ถึงคุณ สับสน

มาฟังปู่ เป็นเรื่อง เป็นราว เขารู้ได้ครับ
ลองอ่านๆดูแล้ว คลื่นเขากระเพื่อมเป็น ครับ
ปู่ๆ โอฬาร
ดูไหม๊ดู ดูไหม๊ดู ดูไม่เสียตางค์

 

การตีความ ไม่มีผิดใช่ไหมครับ ผู้ใดตีความก็ถูกหมดใช่ไหมครับ

แค่บอกว่า ใจ กับ จิต เป็นตัวเดียวกัน งั้นที่พระอาจารย์ทั้งหลายลอกกล่าวไว้ว่า

ฝึกจิตให้เห็นใจ หรือ ฝึดจิตให้ถึงใจ นี่ก็คือตัวเดียวกันสิครับ งั้นจะไปเห็นใจทำไมครับ

เพราะจิตก็คือใจ ก็ดูจิตเห็นแล้ว จะฝึกจิตให้เห็นใจไปเพื่ออะไรครับ

สาธุครับ

 

ถ้ารู้กัน ก็ไม่น่ามาถามเพื่อลองภูมิครับ มันเป็นเรื่องเจตนาของตนถามล้วนๆ

ควรจะสนทนาเพื่อให้ปัญญามันไปต่อได้

 

ผมได้บอกกล่าวไว้ว่า กาย ใจ จิต จึงเกิดการปรุงแต่ง

หากเป็น จิต ใจ กาย จะเป็นอย่างไรครับ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน ความหมายชัดเจนดีครับ

สาธุครับ

 

ก็เป็นการเล่นสำนวนของสำนักนั้นๆมากกว่า

ผู้ปฏิบัติควรใช้หลักกาลามสูตร ไม่ใช่เชื่อสัทธรรมปฏิรูป

บางทีใช้คำผิด ไปตรงกับสัญญาเดิมผู้ฟัง ก็ตีความผิด ไม่ตรงกับเจ้าของสำนักต้องการสื่อก็ได้

 

คุณ หลงเข้ามา ได้อ่านตั้งแต่เริ่มแรกไหมครับ นั่นคือที่มา ที่ทำให้ผมถาม

เมื่อผู้รู้แสดงออกว่ารู้ ผมควรที่จะถามไหมครับ เพราะผมตอบเขาก็ค้นหาความผิด

ไม่ว่าจะผิดไหม เขาก็ว่าผิด แต่เขากลับตอบออกไปจากที่ผมอธิบายไม่ได้

บ่งบอกว่าอะไรครับ เที่ยวไปว่าผู้นั้นไม่รู้ ผู้นี้ไม่รู้ แต่ตอบแบบที่เขาตอบ

สาธุครับ

 

ดีแล้ว อยากฟังอะไรก็ไปหามาฟัง ชอบอะไรก้เข้าหาสิ่งนั้น ปล่อยให้ไหลไปตามที่ชอบ

 

หลวงปู่มั่นก็บอกกล่าวไว้ครับ หลวงปู่เทศน์ก็บอกกล่าวไว้ครับ

หลวงปู่ชาก็บอกกล่าวไว้ครับ หลวงปู่หลายๆท่านก็บอกกล่าวไว้ครับ

พระอาจารย์ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เชื่อถือได้ไหมครับ

สาธุครับ

 

ผมไม่รู้ว่าทำไม คุณ หลงเข้ามา ถึงได้เข้ามายุ่งในเรื่องนี้ครับ

กลุ่มของ คุณ สับสน ก็โต้แย้งกันพอสมควรแล้ว คุณเป็นกลุ่มเดียวกับเขาหรือครับ

จึงได้เข้ามายุ่งในเรื่องนี้ครับ

สาธุครับ

 

ท่านๆที่รู้ธรรมหรือบรรลุธรรมทั้งหลายตอบกระทู้ก็เพื่อมุ่งหวังช่วยผู้ที่ยังรู้ธรรมน้อยให้รู้ธรรมมิใช่หรือครับ มีดีอะไรก็แนะนำบอกกล่าวแก่ผู้ไม่รู้ที่เข้ามาขอคำแนะนำไป
ใช้คำให้มันรื่นหูรื่นสายตาดีกว่าครับ

 

อนุโมทนาสาธุครับ ควรจะเป็นเช่นที่กล่าวมาอย่างยิ่งครับ

สาธุครับ

 

ก็ เห็นด้วยนะ ที่คุณใส่ใจเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ฟังดู เหมือนคุณจะพยายามให้ เจตสิก มีความหมายว่า ใจ ให้ได้

เจตสิกนั้น เป็นสังขารขันธ์ครับ

สังขารขันธ์ เป็นนามขันธ์ เป็นส่วนที่ปรุงแต่งอารมณ์ ประกอบด้วย สัญญา เวทนา สังขาร หรือนามขันธ์ ๓

พอถึงตรงนี้ คำว่า จิต เจตสิก รูป แล้วจะเอาเวทนาไปไว้ที่ไหนครับ

ส่วนรูป หากจะแปลแค่ กาย นั้นไม่ถูกครับ

กายทางโลก คงหมายถึง กายเนื้อ ที่มีแขน ขา จมูก เป็นตัวตนขึ้นมา เป็นกายอัตตา กายสมมุติ

แต่ทางธรรม หมายถึง รูปทั้งหมด รูปธาตุ รูปธรรม มหาภูตรูป รูปอนาคต รูปอดีต รูปปัจจุบัน จักขุรูป โสตรูป ฆนะรูป ฯลฯ

 

คุณมาตั้งกลุ่ม แยกกลุ่ม คิดเองเออเองอีกแล้ว..กลุ่มของคุณล่ะ..กลุ่มผมนี่ทั้งบอร์ด ยกเว้นเจ้านายหรืออาจารย์คุณ เจ้านิวรณ์ เล่าปัง สมาชิกบุคคล..ที่3
คุณเริ่มมั่วแล้ว ถามเอาความ พอตอบให้ก็เฉไฉออกไปไหนอีกคุณจะถามทำไมเจตสิกแปลว่าอะไร..พอตอบแล้วต้องการอะไรอีก

 

ส่วนนี้อยู่ที่ไหนครับ จะอธิบายมากมายเพียงใด แต่หากความหมายเท่าเดิม

จะเกิดประโยชน์อะไรครับ ต้องมองที่ประโยชน์ครับ หากอธิบายแก่ผู้ที่มีความสงสัยมาก

ก็เป็นเหตุอันควรครับ แต่ผู้ที่มีความสงสัยน้อย ก็ไม่จำเป็นครับ

ที่ยกมานี้มีอธิบายไว้ละเอียด เพราะภูมิความรู้ที่ไม่เท่ากัน และ มีความสงสัยที่ไม่เท่ากัน

สาธุครับ

 

ก็ตอบไปตามโอกาส ที่คุณถามมา

หากการตอบคำถามที่คุณถามมา กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก

และทำให้คุณเสียสมาธิจนส่งจิตออกนอก ไปมุ่งที่ตัวบุคคล หรือการแบ่งก๊กแบ่งเหล่า นี้พวกเรา นี้ไม่ใช่พวกของเรา

มากกว่าข้อธรรมก็ขออภัยที่ทำให้คุณมีความคิดอกุศลเกิดขึ้นครับ

 

ผมมีคนเดียวครับ และ ก็กำลังทำแบบที่คุณทำอยู่ครับ

คุณตอบมาทั้งๆที่คุณก็รู้อยู่ และ ผมก็ไม่ได้เฉไฉด้วยครับ

ผมถามว่า ใช่ ใจ ไหมครับ สรุปว่าคืออะไรครับ

คุณไม่ตอบให้ชัดเจนนี่ครับ

สาธุครับ

 

การแสดงออกชัดเจนเกินไปครับ ผมก็ไม่เคยไปยุ่งนะครับ เวลาที่คนเขาเจรจากัน

ผมตั้งกระทู้ชัดเจนนะครับ และ คุณ สับสน ก็ตามด่าผมอย่างชัดเจน

และ เนื้อความที่ผมตั้งกระทู้ก็ชัดเจน ว่าผมเตือนด้วยความหวังดี

แต่คุณดูสิครับ ว่าอะไรที่เกิดขึ้น พวกมากน่ะดีครับ แต่ชวนกันไปทางที่ดี

จะดีกว่านะครับ ไม่ใช่มารุมซ้ำเติม เพื่อการเอาชนะ

สาธุครับ

 

พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นของยาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ใช่เรื่องง่าย

พระปัญญาที่ทรงพบธรรม ทรงบัญญัติธรรม และทรงสั่งสอนนั้นเป็นของลึกซึ้ง

ที่ยกมา เพราะฟังทัศนะคุณมันไปทางนั้น

หากเข้าใจผิด ขอคุณจงขยายเรื่องรูปเถิด จะได้เข้าใจตรงกัน และเสริมเติมในสิ่งที่ผมยังเข้าใจอยู่

 

เอ้า พี่สับสน ก็เห็นอยู่ว่า ผมทักว่า เขาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า

ไอ้คนเป็น ปัจเจกพุทธเจ้า ที่มันผุดขึ้นขณะที่มี ศาสนาดำรงค์อยู่ เท่านี้
มันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า ใครมีภูมิปัญญาอยู่ตรงไหน

แล้วมันเป็นไปได้เหรอ ที่ พระปัจเจกพุทธเจ้า จะตามก้น คอยก็อปปี้คำสอน
คนอื่นเขา โดยเฉพาะ ก๊อปปี้คำสอนของสาวก ที่ต่ำกว่าตน

ดังนั้น โดยพฤติกรรม และ การปรวณาของ โอ๊ตติดเด็ก เนี่ยะ พี่สับสนไม่สมามรถ
จะปรักปรำเขาได้ว่า เขาก๊อปปี้คำสอนของใคร

พี่เกิดบอกว่า เขาเรียนมาจากพระท่านนั้น แล้วบอกว่า ผมเห็นเป็นพวก นี่แปลว่า
พี่เกิดไม่รู้เรื่อง ไม่ใช้ปฏิภาณไหวพริบพิจารณา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็น
พวกเดียวกัน

****************

สำหรับ คำสอนเอี้ยๆ คือ คำสอนชนิดที่ ปรักปรำว่าเขาภาวนาอย่างนั้น อย่างนี้
คือ ไปชี้เอาแต่ที่ผิด แต่ไอ้ที่ถูกเสือกไม่พูด ( ซึ่ง คนที่เขาสอนถูก ที่พี่เกิด
ไปฟังเขามา อันนั้น เขากล่าวครบถ้วนกระแสความ ถ้าจะ ปล่อยให้ขาดหาย
ก็จะเสริมด้วยการท้าให้มา พิสูจน์ ซึ่ง ถือว่า ครบถ้วนกระแสความ ผิดกับ พี่เกิด
ที่จำเอามาพูดเพื่อ ยัดเยียดความโง่ว่าเขาเป็นอย่างเดียว โดยไม่เปิด โอกาส
ให้ชี้แจงเลย ...จะเห็นว่า ต่างกันนะ ไม่เหมือนกัน ในวิธีพูด )

เหมือนไอ้เอี้ยหลงเนี่ยะ มาทัก ทักแล้ว ก็ไม่พูดสิ่งที่ถุก พอถามสิ่งที่ถูก มันทะลึ่ง
บอกเหนื่อยนะ ต้องพูดซ้ำ ก็เอี้ย คำสอนของมึงมันเอี้ย มันไม่ใช่คำสอนที่ ชี้มรรค

แต่เป็น ลักษณะการพูดลอยๆ ไม่สามารถชี้ทางได้ ได้แต่ พร้ำเพ้อ เจ้อๆไปวันๆ ต้อง
ถูกหวยจริงๆ คนถึงจึงจะอือ จะออ แล้วก็ดีใจว่า ได้พวก

สุดท้าย พวก ก็ ล้มหาย จากไป ทีละคนสองคน เหลือแต่ตัวเอง ที่ยังหลงเพ้อเจ้อได้
อยู่ว่า ข้ารู้ ข้าแน่ ข้าหนึ่ง ข้าถูก

 

ผมบอกกล่าวไปชัดเจนแล้วครับ ผมบอกกล่าวในสิ่งที่ผมรู้ไปแล้ว

และ ผมก็เชื่อในสิ่งที่ผมได้รู้ ได้เห็น ว่าเป้นหนทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากการเกิด

สาธุครับ