หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. naicharty

    naicharty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +394
    ถูกต้องนะครับท่านอ๊อด เราไม่ต้องไปบังคับอะไรมันครับ ให้จิตอยู่กับผู้รู้ตลอดเวลา เช่น รู้ว่าไม่สงบก็ไม่ต้องไปบังคับ หรือรู้ว่าจิตกระโดดไปโน่นไปนี่ก็ให้รู้ ไม่ต้องไปปรุงแต่งปล่อยมันไป การพิจารณาธรรมก็คือมีสติที่ตามรู้ ให้มีสติกำหนดรู้ตลอดเวลา แล้วหาทางให้ใช้ปัญญาสอนให้จิตไปเรื่อยๆ คนที่ปัญญาวิมุตติต้องฝึกใช้ปัญญา แล้วใช้ปัญญานั้นมาสอนจิตครับ...แล้วให้ท่านอ๊อดพิจารณาว่าเมื่อมีอารมณ์มากระทบกับตัวเราเราพิจารณาอย่างไร ใช้ปัญญาจัดการมันอย่างไร นั่นแหละเขาเรียกว่ามีธรรม ธรรมก็คือการที่มีสติกำหนดในปัจจุบัน ณ ขณะจิต จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ถือว่าอันนี้เป็นของเรา รู้แล้วว่าง ...ให้ฝึกพิจารณา 2 อย่างคือ ...เกิด...ดับ... เป็นอุบายสอนจิตลองดูนะครับ...
    การฝึกสมาธิบางคนใช้ปัญญาสอนสมาธิ เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ส่วนบางคนใช้สมาธิสอนปัญญา เรียกว่าพวกเจโตวิมุตติ..
    ท่านอ๊อดเป็นคนที่ปัญญามาก ขอใฟ้ฝึกใช้ปัญญาสอนจิต และลองใช้ธรรมะ ...เกิด...ดับ... ไปพิจารณาดูครับ...เพราะผมกำลังใช้ธรรมบทนี้อยู่รู้สึกว่าได้ผลดีครับ...
     
  2. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ดีแล้วนะครับท่านผู้หมวด ภพที่แล้วท่านก็ทำแบบนี้แหละ ได้รับใช้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้น ได้บุญมากมายนัก น้อยคนจะมีบุญวาสนาเช่นนี้ และที่สำคัญ จงใช้เวลาเท่าที่มีในการภาวนาให้เป็นนิจศีล ให้เคยชิน ฝึกไว้ ทรงไว้ แล้วความก้าวหน้ามันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ เมื่อท่านอธิษฐานจิตที่จะติดตามกันแล้ว นั่นย่อมแสดงว่า ท่านเป็นผู้ที่ฉลาดแล้ว เพราะผู้ฉลาดย่อมแสวงหาธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้านั่นหละ ที่พวกเรากำลังหากันอยู่ ในส่วนของทางโลกก็ปฏิบัติไปให้ดีที่สุดนะครับ ส่วนทางธรรมผมจะพาท่านไปหาเอง เมื่อเจอแล้วท่านจะต้องช่วยเหลือตัวเอง ให้ข้ามฝั่งและหลุดพ้นด้วยตัวของท่านเอง จงตามมานะครับ
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอบคุณครูชาติที่เข้ามาเติมเต็มครับ
    หากรู้ว่าตัวเองเก่งอะไร มีเป้าหมายว่าอย่างไร ต้องทำอย่างไร ก็เอาตัวรอดได้แล้วหล่ะครับ
    ขอให้ใช้เวลาในการเพ่งพิจารณาตัวเองให้มากๆเด้อ...
     
  4. naicharty

    naicharty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +394
    พวกเรานักรบธรรม ใครมีอะไรต้องบอกกันและต้องก้าวเดินไปด้วยกันช้าบ้างเร็วบ้าง ก็ต้องบอกต้องเตือนกัน...ธรรมอยู่ที่ตัวเรา ...ผมจะน้อมรับคำแนะนำมาเพ่งพิจารณาตัวเองให้มากๆ.... ขอบคุณครับ
    ขอให้เจริญในธรรม
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เพื่อนนักรบธรรมด้วยกัน เมื่อถึงเวลาจะรู้เอง จะดึง จะดูดเข้าหากัน แล้วพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน อาจเหลื่อมล้ำกันบ้างก็ที่บุญบารมีที่สะสมมาของใครมัน แต่มีอย่างเดียวที่ไม่ควรเหลื่อมล้ำ นั่นคือความปราถนาดีต่อกัน ต่างต้องมุ่งส่งเสริมกันและกันให้ก้าวเดินไปให้ได้ ตามเส้นทางแห่งองค์มรรค ดุจเดียวกัน
     
  6. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ขอโมทนาบุญกับท่านผู้เป็นเจ้าของสร้อยประคำด้วยนะครับ.....เมื่อได้ใช้ร่วมกับการปฎิบัติสมาธิแล้วท่านก็จะรับรู้ถึงความพิเศษของสร้อยประคำว่ามีมากมายเพียงใด เกินคำบรรยายเลยหล่ะครับ.....(แล้วจะหนาว...และก็หาวครับ)ยินดีด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2011
  7. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ขอโมทนากับท่านผู้เป็นเจ้าของสร้อยประคำด้วยนะครับคงเป็นสมบัติเก่าของท่านครับ
    แล้วก็ดีใจจริงๆครับที่เจดีย์ได้มีความคืบหน้าครั้งใหญ่
    ขอให้มีความเจริญยิ่งขึ้นครับ
    อาบัง
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, สมาชิกธรรม+, สาวกธรรม1+, nontayan+, chantasakuldecha, keawsa, naicharty+, sammasathi </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตกกะใจ มากันอุ่นหนาดี สบายดีเนาะ :)
     
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เห็นด้วยครับ ตอนนี้เริ่มหาวแล้ว เพราะสู้ไม่ไหว หุหุ ต้องถอด หุหุ 55
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ระหว่างที่ถอด(ประคำ) ก็นึกขึ้นได้ว่าให้คนไปซื้อสายหลีดจากร้านขายอุปกรณ์ตกปลา
    มาร้อยสร้อยประคำฯใหม่ ให้คงทน เหนียวกว่าเดิม

    จึงถ่ายรูปมาให้ดูกันก่อน
    - ภาพแรกยังไม่ได้ขออนุญาตถ่าย
    - ภาพที่สองขออนุญาตถ่ายภาพ
    ปล: เม็ด (องค์) ที่ 109,110 ต้องอยู่ตำแหน่งเดิม ห้ามเปลี่ยนตำแหน่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Photo_1.jpg
      Photo_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.1 KB
      เปิดดู:
      65
    • Photo_2.jpg
      Photo_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.6 KB
      เปิดดู:
      66
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    ภาพไม่ค่อยชัดเลยครับ
    ขอให้ส่งมาแม่สอดสัก 4 เม็ดเพื่อถ่ายภาพให้ชัดกว่าเดิมเด้อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  12. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ขอชมภาพสวยๆหลังจากได้ตกแต่งร้อยเรียงใหม่ด้วยนะ.....จะละม้ายคล้ายเจ้าชายที่ใดหนอ.....

    ต้องมองหากล้องใหม่ซะแล้ว(โดนแซว) ขนาดไม่ชัดก็ยังมึนๆเลยครับ จะส่งไปให้นะหลังจากทราบว่ามีหลังที่สอง.....หึหึ
     
  13. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    สวัสดีตอนเช้าครับพี่ๆ ไม่ทราบว่าจะไปกันวันไหนน้อ ถ้าตรงวันหยุดคงจะได้ไปร่วมกันนะครับ
     
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    สบายดียามเช้าอาบัง อากาศกำลังเย็นๆครับ หลังจากร้อยสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำใหม่ จัดภาพให้แบบเต็มเลย

    พูดถึงเรื่องสร้อยประคำฯ ช่วงนี้ผมกำลังเห่ออยู่พอประมาณ จนถึงขั้นเก็บไปฝันถึงสร้อยประคำฯประจำตัวผม

    "ฝันว่า...สร้อยประคำเส้นนี้ผุดขึ้นมาต่อหน้าผมในห้องนอน ระยะห่างประมาณ 3 เมตรมุมเฉียง 45 องศา อยู่ในท่าทางรูปยิ้มหรือเสี้ยวพระจันทร์หรือบูมเมอร์แรง มีรัศมีออร่าสีขาวนวล เรืองๆ ล้อมรอบตามแนวประคำประมาณ 1 คืบ ผมรู้สึกปีติยินดีที่ได้เห็นเขานะ แต่ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร เหมือนเขาจะบอกชื่อแต่ไม่ได้ยิน ความรู้สึกว่าชื่อเขายาว 5-6 คำ ทีนี้จ้องกันนานมาก ผมก็ชำเลืองดูด้านซ้ายมือเรา หรือเยื้องไปด้านหลังฝั่งขวาของประคำ ก็พบวิมานลอยอยู่ มีเสา 4 ต้น ผุดลอยอยู่ในอากาศ มีก้อนเมฆสีขาว ล้อมรอบ"

    จากนั้นสักพัก ผมก็ลืมตาขึ้นแบบงงๆ เอ เขาจะบอกอะไรเราหนอ ทำไมจำชื่อไม่ได้เลย หรือไม่ได้บอก แต่เซ็งตัวเองมากๆเหลือบมองนาฬิกาก็ราวตี 2 นอนต่อดีกว่าวุ๊ย อากาศกำลังเย็น...ตื่นมาตี 4 ขี้เกียจนิดๆก็ต้องลุกขึ้นมาทำวัตรเช้า เสร็จแล้ว พักนิดหน่อย เข้าสมาธิพอสงบก็ทบทวนเรื่องประคำ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาว่า เขาอยากได้ชื่อ ให้ตั้งชื่อให้เขาหน่อย ผมก็เลยพิจาณาให้เป็นชื่อ ธรรมราชาภักดี แปลว่า ผู้มีความภักดีต่อพระธรรมราชาหรือพระพุทธเจ้านั่นแหละ พอสักพักก็ได้ความรู้สึกว่าไม่ชอบหรือสูงไปประมาณนี้...งั้นเปลี่ยนเป็น ธรรมะเสนาภักดี ละกัน ถ้าไม่ชอบก็นึกไม่ออกแล้วนะ ปรากฏว่ารู้สึกจะชอบเพราะถามได้แต่ตนเอง ไม่มีใครขัดผมในสมาธิ 555 ตกลงว่า สร้อยประคำเส้นนี้ ผมให้ชื่อว่า "องค์ธรรมะเสนาภักดี" แปลว่า "ผู้มีความภักดีต่อพระธรรมะเสนา" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1210170.jpg
      P1210170.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165.5 KB
      เปิดดู:
      1,157
    • P1210174.jpg
      P1210174.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.3 KB
      เปิดดู:
      64
    • P1210176.jpg
      P1210176.jpg
      ขนาดไฟล์:
      298.8 KB
      เปิดดู:
      289
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  15. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    "องค์ธรรมะเสนาภักดี" แปลว่า "ผู้มีความภักดีต่อพระธรรมะเสนา"

    สร้อยประคำองค์นี้ เปรียบเสมือนกับเจ้าของ "ผู้เป็นเสนาบดี"อัคร"ของพระพุทธะในกาลข้างหน้า" ขออนุโมทนาทุกประการครับ
     
  16. naicharty

    naicharty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +394
    การปฏิบัติธรรมคือการค้นหาความจริง ลองผิดลองถูก โดยใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเราจะใช้ปัญญาแก้ปัญหาอย่างไร....เปรียบเสมือนกับที่พวกเรานักรบธรรมทั้งหลายที่มีความชำนาญในการซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ หากมีใครมาพูดหรือมาคุยกับเราในเรื่องคอมพิวเตอร์เราจะต้องรู้ว่าคนนั่นเขาซ่อมคอมพิวเตอร์เป็นหรือเปล่า หรือเขารู้ระดับใด....พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านมีความชำนาญในการภาวนาเราจะพูดไปอย่างอย่างไร ท่านก็ยอมรู้เราว่าทำผิดหรือถูกฉันนั้น...ดังนั้น ขอให้นักรบธรรมทั้งหลายจงค้นหาความจริง และแนวทางในการแก้ปัญหาโดยใช้ปัญญา ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราแก้อย่างไร...นั่นแหละเรียกว่าการใช้ปัญญาในทางธรรม.....ธรรมสวัสดีจงมีแก่ทุกท่าน....
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำนามว่า "ธรรมะเสนาภักดี"

    ขอบพระคุณครับผม
    ผมมาค้นๆพิจารณาว่าตรงตามหลักการตั้งชื่อมั๊ย ได้ความว่า ประคำเส้นนี้ผมได้รับในวันเสาร์ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11:00 น เขาคงจะเกิดวันเสาร์เหมือนกันกับผม ก็เลยพิจารณาต่อตามหลักทักษาโปรแกรมหมอดู (ง่ายดี) ได้คำวิเคราะห์ดังนี้...

    วิเคราะห์ชื่อ ธรรมะเสนาภักดี เกิดวันเสาร์

    สรุปจำนวนทักษาทั้ง ๘ ในชื่อธรรมะเสนาภักดี มีอักขระที่เป็น บริวาร 3 , อายุ 2, เดช 2, ศรี 1, มูละ 5, อุตสาหะ 1, มนตรี 0, กาลกิณี 0

    เลข 50 พลังแห่งปัญญาและความสามารถ
    กำลังพระเคราะห์ได้เลข ๕๐ เป็นเลขดีเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และต่างประเทศ บ่งถึงการเสี่ยงโชคในต่างแดน ผจญชีวิตในแดนไกล บุคคลที่อยู่ใต้อิทธิพลเลข ๕๐ มักจะได้ไปใช้ชีวิตยังแดนต่างประเทศ หรือได้ไปศึกษาและคบหากับคนต่างชาติต่างภาษา บางคนอาจได้สามีภรรยาเป็นคนต่างชาติ ชอบคิดค้นแสวงหาธรรมะเป็นบุคคลที่เชื่อในความเร้นลับของธรรมชาติ และมีญาณสัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้

    คำทำนาย (คำกลอน)
    เลข ๕๐ รวมชื่อ นามสกุล
    ชะตาคุณ ดวงดีมาก จักบอกหนา
    โดยเฉพาะ ความสามารถ และปัญญา
    จะนำพา ไปเรียนต่อ ที่ต่างแดน
    หรืออาจได้ ทำงาน ต่างประเทศ
    จึงเป็นเหตุ พบคู่รัก อยู่ต่างแคว้น
    ด้วยความดี คุณประกอบ ส่งตอบแทน
    นำเป็นแกน ให้สำเร็จ ไม่ยากเลย
    ที่สำคัญ คุณมี ญาณพิเศษ
    ยึดถือเหตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามเฉลย
    นับว่าชื่อ เป็นมงคล ผลเกิดเอย
    บุญชดเชย ส่งเสริมดวง ให้เจริญ
    ดวงชะตา ว่าชื่อนี้ นั้นดีมาก
    ได้ดีจาก แดนไกล ใคร่สรรเสริญ
    ใจผูกพัน ธรรมชาติ ที่เหลือเกิน
    เรื่องบังเอิญ ไม่มี ดีจริงๆฯ

    ดวงดีมาก โดยเฉพาะเรื่องปัญญา มีความสามารถ ดีเด่นทางทำงานต่างประเทศ มักพบคู่รักต่างแดน เป็นคนมีณาณพิเศษ มีบุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  18. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top rowSpan=2 width="16%">Jit สมาชิกแบบเต็มตัว
    [​IMG][​IMG]

    พลังใจ: 9
    [ให้พลังใจ]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 62


    [​IMG] [​IMG]
    </TD><TD height="100%" vAlign=top width="85%"><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>ละปัจเจกโพธิญาณ บรรลุธรรมในคราวเดียว
    « เมื่อ: สิงหาคม 26, 2011, 06:01:58 PM »
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right>[​IMG]อ้างถึง [​IMG]แก้ไข </TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">
    ข้อเขียนนี้ เป็นการคัดมาจากหนังสือ "วินาทีบรรลุธรรม โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์" โดย "เธียรนันท์"


    ข้าพเจ้าขออุทิศผลดีจากการเผยแผ่เรื่องดี ๆ ของพระอรหันต์ แก่คุณ "เธียรนันท์" หากมีข้อผิดพลาด ข้าพเจ้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล


    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล (พระครูวิเวกพุทธกิจ) หรือที่เรียกกันว่า "หลวงปู่ใหญ่" เพื่อแสดงความกตัญญูต่อหลวงปู่เสาร์ ในฐานะพระอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต ซึ่งหลวงปู่ใหญ่ และหลวงปู่มั่น ทั้ง ๒ องค์นี้ ได้บุกเบิกกองทัพธรรมแห่งอีสาน วางรากฐานแนวการปฏิบัติสายธรรมยุต ให้หยั่งรากแก้วมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งเป็นการประกาศพระศาสนา ให้ฟื้นกลับคืนมาบนแผ่นดินสุวรรณภูมิอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง


    ชาติกำเนิดของหลวงปู่เสาร์ เป็นชาวเมืองอุบลราชธานี ตักสิลาธรรมะแห่งอีสาน ในช่วงเวลาราว พ.ศ.๒๔๐๒ - ๒๔๐๔ ช่วงนั้นแผ่นดินอีสานยังคงห่างไกลจากเมืองหลวงกรุงเทพฯมาก โรงเรียนยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้น "วัด"จึงเป็นศูนย์กลางของการศึกษา ชาวบ้านมักจะส่งลูก ๆ หลาน ๆ มาเรียนหนังสือที่วัด โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นครูผู้สอน พอครบวัยบรรพชาเป็นสามเณร ก็อยู่เรียนที่วัด บางคนเรียนจนจบเปรียญ ก็ลาสิกขาบทออกมารับราชการ


    ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์เป็นเด็ก ๆ มีหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ มีความศรัทธาในพระศาสนา รักการเรียนหนังสือ บิดามารดาส่งเด็กชายเสาร์ ฝากตัวเป็นเด็กวัดที่วัดได้ เพื่อเตรียมตัวบรรพชาเป็นสามเณร เด็กชายเสาร์ร่ำเรียนอยู่นาน ๓ ปี พออายุครบ ๑๕ ปี จึงบวชเป็นสามเณร


    สามเณรเสาร์เป็นเด็กที่จิตใจกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ยามเช้า ติดตามพระสงฆ์ออกบิณฑบาต ขากลับรับหน้าที่สะพายบาตรของพระรูปอื่น ๆ ทีละ ๕-๖ ลูก ขณะที่มือหอบหิ้วสิ่งของ ผลไม้ ดอกไม้ที่ชาวบ้านนำมาถวายพระ เดินตามพระผู้ใหญ่กลับวัด จนเป็นที่รักใคร่ของพระในวัด ระหว่างที่อยู่วัด สามเณรเสาร์ได้ร่ำเรียนบาลีธรรม จนต่อมาได้กลายมาเป็นครูสอนธรรม พออายุครบ จึงบวชเป็นพระภิกษุ จำวัดที่วัดได้นานถึง ๑๐ พรรษา

    ชาวบ้านเรียกพระภิกษุเสาร์ว่า "ญาคูเสาร์" หมายถึง พระภิกษุที่ทำหน้าที่สอนธรรมะ ชีวิตพระยุคนั้น ระเบียบวินัยของสงฆ์ยังเข้ามาไม่ถึงท้องถิ่น ทำให้วิถีของพระ ไม่เข้าใจว่า ระเบียบพีพระธรรมวินัยของสงฆ์มีอะไรบ้าง ยามชาวบ้านมีงานท้องถิ่นแข่งเรือ บั้งไฟพญานาค มหรสพ พระภิกษุสงฆ์ ก็เข้าร่วมสนุกในงานได้ แม้แต่การสะสมข้าวของ เงินทอง เครื่องใช้ ก็สามารถทำได้


    ชีวิตพระภิกษุเสาร์ มีนิสัยคล้ายโยมมารดา คือ เป็นคนไม่ทอดธุระ ทิ้งหน้าที่การงาน ตั้งใจทำอะไรก็ทำจริง เป็นคนพูดน้อย ช่วงเป็นพระที่วัดใต้ ท่านได้สะสมเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ แพรพรรณ จำนวนมาก อยู่ภายในห้อง เพื่อเตรียมเอาไว้เป็นสินค้าไว้ค้าขายยามที่สึกไปเป็นฆราวาส


    ขณะที่พระภิกษุเสาร์วางแผนอนาคตของชีวิตไว้ว่าจะสึกนั้น โยมมารดาซึ่งสุขภาพร่างกายแข็งแรงก็มีอันเสียชีวิตไป การเสียชีวิตของโยมมารดา สร้างความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงแก่ท่านเป็นอย่างมาก


    ยามที่นั่งระลึกถึงโยมมารดาที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน จนฐานะทางบ้านกินดีอยู่ดีไม่ลำบาก แต่พอแก่เฒ่าลงไม่ทันไร ยังไม่ทันใช้เงินทองที่สะสมมาตลอดชีวิต ก็ตายไปเสียก่อน เงินทองที่สะสมมาก็เอาไปชาติหน้าด้วยไม่ได้


    หลวงปู่เสาร์ ท่านนึกย้อนกลับมาดูตนเอง กับกองสมบัติที่สะสมมากว่า ๑๐ ปี ที่กองอยู่ในห้อง แล้วพิจารณาว่า


    "ตัวเรานี้ก็เช่นกัน เมื่อเราสึกออกไปค้าขาย เราจะต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนหลายอย่าง ประการแรก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จะได้กำไรหรือขาดทุน ประการที่สอง จะต้องเสี่ยงภัยกับโจรผู้ร้าย จะถูกปล้นถูกลักขโมยเอาเมื่อไรก็ได้ และ ประการที่สาม อาจต้องเสี่ยงอุบัติเหตุ เรืออาจจะจมอาจจะคว่ำ เพราะโดนคลื่นโดนพายุ เราต้องล่มจม เพราะภัยธรรมชาติก็ได้



    ถ้ามองโลกในแง่ดี ถ้าหากการค้าของเรามีกำไร สะสมเงินทองได้มากพอ นำไปสร้างบ้านเรือน แล้วแต่งงานอยู่กินด้วยกันมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมลูกที่น่ารัก สร้างฐานะได้มั่นคง ก็นับว่าดีไป แต่ถ้าเงินทองเราหมดลง ก็ต้องดิ้นรนขวนขวายต่อไป อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ดูแต่โยมแม่ของเรา ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต เวลาท่านตาย ไม่เห็นท่านเอาอะไรไปได้ สมบัติพัสถานต่าง ๆ เราไม่สามารถเอาเป็นที่พึ่งที่ยึดได้...."


    หลวงปู่เสาร์คิดพิจารณาหลายตลบเป็นเวลานานตลอดทั้งคืน ไม่ได้นอน เพื่อหาทางออกจนกระทั่งใกล้เที่ยงคืน มีความคิดผุดขึ้นมาว่า


    "การสึกออกไปใช้ชีวิตฆราวาส เราจะต้องดิ้นรนขวนขวายหาทรัพย์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อตายไป ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ดูตัวอย่างโยมแม่ของเราซิ ท่านแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ



    ถ้าเช่นนั้น เราจะสึกสาลาเพศออกไป มันจะได้ประโยชน์ และมีความหมายอย่างไรเล่า สู้อยู่ในเพศพรหมจรรย์อย่างนี้ น่าจะดีกว่า นอกจากเป็นเพศที่ถือว่าสูงส่งแล้ว ไม่ได้ประกอบกรรมทำชั่ว ยังสามารถประกอบมรรคผลนิพพานให้เกิดให้มีขึ้นได้ อย่างน้อยก็เป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตามตนไปได้อยู่มิใช่หรือ อย่ากระนั้นเลย เราไม่สึกดีกว่า"


    พอตัดสินใจได้เช่นนั้น ก็เรียกให้ญาติพี่น้องคนรู้จักกันมาเอาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ ๑๐ ปี ใช้เวลาหลายวันกว่าจะแจกจ่ายจนหมดสิ้น


    เข้าธรรมยุต....เรียนปฏิบัติภาวนา
    หลังจากที่หลวงปู่เสาร์ได้แจกจ่ายข้าวของไปแล้ว ตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะบวชตลอดชีวิต ท่านก็มองหาว่า ใครบ้างที่เป็นผู้รู้ทางธรรม สมัยนั้น มีอาชญาเทวธมุนี ที่วัดศรีทอง พระฝ่ายธรรมยุต เป้นผู้มีความรู้ เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลวงปู่เสาร์จึงเดินทางมาที่วัดศรีทอง ตรงไปหาอาชญาเทวธมุนี เพื่อขอฟังธรรม

    อาชญาเทวธมุนี ได้แสดงให้เห็นว่า อะไรคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ส่วนประเพณีนิยมถือเคล็ด ถือโชคถือลางที่มี เช่น ดูดวง ผูกดวง วิชาเครื่องรางของขลัง ฯลฯ ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ รวมถึงงานรื่นเริงของชาวบ้าน อาทิ การเล่นบั้งไฟ กลองยาว กลองเส็ง แข่งเรือ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่เข้าไปยุ่ง ส่วนแนวทางของพระพุทธเจ้า คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ธุดงควัตร๑๓ เป็นต้น หลวงปู่เสาร์เห็นด้วยกับคำสอนของอาชญาเทวธมุนี จึงปฏิบัติตามคำสอนของครู โดยการฝึกศีลสมาธิ เดินจงกรม รวมถึงเจริญวิปัสสนา จนกระทั่ง ภายหลัง หลวงปู่เสาร์ ได้ทำญัตติกรรม เปลี่ยนเป็นพระธรรมยุต ตั้งแต่นั้นมา

    หลังจากที่เปลี่ยนเป็นธรรมยุตเรียบร้อย หลวงปู่เสาร์ท่านได้เร่งความเพียรภาวนา "พุทโธ"

    ตามประวัติกล่าวว่า "ไม่ว่าหลวงปู่ใหญ่จะไปที่ใด อยู่ที่ใด จิตใจท่านมิได้เหินห่างคลาดเคลื่อนไปจากความเพียร นับตั้งแต่บิณฑบาต ปัดตาด กวาดลานวัด ขัดกระโถน เย็บผ้า ย้อมผ้า เดินไปเดินมาในวัดและนอกวัด ตลอดจนการขบฉัน ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ จะตั้งสติกำหนดอยู่กับความเพียรทุกขณะ ไม่ให้คลาดเคลือน ไม่ยอมให้อารมณ์ภายนอกนั้น หรือไม่ยอมให้จิตปรุงแต่งไปตามอารมณ์"

    วัดเลียบ....แหล่งฟูมฟักพระธรรม

    หลวงปู่เสาร์มักจะปลีกตัวไปหาที่สงบ ๆ นั่งสมาธิภาวนา ซึ่งอยู่ทางใต้ของวัดศรีทอง เดินไปไม่ไกลนัก ทำเลแห่งนี้ มีความเงียบสงบ เหมาะแก่การภาวนา ภายหลังได้กลายเป็นวัด ชื่อ "วัดเลียบ" ซึ่งหลวงปู่เสาร์ได้มาจำวัดที่วัดแห่งนี้

    หลังจากที่มาพักที่วัดเลียบ หลวงปู่เสาร์ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อปลีกวิเวกปฏิบัติธุดงควัตร ๑๓ ประการ ระหว่างที่ธุดงค์ผ่าน กุดเม็ก หลวงปู่เสาร์ได้ปักกลดอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ก็ได้พบกับลูกศิษย์สำคัญ นั่นคือ "หลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต" ซึ่งหลวงปู่เสาร์มีความพอใจกับนิสัยใจคอของหนุ่มมั่นเป็นอย่างมาก จึงออกปากให้มาบวช หลังจากที่อุปสมบทแล้ว หลวงปู่มั่นก็ได้มาฝึกอบรมวิปัสสนากับหลวงปู่เสาร์ที่วัดเลียบ

    ศิษย์กับอาจารย์คู่นี้มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง หลวงปู่เสาร์ได้อบรมสอนวิปัสสนา และพาหลวงปู่มั่นพร้อมคณะลูกศิษย์ออกธุดงค์ รอนแรมกลางป่าพงไพร ไม่กลัวสิงสาราสัตว์ ไม่กลัวฝนตก ไม่กลัวไข้ป่า ยามที่เดินผ่านสัตว์ป่า หลวงปู่เสาร์จะสั่งให้คณะนั่งลงกับพื้น แล้วกำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับสัตว์เหล่านั้น
    เวลาสอนลูกศิษย์ หลวงปู่เสาร์ท่านเป็นคนทำมากกว่าพูด คือ ทำให้พระภิกษุสามเณรญาติโยมดูเป็นตัวอย่าง คำสอนของท่านไม่ได้พิสดารอะไรเลย คำสอนส่วนใหญ่เรียบง่าย โดยเน้นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ชีวิตของพระป่าต้องทำอะไรให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านจะสอนลูกศิษย์ให้ทำอะไรเป็นเวลา ซึ่งเรื่องนี้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย สมัยที่ยังเป็นสามเณรได้อยู่ปรนนิบัติปฏิบัติธรรม ติดตามหลวงปู่ใหญ่ ได้เคยถาม หลวงปู่ใหญ่ ว่า

    "ทำไมต้องเคร่งครัดแบบนั้น"
    หลวงปู่ใหญ่ตอบว่า

    "การนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ฉันเป็นเวลา อาบน้ำเข้าห้องน้ำเป็นเวลา มันเป็นอุบายสร้างพลังจิต แล้วทำให้เรามีความจริงใจ"

    แนวทางจริตของหลวงปู่มั่นไปในทางโลดโผน เกิดนิมิตรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ซึ่งต่างจากหลวงปู่เสาร์ที่เรียบง่าย ต่อมาหลวงปู่มั่น ได้แยกตัวออกปฏิบัติธรรมตามลำพัง ที่ถ้ำสาลิกา จนค้นพบความสงบ ทำให้ทราบว่า ตัวหลวงปู่มั่นปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งความปารถนาดังกล่าวเป็นตัวกั้น ทำให้ชาตินี้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ หากต้องการบรรลุธรรม จำเป็นจะต้องสละพระโพธิญาณเสียก่อน ความรู้ดังกล่าว ทำให้หลวงปู่มั่น หวนรำลึกถึงหลวงปู่เสาร์ ท่านปรารถนาบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ คือการบรรลุธรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะต้องบำเพ็ญบารมีอีกหลายภพชาติอสงไขย หลังจากที่หลวงปู่มั่นอธิษฐานจิตลาจากพุทธภูมิ จึงยกจิตเข้าสู่ภูมิธรรมพระอรหันต์ในที่สุด

    หลังจากที่หลวงปู่มั่นบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ระลึกถึงบุญคุณของหลวงปู่เสาร์ จึงได้เร่งรุดการเดินทางติดตามหาหลวงปู่เสาร์ เพื่อบอกแก่ครูบาอาจารย์ถึง "สิ่ง" ที่เหนี่ยวรั้ง ไม่ให้เข้าภูมิธรรมอรหันต์ในชาตินี้

    ละปัจเจกโพธิญาณ บรรลุธรรมในคราวเดียว

    บทสนทนาอันลือลั่น ปุจฉาวิสัชนาระหว่าง "หลวงปู่มั่น" ผู้เป็นลูกศิษย์ กับ "หลวงปู่เสาร์" ผู้เป็นอาจารย์ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู และภูมิปัญญาอย่างสูงสุดของหลวงปู่มั่น ที่มองหาอุบายธรรมอันพอเหมาะ ปุจฉาเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์ โดยที่หลวงปู่มั่นทราบว่า เป็นธรรมชาติของผู้ปฏิบัติ "พระปัจเจกโพธิญาณ" คือ ผู้บำเพ็ญเพื่อบรรลุธรรม ด้วยพลังของตนเอง โดยไม่ต้องไปเรียนรู้ หรือให้ใครสอน

    บทสนทนานี้ ถูกบันทึกโดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ที่ได้บันทึกคำสนทนาที่เล่าจากหลวงปู่มั่น เมื่อคราวที่ออกเดินทางติดตามหาหลวงปู่เสาร์ เพื่อบอกให้ท่านวางพระปัจเจกโพธิลงเสีย เพื่อบรรลุธรรมในชาตินี้ ดังนี้

    เมื่อหลวงปู่มั่นรีบเร่งเดินทางจากถ้ำสาลิกา มาพบหลวงปู่เสาร์ที่ถ้ำผากูด ทั้งคู่พักจำพรรษาที่แห่งนี้ พร้อมกับคณะสงฆ์สาวกที่บวชใหม่ ระหว่างที่พักที่ถ้ำแห่งนี้ หลวงปู่มั่นได้ปรนนิบัติหลวงปู่เสาร์ ตามหน้าที่ แม้หลวงปู่เสาร์ห้ามมิให้ทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระใหม่ทำ แต่หลวงปู่มั่นก็ไม่ได้ฟังคำห้ามของหลวงปู่ใหญ่

    อาจารย์และศิษย์ได้ปรึกษาสนทนาธรรมะทุกวันในถ้ำแห่งนี้ โดยที่หลวงปู่มั่นเองก็มิได้บอกถึงเหตุการณ์บรรลุธรรมที่ถ้ำสาลิกา จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพบโอกาสเหมาะ หลวงปู่มั่นได้เข้ากราบเรียนหลวงปู่ใหญ่ว่า

    "ท่านอาจารย์ได้พิจารณาอริยสัจจธรรมหรือไม่"

    หลวงปู่ใหญ่ตอบว่า "เราก็พิจารณาเหมือนกัน"

    หลวงปู่มั่นถาม "แล้วได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง"

    หลวงปู่ใหญ่ตอบว่า "ได้ผลเหมือนกัน แต่ไม่ชัดเจน"

    หลวงปู่มั่นถามต่อไปว่า "เพราะเหตุไรบ้างครับ"

    หลวงปู่ใหญ่ตอบว่า "เราได้พยายามอยู่ คือพยายามคิดถึงความแก่ ความตาย แต่ว่าบางคราวมันก็ไม่แจ่มแจ้ง"

    หลวงปู่มั่นถามต่อไปอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านอาจารย์คงมีอะไรเป็นเครื่องห่วงหรือกระมัง"

    หลวงปู่ใหญ่ตอบ "เราก็พยายามพิจารณาเหมือนกัน แต่ก็หาสิ่งขัดข้องไม่ได้ ความจริงความสว่างของดวงจิตนั้นก็ปกติดีอยู่ แม้มันจะมีดีบ้างไม่ดีบ้าง มันก็เรื่องธรรมดาของสมาธิ แต่ว่าเมื่อจิตพิจารณาทีไร รู้สึกว่ามันไม่ก้าวหน้าไป...."

    หลวงปู่มั่นจึงกราบเรียนถาม "กระผมคิดว่า คงมีอะไรสักอย่างเป็นเครื่องห่วง"

    คราวนี้ หลวงปู่ใหญ่ หันมาถามลูกศิษย์ว่า "แล้วเธอรู้ไหมว่า เรามีอะไรเป็นเครื่องห่วง"

    หลวงปู่มั่น จึงสบโอกาสได้เล่าถวายประสบการณ์ตามที่ประสบเจอ เมื่อคราวที่ถ้ำสาลิกาว่า "ท่านอาจารย์ห่วงเรื่องการปรารถนาพระปัจเจกโพธิกระมัง"

    หลวงปู่ใหญ่ท่านเห็นด้วยกับควมเห็นของลูกศิษย์ กล่าวว่า "แน่ทีเดียว ในจิตของเราตั้งอยู่ว่า จะขอให้รู้ธรรมเอง โดยมิต้องให้ใครมาแนะ หรือบอกให้ทราบ และมันก็ตั้งอยู่ในใจของเรามาตลอด"

    พอเห็นว่า หลวงปู่ใหญ่ ท่านฟังความคิดเห็น จึงให้ความคิดเห็นต่อไปว่า "ขอให้ท่านอาจารย์อย่าเป็นห่วงเลย ขอให้พิจารณาอริยสัจ เพื่อความพ้นทุกข์เสียแต่ชาตินี้เถิด เพราะกระผมเองก็ปรารถนาพระโพธิญาณ และกระผมก็ได้ละความปรารถนานั้นแล้ว เนื่องด้วยว่า การท่องเที่ยวในสังสารวัฎนี้ มันนานเหลือเกิน"

    สิ้นคำพูดของลูกศิษย์ ได้สร้างความประหลาดใจแก่หลวงปู่เสาร์เป็นอย่างมาก ที่สามารถล่วงรู้ความจริงอันปรากฏในใจของท่านได้ เพราะที่ผ่านมา ท่านไม่เคยปริปากบอกใครเลย ฉะนั้น จึงทำให้ท่านรู้สึกว่า ท่านอาจารย์มั่นนี้ ต้องมีความดีความจริงชัดเจนในใจอย่างแน่นอน

    หลังจากที่ได้ฟังความเห็นของหลวงปู่มั่น ทำให้หลวงปู่เสาร์หันกลับมาทบทวนสิ่ที่เกิดขึ้นว่าอะไรคืออุปสรรคขวางพุทธธรรมของท่าน อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ปลีกเร้นไปนั่งสมาธิตามลำพังเป็นปกติ เริ่มพิจารณาอริยสัจสี่เหมือนเช่นเคย เพียงแต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกทีที่ผ่านมา

    "ท่านอาจารย์เสาร์เริ่มด้วยการพิจารณาถึงอริยสัจโดยอุบายอย่างหนึ่งคือ การพิจารณากายจนชัดแจ้งประจักษ์ เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย และท่านก็เริ่มดำเนินจิต เจริญให้มาก กระทำให้มาก จนเป็นญาณ สามารถทวนกระแสมาถึงที่ตั้งของจิตได้ และวันนี้น ท่านก็ตัดเสีย ซึ่งความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด"

    ตลอดเวลาเข้าพรรษาของปีนั้น หลวงปู่เสาร์เร่งภาวนาเป็นประจำมิได้ขาด จนกระทั่งถึงวันปวารณาออกพรรษา ท่านได้มาบอกหลวงปู่มั่นว่า

    "เราได้เลิกการปรารถนาพระปัจเจกโพธิแล้ว และเราก็ได้เห็นธรรมจริงแล้ว"

    หลังจากที่หลวงปู่เสาร์ได้บรรลุธรรม ท่านและหลวงปู่มั่น ได้ทำหน้าที่ของธรรมทายาทอบรมพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ให้บรรลุธรรม จนกลายเป็นกองทัพธรรมสายพระป่า ที่เน้นศีล สมาธฺ ปัญญา อย่างเคร่งครัด ตลอดจนสร้างแบบแผนประเพณีอันงดงามของวิถีชีวิตพระป่าสืบทอดลงมาจนถึงปัจจุบัน

    ที่มาของคำภาวนา"พุทโธ"

    "พุทโธ". คำภาวนานี้ คนไทยทั่วประเทศล้วนรู้จักดีว่าเป็นคำภาวนาที่ใช้บริกรรมของสายพระป่า. คำภาวนาว่า"พุทโธ" มีมาตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ที่สอนให้หลวงปู่มั่น จากนั้นหลวงปู่มั่นท่านสอนให้พระลูกศิษย์รูปอื่นๆจนบรรลุธรรมไปจำนวนมาก แต่ไม่มีใครทราบที่ไปที่มาของคำภาวนาพุทโธ แม้จะมีญาติโยมพยายามสอบถามหลวงปู่ใหญ่ ท่านก็ไม่ยอมตอบคำถาม กลับตอบมาว่า
    "ถามไปแล้วจะได้อะไร เอาเวลาไปภาวนาพุทโธไม่ดีกว่าหรือ"

    หลายคนไม่เพียงสงสัยว่าพุทโธมาจากไหน ยังสงสัยต่อไปว่าทำไมต้องใช้คำว่า "พุทโธ" ใช้คำอื่นภาวนาแทนไม่ได้หรือ. เรื่องคำภาวนาพุทโธนี้ แม้แต่หลวงพ่อพุธแห่งวัดป่าสาละวัน ขณะที่เรียนปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ใหญ่ก็อดสงสัยไม่ได้ ยามมีโอกาสจึงสอบถาม หลวงปู่เสาร์ว่า
    "ทำไมจึงต้องภาวนาพุทโธ"
    หลวงปู่ใหญ่อารมณ์ดี ตอบคำถามข้อนี้ว่า "ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือ พ-พาน สระอุ ท-ทหาร สะกด สระโอ ตัว ธ-ธง. อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง. ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้ว มันสงบวูบลงไป. นิ่งสว่าง. รู้ตื่น เบิกบาน พอหลังจากนั้น คำว่าพุทโธมันก็หายไป
    แล้วทำไมมันถึงหายไป. เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นจิตพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เกิดขึ้นในใจของผู้ภาวนา
    พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ. แถมมีปีติมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติ เกิดขึ้นที่จิตแล้ว
    พุทโธแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิต. มันใกล้กับความจริง"
     
  19. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>chantasakuldecha, IT Man, nontayan </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีครับท่านสมบัติ-ท่านดร.นนต์
    ผมเข้าใจแล้วว่ากระแสเย็นนั้นเป็นอย่างไร ท่านดร.นนต์ได้ แนะวิถีทางการภาวนาซึ่งผมได้นำไปภาวนาและเชิญองค์พระพุทธปฐวีธาตุวางบนฝ่ามือในระหว่างการภาวนากำหนดลมหายใจเข้า พอง สุดลม หนอ หายใจออก ยุบ สุดลม หนอ แล้ว สักพัก เกิดอาการ สงบนิ่งในสมาธิ กระแสเย็นผ่านเข้ามาตลอด จนบางครั้งผมสั่นไปทั้งตัว(เพียงเสี้ยววินาที) หรือแม้นแต่แล้วทำงาน หายใจเข้าก็มีกระแสเย็นผ่านเข้ามา ผมกำหนดเพียงรู้ว่ามี แต่ไม่พยายามจับกระแสครับ

    ขอให้นรธ.ทุกๆท่านเจริญในธรรม
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โมทนาสาธุใน ละปัจเจกโพธิญาณ บรรลุธรรมในคราวเดียว ของหลวงปู่เสาร์ด้วยนะครับ คุณธรรมของหลวงปู่มั่นที่มีต่อพระอาจารย์ทำให้แทบกลั้นน้ำตาแห่งความปีติไม่อยู่ และทำให้เข้าใจว่าทำไมต้อง พุท-โธ พุทโธสูงขนาดนี้...เลิศขนาดนี้ ยังไงก็ต้องพุท-โธ ตามพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆองค์ครับ

    โมทนาสาธุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...