หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ เถระ ๕ แผ่นดิน ลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงิน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kang_som, 30 มีนาคม 2011.

  1. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    ของหลวงปู่สวยๆ มาโปรดอีกแล้วนะครับ ท่านดินระเบิด ( นับถือๆ )
     
  2. ดินระเบิด

    ดินระเบิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,087
    ค่าพลัง:
    +8,702
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2011
  3. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,800
     
  4. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,800
    สวัสดีครับพี่ปุ้ย เอารูปหลานมาให้ลุงๆ อาๆ แถวนี้ชื่นชมหน่อยซิครับ....... แข้งแรงดีนะครับทั้งพี่สาว ทั้งหลาน...... อากาศเย็นแล้วรักษาสุขภาพด้วยนะครับ
     
  5. บางแสน

    บางแสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,533
    ค่าพลัง:
    +8,268
    สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน..เข้ามาทักทาย..สวัสดีครับคุณปุ้ย..ได้ลูกสาวหรือลูกชายครับ..เหนื่อยแทนเลยครับ เลี้ยงลูกกว่าจะโต..คุณเกษมของเข้าบ่อยนะครับ..ของแรงๆทั้งนั้น..ท่านรองครับเขาค้อสวยจริงๆ..ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปเพชรบูรณ์เลย...
     
  6. aeggawit

    aeggawit สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +20
    คุณดินระเบิดครับ ขอบคุณครับ ได้รับเหรียญขวัญถุงแล้วครับ
     
  7. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ





    มาช่วยดัน ครับ ^_^
    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์มาทำงานกัน
    แจกไฟล์รูปภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์-เพื่อเป็นสิริมงคล<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    " เดือนมกราคมเป็นเดือนพิเศษเพราะ<WBR>มี 5 จันทร์ 5 เสาร์ 5 อาทิตย์ จะเกิดขึ้นทุก 823 ปี ซึ้งถูกเรียกว่าถุงเงินตามความเ<WBR>ชื่อ ถ้าส่งข้อความนี้ให้คนดีๆๆ 8 คนจะทำให้โชคดีรับแต่เงินๆๆโชคด<WBR>ี รวยๆ "


    ไปเจอใน facebook เอามาฝากเผื่อจะโชคดีรวยเป็นล้าน

    .......เพราะเชื่อว่าในกระทู้นี้คนดีๆมากกว่า 8 คนแน่นอน


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2011
  9. ดินระเบิด

    ดินระเบิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,087
    ค่าพลัง:
    +8,702
     
  10. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    เข้ามาทักทาย ช่วงดึกๆ ครับพี่น้อง.....
    สำหรับท่านที่สนใจในวัตถุมงคลที่หลวงปู่ทองดำปลุกเสก แล้วเพิ่งเข้ามา ก็ย้อนกลับไปอ่านได้เลยนะครับ บางรุ่นค่านิยมไม่น้อยแล้ว และประสบการณ์ในวัตถุมงคลก็มากมาย อย่างเช่นสมเด็จแผ่นดินไหวก็เป็นที่รู้จักในบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองดำทั้งนั้น ได้รับการปลุกเสกมาอย่างดีเยี่ยม แถมยังได้นำเข้าพิธีใหญ่แห่งปี 13 ในพิธีปลุกเสกเหรียญพระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งพระเกจิชั้นแนวหน้าทั่วทุกสารทิศในประเทศได้เข้าร่วมพิธีอย่างมากมายจริง ลองย้อนกลับไปศึกษาได้เลยครับ เมื่อได้อ่านแล้วจะเห็นคุณค่าของเหรียญพระยาพิชัยดาบหักปี 13 และวัตถุมงคลที่หลวงปู่ทองดำปลุกเสกครับ....
     
  11. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
     
  12. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    บางท่านอาจจะหาไม่เจอ ไม่เป็นไรครับ ผมอำนวยความสะดวกให้ ขออนุญาติน้องเอทด้วยนะครับที่เอามาลงใหม่ ( ผมอ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ )
    หลวงปู่ทองดำที่ข้าพเจ้ารู้จัก

    วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

    โดย นายอรรณพ แก้วปทุมทิพย์



    ในสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2525 ผมเพิ่งเข้ารับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ใหม่ๆเรื่องพระเรื่องเจ้าก็ยังไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหัวนอก เพราะอยู่เมืองนอกมานานจะด้วยเวรหรือกรรมอะไรก็ไม่ทราบได้ต้องมีอันให้ไปเป็นครูที่วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ในสมัยนั้นจำได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆยังไม่ค่อยเจริญ ความเป็นครูโสดก็มีเวลาว่างมาก ผมมักจะตะลอนเที่ยวไปมันไปเรื่อยเปื่อย ที่สนใจมากเป็นพิเศษก็คือของเก่าเรียกได้ว่าถ้าว่างต้องไปจังหวัดสุโขทัย ไปมันเกือบทุกอาทิตย์เพราะจังหวัดอยู่ติดกัน ไปดูของเก่า ซื้อของเก่า ไม่ว่าจะเป็นถ้วย ชามต่างๆ พระพุทธรูป พระกรุ โดยเฉพาะเศษสังคโลกที่บริเวณเตาเผาเมืองเก่าศรีสัชนาลัย สมัยนั้นพวกนักขุดเขาทิ้งเศษถ้วยชามเกลื่อนไปหมด เก็บมาทุกสี นั่งดูมันทุกวันจนเพื่อนๆเขาหาว่าผมมันเพี้ยน

    ผมจำได้ว่าประมาณปี 2526 ผมกับเพื่อนไปเที่ยวงานวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองประมาณ 3 กม.เป็นงานประจำปีของวัดตอนกลางคืนมีมหรสพคนเยอะมาก ตอนนั้นเป็นเวลาสัก 4 โมงเย็นกว่าๆเห็นจะได้ แดดก็ยังร้อนอยู่ ผมเดินเข้าไปบริเวณวัดพระยืนบาทยุคลซึ่งอยู่ติดกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์กะว่าจะเข้าไปดูพระพุทธรูปเก่าสมัยเชียงแสนสักหน่อย บริเวณลานด้านหน้าวัดมีคนมุงกันหนาแน่น ใช่แล้วครับเขากำลังมีพิธีพุทธาภิเษกกัน ผมเองตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นพิธีกรรมนี้เลย ก็เลยเดินเข้าไปสอดรู้กับเขาด้วย สายตาของผมมองฝ่าแดดเข้าไปเห็นพระอยู่สองรูปนั่งอยู่บนตั่งสูง มีคนกางร่มขนาดใหญ่บังแดดอยู่ พระทั้งสองรูปนั่งหันหน้าประจันกัน ตรงกลางลานระหว่างพระทั้งสองคงจะเป็นกองวัตถุมงคล ผมยืนมองอยู่นานเหมือนกันภิกษุรูปหนึ่งรูปร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิก้มหน้ามือของท่านกุมก้อนด้ายสายสิญจน์ทำสีหน้าเคร่งเครียดซึ่งผมมาเห็นรูปของท่านในภายหลังจึงรู้ว่าท่านคือหลวงพ่อ เกษม เขมโก นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาในสมัยนั้น อีกรูปหนึ่งนั่งสมาธิหลังงอเล็กน้อย นิ่งเหมือนก้อนหิน ครับหลวงปู่ทองดำแห่งวัดท่าทอง ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ พระที่ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อไป

    อย่างที่บอกแหละครับ การเป็นครูบ้านนอกเวลาว่างก็มากเพื่อนเขาเห็นผมหนักมาทางด้านของเก่าๆ เหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่เอา เงินทุกบาทก็เทลงไปกับของเก่า เขาก็เลยบอกว่าถ้ามีโอกาสให้ไปหาหลวงปู่ทองดำสิ ใครได้ชานหมากของท่านนับว่าเป็นบุญยิ่งนัก ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของจังหวัดและชักจะเริ่มบ้าพระขึ้นมาบ้างแล้วผมก็ไม่รอช้าหรอกครับ วัดท่าทองไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอเมือง แต่อยู่ที่ตำบลวังกะพี้ เส้นทางไปถึงวัดก็ใช้เวลาสัก 15 นาทีเห็นจะได้ สมัยนั้นวัดท่าทองเป็นวัดที่สงบมีต้นยางขนาด 2-3 คนโอบเยอะแยะ โบสถ์ ศาลาการเปรียญรวมทั้งกุฏิหลวงปู่มองดูค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม รั้วทางด้านทิศเหนือก็ยังไม่มีแต่ดูภาพรวมๆแล้วได้บรรยากาศของวัดที่เรียบง่าย ไม่อึกทึก ส่วนตัวหลวงปู่เองตอนนั้นท่านอายุ 85ปีสุขภาพยังแข็งแรง คนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพในตัวท่านมาก ท่านเป็นพระของชาวบ้านอย่างแท้จริงมีงานมีการที่ไหนนิมนต์ท่านๆไม่เคยขัด ขนาดชาวบ้านมารับท่านด้วยรถอีแต๋นท่านก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการรังเกียจ กุฏิของท่านเป็นกุฏิไม้สองชั้น ท่านอยู่บนชั้นสองเป็นกุฏิขนาดใหญ่ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงของกุฏิที่หลวงปู่ใช้เป็นที่รับแขกสายตาอันซอกแซกของผมก็สำรวจทุกอย่างตามปกตินิสัยของสถาปนิก ทาง ด้านซ้ายมือของห้องโถงเป็นห้องโล่งมีประตูเปิดแง้มอยู่มองเข้าไปเห็นโลงศพไม้ขนาดเขื่องตั้งอยู่ จนบัดนี้ผมเองยังไม่เคยถามท่านสักทีว่าท่านเอาโลงศพเข้าไปตั้งไว้ในห้องนั้นทำไม แต่เท่าที่ถามพระในวัดก็ตอบว่าท่านเตรียมพร้อมเอาไว้จะได้ไม่วุ่นวาย ถัดจากห้องโถงก็จะเป็นห้องนอนของท่านซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่มีสรรพสิ่งมากมายอยู่ในห้องของท่านตั้งแต่อัฐบริขาร ธูป เทียน ที่ผู้มีจิตศรัทธามอบถวายให้ท่าน ตลอดจนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้เตรียมแจกผู้มากราบท่าน อีกทั้งยังมีโอ่งน้ำมนต์ขนาดเขื่องซึ่งท่านบอกว่าเป็นน้ำมนต์เสาร์ห้าซึ่งมักจะมีญาติโยมมาขอรดขอพรมน้ำมนต์เป็นจำนวนมากท่านก็จะตักน้ำมนต์ในโอ่งมาเป็นหัวเชื้อผสมกับน้ำในถังและอาบให้ ผมจำได้ดีว่าพระองค์แรกที่ได้รับจากมือท่านเป็นพระพิมพ์สมเด็จแป้งเจิมพิมพ์เล็กและเมื่อผมไปกราบท่านอีกในครั้งต่อมาก็ได้พระแบบต่างๆกันรวมถึงชานหมากกลับมาทุกครั้ง

    เกี่ยวกับแป้งเจิมนั้น เป็นที่รู้จักกันของชาวอุตรดิตถ์ว่าถ้าใครถอยรถใหม่จะต้องไปให้หลวงปู่ท่านเจิมรถให้ ฉะนั้นแป้งที่เหลือจากการเจิมจึงมีมากเรียกได้ว่าเสกแล้วเสกอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งสะสมรวมกันอยู่ในขันทองเหลือง เมื่อมีมากท่านจึงนำมาสร้างเป็นพระพิมพ์สมเด็จมีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กได้จำนวนไม่กี่ร้อยองค์เนื้อสีขาวอมเหลืองออกจะฟูๆไม่ค่อยแน่นตัวคล้ายๆกับพระวัดปากน้ำรุ่นแรกและปัจจุบันกลายเป็นของดีหายากไปแล้ว

    ส่วนชานหมากหลวงปู่นั้น ท่านฉันหมากมาตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงราวปี 2536 ตอนนั้นท่านป่วยหมอที่โรงพยาบาลขอให้ท่านเลิกฉันหมากท่านก็เลยหยุดตั้งแต่นั้นมา สมัยที่ท่านฉันหมากมีคนคอยจ้องว่าท่านจะคายหมากเมื่อไหร่จะเข้าไปขอเพราะถือว่าเป็นของดีเรียกว่าชาวจังหวัดอุตรดิตถ์รู้จักชานหมากหลวงปู่มากกว่าวัตถุมงคล

    ของหลวงปู่เสียอีก แม่ค้าขายหมากในตลาดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์จะรู้เลยว่าสูตรฉันหมากของหลวงปู่เป็นอย่างไร ถ้าจะซื้อไปถวายท่าน ก็จะจัดให้โดยไม่ต้องบอกรายละเอียด

    เวลาว่างตอนเย็นๆพลบค่ำ ผมมักจะไปนั่งคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นประจำเพราะเวลานั้นญาติโยมน้อย ปกติท่านจะเป็นพระอารมณ์ดี แต่มักจะดุกับพวกเณรน้อยที่ชอบแอบทานขนม หรือไม่ชอบท่องหนังสือ ผมนั่งคุยไปก็ตำหมากไปให้ท่าน และท่านมักจะเชิญชวนให้ดื่มน้ำสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรของท่านเองมีใบไม้อะไรก็จำไม่ได้เสียแล้วอยู่ 5 ชนิด ตากแห้งและนำมาต้ม ท่านบอกว่าเป็นยาบำรุง ผมเองเคยสังเกตบ่อยๆว่าเวลาท่านฉันหมาก หมากบางคำท่านก็จะบ้วนทิ้งลงกระโถน แต่บางคำท่านก็คายเก็บเอาไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าชานหมากที่ท่านคายทิ้งคงจะเป็นชานหมากที่ยังไม่ได้ที่ หรือยังไม่ได้ภาวนาในขณะเคี้ยว สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือเกือบทุกครั้งที่ไปคุยกับท่านพอท่านจะคายหมากท่านจะกวักมือเรียกให้มารับหมากจากท่าน หมากอุ่นๆจากปากของท่านกระทบกับอุ้งมือของผมเป็นสิ่งที่ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ พอกลับถึงที่พักก็รีบเอาลงอัดในกรอบกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมขนาดองค์พระย่อมๆพอแห้งแล้วก็แกะเก็บไว้

    หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าโยมปู่ของท่านเป็นผู้มีอาคม เคยเป็นทหารไปปราบฮ่อก่อนออกรบทีไรก็ต้องบริกรรมคาถาทุกครั้ง และก็ปลอดภัยกลับมาทุกครั้ง ตัวท่านเองในสมัยเด็กๆชอบชกมวยเคยชกมวยในงานวัดบ่อยๆก่อนชกก็จะบริกรรมคาถา “แพ้ก็มีชนะก็มี” ท่านกล่าวแล้วก็หัวเราะ ตอนท่านอายุสัก 10 ขวบโยมพ่อมีโอกาสก็นำไปฝากตัวให้เป็นศิษย์หลวงปู่ทิม วัดกลาง จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์อาคมกล้าและเป็นสหธรรมิกเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ท่านจึงมีโอกาสติดตามอาจารย์ทิมไปหาหลวงพ่อเงินอยู่บ่อยครั้ง และขากลับหลวงพ่อเงินมักจะฝากพระให้กับพระอาจารย์ทิมอยู่บ่อยๆครั้งละเป็นจำนวนเต็มบาตร “พระอะไรก็ไม่รู้ เป็นดินสีแดงๆบ้าง ขาวๆบ้าง รูปร่างก็ไม่สวย” ท่านกล่าวเมื่อผมพยายามซัก แสดงว่าในสมัยที่หลวงพ่อเงินท่านยังมีชีวิตอยู่นอกจากจะสร้างรูปหล่อโลหะและเหรียญจอบอันเลื่องลือชื่อแล้ว ท่านยังสร้างพระพิมพ์อื่นๆอีกด้วย ผมเองเป็นคนขี้สงสัยทุกครั้งที่คุยกับท่านมักจะถามเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของท่าน แต่ที่แปลกก็คือไม่ว่าจะถามตรงๆหรืออ้อมๆ ท่านไม่เคยตอบสักที เรียกว่าไม่เคยคุยว่าของท่านดีอย่างไรจะตอบก็เพียงว่า“เขามีบุญ เขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก” หรือไม่ก็ยกประโยชน์ให้เป็นความบังเอิญที่รอดจากอันตรายมา แต่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่ท่านแจกนั้นมันหนาหูผมเหลือเกินจนเป็นความเคยชิน เรื่องอื่นๆอาจพิสูจน์ได้ยากแต่เรื่องความเหนียวนี่สิไว้ใจได้ พิสูจน์ได้เพราะเห็นมากับตา สมัยที่ท่านสร้างเหรียญและรูปหล่อรุ่นแรกปี 2529 คนเฝ้าสวนของผมเมาแล้วซ่า ถูกอันธพาลทำร้ายตีด้วยไม้และแทงซ้ำด้วยเหล็กครอสชาร์ปสะบักสะบอมกลับมา ทีแรกเจ้าตัวเองยังคิดเลยว่าสงสัยจะต้องนอนวัดแน่ๆ เจ้าตัวเปิดพุงให้ดูเห็นเป็นรอยสามแฉกทิ่มเข้าไปตรงๆแค่ห้อเลือด บวมๆแดงๆเท่านั้น แผลที่ถูกไม้ตีก็แดงช้ำเป็นปื้นๆไม่ถึงแตก เจ้าตัวคนเฝ้าสวนขี้เมาของผมห้อยเหรียญทองแดงรุ่นแรกของหลวงปู่เพียงเหรียญเดียว แถมยังยกมือไหว้ขอเงินอีก 200 บาทบอกว่าไม่เอาแล้วเหรียญทองแดง จะขยับชั้นขึ้นไปเอาเหรียญเงินมาห้อยแทน เอากับมันสิครับ

    การสร้างวัตถุมงคลของท่านนั้นเท่าที่ถามจากคนเก่าๆข้างๆวัดกล่าวว่าท่านทำมานานแล้วมีหลายรุ่นทำแล้วปลุกเสกแล้วก็แจกไปเรื่อยๆจำนวนไม่แน่นอน และไม่เคยบอกบุญเอาเงินชาวบ้านเลย รุ่นที่ท่านแจกแล้วเป็นที่ยกย่องและหวงแหนที่สุดของชาวบ้านก็คือ พระพิมพ์รุ่นแผ่นดินไหว มีทั้งพิมพ์สมเด็จพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้า พิมพ์พระขุนแผนห้าเหลี่ยม พิมพ์พระพุทธชินราชห้าเหลี่ยม พิมพ์พระมารวิชัยอู่ทองพิมพ์พระรอด พิมพ์พระหลวงปู่ทวด พิมพ์พระลีลาถ้ำหีบ และพิมพ์พระสมเด็จเนื้อชานหมากล้วนๆซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสมเด็จพิมพ์เล็กเล็กน้อย ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปลายปี 2512 ถือกันว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของหลวงปู่ เป็นตัวแทนแห่งองค์หลวงปู่อย่างแท้จริง ลักษณะเป็นพระเนื้อดินเผาซึ่งเอาดินมาจากใต้ฐานพระประธานวัดเก่า วัดร้างในจังหวัดอุตรดิตถ์และใกล้เคียง 9 วัด และมีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้จำนวนมากขนาดแม่เหล็กดูดติดองค์พระจนรู้สึกได้ องค์พระส่วนใหญ่ทาเคลือบด้วยชแล็คแดง สีเนื้อพระมีตั้งแต่สีดำเพราะอ่อนไฟไปจนถึงสีน้ำตาลและสีแดงเพราะแก่ไฟ พระ เณรในวัดช่วยกันทำเอาใส่บาตรแล้วสุมไฟเผาจนบาตรแดงท่านกล่าวว่าขณะที่ท่านปลุกเสกพระชุดนี้อยู่ในโบสถ์ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาพอดี หลังจากท่านปลุกเสกแล้วยังได้นำพระชุดนี้เข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกเหรียญพระยาพิชัยดาบหักรุ่นแรกของจังหวัดเมื่อปี2513 อีกด้วยก่อนนำออกแจกจ่าย และแน่นอนที่สุดของเก๊ปัจจุบันมีออกมามากจนนักเล่นรุ่นหลังขยาดกันเป็นแถว ราคาซื้อขาย ถ้าเป็นสมเด็จพิมพ์ใหญ่ถ้าสวยๆราคาอยู่หลักหมื่นครับ ส่วนสมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้าอยู่ในหลักหมื่นต้นๆ สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบอยู่ในหลักพันปลายๆ ส่วนพิมพ์อื่นๆพบเห็นน้อยมากเพราะสร้างน้อยราคาเลยประเมินไม่ถูกครับ

    เท่าที่ผมใกล้ชิดกับท่านมานาน พูดได้เลยว่าท่านเป็นพระที่มีแต่ให้ ท่านให้จนหมดมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่ก่อนๆมีคนมาขอท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาเงินกันเยอะ แต่ก็ต้องล่าถอยไปเพราะท่านกล่าวว่า “ถ้าจะทำก็ทำมาแจกสิ เขาเดือดร้อนหรือศรัทธามาหาเรา จะไปเอาเงินเขาได้อย่างไร” และท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เวลานี้ก็เหลือฉันอยู่คนเดียว ท่านบุญก็ไปแล้ว (หลวงพ่อบุญ วัดน้ำใส จ.อุตรดิตถ์) ท่านไซร้

    ก็ไปแล้ว (หลวงพ่อไซร้ วัดช่องลม จ.อุตรดิตถ์) เมื่อตอนท่านบุญยังอยู่มีคนมาขอให้ท่านช่วยเสกของให้แล้วเขาก็เอาประโยชน์ไป ฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้น” หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างเอง แจกเอง แต่ก็มีหลายรุ่นที่ศิษย์ของท่านสร้างมาถวายโดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งท่านก็เต็มใจเสกให้และแจกเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อถึงปี พ.ศ.2528 ตอนนั้นข่าวว่าทางการจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่านใกล้กับวัด หากสร้างเสร็จแล้วจะมี

    รถวิ่งผ่านถนนทางด้านทิศเหนือของวัดมากยิ่งขึ้น ท่านก็อยากจะสร้างรั้วให้เป็นสัดส่วน ตอนนั้นเงินของวัดก็ไม่ค่อยมี ประกอบกับท่านเองก็อยากจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วซึ่งต้องใช้เงินมาก ทางวัดและกรรมการวัดจึงมีความคิดที่จะสร้างวัตถุมงคลเพื่อเพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนและใช้ประโยชน์ของวัด ในที่สุดหลวงปู่ท่านก็อนุญาต แต่ในส่วนของพระที่แจกท่านก็แจกไปไม่ปะปนกับวัตถุมงคลที่จะจัดสร้างขึ้น ตอนนั้นผมเองปรึกษากับหลวงพี่เสริมศักดิ์(พระครูพิทักษ์สุวรรณดิตถ์)รองเจ้าอาวาสเรื่องการทำรั้ว โดยข้าพเจ้าเกณฑ์นักศึกษาเกือบร้อยคน อีกทั้งพระเณรในวัด ขุดหลุมทำแนวเสารั้ว ส่วนเหล็กโครงสร้างรั้วก็เอาไปผูกไปดัดกันที่วิทยาลัยแล้วลำเลียงมาส่งวัดมีชาวบ้านมาสมทบช่วย เดือนกว่าๆรั้วก็เสร็จเสียค่าใช้จ่ายไปไม่มากผมเองเพิ่งมารู้ในตอนนั้นว่าหลวงปู่ท่านมีความรู้ทางด้านการก่อสร้างอยู่มาก ท่านคอยแนะนำวิธีการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด พร้อมกับให้ทางวัดหุงหาอาหารมาเลี้ยงตลอด เสร็จจากงานรั้วได้ไม่นานหลวงปู่ ก็เอ่ยถึงโรงเรียนพระปริยัติธรรมซึ่งผมเองรับเป็นผู้ออกแบบให้ ถึงตอนนั้นหลวงปู่ดูท่านจะกังวลมาก มีการบอกบุญกันอย่างทั่วถึง ในขณะนั้นวัตถุมงคลรุ่นแรกสร้างเสร็จพอดีประกอบด้วย รูปเหมือนหล่อบูชาขนาด 5 และ 9 นิ้ว เหรียญและรูปหล่อขนาดห้อยคอ ซึ่งหลวงปู่ท่านปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาสในปี 2529 ช่วงที่ท่านปลุกเสกนั้นสังเกตว่าท่านดูเครียดมากเป็นพิเศษ พระอาจารย์ท้วมซึ่งเป็นพระเลขาของหลวงพ่อสมัยนั้นยังกล่าวว่า “สงสัยหลวงพ่อท่านจะตั้งใจเป็นพิเศษกระมังกลัวว่าของจะออกไปไม่ดี” ผมมานั่งนึกดูทีหลังแล้วเปรียบเทียบเทียบกับวัตถุมงคลรุ่นอื่นๆของท่านแล้วผมว่ารุ่นแรกของท่านนี่แหละสุดยอดจริงๆ ตั้งใจจริงๆ วัตถุมงคลรุ่นนี้จำหน่ายหมดในเวลาต่อมาทีแรกก็หวั่นใจว่าจะจำหน่ายไม่หมดโดยเฉพาะเนื้อทองคำ หลวงพี่เสริมศักดิ์ถึงกับกล่าวกับผมว่า “อาตมาคิดพลาดไม่น่าจะทำเนื้อทองคำมากเลย” ทั้งๆที่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้มากมายอะไรเลยเพียงพิมพ์ละ 20 กว่าองค์เท่านั้น และขอโทษทีครับปัจจุบันนี้ผมเคยขอซื้อรูปหล่อขนาดห้อยคอเนื้อทองคำจากคนที่รู้จักกันในราคาหลักแสนบาทเขายังไม่ยอมขายเลยครับ ผมเองยังเสียดายที่ไม่ได้บูชาไว้ในตอนนั้น

    หลังจากปี พ.ศ. 2533 ผมย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯก่อนไปก็เข้าไปกราบลาท่านสนทนากันอยู่นาน ก่อนลากลับท่านเดินเข้าไปในห้องนอนค้นกุกกักอยู่พักใหญ่กลับออกมาพร้อมกับพระพิมพ์สมเด็จรุ่นแผ่นดินไหวพิมพ์เล็กรุ่นแรก ท่านพนมมือภาวนาให้อยู่ครู่หนึ่งเรียกให้ไปรับ ท่านให้มา 4 องค์ เป็นพิมพ์หลังเรียบ 2 องค์ พิมพ์

    หลังยันต์ห้า 2 องค์ ผมเองดีใจสุดขีดเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้รับพระพิมพ์นี้จากท่านเพราะเคยถามท่านถึงพระพิมพ์นี้ท่านบอกหมดไปแล้วแต่เมื่อทำความสะอาดห้องนอนเมื่อต้นปี 2533 ได้พบอยู่จำนวนหนึ่งไม่มากนักเป็นพิมพ์เล็กทั้งหมดแล้วท่านก็แจกต่อมาจนหมด เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อนๆต่างจังหวัดมักจะแวะมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ เพื่อนผมคนหนึ่งแกเป็นอาจารย์อยู่วิทยาลัยเทคนิคลำพูนนานๆเจอกันครั้งแกชอบจับพลังพระ อ้ายผมเองไม่ถนัดทางนี้และไม่ได้สนใจมาก่อนมีคนชอบเอาพระมาให้แกจับเยอะ เพื่อนผมแกบอกว่าคุณพระมีอยู่สามลักษณะคือ เมตตา บารมี และแคล้วคลาด โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อจับแล้วจะมีคุณสมบัติโดดเด่นออกมาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แกบอกว่ามีน้อยมากที่จะโดดเด่นพร้อมกันถึงสามลักษณะในพระองค์เดียวเท่าที่พบมาก็มี พระตระกูลสมเด็จของสมเด็จโตวัดระฆัง เหรียญพระนเรศวรหลังรูปช้างออกศึกปี 2513 ออกที่วัดป่าเลย์ไลยก์ จะมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่าจำไม่ได้แล้ว และที่น่าทึ่งก็คือพระของหลวงปู่ทองดำก็มีสามคุณครับ ตอนที่ให้จับเป็นพระพิมพ์สมเด็จรุ่นแผ่นดินไหวพิมพ์ใหญ่รุ่นแรกซึ่งพระอาจารย์ท้วมให้มาตอนที่จะกลับกรุงเทพฯซึ่งผมห้อยเดี่ยวอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วจะมีกี่คุณผมเองก็ไม่ได้สนใจเท่าใดเอาแค่ว่าเป็นของหลวงปู่ก็พอแล้ว

    หลังจากปี พ.ศ. 2533 ชื่อเสียงของหลวงปู่เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในระดับประเทศ วัตถุมงคลรุ่นหลังๆซึ่งบรรดาศิษย์ได้มีโอกาสสร้างถวายหาปัจจัยเริ่มมีมากขึ้น ท่านเองก็อนุญาตให้ทำได้เรียกได้ว่าไม่ปิดกั้นตนเองเหมือนสมัยก่อน ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งท่านคงต้องการปัจจัยมาบำรุงวัดและสร้างศาสนสถาน ทุกครั้งที่มีโอกาสไปเยี่ยมท่านๆมักจะกล่าวเป็นเชิงกังวลในเรื่องของอาคารที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จทำให้ผมพลอยกังวลไปกับท่านด้วย เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มีโอกาสไปกราบท่านต้องหาปัจจัยส่วนตัวไปถวายท่านอยู่เสมอ ผมเองยอมรับว่าชื่อเสียงของท่านมีเพิ่มมากขึ้นเพราะวัตถุ

    มงคลของท่านได้แพร่หลายออกไป แต่สิ่งหลักที่เป็นฐานเกื้อหนุนท่านอย่างแท้จริงก็เพราะท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจท่านผ่านการสะสมบุญบารมีและวิปัสสนาสมาธิมานานหลายทศวรรษแม้แต่หลวงพ่อเกษม เขมโก นักบุญแห่งลานนายังเคยกล่าวถึงหลวงปู่ทองดำกับญาติโยมจากอุตรดิตถ์ที่เข้าเยี่ยมท่านที่สุสานไตรลักษณ์จ.ลำปางเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 ว่า “พวกเธอมาจากอุตรดิตถ์รึไม่ต้องมาหาอาตมาให้เสียเวลาหรอก ไปหาพระกินหมากนั่นแหละเก่งกว่าฉันอีก” หรือแม้แต่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ยังเคยเอ่ยกับคณะกรรมการสร้างพระเมื่อครั้งมานั่งปรกพระกริ่งรุ่น 2 พระกริ่ง ทอง-คูณ เมื่อปี พ.ศ. 2537 ว่า “กูนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกร่วมกับ

    หลวงปู่ทองดำแค่ 5 นาที พลังจิตของท่านไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ กูตามไม่ทันดอก” ครับ แสดงว่าท่านไม่ธรรมดาจริงๆ

    เกี่ยวกับอายุของหลวงปู่ ถ้าผู้ที่สะสมวัตถุมงคลของหลวงปู่มาตั้งแต่ต้นอาจสงสัยเล็กน้อยว่าท่านอายุเท่าไหร่กันแน่ เพราะในเหรียญรุ่นแรกเขียนว่า อายุ 85 ปี พ.ศ. 2529 นั่นหมายความว่าท่านเกิด พ.ศ. 2444 แต่ในวัตถุมงคลกริ่งรุ่นสาม “ทองดำ 99” สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2538 เพื่อฉลองวันเกิดท่านในปี พ.ศ. 2539 กล่าวว่าอายุของท่านคือ 99 ปี นั่นหมายความว่าท่านเกิด พ.ศ. 2440 ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่ที่บันทึกไว้ในหนังสือเขียนตรงกันทุกฝ่ายคือ ท่านเกิดวันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 แต่ พ.ศ.ไม่ตรงกัน ผมได้ตรวจสอบจากปฏิทินโหราศาสตร์ของผมแล้วปรากฏว่า ท่านเกิดวันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2441 ตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีจอครับ

    หลังจากปี พ.ศ. 2535 หลวงปู่ท่านเริ่มมีสุขภาพไม่แข็งแรงตามสภาพของสังขารที่อายุตั้ง 94 ปีแล้ว ท่านต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอุตรดิตถ์อยู่บ่อยๆ โดยที่ท่านก็ไม่ได้เต็มใจไป แต่ท่านไม่อยากขัดใจลูกศิษย์ บรรดาลูกศิษย์ก็หวังดีจัดหาเตียงพยาบาล ทีมหมอเตรียมห้องนอนให้ท่านใหม่ที่ศาลาเจริญธรรมเพื่อให้ท่านสบายขึ้นไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ระยะหลังผมเองมีโอกาสไปกราบท่านไม่บ่อยนัก แต่เท่าที่สังเกตดูถึงสังขารท่านจะเสื่อม แต่จิตใจที่แท้จริงของท่านยังคงดีอยู่เหมือนกับท่านสามารถแยกร่างกายกับจิตใจออกจากกันได้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลวงปู่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ด้วยโรคชรา และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.

    2548 เวลา 16.00 น.ท่านหยุดหายใจไปกว่า 2 ชั่วโมง คณะแพทย์ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างหมดหวังคิดว่าท่านคงจะมรณภาพแล้ว แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์ ท่านฟื้นขึ้นมาได้ครับยังความดีใจอย่างที่สุดของบรรดาลูกศิษย์ คณะแพทย์มีความเห็นให้ส่งตัวหลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม

    พ.ศ. 2548 โดยมีพระปลัดทองแดง ตปสีโล ติดตามไปดูแลอย่างใกล้ชิดจนในที่สุดสังขารย่อมเป็นไปตามกรรม หลวงปู่ที่ผมเคารพรักสุดชีวิต ท่านได้มรณภาพอย่างสงบที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เวลา 21.19 น.ด้วยภาวะโรคไตเสื่อมและติดเชื้อทางเดินหายใจ สิริรวมอายุได้ 107 ปี 5 เดือน 20 วัน พรรษาที่ 86 เหลือไว้แต่ความดี และวัตถุมงคลให้ชนรุ่นหลังได้กราบไหว้และระลึกถึงครับ

    เกี่ยวกับปาฏิหาริย์หลังจากท่านมรณภาพ พระปลัดทองแดงได้เล่าว่า ขณะที่พยาบาลกำลังตกแต่งศพท่านซึ่งก็มีลูกศิษย์กว่า 10 คนร่วมอยู่ในห้องด้วย ได้มีลำแสงสีขาวสว่างพุ่งเข้ามายังเตียงที่วางร่างท่าน หลายคนพยายามที่จะถ่ายภาพและวีดิโอ แต่ไม่ติดครับ ทุกคนลงความเห็นว่าคงเป็นบุญญาธิการของท่านจึงมีเทวดามารับดวงวิญญาณของท่านไปสู่สวรรค์นภาลัย

    ถ้าหากท่านมีโอกาสขึ้นไปทางเหนือและพอมีเวลา อยากที่จะให้ท่านหาโอกาสแวะเข้าไปที่วัดท่าทอง ไปกราบศพท่านสักครั้งก็จะถือว่าเป็นมงคลของชีวิตครับ
     
  13. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    สมเด็จแผ่นดินไหวถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่หลวงปู่ทองดำได้สร้างไว้ ให้กับลูกศิษย์ สำหรับท่านที่สนใจผมแนะนำว่า ถ้ามีกำลังทรัพย์เพียงพอก็รีบเก็บ เพราะอีกหน่อยคงหาได้ยากยิ่ง และราคาเช่าหาก็จะแพงจนจับไม่ลง ถ้าพิมพ์ใหญ่สู้ไม่ไหว ก็เก็บพิมพ์เล็กแทนก็ได้ครับ ดีเหมื่อนกัน.... ถ้าไม่เชื่อลองถามท่านดินระเบิดดูได้นะครับ ว่าจริงหรือเปล่า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2011
  14. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    บทความนี้เป็นข้อมูลเหรียญพระยาพิชัยดาบหักครับ ( ศึกษาได้เลยครับ )
    พิธีมหาพุทธาภิเษกมหาจักรพรรดิ์ พิธียิ่งใหญ่รองจาก พิธี 25 พุทธศตวรรษเลยทีเดียว จากระยะนั้นถึงเวลานี้ได้มีวัตถุมงคลอุบัติขึ้นหลายแบบ หลายประเภท และบางแบบ บางชนิด ได้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุใดก็ไม่อาจทราบ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะธุรกิจในเชิงพุทธพาณิชย์ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ ทั้ง ๆ ที่จัดว่าเป็นของดีมีองค์ประกอบอยู่หลายประการคือ เจตนาการสร้างดี พิธีกรรมดี คณาจารย์ปลุกเสกดี และประสบการณ์ดี วัตถุมงคลประเภทหรือชนิดหนึ่งที่จะได้กล่าวถึงต่อไปนี้คือ เหรียญพระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์

    เหรียญนี้เริ่มสร้างขึ้นภายหลังจาก ที่ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์พระยาพิชัย ดาบหัก ครบ 1 ปี เรื่องอนุสาวรีย์นี้ ชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ได้เรียกร้องปรารถนาให้มีขึ้นนานแล้วแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาถึงสมัยนายเวทย์ นิจถาวร เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีพ่อค้า ประชาชน ร่วมกันบริจาคทรัพย์เป็นทุนก่อสร้าง โดยไม่มีงบประมาณแผ่นดินของทางหน่วยงานราชการ มาเกี่ยวข้องเลย เป็นการเกิดจากกำลังศรัทธาอันแรงกล้า ของชาว จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ต้องการเทิดทูนเกียรติประวัติยอดวีรบุรุษผู้กล้าหาญ และเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ของชาวจังหวัดอุตรดิตถ์และประชาชนชาวไทย ซึ่งเก่งกล้าสามารถทั้งชั้นเชิงแม้ไม้มวยไทย และ ชั้นเชิงทางเพลงดาบ และเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่ง ท่านเป็นทัพหน้าในการออกศึกโจมตีข้าศึกทุกครั้ง คือ”ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก “ ท่านเป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน มหาราช ในการกอบกู้เอกราช ของชาติไทย ปราบชุมนุมต่างๆ รวบรวมเป็นประเทศชาติไทย และปกป้องอธิปไตยให้พ้นจากข้าศึกศัตรู มาได้จนเป็นประเทศไทยกระทั่งถึงทุกวันนี้

    อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ออกแบบและหล่อด้วยทองเหลืองและโลหะผสม โดยกรมศิลปากร ขนาดใหญ่กว่าคนในยุคปัจจุบันจริง 3 เท่า ในชุดนายทหารสมัยอยุธยาตอนปลาย ในลักษณะยืนถือดาบ 2 ข้าง มีผ้ามัดมือที่ถือด้ามดาบติดกับด้ามดาบ เพื่อป้องกันดาบหลุดจากมือ และดาบอีกข้างหนึ่งหักข้างขวา มีการวางศิลาฤกษอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ. ศ. 2511 จนก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดอย่างป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ. ศ 2512 และทางคณะกรรมการซึ่งมีพลโทสำราญ แพทย์กุล แม่ทัพภาคที่ 3 (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) เป็นประธาน นายเวทย์ นิจถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ขณะนั้นป็นรองประธาน พร้อมด้วยที่ปรึกษาอันทรงเกียรติอีกหลายท่าน ได้ร่วมดำเนินงานการสร้างเหรียญพระยาพิชัยดาบหักขึ้น ออกแบบเหรียญโดยกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยจำลองแบบมาจากอนุสาวรีย์

    จากนั้นจึงจัดพิธีมหาพุทธาภิเษกขึ้น เป็นพิธีมหาจักรพรรดิ์ครั้งยิ่งใหญ่ ฃึ่งรองจาก พิธี 25 พุทธศตวรรษเลยทีเดียว โดยกราบทูลอาราธนา สมเด็จพระสังฆราช วัดมกุฎกษัตริย์ กรุงเทพฯ เสด็จมาเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย พร้อมกันนี้ ทางคณะกรรมการผู้จัดสร้าง ได้กราบอาราธนา นิมนต์พระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณร่วมสมัย ซึ่งมีชื่อเสียงทรงวิทยาคุณ เป็นที่รู้จักกันดีจากจังหวัด ต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น

    1.สมเด็จ พระสังฆราช วัดมกุฏกษัตริย์ กรุงเทพฯ ทรงเสด็จมาเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย

    2.หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ระยอง

    3.หลวงพ่อจันทร์ วัดหาดสองแคว อุตรดิตถ์ (ท่านเก่งทุกด้าน ที่ลือลั่นไปถึง ต่างประเทศนั่นคือ กิเลนเงิน-กิเลนทอง นำโชค)

    4.หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์

    5.หลวงพ่อปี้ วัดลานหอย สุโขทัย

    6.หลวงพ่อเกตุ วัดศรีเมือง สุโขทัย (ท่านดัง ด้านตะกรุดมหาสะท้อน )

    7.หลวงปู่คำมี ถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี

    8.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ

    9.หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์

    10.หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค นครสวรรค์

    11.หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา

    12.หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี

    13.หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าศาลาลอย ชุมพร

    14.หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์

    15.หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า ระยอง

    16.หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก ระยอง

    17.หลวงพ่อคร่ำ วัดวังหว้า ระยอง

    18.หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี

    19.หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์

    20.พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา นครศรีธรรมราช

    21.หลวงพ่อทิพย์ วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์

    22.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม

    23.หลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอเหนือ ศรีสะเกษ

    24.หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม สมุทรสาคร

    25.หลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่

    26.พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม สกลนคร

    27.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี

    28.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี

    29.หลวงปู่พริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี

    30.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม

    31.หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร

    32.หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน ปราจีนบุรี

    33.หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี

    34.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพน

    35.หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว ฉะเชิงเทรา

    36.หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม

    37.หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม

    38.หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นครปฐม

    39.หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสาคร

    40.หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง กรุงเทพฯ

    41.หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว สุพรรณบุรี

    42.หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง นครศรีธรรมราช

    43.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม

    44.หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อยุธยา

    45.หลวงพ่อจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ นครศรีธรรมราช

    46.หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ (อธิษฐานส่งจิตมา)

    47.หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี

    48.หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม ราชบุรี

    49.หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง กาญจนบุรี

    50.หลวงพ่อมี วัดซำป่างาม ฉะเชิงเทรา

    51.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา

    52.ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง เชียงใหม่

    53.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา

    54.หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น

    55.ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่

    56.หลวงพ่อโอด วัดจันเสน นครสวรรค์

    57.หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี

    58.หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ นครราชสีมา

    59.หลวงพ่อเส็ง วัดบางนา ปทุมธานี

    60.หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงห์หาร อุดรธานี

    61.หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง สระบุรี

    62.พระครูเมตยานุรักษ์ วัดวชิราลงกรณ์ นครราชสีมา

    63.พระครูสัมฤทธิ์ วัดอู่ทอง สุพรรณบุรี

    64.พระวิบูลเมธาจารย์ (เก็บ) วัดดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี

    65.หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม กาญจนบุรี

    66.พระครูกาญจโนปมคุณ (ลำไย) วัดลาดหญ้า กาญจนบุรี

    67.หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ เพชรบุรี

    68.พระครูไพศาลคณารักษ์ วัดไร่ขิง นครปฐม

    69.หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก

    70.หลวงพ่อสีหมอก วัดเขาวังตะโก ชลบุรี

    71.พระครูศรีสัตตคุณ วัดสัตหีบ ชลบุรี

    72.หลวงปู่บุญทัน วัดประดู่ศรี ปราจีนบุรี

    73.พระวิสุทธาจารคุณ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์

    74.พระอาจารย์สุบิน วัดถ้ำไก่แก้ว นครราชสีมา

    75.หลวงพ่อมิ วัดสะพาน ธนบุรี

    76.พระครูพิชัยณรงค์ฤทธิ์ วัดคอกหมู กทม.

    77.พระอาจารย์บำเรอ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม.

    78.พระญาณวิริยาจารย์ วัดธรรมมงคล กทม.

    79.พระครูพิทักษ์เขมากร วัดท่าเกวียน ฉะเชิงเทรา

    80.หลวงพ่อสุด วัดกาหลง สมุทรสาคร

    81.หลวงพ่ออินเทวดา วัดลาดท่าใหม่ จันทบุรี

    82.หลวงพ่ออินทร์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม.

    83.หลวงพ่อกลั่น วัดอินทาราม อ่างทอง

    84.หลวงพ่อสาย วัดจันทรเจริญสุข

    85.หลวงพ่อไปล่ วัดดาวเรือง ปทุมธานี

    86.หลวงพ่อแดง วัดดอนยอ นครปฐม

    87.หลวงพ่อเพชร วัดดงยาง

    88.หลวงปู่สี วัดสะแก

    89.หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน

    90.หลวงพ่อเขียว วัดหรงบล

    91.หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน

    92.หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก

    93.หลวงพ่อโด่ วัดนาตูม

    94.หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้

    95.หลวงพ่อ อุตมะ วัดวังวิเวการาม

    96.หลวงพ่อหว่าง วัดท่าพุทรา (ท่านดังเรื่องตะกรุด)

    97.ครูบาวัง วัดบ้านเด่น

    98.หลวงพ่อทองสุข วัดโพธิ์ทรายทอง

    99.หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร

    100.หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม

    101.หลวงพ่อเกษม เขมโก

    102.หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ

    103.หลวงพ่อกลั่น วัดเขาอ้อ

    104.หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก

    105.หลวงปู่บุญทอง พัทลุง

    106.หลวงพ่อหรั่ง พิษณุโลก

    107.หลวงปู่อ่อน พิษณุโลก

    108.หลวงพ่อรอด พิษณุโลก

    109.หลวงพ่อทา วัดดอนตัน จ.น่าน

    110.พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร

    111.พ่อท่านบุญรอด วัดประดู่พัฒนาราม นครศรีธรรมราช

    112.หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก สุพรรณบุรี

    113.หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช อยุธยา

    และคณาจารย์ต่างๆที่ไม่ได้กล่าวนามอีกหลายท่าน มานั่งปรกอธิษฐานจิตมหาพุทธาภิเษกในพิธีครั้งนี้ ตามหมายกำหนดซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2513 ดังนี้ มีการรำมวยชกมวยไทย รำดาบและฟันดาบจากสำนักดาบพุทธไธสวรรค์ ต่อหน้าอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก เวลา 14.30 น. พระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมทั้งหมดพร้อมที่ ปะรำมลฑลพิธี เวลา 15.00 น. พระราชครูวามเทพมุณี ฝ่ายพราหมณ์ ได้ทำพิธีบวงสรวงสักการะดวงวิญญาณพระยาพิชัยดาบหัก กับบวงสรวงสักการะเทพยาดาทั่วจักรวาล อนันตจักรวาล และบูชาฤกษ์ เป่าสังข์ เคาะบัณเฑาะว์ และลั่นฆ้องชัย เวลา 15.27 น. สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ทำพิธีจุดเทียนชัย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ แล้วสมเด็จพระสังฆราชทรงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ในมลฑลพิธี ขณะเดียวกันก็เกิดปรากฏการณ์ พระอาทิตย์ทรงกลดและมีฝนตกเป็นละอองเบาบาง ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวและไม่มีเค้าว่าฝนจะตกเป็นอัศจรรย์ ประหนึ่งว่าเหล่าเทพยาดาทั่วจักรวาล อนันตจักรวาล ได้รับรู้ ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้ประพรมประสาทพรด้วยน้ำทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ บรรดาผู้ร่วมพิธีต่างปิติยินดี ในปรากฏการณ์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อถึงเวลา 19.30 น. เริ่มพิธีมหาพุทธาภิเศก พระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมทั้งหมด เข้านั่งปรกอธิษฐานจิต ในมลฑลพิธีมหาพุทธาภิเษก สลับกับ การสวดมหาจักรพรรดิ์ราชาธิราช โดยพระพิธีธรรมจาก สำนักวัดราชนัดดารามวรวิหาร กรุงเทพฯ จำนวนสองชุดละ 8 รูป จนตลอดรุ่ง จนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 เวลา 06.10 น. กระทำพิธีดับเทียนชัย

    หลังจากนั้นทางคณะกรรมการได้เปิดจำหน่ายเหรียญพระยาพิชัยดาบหักในงานประจำปีที่

    กำหนดขึ้นระหว่าง วันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2513 เพื่อให้ผู้มาเที่ยวงานได้บูชากันเป็นการน้อมรำลึกถึง บรรพบรุษผู้กล้าหาญของชาติท่านหนึ่ง นั่นคือ “ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก “ซึ่งเก่งกล้าสามารถทั้งชั้นเชิงแม้ไม้มวยไทยและชั้นเชิงทางเพลงดาบ และท่านเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งของพระเจ้าตากสิน มหาราช ท่านจะเป็นทัพหน้าในการออกศึกโจมตีข้าศึกทุกครั้ง คือ”ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก “ ท่านเป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน มหาราช คู่พระทัยในการกอบกู้เอกราช ของชาติไทย ปราบชุมนุมต่างๆ รวบรวมเป็นประเทศชาติไทย และปกป้องอธิปไตยให้พ้นจากข้าศึกศัตรู มาได้จนเป็นประเทศไทยถึงทุกวันนี้ ลักษณะของเหรียญเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ ออกแบบเหรียญโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ด้านหน้า มีรูปพระยาพิชัยดาบหัก ในชุด แม่ทัพนายทหารสมัยอยุธยาตอนปลาย ยืนถือดาบ 2 ข้างส่วนข้างขวาหัก 1 ข้าง ซึ่งกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ จำลองแบบมาจากอนุสาวรีย์ มีผ้ามัดมือที่ถือด้ามดาบติดกับด้ามดาบ เพื่อป้องกันดาบหลุดจากมือ และดาบอีกข้างหนึ่งหักข้างขวา มุมขอบข้างล่างปรากฎตัวหนังสือไทยว่า พระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ ด้านหลังเป็น ยันต์เกราะเพชร ยันต์มะอะอุ ยันต์หัวใจมนุษย์ ยันต์พระเจ้า 5 พระองค์ ยันต์พุทธซ้อน ยันต์เฑาะว์ ยันต์ฤษี ฤาฤา ประกอบอักขระขอมและตัวนะต่าง ๆ กับมีตัวหนังสือ ๑ ก.พ. ๒๕๑๓ ด้านล่างเหรียญ ในการสร้างเหรียญพระยาพิชัยดาบหัก ครั้งแรกนี้ทางคณะผู้ดำเนินการสร้างได้เตรียมการสร้างอย่างดีที่สุด ดังนั้นเพื่อให้สมกับเป็นเหรียญยอดวีรบุรุษนักรบผู้เก่งกล้า ทั้งแม้ไม้มวยไทยและชั้นเชิงเพลงดาบ ร่วมกับพระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราช และรวบรวมชาติไทย โดยคณะกรรมการได้ส่งแผ่นโลหะทองคำ เงิน และทองแดง ไปอาราธนาให้คณาจารย์ผู้ทรง คุณวุติแก่กล้าทางวิทยาคมทุกท่านทั่วประเทศที่ได้ลงรายนามที่ทุกท่าน ช่วยลงอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ เพื่อที่จะนำมาหลอมเป็นชนวนโลหะศักดิ์สิทธิ์ยังมีการรวบรวมเอาตะกรุดและชนวนวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆอีกเป็นจำนวนมากผสมเพิ่มเติมอีกด้วย มารีดเป็นแผ่นโลหะพร้อมที่จะนำไปปั้มเป็นเหรียญ โดยแบ่งเหรียญโลหะออกเป็นสามชนิดคือ ทองคำ เงิน และทองแดง เรียกว่าเหรียญพระยาพิชัยดาบหัก ปี 2513 นี้ ดีทั้งในคือชนวนมวลสารดี และดีทั้งนอกคือเจตนาการสร้างดี พิธีดี คณาจารย์พุทธาภิเศกดี เลยทีเดียว มีจำนวนการสร้างเหรียญดังนี้

    1.เนื้อทองคำสร้างจำนวน 189 เหรียญ สร้างไว้เท่าจำนวน 189 ปีที่พระยาพิชัยดาบหักถึงแก่อสัญกรรม ถึงพ.ศ.2513 ให้บูชาราคาเหรียญละ 999 บาท (สมัยนั้นราคาทองคำบาทละ 450 บาท )

    2.เนื้อเงินสร้างจำนวน 999 เหรียญ ให้บูชาราคาเหรียญละ 99 บาท (ราคาสมัยนั้น)

    3.เนื้อทองแดงสร้างจำนวนมากหลายหมื่นเหรียญ ให้บูชาราคาเหรียญละ 9 บาท (ราคาสมัยนั้น)

    เหรียญพระยาพิชัยดาบหัก รุ่นแรก ๒๕๑๓ แบ่งออกเป็น 2 บล๊อกพิมพ์ คือ บ.ขาด และ บ.เต็ม(เส้นขีดด้านล่างของ บ.) คือ บ.ของคำว่า “ดาบ” ส่วนด้านหน้าเหรียญพระยาพิชัยดาบหัก ตรงไหล่ซ้ายจะมีจุดไข่ปลา 1 จุด และยันต์ต่างๆ ด้านหลังเหรียญ จะเหมือนกันหมด จะแตกต่างกันที่บ.ขาด และบ.เต็ม เท่านั้น และบล๊อกแม่พิมพ์ทั้ง 2 บล๊อกได้ถูกเจียรทำลายไปทั้งหมด..................

    (ขอขอบคุณ คุณแรมโบ้ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล)
     
  15. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    บางท่านอาจจะไม่มีวัตถุมงคลของพระเกจิ ที่มาร่วมปลุกเสกเหรียญพระยาพิชัยดาบหักบ้าง เพราะวัตถุมงคลบางรุ่นของพระเกจิบางรูปนั้นค่านิยมการเล่นหานั้นแพงจนจับไม่ลงจริงๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดทรัพย์ของนักสะสมของดีราคาย่อมเยาว์ ก็ลองหันมาเก็บเหรียญพระยาพิชัยดาบหักรุ่นนี้ได้นะครับ เพราะราคาการเล่นหานั้น ต้องเรียกว่าของดีราคาไม่แพง ประสบการณ์ของรุ่นนี้ก็มีไม่น้อย น่าสนใจนะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2011
  16. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    อรุณสวัสดิ์เช้าวันรวยรวยครับพี่น้อง
    ไม่หนาวเท่าไหร่แล้้วนะที่ชัยภูมิครับ
    รักษาสุขภาพนำเด้อครับ ห่วงนะเนี่ยถึงได้บอกอะ มาเสี่ยงดวงเศรษฐีใหม่กันนะครับ
    หายไปสองสามวันงานท่วมหัวครับ เพื่อนร่วมงานลาอีก ฮ่วยเป็นหยังกันน้อนี่ ซำบายดีกันนะครับ
    ^__^
     
  17. บางแสน

    บางแสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,533
    ค่าพลัง:
    +8,268
    สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านครับ..สมเด็จแผ่นดินไหวเป็นพระที่น่าสนใจเพียงแต่ไม่กล้าเช่าเพราะดูไม่เป็น แล้วมีกี่รุ่นกันครับ เหรียญพระยาพิชัยดาบหัก หลวงปู่ทิมมาเสกด้วยเหรอครับ..น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง...ขอบคุณคุณไม่เกิดที่เอาบทความพี่แดงอรรณพ แก้วปทุมทิพย์มาลง เพราะบทความนี้ผมจึงสนใจในหลวงปู่ทองดำ เพราะไม่เคยนึกว่าพี่อรรณพจะสนใจพระสงฆ์หรือพระเครื่องเลย...เมื่อพี่เค้าให้ความเคารพนับถือหลวงปู่ขนาดนี้แสดงว่าท่านดีจริง..
    คุณดินระเบิดครับ..
    สมเด็จแผ่นดินไหวพิมพ์เล็กและสมเด็จแป้งเจิมพิมพ์เล็กนี่แพงขนาดใหนครับ..อยากรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2011
  18. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,800
    อยากรู้เหมือนที่พี่บางแสนสงสัยด้วยคนครับ............

    วันนี้เงียบเหงาเลย ไม่มีคนมาให้เล่นเกมส์ อิอิอิอิ............
     
  19. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    งั้นผมทายเอาฤกษ์ครับพี่เอท รางวัลเบิกที่กองสลากเด้อ:cool:
    88 ครับตัวเดียวพอ

     
  20. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,800
    ซื้อล็อตเตอรี่ถ้าถูกก็ต้องไปขึ้นรางวัลที่กองสลาก ก็กลัวระเบิด 55555 งั้นก็เลยซื้อใต้ดินแทน จะได้ขึ้นเงินง่ายๆ หน่อยไม่เสี่ยงกับระเบิด 55555 ต้องบอกท่านรองฯน้าเริญให้เข้าใจ ว่าเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของชีวิตเลยต้องซื้อใต้ดิน อิอิอิอิ..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...