ถึงคุณ สับสน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 27 เมษายน 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทุกข์มี แต่ไม่มีใครที่เป็นทุกข์
    หมายถึง ทุกข์ในที่นี้คงหมายถึง ทุกข์เวทนา และ ทุกข์จากขันธ์5 เป็นลักษณะธรรมที่ปรากฎ เกิดขึ้นมาชั่วขณะแล้วดับไป ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตน คนสัตว์หรือเรา ของเรา
    ซึ่งลักษณะเช่นนี้ เป็นลักษณะไตรลักษณ์
    ส่วนคำว่า ไม่มีใครที่ทุกข์ เพราะว่า สภาพธรรมนั้นก็ไม่ใช่เรา ของเรา หรือของใคร


    สุขมี แต่ไม่มีใครที่สุข
    หากพูดถึงสุขเวทนาแล้ว ก็ไม่ใช่สุขที่ยั่งยืน ไม่พ้นไตรลักษณ์ สุขนั้นก็คือทุกขลักษณะ
    มีความไม่เที่ยง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนสัตว์ที่สุข แต่เป็นธรรมที่ปรากฎ เป็นรูปนามที่เกิดขึ้นมา หากสาวไปที่ปฎิจสมุปบาท เหตุของนามรูป คือวิญญาณ เหตุวิญญาณคือสังขาร จนไปถึงอวิชา นี้ก็แสดงได้ว่าที่หลงสุขว่าเป็นเรา ของเรา เพราะโมหะปกปิดอยู่


    ต่อมา คำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขนี้เป็นสุขเพราะหมดความยึดมั่น หมดกิเลสบีบคั้น หมดเหตุปรุงแต่ง แต่ก็ยังอยู่ในกฏอนัตตา คือความไม่ใช่เรา ของเรา คนสัตว์ บุคคล ตัวตนที่ไปสุขไปเสพ ที่จริง สุขนี้ไม่ได้หมายถึงสุขแบบสมาธิ บรมสุข หรือสุขเวทนา




    นิพพานมีแต่ไม่ใครได้ไปถึง
    นิพพานเป็นปรมัตถ์ธรรม ที่ข้าม อนิจจัง ทุกขัง แต่มีลักษณะธรรมเป็นอนัตตา อย่างที่ขยายไปแล้ว
    คำว่าไม่มีใครไปถึง เพราะว่า สลัดความยึดมั่น ถือมั่นเป็นเรา ของเรา ตัวตน คนสัตว์สิ้นเชิง
    จึงกล่าวว่า ไม่มีผู้เข้า จึงถึงซึ่งพระนิพพาน
    ต่างจากผู้ยึดมั่นสำคัญว่าเข้าถึงพระนิพาน ขณะนั้นเขาก็ยังมั่นหมายว่าตน จิตตนถึงพระนิพพาน
    ซึ่งเป็นลักษณะอัตตา บรมอัตตาที่ยังมีอยู่ ตรงนี้จึงมองว่านิพพานก็เป็นอัตตาไปด้วย


    นี่ต้องไม่ลืม ว่านิพพานเป็นปรมัตถ์พ้นจากบัญญัติสิ้นเชิง ในปรมัตถ์ก็ไม่มีความเป็นเราของเรา หรือของใคร ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่มีรูป ไม่คน ไม่มีสัตว์ ไม่ใช่สูญ แต่มีความสูญเป็นลักษณะ


    เป็นความเห็นนะครับ
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เจตนาที่คุณสื่อคลุมเครือ และ ซ่อนเร้น มีทั้งเป็นไปได้ และ เป็นไปไม่ได้ครับ

    ผู้ที่ไม่มีตัวตนย่อมไม่เกิดสุข หรือ ทุกข์ เพราะเป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่บนโลก

    แต่หากยังมีตัวตนอยู่บนโลก ย่อมมีความสุข และ ความทุกข์ ย่อมต้องมีครับ

    ส่วนนิพพาน หากกล่าวในยุคสมัยนี้ ต้องยอมรับว่ามีน้อย จนถึงน้อยมากๆ

    ที่จะเข้าถึงพระนิพพานครับ เพราะความมุ่งมั่นของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้มีน้อย

    แต่พระนิพพานนั้นมีอยู่จริง มีอยู่ในส่วนที่จะเรียกว่า ทุกที่บนโลกใบนี้

    มีอยู่ที่ตนเอง ไม่ว่าตนเองจะอยู่ที่ใด ที่นั่นก็มีพระนิพพาน อย่างชัดเจน

    แต่หากจะให้กล่าวแบบชี้ชัดนั้นเป็นสิ่งที่สื่อสารให้เข้าใจได้ยาก เพราะ

    เป็นสถานที่ ที่ไม่มีให้เห็น ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริง แต่มีอยู่จริง

    สาธุครับ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ละบาปอกุศล ต้องละที่ใจ วางที่ใจ เอาใจละ เอาใจวาง เอาใจถอน จึงใช้ได้....

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     
  4. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29

    ท่านกล่าวดีแล้ว แถมยังขยายความได้เยี่ยม สาธุึขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2012
  5. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    ธรรมะเป็นของยากครับ

    เหตุเพราะสวนกระแสสังคม

    แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับเราๆนะครับ

    ให้เริ่มจากง่ายๆ ไปก่อนครับ

    สวดมนต์บทง่ายๆ ซัก 2-3 บท จำให้ขึ้นใจ

    นั่งสมาธิวันละ 15 นาที พุํธ-โธๆๆ ไป

    เดินจงกรมได้้่ด้วยก็ดี ทุกวันๆ ห้ามขาด

    ศีลก็รักษาให้ไม่ด่างพร้อยเกิน 3 ขึ้นไปได้ก็ดี เหตุเพราะ บางทีเราอาจต้องไป

    ผิดศีลเพราะอาชีพของเรานั่นแหล่ะ

    ศึกษาพุทธประวัติขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาบ้างก็ดี

    เช่น ดูการ์ตูนธรรมะ หนังสือพุทธประวัติ ฯลฯ

    คิดถึงเรื่องว่าเราต้องตาย ทุกครั้งหลังอาหาร

    ทำได้แบบนี้นานเข้า นานเข้า มันก็จะดีเองครับ

    ไม่ต้องไปรีบร้อน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆให้ซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ

    ถ้ารีบก็เหมือนกับ เอาอวนเล็กจับปลาใหญ่นั่นแหล่ะครับ อวนมันก็จะขาด

    สมถะบ้าง วิปัสนาบ้าง ทำแบบโง่ๆไป

    ที่สำคัญคืออย่าหักโหม เวลาพักให้พัก เวลาหิวให้กิน พักก็พักพอประมาณ กินก็กินพอประมาณ

    FOCUS AND RELAX

    สู้ๆครับ ทุกคน ไม่ต้องวิ่งไวเท่าใครเขา จงวิ่งเท่าที่เราวิ่งไหว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2012
  6. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    โอ้ๆ

    ผมจะรบกวนกระทู้ของคุณ oatthidet มากไป

    ขออภัยด้วยครับ

    เชิญคุณ oatthide แสดงธรรมต่อเถิดครับ
     
  7. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอกราบท่าน oatthidet ท่านอย่ากล่าวเลยว่า นิิพพานไม่มีใ้ห้เห็น

    ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริง


    ซึ่งกระผมขอยกตัวอย่างเช่น กาแล็กซีแอนโดรเมดา ข้างๆกาแล็กซี่เรานี่ เราก็

    มองไม่เห็น แต่ก็มิได้หมายความว่า ไม่สามารถมองเห็นได้ เราเพียงแค่

    มีเทคโนโลยีไม่เพีัยงพอก็เท่านั้น

    ฉันใดก็ฉันนั้น..

    หากกระผมกล่าวผิดพลาดอย่างไร ก็ขอให้ท่าน oatthidet ช่วย

    ชี้แนะผู้ปัญญาน้อยคนนี้ด้วยเถิด
     
  8. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ...
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เจษฎรธรรม [​IMG]
    ขอร่วมเสวนาธรรมด้วยอีกคนครับ

    ทุกข์มี แต่ไม่มีใครที่เป็นทุกข์

    สุขมี แต่ไม่มีใครที่เป็นสุข

    นิพพานมี แต่ไม่มีใครได้ไปถึง

    ....


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละวาง คือหยุด เมื่อหยุดแล้ว ก็ถึงได้ใช่มั๊ยคะ
    แต่ที่ไม่ถึงจึงน่าจะเกิดจากที่เราๆ ท่านๆ หยุดกันได้ไม่จริง ละวางกันได้ไม่จริง และพยายามที่จะไขว่คว้า หาทางเพื่อให้ไปถึง ยิ่งวิ่งคือยิ่งดิ้น ไม่ได้ทำให้หายทุกข์แต่เป็นการทำให้เห็นทุกข์เพื่อให้ละวางทุกข์นั่น
    หากหยุดได้ ฉันว่าก็จะเป็นอย่างที่คุณพูดมาค่ะ

    ทุกข์มี แต่ไม่มีใครที่เป็นทุกข์(ไม่ยึด)
    สุขมี แต่ไม่มีใครที่เป็นสุข(ไม่ยึด)
    นิพพานมี และมีคนที่ไปถึงและทำได้(ไม่ยึดทั้งทุกข์และสุขและเลือก คิด พูด ทำ ตามควรด้วยสติ)

    :cool:

    สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ยังมีอยู่ ตามสมมุติ แต่ใจไม่ยึดสมมุติ จึงไม่ทุกข์กับสมมุติที่มี ที่เป็น ที่เกิด เพราะรู้เข้าใจ และเห็นแล้วว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แค่สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มีเพียงใจ ที่ไปยึดสมมุติมาเป็นเราหรือไม่ หากยังยึดอยู่ก็ยังต้องทุกข์กับสิ่งที่เป็นไป ด้วยโลกธรรม สิ่งห้ามยากทั้งหลาย
    เพราะยังมีเราไปต้องการ จึงกลายเป็น...
    ....
    ทุกข์มี และมีผู้ที่เป็นทุกข์(ยึดทุกข์)

    สุขมี และมีผู้ที่เป็นสุข(ยึดสุข)

    นิพพานมี แต่ไม่มีใครได้ไปถึง (เพราะขาดสติ จึงหลงตาม ไหลตามการกระทบ)
    ....
    โลกธรรมที่เป็นสิ่งห้ามยาก และมีเราไปต้องการให้เป็นอย่างที่ต้องการ ทุกอย่างจึงมีหมด เพราะการยึดของใจ จึงแตกความคิดความเห็น(อุปทาน) เพื่อสนองความต้องการให้มี ให้เป็น อย่างที่ต้องการ
    จึงมีเรา(จิต) รองรับความอยาก ความต้องการเหล่านั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2012
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ไม่รู้สึกขัดแย้งกันเองบ้างหรือที่พูดเองว่า

    ทุกข์มี แต่ไม่มีใครที่เป็นทุกข์

    สุขมี แต่ไม่มีใครที่เป็นสุข

    นิพพานมี แต่ไม่มีใครได้ไปถึง


    เมื่ออะไรๆมันไม่มีแล้ว

    เพราะไม่มีผู้ได้รับผู้เคยเข้าถึง ก็เหมือนไม่มีใช่หรือไม่?

    แล้วไปกลัวอะไรกับความยากและที่ลึกซึ้งหละ

    ก็ของมันไม่มีอยู่แต่ต้นแล้ว

    ทำไมต้องไปรักษาศีล ทำสมาธิ พิจารณาให้เกิดปัญญา

    ทุกข์ก็ไม่มีอยู่จริง สุขก็ไม่มีอยู่จริง พระนิพพานก็ไม่มีอยู่จริง

    เพราะอะไรหละ เพราะผู้รับก็ไม่มี ผู้เข้าถึงก็ไม่มีใช่หรือไม่?

    อย่าทำให้ศาสนาพุทธต้องกลายเป็นเรื่องโกหกพกลมไปเลย บาปจริงๆนะ

    ถ้าสุข ทุกข์ พระนิพพานมีอยู่จริง

    ต้องมีผู้ได้รับและผู้เคยเข้าถึงอยู่จริงสิ

    เมื่อไม่มีก็แสดงว่าล้วนเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งสิ้นใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2012
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    คำพูด ตีความไปได้หลายอย่าง ตามภูมิธรรมของตน
    ถ้ายึดคำพูด และตีความกันไปแล้ว มีแต่จะแย้งจะขัดกัน

    จริงไม่จริง ใช่ไม่ใช่ ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ยังมีผิดมีถูก
    สู้ปฏิบัติให้รู้เห็นจริงด้วยตนเองจะดีกว่า....


    อนุโมทนาสาธุ ทุกๆท่าน ครับ
     
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พระนิพพานในความเห็นของผมนั้น คือ ความว่างเปล่าจากการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงครับ

    จึงไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มีอยู่จริง ผู้ที่มีจิตที่ไม่ปรุงแต่งจะได้สัมผัสกับอารมณ์แห่งพระนิพพาน

    ผมจึงกล่าวเช่นที่กล่าวมาครับ อันตัวผมเอง ก็เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นครับ

    ผมเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่งครับ ไม่ได้เป็นผู้วิเศษครับ หากสนทนาทางธรรมผมคงพอสนทนาได้ครับ

    แต่ครั้นจะให้ไปชี้แนะ ผมคงยังไม่ถึงที่ควรเป็นเช่นนั้นครับ

    สาธุครับ
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาสาธุครับ เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ครับ

    สาธุครับ
     
  14. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29


    ขอกราบท่าน ธรรมภูต ครับ

    กระผมเพียงแค่กล่าวในรูปธรรมที่ง่าย

    เพื่อให้อินทรีย์มีความแก่กล้าขึ้น
    เมื่ออินทรีย์มีความแก่กล้ามากพอแล้ว

    ก็จะสามารถเข้าใจธรรมในชั้นสูงๆต่อไป

    บุคคลผู้ฟังธรรม 108 อย่าง 108 จบ จา่กอาจารย์ 108 ท่าน

    หากแต่อินทรีย์ยังไม่มีความแก่กล้า ก็ยังไ่ม่สามาถบรรลุธรรมได้ครับ

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ ท่าน ธรรมภูต



    ทุกข์มี แต่ไม่มีใครที่เป็นทุกข์

    สุขมี แต่ไม่มีใครที่เป็นสุข

    นิพพานมี แต่ไม่มีใครได้ไปถึง


    ส่วนเรื่องนี้ท่าน หลงเข้ามา ก็ได้สาธยายไว้อย่างดีแล้วครับ
     
  15. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    เห็นด้วยครับ
     
  16. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29

    ขออภัยอย่างสูงครับ ท่าน ธรรมภูต กระผมพลาดแล้ว กระผมกล่าวผิดแล้ว

    กระผมเดาสวด

    กระผมเป็นนัตถิกทิฐิเสียจริง
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................อย่ายอมง่ายง่าย สิครับ ต้องอธิบายว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.....:cool:
     
  18. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ"พระคุณเจ้าธัมมวิตักโกภิกขุ (อดีต)พระยานรรัตน์ราชมานิต
    วัดเทพศิรินทราวาส ท่านกล่าวไว้น่าฟังมาก...

    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"

     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    การแสดงออกถึงการถ่อมเนื้อถ่อมตัวเป็นเรื่องดีควรยกย่อง

    แต่การถ่อมตัวเพื่อให้พ้นผิดจากเรื่องที่กระทำ

    โดยการนำเอาธรรมะที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์มานำเสนอนั้น


    เป็นเรื่องที่ต้องถกเพื่องค้นหาความจริงใช่หรือไม่?

    ถ้าไม่มีใครเป็นทุกข์จริงอย่างที่พยายามนำเสนออยู่นั้น

    พระพุทธองค์จะต้องทรงออกค้นหาอมตะธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ไปทำไม?

    ถ้าไม่มีใครเป็นสุขจริงอย่างที่ว่า

    พระพุทธองค์จะทรงสอนตรัสเรื่องสุขที่ปราศจากอามีสในสมัยที่พระราชกุมารไปทำไม?

    ถ้าพระนิพพานไม่มีใครไปถึงจริงอย่างที่พูด

    แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในครั้งตรัสรู้ใหม่ๆว่า

    "จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"นั้น

    ก็เป็นการมุสาสิ เมื่อมีคนยืนยันกันหนักแน่นว่า


    "พระนิพพานไม่มีใครไปถึงจริง"

    มีแต่การตรัสรู้เท่านั้น ผู้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริงใช่หรือไม่?

    เวรกรรม เวรกรรมจริงๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลานรัก

    เมื่อนั่นไม่ใช่ของเรา แล้วที่ใช่เราหละหายไปไหน?

    แบบหลักทวินิยมก็เสียหายหมดสิ

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล

    ที่สามารถพิสูจน์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ใช่หรือไม่?

    ไม่ใช่ศาสนาที่เอาแต่โกหกพกลมไปวันๆว่า

    มีแต่การปล้น ผู้ปล้นไม่มีจริง ตำรวจไม่ต้องออกไปจับ

    มีแต่ทุกข์ ผู้เป็นทุกข์ไม่มี แบบนี้จะต้องเดือดร้อนไปทำไมในชีวิต?

    มีแต่สุข ผู้เป็นสุขไม่มี แบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาสร้างบุญกุศลไปทำไม?

    มีแต่พระนิพพาน ผู้เข้าถึงไม่มีอยู่จริง

    แบบนี้ก็แสดงว่า พระพุทธองค์และอริยสาวกไม่มีอยู่จริง

    ล้วนเป็นเรื่องมุสาทั้งนั้น แม้เรื่องพระนิพพานก็เช่นกัน

    หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าโกหกทั้งเพ เพราะบาปบุญ คุณโทษก็ต้องไม่มีผู้รับจริงสิ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...