/board.php?id=35272&area=4&name=board7&topic=25&action=view
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ภาพพิธีบวงสรวงช่วงเช้าค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  13. motana2008

    motana2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4,929
    ค่าพลัง:
    +10,336
    ยินดีด้วยครับพี่นวล
    ว่าจะแอบถามแระ พอดียุ่งๆจนลืมวันเลขออก อดเลย 555:'(

    เดินทางปลอดภัย หลวงปู่คุ้มครองนะครับ อนุโมทนาด้วยครับพี่
     
  14. กล็อก 19

    กล็อก 19 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +77
    ผมสังสัยว่า ผมเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานล้มอย่างแรงได้แผลถลอก ไหนคอตอนนั้นห้อยหลวงพ่อทวดของพ่อท่านพรหม ทำไมท่านไม่ช่วยผมให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุหรือเพราะว่าผลกรรมที่ผมเคยทำไว้ต้องได้รับ ท่านเพียงแค่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
     
  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ภาพพิธีช่วงเช้าต่อค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  16. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ค่ะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมค่ะ...
    หลวงปู่ดู่บอกใครจะใหญ่เกินกรรม
    พี่เองก็แขวนพระหลวงพ่อทวด เกิดอุบัติเหตุปีที่แล้ว (อยู่ในเคราะห์)
    ท่านช่วยจากหนักเป็นเบาค่ะ

    ภาวนาอย่างเนืองนิจ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครอง
    อยู่อย่างไม่ประมาท มีสติ
    หมั่นสร้างบุญกุศล เหลือเวลาไม่มากนัก :d
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2012
  17. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ช่วงบ่ายค่ะ
    เริ่มพิธีในเวลา 13.00 น.
    เป่า 3 ครั้ง วันนี้มีหลายหลายกรี๊ดร้อง
    ครั้งนี้มีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมากค่ะ
    พระอาจารย์สมนึกท่านเมตตาญาติโยมมากคะ
    พระอาจารย์อุทัยวัดวิหารสูง จังหวัดพัทลุงท่านมาร่วมพิธีด้วยค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2012
  18. monkeyboy55

    monkeyboy55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2007
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +545
    เห็นด้วยกับพี่นวลครับ บางทีท่านอาจช่วยแล้ว แต่ผ่อนหนักเป็นเบาแทน

    แม้แต่พระพุทธเจ้า ในชาติสุดท้ายตามพุทธประวัติ ท่านบรรลุแล้วก็ยังต้องใช้กรรมบางส่วนที่เหลือยู่เพียงแต่เบาบางลงครับ

    กรรม ยิ่งใหญ่ที่สุดครับสำหรับผู้มาเกิดอีก
     
  19. monkeyboy55

    monkeyboy55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2007
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +545
    สอบถามหน่อยครับ เรื่อง ลป ทวด 05

    ผมไปได้ยินมาว่ามีพระสว่นหนึ่ง เป็น หลังหนังสือ ได้หายไประหว่างขนส่งทางรถไฟ ทำให้ไม่ได้เข้าพิธีเสก

    ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ครับพี่ๆ
     
  20. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    กราบคุณครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    พระอาจารย์สมนึก พระอาจารย์อุทัย
    พระอาจารย์ทั้ง 2 เมตตาจารแผ่นตะกั่วให้ค่ะ
    ขอบพระคุณคุณพี่ธนกร การามหิโต กราบเรียนพระอาจารย์อุทัย
    เรื่องขอเมตตาท่านจารแผ่นตะกั่วเพื่อหล่อพระ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...