ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#dddddd><TBODY><TR><TD bgColor=#222244 vAlign=top></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#dddddd><TBODY><TR><TD bgColor=#222244 vAlign=top><TABLE border=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD width=40></TD><TD style="MIN-WIDTH: 500px"><!-- Begin Message Box--><TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%" noWrap> ความคิดเห็นที่ 34</TD> </TD> </TR></TBODY></TABLE><!--MsgIDBody=34-->ถ้าอยากรู้เพิ่มเติม ลองหาหนังสือชื่อ "..พระแสงอัษฎาวุธและพระแสงสำคัญสำหรับ แผ่นดิน .. "

แต่งโดย หม่อมราชวงศ์ แสงสูรย์ ลดาวัลย์ อดีตข้าราชการสำนักพระราชวัง(ผมจำตำแหน่งสุดท้ายของท่านไม่ได้ครับ ขออภัยอย่างสูง)

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วย

นเรศวรมหาราช - - สมเด็จพระ - - 2133 - 2148
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช - - พระบาทสมเด็จพระ - - 2325 - 2352
พระมาลาเบียง
พระแสง
พระแสงจักร
พระแสงตรีศุล
พระแสงธนู
พระแสงหอกเพชรรัตน์
พระแสงเชลย
พระแสงดาบเขน
พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย
พระแสงปืนคาบชุดข้ามแม้น้ำสะโตง
พระแสงฝักทองคาบค่าย


น่าจะชัดเจนเกิน ๑๐๐ % นะครับว่า พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นพระแสงปืนแบบคาบชุด (MATCH LOCK)

นี่ล่ะครับ งานช้างเลยสำหรับพวกที่รู้ประวัติศาสตร์ เพราะต้องตามมาคอยแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่หนังเรื่องหนึ่ง ทำออกมาเผยแพร่ให้คนไทยรุ่นหลังได้ชมกัน

นี่ถ้าคนรุ่นก่อนเขาไม่จดบันทึกไว้ละเอียดแบบนี้ ไม่อยากจะคิดเลยครับว่า เรื่องมันจะ ... ไปได้ขนาดไหน


.... นี่แหละครับ ผลแห่งการทำอะไรออกมา โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง... <!--MsgFile=34--><TABLE border=0 cellSpacing=1><TBODY><TR><TD vAlign=top width=75 noWrap>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=34-->ผ้าพับไว้ </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=75 noWrap>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=34-->18 พ.ค. 53 13:57:06 <!--MsgIP=34--></TD></TR><TR><TD id=xscore34 vAlign=top width=75 noWrap></TD><TD id=score34></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- End Message Box-->
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

​

๒ ๔ เ ม ษ า ย น ๒ ๕ ๕ ๔
ณ...วั ด ว ร เ ช ษ ฐ์​

 

๒ ๔ เ ม ษ า ย น ๒ ๕ ๕ ๔
ณ...วั ด ว ร เ ช ษ ฐ์​

<!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- attachments -->

 

ขอร่วมชื่นชมและอนุโมทนา กับคุณน้องจุ๊บ

ในฐานะที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะต้องทำงานสนองพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ครับ

 

ขอชื่นชมต่อคุณน้องจุ๊บ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขออนุโมทนาสาธุค่ะ

...........................................................................

“[FONT=TH NiramitIT๙]วันใดหวนคืนสู่อโยธยา จะสร้างองค์พระปฏิมาด้วยศิลาสีขาว...[/FONT]” [FONT=TH NiramitIT๙]พระสิวลี บารมี [/FONT][FONT=TH NiramitIT๙]3 พระองค์[/FONT] <O</O​

 

ขอกราบขอบพระคุณ คุณจงรักภักดี และคุณ Florence 123 ที่ชื่นชมน้องจุ๊บ อย่างสูงค่ะ

 

ฟ้าประทาน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้ามาให้ปวงประชาชาวไทย พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างล้ำเลิศ ทรงตรากตรำพระวรกายในการทำศึกสงคราม ตลอดพระชนม์ชีพ แผ่นดินไทยรอดพ้นจากอริราชศัตรู ด้วยพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงกอบกู้เอกราช รักษาบ้านเมือง มาตราบทุกวันนี้
ลูกสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์เหนือหัวเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ตลอดเวลา
และขอขอบคุณ คุณสร้อยฟ้ามาลา ที่นำพระบรมรูปของพระองค์ท่าน ในพิธี ณ วัดวรเชษฐ์ มาลงนะค่ะ เป็นบุญตาของลุกเหลือเกินที่ได้เห็น สักวันจะไปกราบพระองค์ท่าน ณ ที่นั้นให้ได้

 

ขอลาอุปสมบท

ข้าพเจ้านาย ยุทธเดช กุสโลปการะ จะขอลาอุปสมบทเป็นเพศบรรพชิต เพื่อทดแทนคุณบิดา มารดา และถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สม<WBR>เด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ในวันที่ 21 พ.ค. นี้ ที่จ.พระนครศรีอยุธยา การใดที่ข้าพเจ้าเคยทำ ทั้งดีและไม่ดี ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่อหน้าและลับหลัง ขอได้โปรดอโหสิกรรมนั้นด้วย ....

 

อโหสิ ครับ

สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วย ขอให้เจริญในธรรมครับ

ไม่ทราบว่าจะบวชที่วัดใดครับ

 

สาธุ อโหสิ และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

 

กษัตริย์-เกษตร...ผู้เป็นใหญ่แห่งนา

<!-- main-content-block --><!--3 พฤษภาคม 2554 - 00:00-->3 พฤษภาคม 2554 - 00:00


ในช่วงที่อะไรต่อมิอะไร ไม่ว่าจะแดงไม่แดง แต่ต่างก็ชักจะแพงหนักขึ้นเรื่อยๆ ..........มีข่าวคราวเล็กๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง ตีพิมพ์อยู่ในหน้า 5 ของ เอ็กซ์ไซท์-ไทยโพสต์วานนี้ รายงานโดยคุณ นพพร หมวกมณี ที่อ่านแล้วก่อให้เกิดความปลาบปลื้ม น่ารัก น่าประทับใจ เอามากๆ...
-------------------------------------------
นั่นก็คือ...ข่าวคราวว่าด้วยกรณีชาวบ้านในตำบลหนองปลาไหล อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ที่ได้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนสหกรณ์มาตั้งแต่ พ.ศ.2549 และหลังจากที่ได้ประชุมสุมหัวกันระหว่างชาวบ้านด้วยกันเอง รวมทั้งผู้นำ อบต. ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การนำแนวคิดปรัชญาว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาทดลองใช้กับวิถีชีวิตภายในชุมชนของตัวเองน่าจะดีเป็นแน่แท้ จากนั้นจึงได้เริ่มลงมือปฏิบัติการ โดยแบ่งกลุ่มชาวบ้านออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ 10-15 คน แยกย้ายไปทำหน้าที่ตามที่ตัวเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา การปลูกพืชผักสวนครัว ผลไม้ ไม้ยืนต้น ไว้ตามหัวไร่ ปลายนา ไปจนถึงการผลิตพลังงานด้วยการนำไม้ฟืนมาเผาเป็นถ่าน ฯลฯ ก่อนที่จะบูรณาการจนกลายมาเป็นระบบ พึ่งตนเอง ภายในชุมชน โดยมีผู้นำ อบต.ตัดสินใจควักเงินงบประมาณให้กู้ยืม เพื่อลงทุนในกิจกรรมต่างๆ กลุ่มละ 100,000 บาท แบบปลอดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 5 ปี...
---------------------------------------------------
ผลของการนำเอาแนวคิดว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนในทั่วทุกหมู่บ้าน ตำบล นอกจากส่งผลให้ชาวตำบลหนองปลาไหล พออยู่ พอกิน มาโดยตลอดแล้ว ยังทำให้ภาวะวิกฤตการณ์อาหาร ภาวะสินค้าราคาแพง ซึ่งกำลังคุกคามใครต่อใครไปทั่วทั้งโลกอยู่ในทุกวันนี้ ชนิดที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาล แทบทำอหิวาต์อะไรไม่ได้ นอกซะจากต้องชั่งไข่ คัดไข่ ต้องพลิกตำราเศรษฐศาสตร์คนละเล่ม เพื่อหาทางแก้ปัญหาเงินเฟ้อ หรือแก้ผลกระทบต่อคนยากคนจนนับล้านๆ แบบผิดๆ-ถูกๆ ไปตามการตีความของใคร-ของมัน กลับกลายเป็นภาวะซึ่งไม่อาจส่งผลกระทบใดๆ ให้กับชาวบ้านตำบลหนองปลาไหล อย่างเช่นชุมชนอื่นๆ ซึ่งต่างกำลังตะเกียกตะกายร้องแรกแหกกระเชออยู่ในทุกวันนี้...
---------------------------------------------------------
นาง ธัญชนก แย้มกลีบ ชาวบ้านรายหนึ่ง ในฐานะประธานกลุ่มเลี้ยงหมู แห่งตำบลหนองปลาไหล กล่าวกับคุณ นพพร หมวกมณี เอาไว้ดังนี้ว่า “ตั้งกลุ่มมาตั้งแต่ปี 2549 เลี้ยงหมูมาแล้วกว่า 150 ตัว โดยสร้างคอกหมูไว้ริมคลองหลังบ้าน สมาชิกส่วนใหญ่ (12 คน) ก็จะเป็นเครือญาติ ต่างผลัดเปลี่ยนกันมาช่วยเลี้ยงหมู น้ำที่ใช้อาบน้ำหมูก็ไม่ทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะนำมารดแปลงพืชผักสวนครัวนานาชนิดที่ปลูกไว้ริมคลอง ส่วนขี้หมูเอามาผสมกับแกลบของโรงสีชุมชนเพื่อทำเป็นปุ๋ย สารกำจัดแมลงก็เอามาจากสมาชิกกลุ่มเผาถ่าน ที่ได้น้ำส้มมาจากควันไม้ ไม่ต้องไปซื้อจากตลาด ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในหมู่บ้าน และในขณะที่เนื้อหมูชำแหละราคาพุ่งสูงไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 140-150 บาท จนราคาเนื้อหมูหน้าฟาร์มมีราคารับซื้อสูงถึงกิโลกรัมละ 60-65 บาท ทำให้เมื่อจับหมูขายในช่วงนี้ ธุรกิจของกลุ่มจึงมีกำไร และทำให้กลุ่มแข็งแรงขึ้น สามารถปันผลให้สมาชิกได้อย่างทั่วถึง จึงจะเดินหน้าเลี้ยงหมูขุนต่อไป เพราะถึงแม้สินค้าอื่นๆ จะขึ้นราคาไปมากเพียงใด แต่แทบจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้าน เพราะเหตุที่ยึดมั่นตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”...


แหล่งที่มา :http://www.thaipost.net/news/030511/38017


เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ได้ทรงพระราชทานแนวคิด
ปรัชญาว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ผู้ที่ได้นำไปปฏิบัติย่อมเกิดเป็นศิริมงคลและบังเกิดเป็นผลดีแก่ตน ดังเช่นชาวบ้านในตำบลหนองปลาไหล อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ได้รับผลนั้นอยู่ในปัจจุบัน

 

...เคล็ดลับ-อันเป็นหัวใจของความสำเร็จด้านการพัฒนาสังคมชาติ คือ
ต้องพัฒนาคนก่อนพัฒนาวัตถุ!
คือต้องฝึกฝน เคี่ยวกรำให้คนในชาติรู้จัก "อดทน-อดกลั้น-รอคอย-พร้อมพรัก-พิทักษ์สิทธิ์เรา-เคารพสิทธิ์เขา" ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ฝึกฝน-อบรม-บ่มสันดาน ให้คนในชาติเคารพและยึดมั่นใน
ระเบียบ-วินัย!
ระหว่างชาติก้าวหน้า กับ ระเบียบ-วินัย ถ้าถามว่า "อะไรควรต้องมาก่อน?" คำตอบ คือ
"ต้องมาพร้อมกัน"!
เพราะถ้าบริหารให้คนในชาติยึดระเบียบ-วินัยเป็นเครื่องร้อยรัดสังคมไม่ได้ ก็จะเป็น "ชาติที่เจริญ" และก้าวหน้าไม่ได้ ในทางเดียวกัน ชาติที่ไม่สามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้ หรือมีแต่ถอยหลังสู่จุดล่มสลาย ก็เพราะจิตสำนึกคนในชาติ "ไม่ยึด-ไม่มี" ระเบียบ-วินัย ในการปฏิบัติตัวต่อชาตินั่นเอง
พูดถึง "ระเบียบ-วินัย" มันเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น ผมจะยกที่เป็นรูปธรรมซึ่งเห็นได้-จับต้องได้ ผ่านตัวอย่างสัก ๑ ตัวอย่าง เช่น
การ "เข้าแถว" นั่นไง!
อาจมีคนเถียง "ทำไมคนไทยจะเข้าแถวไม่เป็น ไปดูที่พารากอนซิ เข้าแถวซื้อคริสปี้กันยาวเหยียด"!?
นั่นไม่ใช่แถวที่เกิดขึ้นด้วยการหล่อหลอมจนเป็นจิตสำนึก หากแต่ความเห่อ-อยากอยากเป็นแฟชั่นชั่วครั้งชั่วคราว มันบังคับให้ต้องไปยืนเรียงรอรับส่วนบุญ ไม่ใช่เข้าแถวด้วยศรัทธาที่เข้าถึงคำว่า "ระเบียบ-วินัย"
เพราะคนในชาติที่ยึดมั่นระเบียบ-วินัยจริงๆ ในโลกนี้ เขาไม่จ้างคนเข้าแถว หรือเกิดระบบเข้าแถวเพื่อ "ขายคิว" ให้คนที่อยาก "ลัดคิว" หรอก!
ตามโรงเรียน อันเป็นแปลงเพาะ "ทรัพยากรหน่ออ่อน" เท่าที่สังเกต ถึงมีเข้าแถวเคารพธงชาติ ก็ฝืนทำสักแต่ว่าทำๆ ให้จบๆ กันไป หาได้มีการบ่มเพาะด้านความหมายในสิ่งที่ทำให้หยั่งรากลงไปในจิตสำนึกจนเป็นจิตวิญญาณไม่
ไม่ต้องดูอะไรมาก ถ้าท่านดูข่าวโทรทัศน์ ลองสังเกตแถวทหารเกาหลีเหนือ-ใต้ แถวทหารญี่ปุ่น แถวทหารจีน กระทั่งแถวทหารไต้หวัน ประเทศที่สามารถพัฒนาชาติตัวเองได้สูงสุดในครึ่งศตวรรษเหล่านี้ เขามีเคล็ดลับทำสำเร็จอย่างนั้นได้เพราะเหตุใด ทั้งที่ย้อนหลังไป ๒๐-๓๐ ปี ประเทศเหล่านี้
อยู่ข้างหลังไทย!?
คำตอบสั้น-ง่าย-ตรงตัวที่สุดคือ....
เขาฝึกให้ "เข้าแถว" กันได้เหมือน...เอาไม้เสียบ!...................................
การฝึกฝน-อบรม-บ่มเพาะ ให้ยึดมั่นในระเบียบ-วินัย การไม่อิจฉา-ริษยา, การไม่หวังดี-หวังเด่นแต่คนเดียว, การไม่เอารัดเอาเปรียบในขณะที่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบ, การรู้จักเคารพ-เชื่อฟังผู้อื่น ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะมีพร้อมสำหรับคนที่รู้จักคำว่า "ทำงานเป็นทีม"
เมื่อรู้จักทำงานเป็นทีม ก็ย่อมรู้จักระเบียบ-วินัย และถ้ายึดมั่นระเบียบ-วินัย การทำงานเป็นทีมก็เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุนั้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เมื่อแก่นรากดีแล้วอย่างนี้ จะเรียน-จะสอน-จะฝึกฝนอะไร ทุกอย่างก็ง่าย และพุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง เพราะธรรมชาติให้สมอง ให้สติปัญญา "อันฝึกเแล้ว" เป็นตัวนำชนะ ไม่ใช่ให้ร่างกายที่ใหญ่แต่ "ด้อยการฝึก" เป็นสัญญาณแห่งผู้ชนะ ไม่อย่างนั้นวัว-ควาย ต้องจูงคน ไม่ใช่คนจูงวัว-ควาย.....


การพัฒนาไทยกับการ"เข้าแถว" | ไทยโพสต์


คัดลอกของเก่ามาเล่าใหม่ จากหน้าที่ 150 ครับ ด้วยเห็นว่ายังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสังคมบ้านเรา

 

ช่วยกระจายข่าวครับ ท่านที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาพระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง

และท่านที่สนใจคำสอนตามพุทธวจนะ ธรรมะจากพระโอษฐ์ มีคอร์สปฏิบัติ

ธรรมที่จัดขึ้นโดยผู้ใจบุญ ท่านใดสนใจเชิญตามลิงค์นี้นะครับ

http://palungjit.org/threads/ขอเชิญปฏิบัติธรรม.290071/

คงต้องรีบกันหน่อยนะครับ เพราะรับจำนวนจำกัด


ขอขอบคุณ คุณ f-35 ครับ

 

อโหสิกรรม และขออนุโมทนา สาธุ กับท่านพระราชมนู ด้วยค่ะ

 

แม่สร้อยถ่ายภาพได้สวยมากเลยค่ะ อนุโมทนาสาธุ ที่นำภาพ มาฝากนะจ๊ะ

 

ไม่เป็นไรจ้า น้องจุ๊บ.....

สาธุ สาธุ สาธุ จ่ะ พี่โม...

ที่จริงวันที่ไปนั้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะมุ่งไปวัดวรเชษฐ์เลย แต่เหมือนเป็นความบังเอิญ เป็นบุญ เป็นโชค หรืออะไรสักอย่าง ที่ได้ไปเที่ยวอยุธยา พอขับรถผ่านวัดวรเชษฐ์ เห็นมีการบวงสรวง ก็ขับเลยไปแล้ว กะว่าจะไปวัดกษัตราธิราชกับวัดท่าการ้อง กะจะไม่แวะวัดวรเชษฐ์ แต่ไม่รู้เป็นอะไร แค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเลยทางยูเทรินกลับรถ ก็เลี้ยวขวับกลับไปเข้าวัดวรเชษฐ์ เฉยเลย ซะงั้น ก็ได้ทันไปสรงน้ำถวายพระรูปของทั้ง ๓ พระองค์ แล้วก็ได้พระพระบรมสารีริกธาตุจากพุทธคยา แล้วก็ยังได้ขนมบวงสรวงติดมือมาอีก .......

 

บุญชักนำค่ะ คุณสร้อยฟ้ามาลา อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

 

จ่ะ นั่นคือบุญส่วนหนึ่งที่ชักนำไปได้ร่วมงานพิธีได้ทัน

แต่ในวันนั้นเรื่องไม่แค่นั้น มีเรื่องต้องย้อนกลับไปที่วัดอีกครั้งในตอนเย็นเกือบจะค่ำ เพื่อขออโหสิกรรมและยกกรรมต่อกันที่เคยได้ร่วมรู้เห็นเป็นชนวนแห่งเหตุนั้นๆ จะไม่ขอแจงรายละเอียด แต่ขออนุญาตประกาศอีกครั้ง ณ ที่ต่างเวลา ด้วยกรรมใดที่เคยได้ร่วมกระทำด้วยกัน เป็นผลแห่งกุศลกรรม กรรมใดที่ได้เคยกระทำ เป็นผลแห่งกุศลกรรม ขอผลแห่งกุศลนี้ส่งผลให้ท่านผู้คอยเราอยู่ ณ ที่แห่งนั้นจงได้รับ ขอให้ลุล่วงผ่านสู่ภูมิที่สูงขึ้นไป ขออย่าได้จองเวรเกิดกรรมต่อกัน ขออย่าได้จองเวรก่อกรรมต่อผู้ที่ได้ลงมือกระทำอันตรายซึ่งเป็นเหมือนบริวารของเรานั้น ขอจงเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ร่วมสั่งสมบุญ กุศล บารมีจวบจนสู่พระนิพพาน เทอญ....

 

อนุโมทนา จ้าน้องสร้อย

 

สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ


วันนี้ 5 พฤษภาคม 2554 เป็นวันฉัตรมงคล เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของปวง
ชนชาวไทย


วันฉัตรมงคล เป็นวันที่ระลึก พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชอาณาจักรไทย โดยสมบูรณ์ กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ต่อจาก สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ในเวลานั้น ดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" เนื่องจากในเวลานั้น ยังมิได้ทรงผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นเอง
จากนั้น พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทย รัฐบาลไทยในขณะนั้น ก็ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม จัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ปวงพสกนิกรชาวไทย จึงได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก
<TABLE style="BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px dotted; BORDER-LEFT: #cccccc 1px dotted; WIDTH: auto; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP: #cccccc 1px dotted; BORDER-RIGHT: #cccccc 1px dotted" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20></TD><TD>

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
​

</TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=bottom width=20></TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: right; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-RIGHT: 2em; FONT-SIZE: 90%" vAlign=top colSpan=3>— พระปฐมบรมราชโองการ ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว</TD></TR></TBODY></TABLE>

ขอขอบคุณ วันฉัตรมงคล - วิกิพีเดีย