ถึงคุณ สับสน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 27 เมษายน 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ สับสน ครับ คุณเคยชี้ให้ใครเห็นจิตไหมครับ

    ผู้ที่เห็นจิตแล้วจะสามารถชี้ให้ผู้อื่นเห็นจิตได้ด้วยครับ

    ผมชี้ให้ผู้อื่นเห็นจิตมาหลายคนแล้วครับ

    การที่คุณมาต่อว่าด่าทอผมอยู่นี้ ควรไหมครับ

    ผมมาบอกกล่าวเตือนเพราะหวังดี

    แต่หากคุณยังจะต่อว่าด่าทอผมอีก

    ก็สุดแล้วแต่คุณครับ บอกเตือนด้วยสงสารครับ

    สาธุครับ
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    นี่คือ ตัวอย่างของสักกายะทิฎฐิ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การบอกกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เป็นสักกายะทิฎฐิ

    คงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในโลกเป็นอย่างมากครับ

    คุณ jinny จะลองทบทวนดูใหม่ไหมครับ ว่าที่คุณโพสนี้ สมควรไหมครับ

    สาธุครับ
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทำไมจะไม่สมควร คุณคิดว่าคุณเป็นใครล่ะ
    ทำไมผมจะไม่ควรโพส คุณคิดว่าคุณมีคุณวิเศษ หรือบรรลุธรรมใดล่ะ
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมบอกกล่าวเตือนเขาในเรื่องอะไรครับ และ หากเขายังจะกล่าวอยู่เช่นนั้น

    ผมก็บอกแล้วว่า สุดแล้วแต่เขา แล้วที่คุณโพสอยู่นี่ล่ะครับ

    ผมจะมีคุณวิเศษไหมก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับคุณครับ

    เพราะถึงผมจะบรรลุธรรมจนหลุดพ้น คุณก็ไม่ได้บรรลุธรรมหลุดพ้นไปด้วย

    คุณได้อ่านไหมข้อความที่ผมตั้งกระทู้น่ะครับ หากได้อ่านคงไม่มาแสดงกิริยาเช่นนี้ครับ

    การปฎิบัติธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์ ทั้งส่วนตัว และ ส่วนรวม

    แต่หากยิ่งปฎิบัติแล้วความทรงจำไม่คงที่ หรือ ยิ่งปฎิบัติแล้วยิ่งค้นหาความผิดของผู้อื่น

    แม้แต่การหาช่องที่จะแสดงความผิดของผู้อื่น ไม่ใช่การปฎิบัติที่ควรครับ

    และ ผมก็ไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อบอกกล่าวเตือนคุณครับ ยกเว้นคุณคือคนเดียวกับคุณ สับสน ครับ

    สาธุครับ
     
  6. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    เปรต : เปรตปากเน่า[​IMG]

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <DD>กาลเมื่อ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า

    <DD>กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง

    <DD>กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี

    <DD>กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย

    <DD>ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้

    <DD>อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ พระเถระอีกองค์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน มีวิสัยเสแสร้ง แกล้งทำตนเป็นมิตรที่ดีต่อหน้าท่าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียน นินทา พูดจาด่าว่าดุจดังเป็นศัตรูกับท่าน”

    <DD>พระเถระเจ้าพอได้ฟัง คำพูดของภิกษุอาคันตุกะ จึงกล่าวถามว่า “เขาว่าอย่างไร”

    <DD>ภิกษุอาคันตุกะ จึงตอบว่า “พระเถระผู้เป็นเพื่อนอาจารย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ ชอบเสแสร้ง มากมายาลวงโลก หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีประจบคฤหัสถ์”

    <DD>พระเถระผู้มีอายุ ครั้งได้ฟังจึงยิ้ม แล้วกล่าวว่า “อย่าเลย ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ เรารู้ดีว่า เพื่อสหธรรมิกของเรา จะไม่กล่าวเช่นนั้นเป็นแน่ เรารู้จักเขามาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เป็นผู้เคร่งครัดในศีล ขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย”

    <DD>ภิกษุอาคันตุกะ พอได้ฟังจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นการสมควร เพราะคุ้นเคยอยู่ร่วมกันมานาน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาพูด ก็ด้วยความเคารพรักต่อท่านอาจารย์ ถ้ามิเช่นนั้นจะมาพูดทำไม ข้าพเจ้าก็มิเคยผิดใจกับพระเถระเพื่อนท่าน สักวัน แล้วท่านอาจารย์จะรู้ความจริงเอง”

    <DD>กล่าวดังนั้นแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นเพื่อนของอาจารย์ แล้วก็กล่าวยุยงขึ้นว่า “ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิตรกับท่าน กล่าวตำหนิติว่า ท่านเป็นบุคคลที่มักมาก จิตใจคับแคบ มีมารยาสาไถย ต่อหน้าว่าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ด้วยความรักเคารพในท่าน ข้าพเจ้าทนฟังเขาตำหนิท่านอยู่ไม่ได้ จึงนำความมาบอกแก่ท่าน จะได้ระวังตน เพราะท่านกำลังจะไว้ใจศัตรู”

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>ข้างพระเถระ พอได้ฟังภิกษุอาคันตุกะ มากล่าวดังนั้น จึงพูดว่า “อย่าเลย ท่านอย่ามากล่าวดังนี้เลย เรารู้จักเพื่อนสหธรรมิกรูปนี้ดีมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีกิริยาวาจาเรียบร้อยงดงาม สำรวมระวังอยู่ในศีล เรามิเคยเห็นแม้สักครั้งที่เขาจะประพฤติทุจริต”

    <DD>ภิกษุอาคันตุกะจึงกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ท่านมิเชื่อข้าพเจ้าก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงก็จะต้องปรากฏ ที่ข้าพเจ้ามาพูดมาเตือนเพราะหวังดี ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร” กล่าวเช่นนั้นแล้ว ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ก็กลับไปยังที่พักของตน

    <DD>วันต่อมา ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็แวะเวียนเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วก็พูดจายุแยงใส่ไคร้ให้ทั้งสองผิดใจกัน ทำอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง จนในที่สุด พระเถระทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดว่า ดูท่าเรื่องเหล่านี้คงจะเป็นจริง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาซึ่งกัน และไม่ร่วมทำกิจวัตร ไม่สมาคมต่อกัน แม้ที่สุดก็ไม่เคารพนับถือต่อกัน

    <DD>เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ไม่นานพระเถระทั้งสองก็เก็บบาตรและบริขารออกเดินทางจากวัดไปคนละทาง

    <DD>ภิกษุอาคันตุกะ ครั้นเห็นว่าแผนการยุแหย่ของตนมีผลสำเร็จ เป็นเหตุให้พระเถระทั้งสองผิดใจกัน จนต่างฝ่ายต่างพากันทิ้งวัดหนีไปเสีย ภิกษุผู้มีความปรารถนาชั่วช้าก็รื่นเริงยินดี พอถึงเวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงกล่าวถามภิกษุนั้นว่า “พระเถระทั้งสองไปไหน”

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>ภิกษุนั้นจึงตอบว่า “พระเถระทั้ง ๒ ทะเลาะกันทั้งคืนยันรุ่ง แม้เราจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง พอรุ่งเช้าต่างก็เก็บข้าวของหนีออกจากวัดไม่รู้ว่าไปทางไหน”

    <DD>ชาวบ้านจึงกล่าวว่า “ถึงพระเถระทั้งสองจะหนีไปแล้ว แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อที่จะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม”

    <DD>ภิกษุผู้คิดชั่วนั้นจึงรับว่า “ได้ซิโยม อาตมาจะพำนักอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาอาวาสของพวกท่านต่อไป”

    <DD>จำเนียรกาลเนิ่นนานมา ภิกษุนั้นเมื่อได้เป็นใหญ่ในอาวาส อีกทั้งต้องอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ก็รู้สึกโดดเดี่ยว หงอยเหงา เศร้าซึม เหตุเพราะวันๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะมาพูดคุยด้วย จะเจอหน้าผู้คนก็ตอนไปบิณฑบาต แต่ก็มิได้พูดได้คุย กลับมาวัดฉันอาหารก็ต้องอยู่คนเดียว สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ทรงศีลเจริญธรรมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีโอกาสเจริญภาวนากัมมัฏฐาน แต่ภิกษุรูปนี้หาได้มีความสำรวมในศีลไม่ อีกทั้งยังมิได้เคยเจริญภาวนาใดๆ เลย จิตก็กำเริบกระสับกระส่าย ไม่สามารถหาความสุขจากความสงบได้ คุ้นเคยแต่จะระคนปนอยู่กับหมู่คณะ ครั้นเมื่อขาดหมู่คณะไป ใจก็เศร้าหมอง ทั้งยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมนะตอนพระเถระทั้งสองรูปอยู่อาศัยภายในวัด จึงมีผู้คนไปมาหาสู่ท่านทั้งสองอยู่เนืองนิจ พร้อมทั้งนำลาภสักการะมาถวายให้ท่านทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่เวลานี้ ที่นี่ไม่มีพระเถระทั้งสองแล้ว หมู่ชนผู้คนต่างก็พากันหดหาย ไม่มาให้เห็นหน้า ลาภที่เกิดจากหมู่ชนเหล่านั้น ที่เราหวังจะได้เลยพลอยหดหายไปด้วย เรานี่มันซวยจริงๆ นี่ถ้าเราไม่ไปยุแหย่ท่านผู้ทรงศีลทั้งสองให้แตกร้าวกัน แล้วต่างพากันหนีไป ป่านนี้ลาภเหล่านั้นคงจะมากมีแก่เราไปด้วย เราได้ทำผิดเสียแล้ว ดันไปยุแหย่ให้ผู้ทรงศีลทั้งสองแตกกัน แล้วเอกลาภที่หวังจะได้ก็มิได้เกิดแก่เรา ประโยชน์อันใดเราจะอยู่เฝ้าวัดเก่าๆ กุฏิผุๆ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกชั่วช้านั้น เฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นจนถึงกับเกิดอาการเศร้าซึมล้มป่วยลง อีกทั้งมิมีผู้ใดคอยดูแล ก็ยิ่งคิดเสียใจว่า เมื่อครั้งที่พระเถระทั้งสองยังอยู่ เราป่วยไข้ไม่สบาย ท่านทั้งสองยังจะคอยช่วยปรนนิบัติ ดูแลช่วยเหลือ บัดนี้เราต้องมานอนป่วยอยู่แต่ผู้เดียว โดยมิมีใครช่วยเหลือเอาใจใส่

    <DD>ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายใน ดันหัวใจให้หยุดเต้น ตายลงในที่สุด

    <DD>ภิกษุนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยอำนาจผลกรรมชั่วที่ตนทำ ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หมกไหม้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานานแสนนาน

    <DD>กล่าวฝ่ายพระเถระทั้งสอง ต่างองค์ต่างออกเดินทางรอนแรมไปทั่วครามนิคมชนบท ในที่สุดก็มาพบกัน ณ อาวาสแห่งหนึ่ง และก็พากันทักทายปราศรัย เล่าเหตุทั้งหลาย ที่ได้ฟังมาจากปากของภิกษุ อาคันตุกะผู้ปรารถนาชั่วนั้น ทั้งสองรูป

    <DD>ครั้นพระเถระทั้งสองได้ทราบความจริงของกันและกันแล้ว ก็ชักชวนกันกลับไปยังอาวาสเดิมของตน

    <DD>หมู่คนชนชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพระเถระทั้งสองกลับมาสู่อาวาส ก็พากันยินดี ออกจากบ้านนำเอาเครื่องใช้ น้ำฉัน มาถวายแด่พระเถระที่ตนเคารพเลื่อมใส แล้วก็กล่าวว่า บัดนี้ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้นได้ป่วยตายเสียแล้ว

    <DD>พระเถระทั้งสอง พอได้สดับข่าวอวมงคลเช่นนั้น ก็บังเกิดธรรมสังเวช เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปยังเรือนของตนหมดแล้ว พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันเจริญสติทำสมาธิภาวนา ยังญาณปัญญาให้เกิดเห็นธรรมชาติแท้ของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีใคร สิ่งใดดำรงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น บรรลุอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

    <DD>ข้างฝ่ายภิกษุผู้ปรารถนาชั่วช้านั้น เมื่อตายแล้วไปตกอยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นเวลาไปตลอด ๑ พุทธันดร จึงได้พ้นจากขุมนรกนั้น แล้วมาบังเกิดเป็นเปรต

    <DD>ผู้มีรูปกายสีทองเหลืองอร่าม แต่มีปากอันเน่า มีหมู่หนอนชอนไชกัดกินลิ้นและปากร่วงหล่นออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปากนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนไปทั่วกายของเปรตนั้น

    <DD>ขณะนั้นพระนารทะเถระเจ้า เดินลงมาจากยอดเขาคิชฌกูฏถิ่นที่พำนัก ระหว่างทางได้มาพบเปรตผู้มีกายเรืองรองดุจทอง เดินวนเวียนไปมา มีหมู่หนอนชอนไชล่วงหล่นลงมาจากปากดุจดังลำธารที่ไหลจากหินผา มีกลิ่นดังเนื้อเน่า พระเถระเจ้าจึงกล่าวถามว่า “ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุไฉนรูปกายและปากเจ้าจึงมีสภาพดังนี้”

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>เปรตภิกษุอาคันตุกะนั่น จึงกล่าวตอบว่า “อดีตสมัยพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่าพระกัสสปะ ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ออกบวชปฏิบัติในพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา เหตุนี้จึงทำให้กายของข้าพเจ้ามีสีเรืองรองดังทอง ครั้นต่อมาเกิดความประมาทมัวเมา หลงอยู่ในลาภสักการะและเกียรติภูมิ จึงได้กระทำกรรมชั่วด้วยการกล่าววาจายุแหย่ พระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ๒ รูป ผู้เป็นสหายกัน ให้แตกแยก แล้วหนีออกจากอาวาสที่ข้าพเจ้าต้องการจะครอบครอง ด้วยเห็นแก่ลาภที่จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าคนเดียว

    <DD>เมื่อพระเถระทั้งสองไปแล้ว ลาภมิได้เกิดดังปรารถนา เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเสียใจจนล้มป่วยแล้วตายลงในที่สุด

    <DD>กรรมอันนั้น นำพาข้าพเจ้าไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นเวลา ๑ พุทธันดร ครั้นพ้นจากนรกขุมนั้นแล้ว เศษกรรมอันนั้นยังส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้มีรูปกายและปากดังที่ท่านผู้เจริญได้เห็นในเวลานี้นี่แหล่ะ

    <DD>เปรตนั้นจึงกล่าววาจาสุภาษิตแก่พระมหาเถระนารทะ ต่อไปว่าท่านผู้เจริญได้รู้เห็นรูปกายและปากของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว โปรดจงจำนำเอาไปอบรมสั่งสอน มหาชนคนทั้งหลายว่าอย่าทำกรรมชั่วด้วยปาก อย่างใช้ปากเป็นเหตุให้พาตนไปบังเกิดในนรก อย่างสร้างความทุกข์ทรมานด้วยปากของตนเลย มิเช่นนั้นจะมีสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า

    <DD>พระนารทะเถระเจ้า พอได้ฟังคำของเปรตปากเน่าดังนั้นแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคตเจ้า แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนได้เห็นได้ฟัง ถวายแด่พระพุทธองค์ให้ทรงทราบ

    <DD>พระพุทธองค์ จึงทรงยกเรื่องเปรตปากเน่านั้นให้เป็นเหตุ แล้วทรงโปรดแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุและประชุมชนทั้งปวงให้ละวจีทุจริต ตั้งมั่นอยู่ในวจีสุจริต คือ งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ แล้วปฏิบัติวจีสุจริตจะได้รับผลเป็นสุข ไม่ต้องตกนรกเพราะคำพูดของตน

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>Palungdham.com : พลังธรรม -นำแสงสว่างสู่จิตใจมวลมนุษย์
    </DD>
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การใช้ชื่อหลายๆชื่อ ในการสนทนา บ่งบอกชัดเจนว่า โกหกได้แม้แต่ตนเอง

    ฉนั้น ไม่ควรมากล่าวเรื่องการถือศีล เพราะจะเป็นการเพิ่มโทษให้แก่ตนเอง

    เมื่อโกหกตนเองได้ ย่อมโกหกผู้อื่นได้ และ สามารถหาเหตุผลมาแก้ต่างว่าไม่ได้กล่าวคำโกหกได้

    ควรพิจารณาให้ดี ก่อนที่จะกระทำสิ่งใดลงไป กรรมนี้มีจริง

    สาธุครับ
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผมเห็นคุณโชว์อยู่ว่า
    ผมก็ถามสิครับ ว่าคุณมีคุณวิเศษอันใด ที่ใครจะมากล่าวกระทบไม่ได้

    ส่วนเรื่องที่ผมโพส ผมก็จะถามคุณว่าทำไม ผมต้องไม่ควรโพส ในเมื่อคุณตั้งกระทู้ในห้องรวม

    สักกายทิฐิแน่นหนาจริง
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาสาธุครับ คุณ ต้นปลาย ที่นำเรื่องเล่ามาเป็นธรรมทาน
    </DD>
    สาธุครับ
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ หรือ ผม ล่ะครับ ที่หนาแน่นไปด้วย สักกายะทิฎฐิ

    สาธุครับ
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    นั่นซินะ ใครเอ่ย ที่อ้างคุณธรรมเป็นผู้เห็นจิต อ้างว่าสอนคนมาเยอะแล้ว แต่พอถูกกระทบไม่ถูกหู ก็ออกอาการอ้างคุณธรรม

    ใครกันหนา ขนาดตั้งกระทู้สาธารณะ พอมีคนโพส ยังบอกไม่สมควร ขนาดกระทู้ ขนาดปากชาวบ้าน ยังจะปรารถนาให้เป็นไปตามใจตน

    ใครกันหนาสักกายทิฐิเต็มกบาล เพราะอวิชชามันเต็มหัวใจ
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :'(..จริงๆแล้ว ผมรู้นะว่าคุณนี่เป็นคนดีคนหนึ่ง และอยากเผยแพร่ธรรมที่ตนเองประสบมาคุณมีความรู้ดีทีเดียว..ตามสภาพของคุณ
    ประสบการณ์อันลำบากของคุณที่พบมา ทำให้คุณมั่นใจในตัวเองมากเกินไป แต่ความรู้ที่คุณได้มามัน..ไม่ถูกต้องทั้งหมด
    :mad: ..พอมีคนมาเตือน คุณก็ไม่เชื่อไม่พอใจ โดยธรรมชาติ ปกติของผู้มีธรรม หากใครเตือนต้องเอามาฉุกคิดก่อน หรือต้องโต้แย้งด้วยเหตุผลก่อนว่าถูก-ผิด อย่างไร หากพบความจริงของเขา ก็ต้องกล้าหาญ ยอมรับผิด ขออภัยกัน นั่นเป็นสิ่งที่ควรมีในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ดื้อเป็นแมวอย่างคุณ
    :cool:ผมพูดเพราะๆก็ได้ครับ และขออภัยที่ทดสอบคุณรุนแรงไป..ตัวคุณก็ทนจังนะไม่ด่าผมกลับเลย การเปิดกระทู้นี้ของคุณทำให้ผมคิดว่าคุณ เริ่มมองเห็นอุปสรรคอะไรบางอย่าง ที่ไม่สมควร ในตัวคุณแล้ว..ผมว่าใช่นะครับ
    รึไม่ใช่ก็ เอ้าไหน..ลองชี้ทางให้ผม เห็นจิต ตัวผมเองหน่อยซีครับ ผมอยากฟังครับ:':)':)'(
     
  13. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ปากเรา พาเราลงนรกได้ง่ายมาก บางทีเราก็หลอกตัวเอง "ว่า" เราด่าเพื่อสั่งสอนคนอื่น

    แต่นรก เราหลอกเขาไม่ได้

    ทำให้ผมกลัวและระมัดระวังตัวเอง ให้มากที่สุด นรกเราหลอกเขาไม่ได้

    เอาคำนี้มาภาวนา ให้ขึ้นใจ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาสาธุครับ เป็นความเห็นที่ควรแล้วครับ

    สาธุครับ
     
  15. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ในนี้ผมไม่ชอบอยู่ สองคนกับอีกหนึ่งกลุ่มหลัก

    ตาดาบโค้ง ชอบเอาความจริงเอาความคิดตนเป็นใหญ่มาว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งๆที่มันไม่รู้จริงมันเอาความคิดมันเป็นใหญ่ถ้าไม่ตรงกับมันก็ว่าไม่ใช่โดยใช่เล่ความความรู้มัน

    อีกคนคือ ตาที่ตักน้ำกิน มีความรู้ทักษะดี เวลาตอบอะไรก็มั่ว มั่วยังไงก็ตอบมาแล้วไม่รู้จริงพอเอาเข้าจริงไปไม่รอดเก่งแต่กระดาษเหมือนคนแรกแต่เย็นและชำนานกว่า

    กลุ่มหลัก คือกลุ่มตรวจองค์ หว่านล้อมเก่งมากพูดดีจิตวิทยาเค้าใช้ได้แต่ความจริง เสท้าำทฟำะดัรเรคเน้ืนท้ ถ้าผมรู้ว่าใครเป็นสาวกหรือเป็นศิษย์สายนั้นผมไม่เอาด้วยเลย

    แต่ก็นะ พิผมเห็นคนเลวเหล่านี้เมื่อไรได้ แต่สยบอารมร์ด้วย พุทโธ..........
     
  16. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่ใช่ผมไม่ฟังเหตุผลครับ และ ผมก็ได้กล่าวขอบคุณ กับ ขอโทษไปหลายครั้งแล้วครับ

    การที่จะเห็นจิตได้นั้น ต้องมีความมุ่งมั่นที่ดี และ ยอมรับในการบอกกล่าว

    ผมเคยบอกกล่าวคุณไปแล้วครับ ในเรื่องของการเห็นจิต ผมไม่ได้มีอุปสรรค์ใดครับ

    และ ที่ผมไม่ด่าคุณตอบ เพราะผมไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรครับ

    ผู้ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาพบเห็น จะไม่ได้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อยครับ

    มีผู้ที่เห็นจิตมากมายในเว็บนี้ ที่ผมชี้ให้เห็น และ หลายคนนั้นก็ไม่เข้ามาที่เว็บนี้อีก

    เพราะคำต่อว่าด่าทอที่เกิดขึ้นนี้เอง ผมจึงตักเตือนผู้ที่ใช้วาจาหยาบคาย

    และ ผมได้แสดงตัวชัดเจนว่า ไม่ได้โกรธแค้นใคร เพราะผมไม่รู้จักใครในที่แห่งนี้เป็นการส่วนตัวครับ

    แต่สิ่งที่แสดงออกมานั้น กลับเป็นไปในทางลบ และ ผู้ที่เข้ามาในเว็บที่เคยคุยกับผม

    ก็ได้บอกเตือนให้ผมล็อกกระทู้เสีย เพราะการทะเลาะถกเถียงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร

    แต่ที่ผมไม่ทำเพราะ ผมเห็นว่าคนที่ใช้วาจาหยาบคายนั้น มีความรู้ทางธรรมมากมาย

    เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเป็นอย่างมาก ผมจึงได้แสดงกิริยาที่ไม่สมควร

    เพื่อที่จะให้เขาได้รู้ว่า การใช้วาจาหยาบคายไม่ใช่สิ่งที่ดี และ ยังเป็นการผิดศีลด้วย

    สิ่งที่ควรกระทำ คือ การเผยแผ่ศาสนา และ บำรุงศาสนา ให้ยืนยาวมกากว่าที่ควรเป็นครับ

    สาธุครับ
     
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมไม่ใช่พระ และก็ไม่ได้เป็นคนดีด้วย..ที่ด่านั่นด่าจริงๆแต่บริสุทธิ์ใจครับ อย่าเลียนแบบผมนะครับ:':)@
     
  18. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ครับ ผมไม่เอาอย่างคุณแน่นอน ผมเห็นว่าคุณเป็นคนไม่ดีเลย

    ถึงไม่บอกผม ผมไม่เลียนแบบหรอกครับ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมว่าคุณเล่นสนุกพอแล้วครับ พระธรรมเป็นสิ่งที่ดีงามครับ

    แค่มีอารมณ์ขำขัน ก็ไม่ควรแล้วครับ โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่น่าพิศสัมยครับ

    หากชื่นชมมาก ก็สุดแล้วแต่คุณครับ ผมไม่ได้สนใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ของโลกครับ

    ผมไม่ต้องการที่จะกลับมาเกิดอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด หนทางใด

    และ ผมก็ค้นพบหนทางด้วยตนเองแล้ว เห็นที่สุดแห่งการปฎิบัติแล้ว

    ผมมีเจตนาที่จะเผยแผ่พระธรรม แม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม

    สาธุครับ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ไม่มีธรรมในตน เป็นผู้ที่ยังไม่เห็นความจริงบนโลกครับ

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...