ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]

    ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา พระ
    มหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดใน
    พระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่าเข้าฌาน แล้วทรงบรรลุญาณ
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ฌาน คือ วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ คือ ให้จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่อย่างปุถุชนธรรมดา
    ส่วนญาณคือปัญญาความรู้แจ้ง เปรียบให้เห็นความง่ายเข้าก็คือ แสงเทียนที่นิ่งไม่มีลมพัด คือ 'ฌาน' แสง
    สว่างอันเกิดจากแสงเทียนเท่ากับปัญญา (ญาณ)
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พระมหาบุรุษทรงบรรลุญาณที่หนึ่งในตอนปฐมยาม (ประมาณ ๓ ทุ่ม) ญาณที่หนึ่งนี้เรียกว่า
    'บุพเพนิวาสานุสติญาณ' หมายถึง ความรู้แจ้งถึงอดีตชาติหนหลังทั้งของตนและของคนอื่น พอถึงมัชฌิม
    ยาม (ประมาณเที่ยงคืน) ทรงบรรลุญาณที่สอง ที่เรียกว่า 'จุตูปปาตญาณ' หมายถึงความรู้แจ้งถึงความจุติ
    คือ ดับและเกิดของสัตวโลก ตลอดถึงความแตกต่างกันที่เรียกว่า 'กรรม' พอถึงปัจฉิมยาม (หลังเที่ยงคืนล่วง
    แล้ว) ทรงบรรลุญาณที่สามคือ 'อาสวักขยญาณ' หมายถึงความรู้แจ้งถึงความสิ้นไปของกิเลส และอริยสัจ ๔
    คือ ความทุกข์ เหตุเกิดของความทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]การได้บรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิด
    ขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา หลังจากนั้น พระนามว่า สิทธัตถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ ตอน
    ก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็นพระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปทรงมีพระนามใหม่
    ว่า 'อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า' แปลว่าพระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง กวีจึงแต่งความเป็นปุคคลาธิษฐานเฉลิมพระ
    เกียรติพระพุทธเจ้าว่า นำสัตว์ มนุษย์นิกร และทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ หายทุกข์ หายโศก สิ้นวิปโยค
    จากผองภัย สัตว์ทั้งหลายต่างมีเมตตาจิตต่อกันทุกถ้วนหน้า เว้นจากเวรานุเวร อาฆาตมาดร้ายแก่กัน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชาและกล่าวสรร
    เสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า
    [/FONT]
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ทรงเสวยสูกรมัททวะที่บ้านนายจุนทะ นับเป็นปัจฉิมบิณฑบาต[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวาร ได้เสด็จออกจากเขตแขวงเมืองไพศาลีไปโดยลำดับ
    เพื่อเสด็จไปยังเมืองกุสินารา สถานที่ทรงกำหนดว่าจะนิพพานเป็นแห่งสุดท้าย จนไปถึงเมืองปาวาในวันขึ้น
    ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันก่อนเสด็จนิพพานเพียงหนึ่งวัน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เสด็จเขัาไปประทับอาศัยที่สวนมะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร นายจุนทะเป็นลูกนายช่างทอง ได้ทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารเสด็จมาพักอยู่ที่สวนมะม่วงของตน ก็ออกไป
    เฝ้าและฟังธรรม ฟังจบแล้ว นายจุนทะกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปรับภัตตา
    หารที่บ้านของตนในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น นายจุนทะได้ถวายอาหารพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ที่บ้านของตน อาหาร
    อย่างหนึ่งที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธเจ้าในวันนี้มีชื่อว่า 'สูกรมัททวะ'
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]คัมภีร์ศาสนาพุทธชั้นอรรถกถาและมติของเกจิอาจารย์ทั้งหลายยังไม่ลงรอยกันว่า 'สูกรมัทท
    วะ' นั้นคืออะไรแน่ บางมติว่าได้แก่สุกรอ่อน (แปลตามตัว สูกร-สุกร หรือหมู มัททวะ-อ่อน) บางมติว่า
    ได้แก่ เห็นชนิดหนึ่ง และบางมติว่าได้แก่ ชื่ออาหารอันประณีตชนิดหนึ่ง ซึ่งชาวอินเดียปรุงขึ้นเพื่อถวาย
    แก่ผู้ที่ตนเคารพนับถือที่สุด เช่น เทพเจ้า เป็นต้น เป็นอาหารประณีตชั้นหนึ่งยิ่งกว่าข้าวมธุปายาส
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พระพุทธเจ้าตรัสบอกนายจุนทะให้จัดถวายสูกรมัททวะนั้นถวายแต่เฉพาะพระองค์ ส่วน
    อาหารอย่างอื่นให้จัดถวายพระสงฆ์ และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้นายจุนทะนำเอาสูกร
    มัททวะที่เหลือจากที่พระองค์ทรงฉันแล้ว ไปฝังเสียที่บ่อ เพราะคนอื่นนองจากพระองค์นั้นฉันแล้ว ร่าง
    กายไม่อาจจะทำให้อาหารนั้นย่อยได้ เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะฟังเป็นที่ชื่นชม
    และรื่นเริงในกุศลบุญจริยาของ แล้วทรงอำลานายจุนทะเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินาราต่อไป[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เมื่อพระบรมศาสดาประทานปัจฉิมโอวาทเป็นวาระสุดท้ายแล้วก็หยุดมิได้ตรัสอะไรอีกเลย
    ทรงทำพระนิพพาน บริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลม (ตามลำดับ) ดังนี้
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทรงเข้าปฐมฌาน (ฌานที่ ๑ ) ออกจากปฐมฌานแล้ว
    ทรงเข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ออกจากทุติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ออกจากตติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ออกจากจตุตถฌานแล้ว
    ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว
    ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว
    ทรงเข้าอากิญจักญายตนะ ออกจากอากิญจักญายตนะแล้ว
    ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว
    ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติ ๙ อันเป็นนิโรธสมาบัติที่มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา
    คือไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุดสงบยิ่งกว่านอนหลับ
    ผู้ไม่คุ้นเช่นพระอานนท์เข้าใจว่าพระบรมศาสดาเข้าสู่นิพพานแล้ว
    แต่พระอนุรุทธเถระผู้เชี่ยวชาญสมาบัติชี้แจงว่าบัดนี้พระพุทธองค์กำลังเสด็จอยู่ใน
    สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงเสด็จออกจาก[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ถอยเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือถอยตามลำดับจนถึงปฐมยาม
    (เหมือนขึ้นสู่ตึกชั้นที่ ๙ แล้วถอยลงมาสู่ชั้นที่ ๘ ตามลำดับจนถึงชั้นที่ ๑)
    แล้วย้อนจากปฐมยาม ขึ้นไปสู่ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นลำดับสุดท้าย
    จึงปรินิพพานอยู่ในฌาน เป็นธรรมเนียมนิยมทั่วไปเพราะขณะอยู่ในฌาน
    อานุภาพของฌานย่อมรักษาตลอดเวลาที่ยังดำรงอยู่ในฌานนั้น ๆ
    เป็นการนิพพานโดยไม่ติดในรูปฌานหรือในอรูปฌาน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลังจากที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้บังเกิดมหัศจรรย์ แผ่นดินไหว กลองทิพย์บรรเลง เสียงกึกก้องกัมปนาท ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวโกสีย์สักกเทวราช พระอนุรุทธเถระและพระอานนท์เถระเป็นอาทิ ได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความไม่เที่ยงถาวรแห่งสังขาร ด้วยความเคารพเลื่อมใส เหล่ามหาชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ประชุมกันอยู่ ณ สาลวันนั้นต่างก็โศกเศร้าร้องร่ำไรรำพัน พระอนุรุทธเถระและพระอานนท์เถระเจ้าได้แสดงธรรมกถาปลุกปลอบ เพื่อให้คลายความเศร้าโศกโทมนัส[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพานใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ใน เมืองกุสีนคร) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สิริรวมพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะพุทธศาสนิกชน ได้สูญเสียดวงประทีปของโลก ซึ่งนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งสำคัญของพระพุทธศาสนา[/FONT]

     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ข้าพเจ้ากราบบูชาอย่างยิ่งต่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลกอย่างยิ่ง ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ขอกราบบูชาพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้า
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    พระปรางค์น้อยเจ้าแม่วัดดุสิต ในบริเวณวัดไชยวัฒนารามองค์นี้มีโครงสร้างฐานและพระปรางค์แบบเดียวกับวัดราชบูรณะ
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" bgColor=#69b5c5><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ลองเปรียบเทียบโครงสร้างกันระหว่างพระปรางค์วัดราชบูรณะกับพระปรางค์น้อยเจ้าแม่วัดดุสิต

    คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งเจดีย์องค์น้อยก็มีทั้งชาลา ฐานเขียง ฐานลูกฟัก และชาน
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ภาพวาดวัดราชบูรณะและวัดมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๙๓

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    ปีพ.ศ. ๒๑๙๓ อยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง วัดราชบูรณะยังเป็นทรงเจดีย์อยู่ค่ะ แสดงว่าวัดนี้อาจจะถูกบูรณะขึ้นใหม่ทั้งหมดให้เป็นทรงพระปรางค์ ตั้งแต่ยุคพระเจ้าปราสาททองเป็นต้นไปค่ะ อาจจะเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้วที่บูรณะ เครื่องทองที่อยู่ในกรุ ทั้งพระแสงขรรค์ชัยศรี พระสุวรรณภิงคาร ตลับแป้งรูปสิงโตปักกิ่ง พระมาลาทองคำ(ที่อเมริกา) และเครื่องทองอื่นๆในพระปรางค์จะเป็นของพระองค์ใดบ้างหนอ และอาจจะมีขององค์กรมพระเทพามาตย์ (เจ้าแม่วัดดุสิต)และพระเจ้าปราสาททองร่วมด้วยก็ได้.......<!-- google_ad_section_end --> การเก็บเป็นชั้นๆเพื่อบ่งว่าพระราชสมบัตินั้นๆ ตรงกับรัชสมัยใด ซึ่งน่าจะมีหนึ่งชั้นเก็บสมบัติของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ส่วนอีกสองชั้นจะเป็นของพระองค์ใดรัชสมัยใด ยังยากที่จะชี้ชัด เพียงแต่ค่อนข้างแน่ใจว่าจะเป็นของหลายพระองค์ หลายรัชสมัยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2011
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    รูปถ่ายเครื่องทอง ทองกร พาหุรัด ขุดพบจากกรุวัดราชบูรณะ
    พระอาจารย์มหาฤทธิชัย เคยเล่าให้ฟังว่า พระท่านได้มีโอกาศทำงานชิ้นหนึ่งคือจำลองทองกรองค์หนึ่ง ซึ่งในความเชื่อของพระอาจารย์มหาฯเองท่านคิดว่าเป็นทองกรในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระท่านเล่าให้ฟังว่า ทองกรต้นแบบที่ท่านเคยเห็นและนำมาเป็นต้นแบบนั้น มีผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์เนื้อทองแล้วว่าเป็นของเก่าประมาณ 400 กว่าปี ก็ยิ่งสนับสนุนความคิดที่ว่าเป็นของเก่าสมัยสมเด็จพระนเรศวร และถ้าทองกรต้นแบบนั้นมาจากกรุวัดราชบูรณะจริง จะทำให้การติดตามรายละเอียดเครื่องทองต่างๆเหล่านี้ น่าสนใจยิ่งขึ้นค่ะ (ยังไม่ได้ถามพระท่านว่าทองกรต้นแบบนั้นนำมาจากที่ใดค่ะ)
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ฝากไว้ในวันวิสาขบูชา

    .... เมื่อมนุษย์ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนในตอนกลางคืนกลับมีอาการขนลุกซู่ชูชัน และเกิดความหวาดกลัวติดตามมา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงในบางครั้งที่มนุษย์เกิดรู้สึกสังหรณ์ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นและมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ

    มนุษย์รู้จักความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ เกลียด พึงใจ รัก ชัง วิตกทุกข์ร้อน โศกเศร้า แต่น้อยคนนักที่จะสนใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมันเกิดขึ้นที่ไหน และเหตุใดจึงเกิดขึ้นเช่นนั้น

    เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกภายในทั้งสิ้น

    อะไรเล่าที่เป็นตัวกำหนด ที่เป็นตัวกำกับ ที่เป็นตัวรับผลของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์? ตัวนี้นี่แหละคือสิ่งที่จะเรียกว่าโลกภายในที่แท้จริง หรือจะเรียกว่าเป็นแก่นของเรื่องโลกภายในนี้ก็ได้

    ดังนั้นเมื่อลึกลงไปจากร่างกายอันยาววาหนาคืบก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องทำความรู้จักตัวที่ว่านี้ คือตัวที่กำหนดกำกับและรับผลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ และเมื่อรู้จักตัวที่ว่านี้แล้วก็จะเป็นการเริ่มต้นของการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโลกภายในที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ล้ำเลิศนัก......

    ......มนุษย์ทุกคนมีลมหายใจหรือหายใจมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แต่น่าเสียดายนักที่มนุษย์กลับไม่ใส่ใจใฝ่ค้นและไม่เคยทำความเข้าใจหรือทำความรู้จักลมหายใจของตนเองเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอนันต์เพราะนั่นหมายถึงชีวิตด้วย ก็แลเมื่อลมหายใจมีอานุภาพที่ยังชีวิตให้ดำรงอยู่หรือดับสูญ ซึ่งเป็นอานุภาพยิ่งใหญ่ถึงปานนี้ ก็ย่อมต้องมีอานุภาพในเรื่องที่เล็กลงมาหรือเรื่องอื่นๆ อีกด้วย แต่จะมีใครเล่าที่เข้าใจใฝ่หาศึกษามัน ......

    ....... โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เราจะไม่รู้สึกว่าเรามีลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาหลับหรือเวลาตื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีกันทั่วทุกตัวคนว่าทุกคนต้องหายใจและหายใจกันอยู่ เหตุใดเล่าเราจึงไม่รู้สึกว่าเราหายใจ หรือไม่รู้ว่าหายใจกันอย่างไร ก็เป็นเหตุผลอย่างเดียวกันกับการที่บางครั้งเราเห็นภาพ ๆ หนึ่งหรือได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง แต่เหมือนไม่ได้เห็นหรือเหมือนไม่ได้ยิน เหตุผลอยู่ตรงที่ไม่ได้สนใจหรือไม่ได้ใส่ใจนั่นเอง......

    ........ลองถามตัวเองแต่ละคนดูก็ได้ว่าในวันหนึ่ง ๆ นั้นหรือแม้เพียงชั่วโมงหนึ่ง ๆ นั้นหรือแม้เพียงนาทีหนึ่ง ๆ นั้น เรารู้สึกตัวหรือไม่ว่าเรากำลังหายใจอยู่ ความรู้สึกตัวที่ว่านี้ไม่ใช่อาการนึกเอาเอง แต่ต้องเป็นการรู้สึกจริง ๆ ว่ากำลังหายใจอยู่ คือกำลังมีลมหายใจแล่นเข้าออกอยู่ ......

    .....อากาศเข้าสู่ร่างกายได้ก็โดยทางจมูกหรือทางปาก แต่โดยปกตินั้นก็โดยทางจมูก ในวินาทีแรกที่มนุษย์คลอดจากครรภ์มารดา ลมหายใจครั้งแรกจะเป็นลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นด้วยอาการร้อง หรือการสำลักก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ให้ข้อสรุปแล้ว ซึ่งอาจแตกต่างจากความเข้าใจโดยทั่วไป ว่าลมหายใจแรกของมนุษย์คือลมหายใจเข้า

    และนับแต่วินาทีนั้นลมหายใจก็จะหล่อเลี้ยงชีวิต ออก-เข้า ออก-เข้า ไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งโดยปกติลมหายใจสุดท้ายก็จะเป็นลมหายใจออก ดังที่เรียกว่าสิ้นลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ลมปัสสาสะก็คือลมที่ออกจากร่างกายเป็นเฮือกสุดท้ายนั่นเอง

    อากาศที่เป็นลมหายใจเกี่ยวพันอยู่กับร่างกายมนุษย์นั้น จะมีเส้นทางเดินอยู่ระหว่างปลายล่างสุดของปอดกับริมขอบนอกสุดของเยื่อจมูก ซึ่งมีระยะทางเพียงชั่วความยาวของตะเกียบคู่หนึ่งเท่านั้น แต่ช่างมีความมหัศจรรย์เสียนี่กระไร ทำความรู้และเข้าใจต่อไปก็จะเห็นประจักษ์

    ลมหายใจที่เข้าออกในร่างกายมนุษย์นั้นใช่ว่าจะเหมือนกันทุกวันเวลา และใช่ว่าจะเหมือนกันไปทุกคน เพราะบางครั้งลมหายใจก็สั้น เพียงแค่เข้าช่องจมูกหน่อยหนึ่งก็หายใจออกแล้ว บางครั้งลมหายใจก็ยาวมากจนรู้สึกได้ว่าซาบซ่านไปถึงปลายปอดด้านล่างสุด แต่บางครั้งก็อยู่กึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือไม่ก็ค่อนอยู่ด้านบน หรือไม่ก็ค่อนไปด้านล่าง.....

    .............
    ลมหายใจไม่ว่าสั้นไม่ว่ายาวประการใด ไม่ว่าหยาบประณีตประการใด จะรู้สึกสัมผัสได้ก็ต้องใส่ใจหรือสนใจหรือตั้งใจสังเกต มิฉะนั้นแล้วถึงหายใจอยู่ก็จะไม่รู้ว่าเป็นประการใด เรามาลองดูกันว่าในขณะที่สังเกตหรือสนใจหรือใส่ใจลมหายใจอยู่นั้นมีอะไรเป็นส่วนประกอบอยู่บ้าง เพื่อจะได้รู้จักกับสิ่งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นแก่นแกนของโลกภายใน

    ลองทดลองดูด้วยตนเองก็จะรู้จักมันได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย นั่นคือในทันทีที่ลมหายใจเข้าหรือออกทางจมูก ก็จะรู้ได้ว่ามีสิ่งสองสิ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน คือร่างกายโดยมีอวัยวะคือปลายจมูกเป็นจุดสัมผัสลมหายใจที่เข้าและออก ในขณะเดียวกันนั้นก็จะรู้ได้ว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งนอกเหนือจากร่างกายและลมหายใจที่เข้าออกคือความรู้สึกนึกรู้ที่รู้ถึงอาการสัมผัสของลมหายใจกับร่างกาย

    ณ บัดนี้ก็จะได้สัมผัสรู้จักกับสิ่งที่สามแล้ว คือนอกจากลมหายใจที่เข้าออกสัมผัสร่างกายที่ปลายจมูก ยังมีสิ่งที่สามคือตัวความรับรู้หรือความรู้สึกนึกคิดที่เป็นตัวรู้ว่าขณะนั้น ๆ มีลมหายใจผ่านเข้าออกอยู่

    ตัวความรับรู้หรือความรู้สึกนึกคิดที่ว่านี้อยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายกันเล่า?

    เมื่อเราได้รู้และสัมผัสอย่างชัดเจนแล้วว่ายังมีสิ่งที่สามนอกเหนือจากร่างกายและลมหายใจที่เข้าออกคือตัวรับรู้หรือความรู้สึกนึกคิด จากนี้ไปก็จะเป็นการทำความรู้ความเข้าใจและสัมผัสกับสิ่งนี้หรือแก่นแท้ของโลกภายในนั่นเอง.

    มาถึงขั้นนี้ก็ได้รู้จักโลกภายในของเราว่านอกจากร่างกายและลมหายใจที่แล่นเข้าออกอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่สามคือสิ่งที่รับรู้ลักษณาการที่ลมหายใจสัมผัสกับร่างกายหรือที่ร่างกายสัมผัสกับลมหายใจนั้น และสิ่งที่สามซึ่งเป็นตัวรับรู้นี่แหละจะเป็นตัวโลกภายในที่สำคัญที่สุด และทรงความมหัศจรรย์ที่สุด


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา :วิมุตตะมิติ - มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2011
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วิสาขบูชากับตัวกู-ของกู


    <!-- main-content-block --><!--17 พฤษภาคม 2554 - 00:00-->
    17 พฤษภาคม 2554 - 00:00



    วันอังคารที่ 17 พฤษภาคมนี้ ตรงกับวันวิสาขบูชาพอดิบพอดี วันที่อภิมหาบุรุษพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ทิ้งเอาไว้แต่ ธรรมะ ให้เราๆ -ทั่นๆทั้งหลายได้ระลึกบูชา หรือปฏิบัติบูชา ตามแต่แรงจูงใจของใครก็ของมัน และไม่ว่าแค่ระลึก หรือลงมือปฏิบัติก็แล้วแต่ ล้วนย่อมสามารถนำไปสู่พุทธวาจา ซึ่งได้ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม...ผู้นั้นเห็นเรา นั่นเอง...
    -------------------------------------------------
    ถ้าหากจะถามว่า หลักธรรม ข้อใด ที่ถือเป็นแก่นสาระสูงสุดของพระพุทธศาสนา ตอบแบบงูๆ -ปลาๆ ตามประสาพวกครูพักลักจำ ที่ได้จำมาจากอภินักปราชญ์แห่งวงการศาสนาอย่างท่าน พุทธทาสภิกขุ อีกที ดูๆ แล้วน่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ นั่นก็คือคำว่า อย่าเห็นแก่ตัว หรือ ความไม่เห็นแก่ตัว ในแต่ละระดับนั่นแล
    ถ้าหากสามารถพัฒนาไปได้ถึงระดับสูงสุด คือระดับที่ไม่มีตัวของตัว ไม่มีตัวกู-ของกู หรือไม่มี อัตตา หลงเหลืออยู่ มีแต่ อนัตตา ล้วนๆ...รับรองว่า ย่อมได้มีโอกาสสัมผัสกับความสุขที่แท้ และ ความจริงที่แท้ อันสงบเย็น สะอาด สว่าง อย่างไม่มีวันผันแปร เป็นอมตะมหานิรันดรกาลอยู่ภายในพระนิพพาน อยู่นอกเหนือ ธรรมชาติแห่งการปรุงแต่ง ได้โดยดุษณี...


    แหล่งที่มา: http://www.thaipost.net/news/170511/38670
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วิสาขบูชารำลึก

    ข้าพเจ้าขอน้อมเกล้าบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เสด็จไปดีแล้วเหลือพระธรรมวินัยไว้เป็นศาสดาแทนพระผู้มีพระภาคเจ้าชั่วตลอดพุทธธันดร

    ในวาระวันวิสาขบูชาที่จะเวียนมาถึงอีกครั้งในวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคม ศกนี้ เป็นวาระที่พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยกำลังถูกเหล่าเดียรถีย์ อลัชชี และพวกนอกรีตทั้งหลายเบียดเบียนย่ำยีอย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุด เป็นวาระที่พุทธศาสนิกชนถูกย่ำยีจิตใจและศรัทธาทั้งปวงที่ฝังรากลึกมาแต่รุ่นปู่ย่าตายายอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีผู้ใดในรัฐบาลอันเป็นฝ่ายอาณาจักรเหลียวแลรับผิดชอบ เป็นวาระที่พุทธศาสนิกชนทั้งปวงพึงจดจำไว้ในใจอย่างมั่นคงว่า ใครเป็นผู้บริหารประเทศในวันที่ ใครเป็นผู้ปล่อยปละละเลยให้พระพุทธศาสนาถูกเบียดเบียนย่ำยีถึงเพียงนี้ บัญชีนี้พุทธศาสนิกชนทั้งปวงไม่พึงลืมเลือนเป็นอันขาดชั่วตลอดชีวิต

    ดังนั้นในวาระวันวิสาขบูชาในปีนี้ จึงเป็นวาระพิเศษที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายซึ่งกำลังเผชิญความทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจ ความท้อแท้ใจที่รัฐบาลไม่ใส่ใจปกป้องพระพุทธศาสนา จะได้น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณ น้อมนำมาหล่อเลี้ยงจิตใจของตนให้บรรเทาลง ซึ่งความทุกข์อันครอบงำจิตใจให้สร่างสิ้นไป ให้สมกับที่เป็นพุทธศาสนิกชนนั้นเถิด

    กรณีการบิดเบือนพระธรรมวินัยและทำลายพระพุทธศาสนาที่กำลังเป็นอยู่นั้น เป็นธรรมดาอย่างหนึ่งของโลกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมตั้งอยู่และดับไป ไม่อาจหลีกหนีกฎพระไตรลักษณ์ดังกล่าวได้ ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องอันควรทุกข์ร้อนแต่ประการใด ควรจะได้มองปัญหาตามความเป็นจริง ตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์นั้น

    วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ถือกันว่าเป็นวันพระพุทธเจ้า ในขณะที่วันอาสาฬหบูชาถือกันว่าเป็นวันพระธรรม และวันมาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์

    ที่ว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้านั้น เพราะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตรงกับวันทางจันทรคติ คือวันเพ็ญเดือน 6

    ชาวพุทธทั้งปวงพึงมองวันวิสาขบูชาด้วยความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง และอาศัยความรู้นั้นหล่อหลอมกล่อมเกลาจิตใจตนให้ สงบ สะอาด และบริสุทธิ์ ควรแก่การงานตามฐานะของตน

    ชาวพุทธพึงเข้าใจวันวิสาขบูชาในลักษณะดังต่อไปนี้

    ประการแรก จริงหรือไม่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน6 ตรงกันทั้ง 3 เหตุการณ์
    ข้อนี้เริ่มที่วันตรัสรู้ก่อน ปรากฏว่ามีหลักฐานมากมายที่ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน 6 และในช่วงปลายพุทธกาลอันเป็นวันเพ็ญเดือน 3 ทรงปลงอายุสังขารต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากว่า 3 เดือนจากนี้ไปจะทรงปรินิพพาน หลังจากปลงอายุสังขารแล้วทรงกำหนดสถานที่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา แล้วเสด็จพุทธดำเนินโดยลำดับไปยังเมืองนั้น และเสด็จปรินิพพาน ณ ที่นั้น ในวันเพ็ญเดือน 6 ท่ามกลางหมู่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ส่วนวันประสูตินั้นแม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ ที่พุทธมารดาทรงประทับยืนท่ามกลางแสงจันทร์ในวันเพ็ญเดือน 6 และประวัติของพระสิทธัตถะทุกแห่งที่มีอยู่ก็ตรงกันว่าเป็นวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นชาวพุทธจึงพึงเชื่อได้อย่างมั่นใจว่าการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้น

    ประการที่สอง การเรียกวันวิสาขบูชาเป็นการเรียกโดยถือเอาการที่ดวงจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาวที่เรียกว่าวิสาขะ ซึ่งเป็นกลุ่มดาวที่สถิตตั้งแต่ราศีตุลย์ องศาที่ 20 คาบเกี่ยวไปถึงราศีพิจิก องศาที่ 5 ในระหว่างที่ดวงจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาววิสาขะนี้มีช่วงที่เป็นวันเพ็ญ 15 ค่ำ จึงถือเอาเหตุการณ์นี้เรียกว่าวันวิสาขบูชา เพื่อเป็นจุดกำหนดหมายวันเวลาแห่งวิสาขบูชา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

    เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนามักจะผูกติดอยู่กับวันเพ็ญ เหตุที่เป็นดั่งนี้ก็เนื่องจากในครั้งนั้นยังไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าประการหนึ่ง จึงต้องอาศัยแสงแห่งดวงจันทร์ในการประชุมหรือชุมนุม และเนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่อากาศร้อนจัดไม่เหมาะแก่การประชุมหรือชุมนุมในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนอากาศเย็นประกอบด้วยแสงสว่างจากพระจันทร์เพ็ญ จึงเหมาะแก่การประชุมหรือชุมนุม เหตุการณ์อย่างนี้แม้ในบางศาสนาก็มีเหตุการณ์สำคัญในช่วงวันพระจันทร์เพ็ญเกือบทั้งสิ้น แสงนวลตาแห่งจันทร์ทำให้จิตใจมนุษย์เบิกบานผ่องใสกว่าช่วงเวลาอื่น นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง และอีกเหตุผลหนึ่งนั้นอิทธิพลของดวงจันทร์ที่มีต่อโลกมีอยู่มาก อาการน้ำขึ้นน้ำลง นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าขึ้นต่ออิทธิพลของดวงจันทร์ มนุษย์เรามีน้ำในร่างกายเป็นส่วนใหญ่ย่อมได้รับอิทธิพลโดยตรงจากดวงจันทร์ด้วย โดยเฉพาะสตรีนั้นอาจคำนวณ ณ วันที่มีประจำเดือนได้โดยการอาศัยการโคจรของดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับจุดกำเนิดของเจ้าชะตาที่สถิตในนวางศ์ใดนวางศ์หนึ่ง แม้ยุคสมัยที่มีไฟฟ้าแล้ว ในชนบทก็ยังอาศัยวันพระจันทร์เพ็ญจัดงานประเพณีต่าง ๆ เป็นประจำ

    ...............
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วิสาขบูชารำลึก [ตอนที่ ๒]

    ประการที่สาม ในเหตุการณ์ประสูติเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จพระดำเนิน 7 ก้าวบนดอกบัว ซึ่งโผล่มาจากพื้นดินจริงหรือไม่

    ข้อนี้ความจริงไม่มีความสำคัญใดต่อการศึกษาปฏิบัติเรื่องทุกข์และความดับทุกข์ แม้พระอรรถกถาจารย์จำนวนหนึ่งจะได้ใช้ความพยายามยืนยันว่าเป็นจริง โดยยกเอาข้อยกเว้นและความมหัศจรรย์มาอ้างก็ตาม แต่ก็หาควรเป็นเรื่องยึดถือเอาเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาไม่ ควรมองเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจว่าในท่ามกลางการแข่งขันอวดอิทธิปาฏิหาริย์ของศาสดาของแต่ละศาสนานั้น บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจำนวนหนึ่งของแต่ละศาสนาต่างก็พยายามคิดหาความวิเศษพิสดารมาประกอบเข้ากับเรื่องของศาสดาของตน และได้ผลสำหรับจูงใจมนุษย์ในยุคหนึ่ง แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปแล้ว สิ่งนี้กลับกลายเป็นปัญหาและเป็นจุดด่างในประวัติของศาสดาแต่ละองค์ เป็นเรื่องทั่วไป ชาวพุทธควรจะมองเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจว่าในขณะประสูตินั้นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่มีฌานหรือวิชาใด หากยังเป็นทารกเหมือนกับมนุษย์ทุกผู้คน หากลุกขึ้นเดินได้แล้วไฉนจึงจะเดินเพียง 7 ก้าว และล้มตัวลงนอนเป็นทารกต่อไปเล่า กรณีนี้จึงทรงเป็นกุมารเหมือนกับทารกทั้งปวง แม้สิ่งที่เรียกว่ามหาปุริศลักษณะ 32 ประการ นั้นก็เถิด หากใครได้ดูลักษณะแต่ละประการแล้วก็คงเป็นดังที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวไว้ว่าเป็นตัวประหลาด ลักษณะ 32 ประการ ที่เรียกว่าเป็นลักษณะมหาบุรุษนั้นเป็นเรื่องวิธีการประจบของเหล่าพราหมณ์ในยุคนั้น หรือแม้ในยุคนี้ก็ตาม ชาวพุทธก็ไม่ควรยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องสำคัญ หากควรมองตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหลายว่าเป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้น เมื่อมองอย่างนี้แล้วก็จะไม่ติดยึดในความลี้ลับพิสดารอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยต่อไปอีก

    ประการที่สี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้สมถะวิปัสสนาวิธีใดในการตรัสรู้

    ข้อนี้แม้ไม่มีที่ใดระบุชัดเจนว่าทรงใช้วิธีใดในการปฏิบัติสมถะวิปัสสนาเพื่อการตรัสรู้แต่โดยลำดับตั้งแต่ทรงประทับนั่ง ณ ร่มมหาโพธิ์ ตั้งสัตยาธิษฐานว่าหากไม่ตรัสรู้แล้วจักไม่ทรงลุกขึ้นจากที่ประทับนั้นอีก ตลอดเวลารุ่งสางอันเป็นเวลาตรัสรู้ ปรากฏว่าวิธีการที่ทรงใช้คืออานาปาณสติ ทรงประทับนั่ง ตั้งกายตรง ดำรงพระสติเฉพาะหน้า กำหนดลมหายใจเข้า-ออก อันเป็นขั้นตอนของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นลำดับไปถึงเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วจึงน้อมไปสู่การบรรลุวิชา 3 คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตถญาณ และ อาสวักขยญาณ บรรลุถึงวิมุติด้วยพระองค์เองว่าหลุดพ้นแล้ว จักไม่เกิดใหม่อีกแล้ว ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ไม่มีความรู้ใดที่จะต้องศึกษาปฏิบัติอีกต่อไปแล้ว ถึงซึ่งความตรัสรู้ บริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้ว เป็นวิธีการธรรมชาติ มิใช่อิทธิปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ ดังที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นในภายหลัง

    เหตุนี้แม้วิธีการในการหลุดพ้นจากทุกข์จะมีอยู่หลายวิธี แม้กสิณวิธีที่ใช้การเพ่งความสว่างหรือเพ่งลูกแก้วที่สำนักธรรมกายยกย่องหนักหนานั้น ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีนั้น แต่มิใช่วิธีทั่วไป หากแต่ละวิธีเป็นวิธีที่เหมาะแก่จริตและอัธยาศัยของแต่ละบุคคล ส่วนวิธีทั่วไปซึ่งทรงสรรเสริญมากและทรงใช้ด้วยพระองค์เองคืออานาปานสติ

    ดังนั้นชาวพุทธจึงพึงเข้าใจว่าวิธีเข้าถึงความรู้แจ้งในเรื่องทุกข์และความดับทุกข์นั้น แม้จะมีอยู่หลายวิธีแต่วิธีที่ทรงสรรเสริญมากและทรงใช้ในการตรัสรู้ก็คืออานาปานสติภาวนา

    ประการที่ห้า ทรงตรัสรู้อะไรบ้าง และที่ทรงกล่าวว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้นเป็นความจริงเพียงใด พระสมัญญาที่ว่าสัพพัญญูเป็นคำอวด

    อ้างที่ไม่มีแก่นสารหรือ ข้อนี้เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้ากับศาสดาอื่นของโลก ตรงที่ทรงประกาศว่าทรงตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องอาศัยอำนาจภายนอกใด ๆ มาอ้างอิงสนับสนุนค้ำจุน ทรงประกาศว่าเป็นผู้แจ้งโลก สิ่งที่ทรงรู้ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ผันแปรเป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นคำประกาศที่ท้าทาย ทั้งในยุคนั้นและยุคนี้ แม้ในอนาคตกาล
    และเพราะคำประกาศเช่นนี้ จึงมีคนจ้องจับผิดเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเรื่อยมาถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์หักล้างพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เลย

    ในขณะที่บางศาสนาสอนว่าโลกแบน ก็มีฝรั่งชาวเยอรมันพยายามค้นคว้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เรื่องนี้อย่างไรหรือไม่ หรือว่าไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากค้นคว้าพระไตรปิฎกหลายแห่งก็พบว่าทรงปฏิเสธไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เลย แต่ก็มีร่องรอยให้เห็นอยู่แห่งเดียวที่ตรัสเป็นทำนองรำคาญต่อพราหมณ์ผู้หนึ่งว่า “วัฏฏโกโลโก” อันหมายความว่าโลกนั้นกลม หมุนเวียนไปเองโดยธรรมชาติ เป็นผลให้ชาวเยอรมันผู้นี้เลื่อมใสศรัทธาปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน

    ในยุคที่ชาลส์ ดาร์วิน ได้ค้นพบทางชีววิทยาว่าทุกชีวิตที่กำเนิดเริ่มต้นจากเซลล์เพียงเซลล์เดียวนั้น ก็มีฝรั่งชาติเดียวกันนั้นแหละมาทำการค้นคว้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่อย่างไร ในที่สุดก็ค้นพบอีกหนึ่งแห่งที่ทรงตรัสว่า “ปฐมังกละลัง โหติ” อันหมายความว่าทุกชีวิตเริ่มตนด้วย “กลละ” เพียงอันเดียว และ “กลละ” นั้นมีขนาดเล็กมากเท่ากับขนาดของน้ำมันเนยที่ถูกจุ่มด้วยขนจามรีแล้วสลัด 7 ครั้ง น้ำมันเนยติดอยู่ที่ขนจามรีเท่าใด ขนาดนั้นแหละเป็นขนาดของ “กลละ” คือเล็กมากจนมองไม่เห็น ทรงตรัสด้วยว่า“กลละ” เกิดขึ้นจากการผสมกันระหว่างเชื้อของบิดาและมารดา หรือตัวผู้กับตัวเมียนั่นเอง การค้นพบของฝรั่งคนนี้ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในยุโรป เพราะนายฝรั่งคนนี้ไปเขียนบทความหักล้างชาลส์ ดาร์วิน ว่าไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบทางชีววิทยาในเรื่องนี้แต่เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ครั้นมาถึงยุคที่มนุษย์เหยียบดวงจันทร์ ท้าทายต่อประเพณีไหว้พระจันทร์ของชนชาติจีน ก็มีฝรั่งชาวอเมริกันที่ขี้สงสัยมาจับโกหกพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก เพราะทรงตรัสไว้แห่งหนึ่งว่า “ตถาคตสามารถตรัสให้ได้ยินทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ” คือตรัสจากโลกแต่เสียงจะไปได้ยินทั่วทั้งสากลจักรวาล ฝรั่งคนนี้คงคิดว่าคราวนี้แหละจะจับผิดได้เป็นแม่นมั่น เพราะฝรั่งเชื่อว่ามีแต่เทคโนโลยีสมัยใหม่เท่านั้นจึงจะสามารถติดต่อทางเสียงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ได้จึงมาค้นคว้าตรัสอย่างไร เสียงจึงไปก้องขึ้นทั้งหมื่นโลกธาตุหรือทั่วทั้งสากลจักรวาล ในที่สุดก็ค้นพบว่าในเรื่องเดียวกันนี้ฝรั่งคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่สงสัยหากมีพราหมณ์ขี้สงสัยถามขึ้นก่อนแล้วว่า ทรงตรัสอย่างไร เสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ยินไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ ทรงไขว่า “ตถาคตจะเปล่งฉัพพรรณรังสีไปก่อน เมื่อตถาคตตรัสเสียงตถาคตก็จะไปตามฉัพพรรณรังสีนั้น ดังก้องทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ” และทรงอธิบายถึงฉัพพรรณรังสีที่ว่านี้ว่าเป็นพลังแห่งจิตที่ได้ฝึกดีแล้ว มีอานุภาพมาก มีพลานุภาพมาก เหนือกว่าแสงแห่งตะวัน คำไขในลักษณะนี้ฝรั่งขี้สงสัยก็จับผิดไม่ได้ กลับเลื่อมใสศรัทธาว่าผลแห่งการฝึกจิตที่ควรแก่งานดีแล้วนั้น จะมีพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งมีความถี่และความเร็วยิ่งกว่าคลื่นของแสงอันอาจจะเป็นสื่อนำคลื่นเสียงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้

    ฝรั่งนักออกแบบระดับโลกหลายคนก็เคยลงความเห็นว่าในบรรดานักออกแบบทั้งหลายในโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นนักออกแบบที่ล้ำเลิศที่สุด เพราะการออกแบบไตรจีวรสำหรับภิกษุเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้ได้ทุกฤดูกาล ยามหนาวก็อุ่น ยามร้อนก็เย็น เบาสบายไม่เป็นภาระมาก ใช้ได้ทุกการไม่ว่าจะเป็นการมงคลหรือการอวมงคล แม้สีที่ทรงเลือกใช้คือผ้ากาสาวพัสตร์นั้น วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยอมรับว่าเป็นสีที่ให้ความสว่าง ความปลอดภัยมากที่สุด ดังจะเห็นได้จากตำรวจจราจรและผู้ปฏิบัติงานในเวลากลางคืนได้นำเอาสีเดียวกันกับผ้ากาสาวพัสตร์มาเป็นเครื่องแต่งกาย ข้อพิจารณาก็คือว่านี่คือความรู้ชนิดหนึ่งที่พระองค์ทรงรู้มากว่า 2,500 ปีแล้ว แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเท่านั้นเอง

    ความจริงผู้เขียนไม่ประสงค์จะเอ่ยอ้างคำใดให้รู้ว่ามีเพศหรืออาชีพใด แต่เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็จำต้องกล่าวว่าสีแห่งผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเป็นสีที่สัตว์ทั้งปวงมีความรู้สึกว่าปลอดภัยและเป็นมิตร ผู้เขียนเป็นคนบ้านนอก เคยเดินกลางทุ่งนา บรรดานกป่านกเขาซึ่งเคยบินหนีเมื่อยามเป็นฆราวาส ครั้งได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วเดินไปทางเดียวกัน แทนที่นกป่านกเขาจะบินหนีเหมือนแต่ก่อน กลับคงก้มหน้าหากินเป็นปกติเป็นอัศจรรย์

    ดังที่ได้แสดงมาดังนี้ พอเป็นเค้าโครงให้เห็นได้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้แจ้งโลก แต่สิ่งที่ทรงรู้นั้นไม่ได้นำมาสอนทั้งหมด เพราะทรงถือว่าจำนวนมากเป็นเรื่องส่วนเกิน เป็นเรื่องไม่เป็นประโยชน์แก่ความรู้เรื่องทุกข์และเรื่องการดับทุกข์

    มีภิกษุถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สิ่งที่ทรงรู้กับสิ่งที่ทรงนำมาสอน อย่างไหนจะมากกว่ากัน ในพลันนั้นมีใบไม้ร่วงจากป่าประดู่ลาย ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นกำใบไม้ที่ร่วงนั้น แล้วตรัสว่าสิ่งที่ตถาคตรู้เหมือนกับใบไม้ทั้งป่านี้ แต่สิ่งที่นำมาสอนเหมือนกับใบไม้ในกำมือนี้

    พระธรรมอันมีจำนวนเท่ากับใบไม้ในมือของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็คือเรื่องทุกข์และเรื่องความดับทุกข์ เรื่องนอกเหนือแต่นี้เป็นเรื่องเกินความจำเป็น เป็นเรื่องส่วนเกินและไม่เป็นประโยชน์ แต่ใครประสงค์จะเรียนรู้ก็ย่อมกระทำได้ และอาจเป็นประโยชน์ในการใช้โต้เถียงหรือใช้ในการโต้วาทีเหมือนที่พระนาคเสนใช้โต้กับพระเจ้า มิลินทร์ในหนังสือมิลินทปัญหานั้น

    การสอนเรื่องบุญเป็นการสอนขั้นต่ำสำหรับคนไร้ความรู้และคนที่เห็นแก่ตัว เพื่อให้ละวางความเห็นแก่ตัว น้อมนำให้เกิดจิตใจที่ปล่อยปละละวาง นั่นเป็นด้านของผู้ทำบุญ ส่วนในด้านของผู้ถูกกระทำก็ต้องเป็นผู้ควรกรณีแก่การรับ หากเป็นผู้ไม่สมควรบุญนั้นก็ไร้ผล เหมือนกับคนนำข้าวกล้าไปหว่านบนหินก็ไม่อาจงอกงามขึ้นมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.......

    ......ชาวพุทธจึงควรเข้าใจในเรื่องบุญอันเป็นกิริยาขั้นต่ำสุดที่ทรงสอนให้คนเรารู้จักการละวาง สร้างนิสัยให้ปล่อยปละละวางขึ้นในจิต มิใช่สอนให้ทำบุญเพื่อการเพิ่มพูนกิเลสหรือแสวงหาสวรรค์วิมานอันใหญ่โตโอฬารแต่ประการใด

    ประการที่หก ในเหตุการณ์ปรินิพพาน ทรงเหลือสิ่งใดไว้ให้แก่ชาวพุทธ

    ข้อนี้แม้จะมีเหตุการณ์มากมายดังที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร แต่สำหรับโอกาสวิสาขบูชานี้ ชาวพุทธพึงระลึกว่าจากเหตุการณ์ปรินิพพานทรงมอบเรื่องสำคัญไว้แก่ชาวพุทธ 2 เรื่อง คือ

    เรื่องแรก ทรงมอบพระธรรมวินัยให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วยพระพุทธพจน์ที่ว่า “เมื่อตถาคตล่วงลับไปแล้ว ธรรมและวินัยอันเราตรัสดีแล้ว จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย” มหาเถรสมาคมก็ดี สมเด็จพระสังฆราชก็ดี หรือพระภิกษุทรงสมณศักดิ์ใด ๆ ก็ดี ไม่ใช่ศาสดาของชาวพุทธ พระธรรมวินัยเท่านั้นที่เป็นศาสดาที่แท้ของชาวพุทธตามพระพุทธพจน์ดังกล่าว มหาเถรสมาคมหรือตำแหน่งใด ๆ ในการปกครองคณะสงฆ์เป็นเรื่องการครอบงำพระพุทธศาสนาของชนชั้นปกครอง เป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสและความขัดแย้งในหมู่พระสงฆ์ ในต้นสมัยสุโขทัยนั้นยังคงถือพระพุทธพจน์เป็นหลักปกครองคณะสงฆ์ พระภิกษุอาวุโสที่อาจเทียบได้กับพระสังฆราชในปัจจุบันนั้น เรียกกันว่า “ปู่ครู” เท่านั้น จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงปลายสมัยสุโขทัย พระสงฆ์ชาวลังการูปหนึ่งได้เสนอต่อฝ่ายปกครองถึงวิธีการสร้างบารมีด้วยการถวายสมณศักดิ์ให้แก่พระสงฆ์ จึงเป็นธรรมเนียมการตั้งสมณศักดิ์ให้แก่พระสงฆ์ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ ก็ผิดเพี้ยนกลายเป็นการแข่งขันในเรื่อง ยศช้าง ขุนนางพระ กันอย่างขนานใหญ่ ถึงขนาดมีการวิ่งเต้นราวกับบรรดาข้าราชการของบางกระทรวง เพื่อให้มีการเสนอขอรับสมณศักดิ์ แม้ได้ครองสมณศักดิ์แล้วก็แข่งขันอวดอ้างบารมีกัน โดยถือเอารถเบนซ์เป็นเกณฑ์อันเป็นการผิดเพี้ยนอย่างขนานใหญ่ จนคนห่มเหลืองจำนวนหนึ่งมีกิเลสพอกพูนแน่นหนายิ่งกว่าคฤหัสถ์อันเป็นเพศฝ่ายต่ำเสียอีก คนเหล่านี้มิได้สำนึกเลยว่าสิทธัตถะมกุฎราชกุมารเป็นถึงขัตติยะตระกูล มีอนาคตที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงปล่อยวางทุกสิ่ง ทั้งอำนาจ วาสนา และความผาสุกส่วนพระองค์แสวงหาโมกขธรรม เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนหมู่มาก แต่ลูกชาวบ้านแทนที่จะดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์ กลับวิ่งย้อนรอยแสวงหาในสิ่งที่ทรงทิ้งวางเหล่านั้น ช่างน่าสมเพชสิ้นดี

    เรื่องที่สอง เป็นปัจฉิมโอวาทที่ทรงมอบไว้แก่ชาวพุทธอันเป็นบริษัททั้งสี่ว่าท่านทั้งหลายจงยังการทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด อันความไม่ประมาทนั้นทรงสรรเสริญมาก ดังที่ทรงตรัสไว้ในหลายที่ว่าในบรรดาธรรมทั้งปวงเราไม่เห็นธรรมใดที่เป็นใหญ่เป็นประธานเสมอด้วยความไม่ประมาท เพราะในทางโลกนั้นเมื่อตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเสียแล้ว โอกาสที่จะพลาดพลั้งเป็นอันไม่มี ส่วนในทางธรรมเล่า เมื่อไม่ประมาทก็ย่อมมีสติตั้งมั่น สติที่ตั้งมั่นนั้นนับเป็นปฐมโพชชงค์ คือสติสัมโพชชงค์ อันมีอุเบกขาสัมโพชชงค์เป็นเบื้องปลายภายในองค์เดียวกัน เมื่อโพชชงค์บริบูรณ์แล้วจิตย่อมน้อมไปในบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตถญาณ อาสวักขยญาณ และถึงซึ่งวิมุติอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์

    ขอชาวพุทธทั้งปวงได้รำลึกถึงวันพระพุทธเจ้าในวาระวันวิสาขบูชานี้โดยนัยดังที่แสดงนี้เทอญ.






    แหล่งที่มา : วิสาขบูชารำลึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เคยทราบจากคุณพระราชมนูว่าพระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า พระร่วง

    เป็นสัญญลักษณ์ตัวแทนของพระราชวงศ์พระร่วง

    ไม่ทราบว่าใช่แบบในภาพนี้หรือไม่ ที่เป็นพระร่วง

    ภาพนี้เป็นภาพเครื่องทองในกรุวัดราชบูรณะ

    ถ้าเป็นพระร่วงจริง พระราชสมบัติในกรุนี้น่าจะมีบางส่วนเป็นของกษัตริย์วงศ์พระร่วงเจ้านะคะ
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top rowSpan=2 width="16%">siamese นิลพัท
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    ตอบ: 1970

    [​IMG]



    </TD><TD height="100%" vAlign=top width="85%"><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 15 เม.ย. 11, 16:26

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><HR style="BACKGROUND-COLOR: #adadad">รายละเอียดบริเวณนกสับทำเป็นครุฑ ศิลปะงานคร่ำทอง และที่สับทำเป็นหัวสิงห์ งดงามมาก ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชศาสตราวุธ รำลึกแห่งวีรกรรมครั้งสมเด็จพระนเรศวรทรงยิงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ขอแก้ไขที่เคยกล่าวว่า ไกปืนของพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นนกสับของพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง เป็น ครุฑดำ

    และที่คาบชนวนไฟขอแก้ จากรูปพญานาค เป็นรูปหัวสิงห์ (แต่ข้าพเจ้าเองยังคลุมเคลือเพราะเห็นแล้วเหมือนพญานาคมากกว่า

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">หัวสิงห์
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top rowSpan=2 width="16%">katathorn อสุรผัด
    [​IMG]
    ตอบ: 8

    [​IMG]

    "ไปกับอนาคตได้ต้องไม่ลืมอดีต"



    </TD><TD height="100%" vAlign=top width="85%"><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 16 เม.ย. 11, 07:14

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><HR style="BACKGROUND-COLOR: #adadad">สวัสดีครับเพิ่งสมัครมาเปนสมาชิกใหม่นะครับ [​IMG]

    เรื่องพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงนี่ ผมว่าพระแสงปืนที่รัชกาลที่หนึ่ง ทรงให้สร้างจำลองขึ้นมาเปนแบบปืนคาบชุดนั้นก็นับว่าถูกต้องและหน้าจะใกล้เคียงที่สุดครับ เพราะว่าในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช(สมเด็จพระนเรศวร พ.ศ. ๒๐๙๘- ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘) )น่าจะราวๆสมัยศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งสมัยนั้นเองยังใช้ปืนที่เรียกกันว่า อาร์กิวบัสและแมทล็อก ปืนคาบชุด(ไฟ)หรือปืนชนวน

    กลไกของปืนชนิดนี้คือใส่ดินปืนลงบนจานดินปืนแล้วใส่กระสุนกลมๆ และดินปืนทางปากกระบอกปืนแล้วกระทุ้งให้ดินปืนและกระสุนไปอยู่ในรังดินปืน ทางท้ายลำกล้อง เมื่อเหนี่ยวไกก็จะมีเหล็กรูปงูที่ติดเชือกที่ติดไฟเอาไว้(ไหม้ช้าๆคล้ายๆธูปซึ่งพลปืนจะต้องคอยปรับและเลื่อนกะระยะของเชือกให้พอดีกับจาน)ตีลงไปที่จานดินปืนจะเป็นการจุดสายชนวนไปที่ท้าย ลำกล้องทำให้ดินปืนระเบิดขึ้น
    ปืนคาบชุดนั้นไม่ค่อยดีนัก เพราะการที่ต้องถือเชือกติดไฟแล้วออกเวรยามตอนกลางคืนนั้นเป็นเป้าสายตาได้ ดีเลยทีเดียว ซ้ำยังต้องคอยระวังไม่ให้เชือกที่ติดไฟดับหรือไหม้หมดไม่สามารถใช้ได้เมื่ออากาศชื้นเพราะจะทำให้จุดชนวนดินปืนไม่ติด และเมื่อฝนตกด้วยแล้วปืนชนิดนี้แทบจะใช้การไม่ได้เลย
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    แต่ในภาพยนต์และงานศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระราชประวัติในรัชสมัยของพระองค์หลายๆเรื่องมักจะใช้เปนปืนนกสับคาบศิลาไปเสียอย่างนั้น

    ซึ่งปืนนกสับคาบศิลาเริ่มจะมีใช้กันช่วงประมาณกลางศตวรรษที่ ๑๗ ครับ โดยชาวเยอรมันซึ่งเปนโจรขโมยไก่ เห็นว่าการใช้ปืนคาบชุดเวลากลางคืนนั้นทำให้ถูกสังเกตุเห็นได้ง่าย จึงคิดประดิษฐ์ดัดแปลงเอาหินเหล็กไฟมาใส่แทนเสีย โดยปืนชนิดนี้เดิมทีนั้นเรียกว่า สแนป ฮันท์(ถ้าจำผิดก็ขออภัย) อันเปนชื่อของผู้ประดิษฐ์หรือเรียกตามลักษณะของนกสับคาบศิลา(อันนี้ก็ยังไม่แน่ใจครับลืมไปแล้ว) ต่อมาอาวุธชิ้นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักของกองทัพยุโรปราวศตวรรษที่ ๑๘
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเวปเรือนไทย
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">กลุ่มพระแสงราชศาสตราวุธ ซึ่งสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สำหรับประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งปืนข้ามแม่น้ำสะโตงด้วย
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2011
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ได้พบภาพเครื่องทองกรุวัดราชบูรณะ ทั้งทองกร พาหุรัด ของใช้ ประดับด้วยอัญมณีสีเขียวเป็นหลัก จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ก็ไม่ทราบค่ะ

    เมื่อสักครู่พิมพ์ไปแล้ว 1 ครั้งหายไปหมด จึงพิมพ์ใหม่ว่า ทางสายธาตุหาข้อมูลได้เยอะมากเกินไป จนรู้สึกหนักศีรษะและลายตามาก คงจะเว้นการเสนอข้อมูลไปสักระยะหนึ่งค่ะ

    โดยเฉพาะเกิดไปสนใจพระปรางค์จำลององค์หนึ่ง จิตของทางสายธาตุคิดว่าจำลองมาจากพระปรางค์วัดวรเชษฐ์ ซึ่งอาจจะคิดไปเองก็ได้ค่ะ ขอศึกษาศิลปะลายปูนปั้นของวัดวรเชษฐ์เพื่อเทียบเคียงก่อนนะคะ ดังนั้นขอตัวไปซุ่มหาข้อมูลเรื่องนี้ต่อค่ะ

    คุณFlorenceเข้ามาพอดีเลย แตะมือให้คุณFlorence นำเสนอเรื่องราวดีๆที่คุณFlorence ได้ไปทำมา โดยเฉพาะเรื่องการทำบุญไหว้พระ 9 วัดในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาค่ะ

    ไปเจอบทความดีๆที่ให้ข้อคิดดีมากค่ะ

    ทางสายธาตุเข้าใจแล้วว่าทำไมรู้สึกหนักหัว ข้อมูลต่างๆที่หามาประกอบเรื่องราวนี้เป็นเพียงการทำให้เราระลึกได้ถึงอดีตแต่ อดีตผ่านไปแล้ว ที่เหลือไว้ถ้าจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็เพียง ความทรงจำ ถ้าประวัติศาสตร์ส่วนนี้จะทำให้สามารถเชื่อมรอยต่อของประวัติศาสตร์ให้กับผู้สนใจได้บ้าง ก็เห็นว่านั่นคงจะเป็นประโยชน์สูงสุดของการเขียนกระทู้นี้แล้วค่ะ (ถ้าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง สักวันคงมีผู้เชี่ยวชาญมาสางเรื่องนี้ต่อตามหลักฐานประวัติศาสตร์ที่พอจะค้นหาได้ต่อไป)


    ข้อมูลต่างๆที่ข้าพเจ้าตามหาก็ตามมาตั้งแต่วันแรกที่เห็นวัดชุมพล 14 กุมภาพันธ์ 2552 และทางสายธาตุก็อิ่มในการค้นหาแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมในปีเดียวกัน เมื่อรู้ว่ามีพระปรางค์น้อยเจ้าแม่วัดดุสิตอยู่ที่วัดไชยวัฒนารามด้วย สำหรับหลักฐานประกอบปลีกย่อยอื่นใดคงเป็นเพียงองค์ประกอบ

    ความตั้งใจเดิมคือ จะยืนหยัดเขียนไปจนกว่าวัดวรเชษฐ์จะได้รับความสนใจ และได้รับความเป็นวัดป่าแก้วกลับมา ซึ่งสิ่งที่ทางสายธาตุเขียนสุดท้ายจะไปประกอบเรื่องนี้ได้ในที่สุด นี่คือจุดมุ่งหมายในการเขียน แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของอดีต มันคงรูป คงตัวอยู่อย่างนั้น จะจับมาเขียนเมื่อไหร่ ก็ได้ เพราะเป็นการเขียนถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้นการเขียนถึงประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน สามารถเขียนถึงได้ทุกเมื่อถ้ามีข้อมูลและการวิเคราะห์ตามหลักฐานที่ดีพอ


    ที่ได้อารัมภบทมานี้เพราะข้าพเจ้าจะมุ่งกับงานค้าขายมากขึ้นจึงไม่ค่อยมีเวลาค้นหาข้อมูลมากแล้ว


    ส่วนเรื่องพระปรางค์จำลองที่สงสัยว่าจะเป็นวัดวรเชษฐ์นั้น ทางสายธาตุมีหนังสือลายปูนปั้นประดับเจดีย์ ศิลปะจีน-ไทย ของอาจารย์สันติ เล็กสุขุมอยู่ เคยเห็นลายปูนปั้นประดับเจดีย์วัดวรเชษฐ์มาแล้ว แต่พอดีเพิ่งจะได้เป็นลวยลายทองประดับเจดีย์จำลององค์หนึ่ง ค่อนข้างเหมือนกัน รอให้มีโอกาศเทียบดูอีกทีเพื่อความแน่ใจค่ะ ถ้าแน่ใจแล้วจะเอามานำเสนอต่อไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2011
  18. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    รออ่านอยู่นะคะ คุณพี่ทางสายธาตุ
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE id=post4735517 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal" class=thead>วันนี้, 08:33 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#59 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->จงรักภักดี<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4735517", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2009
    ข้อความ: 1,106
    พลังการให้คะแนน: 266 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_4735517 class=alt1><!-- message --><!-- google_ad_section_start -->เหมือนสิ่งที่มีคุณค่าได้ขาดหายไปจากชีวิตประจำวัน ขอขอบคุณและชื่นชมต่อความสามารถของคุณ WebSnow ด้วยใจจริงครับ Million Thanks.<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ขอรองบาทราชวงศ์พงศ์จักรีจนชีวีสูญสิ้นดินกลบกาย<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / sig -->
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right><!-- controls --> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก ท่านผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะคุณ น้องจุ๊บ หวังว่าจะ
    ยังคงรอคอยพี่ทางสายธาตุอยู่นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...