พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    จิตดวงเดียวเที่ยวไปไม่เคยตาย อาการของจิตเกิดดับ ยังกะสุดท้ายแล้วจิตมันไม่เที่ยว

    มาแจมแล้ววิญญาณหล่ะ จะเอาสมมติใหนดี วิญญาณผี รึวิญญาณอายตนะ รึวิญญาณไรดี แล้วผีนี่ไม่เรียกวิญญาณก็เรียกผีอย่างเดียวละกัน

    เช่นเมื่อกายเขาได้ตาย ผีก็ออกจากร่าง สยองพิลึก
    เอ๊รึจะเอาอย่างเดิมดี เมื่อเขาตายวิญญาณก็ออกจากร่าง

    เอ๊าๆ นิพพานก็จะเอานิพพานสมมติใหนดี
    เอานิพพานแบบเป็นเมืองอมตะ แบบอยู่เล่นกินเที่ยวไม่ตายเป็น
    รึจะเอานิพพานแบบ รู้ว่างๆ
    รึจะเอานิพพานแบบหายไปเลย
    รึจะเอานิพพานแบบจิตก็จิตอะไรก็แยกตายไปเจ๊ากันไปหายไปเลย

    เอ้าๆเลือกซักอัน เห็นทะเลาะกันบ่อยอิอิ ตามมาทะเลาะอีกคนแหะๆ
     
  2. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    คำว่าจิต กับวิญญาณ คนทั่วไปมักเข้าใจว่ามันคือสิ่งเดียวกัน ซึ่ง สองคำนี้มันเป็นไวพจน์กัน
    ซึ่งแท้จริงแล้วมันคนละอย่างกัน

    จิต คือตัวตนแท้ในทุกสรรพสิ่ง
    วิญญาณ เป็น หนึ่งในขันธ์ ๕ (รับสัมผัส )
    วิญญาณ สังขาร สัญญา เวทนา รูป (ดิน น้ำ ลม ไฟ ) เป็นกลไกการเชือมต่อ จากนามมาสู่รูป

    คำ ว่า ผี เทวบุตร เทวดา เป็นเหล่าดวงจิตที่ถูกครอบงำ ด้วยพลัง บุญ หรือพลังบาป

    แต่จิต ที่ไร้การครอบงำ ใน บุญ หรือบาป นี่ เป็น จิตเดิมแท้
     
  3. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    แต่จิต ที่ไร้การครอบงำ จากกิเลสอาสวะ นี่ เป็น จิตเดิมแท้<!-- google_ad_section_end -->

    กลัวว่างั้นฉันไม่เอาบุญเอาบาปขึ้นมาอีก

    ศีล สมาธิ ปัญญา
    ปัญญา ศีล สมาธิ
    สมาธิ ปัญญา ศีล
    จิตติ จิตติ จิตติ
     
  4. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ความเข้าใจจิตดวงเดียวใช้ได้ยันเข้านิพพาน ที่เกิดดับเป็นกิริยาจิตนั้น
    เป็นความเห็นของนิกายอื่นในพุทธศาสนา ไม่ใช่ของเถรวาทที่มาแต่สมัยพุทธกาล

    จิตว่าง จิตประภัทสร จิตดวงเดียวเข้านิพาน
    ถามว่า จิตแท้บริสุทธิ์ แล้วมีกิเลสได้ยังไง พิจารณาดีๆ
     
  5. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FHH26cAhGi8&feature=related]YouTube - 5300 Homemade Dominoes[/ame]

    ตัวอย่าง ความต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งสู่สิ่งหนึ่ง จนเข้าใจว่าเป็นเนื้อเดียว
     
  6. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    แก้วมีน้ำได้ยังไงพิจารณาดีดี

    ถ้าว่ากายนี้ มีผม แล้วผมมีกายได้ยังไงพิจารณาดีดี

    กิเลสก็กิเลสนะ จิตก็จิต จิตดั้งเดิมคือมันหมดกิเลสคลุม
    กิเลสทำไมคลุมจิต มันเป็นธรรมชาติของกิเลสที่อาศัยเกาะคลุมบนจิต
    ถ้ามันเป็นจิตดวงเดียวแล้วมันไม่ได้เข้าอะไรเลยนะ ถ้ามันเป็นดวงเดียวแล้วไม่ไปใหนแล้วล่ะหมดที่ไปที่มา

    เดาตอบเอานะ
    ดังที่ผมเคยได้ยินมาว่า โสดาบันเห็นนิพพานรู้นิพพานแต่ยังไม่ถึง

    แต่ก็ใช่ว่าผมจะถึงโสดาบันรึถึงอะไรแต่อย่างใด
     
  7. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    เพราะไปเห็นว่ามันใส่น้ำได้ จึงมีน้ำ
    คว่ำแก้วก็จบ

    ต้องถามกลับไปว่า จิตมาจากไหน
    พุทธเจ้าตรัส เหตุเกิดมนุษย์ เอาในภัทรกัลป์นี้ก่อน
    มนุษย์อรูปพรหม จิตดวงเดียวอยู่มาช้านาน จนเข้าใจว่าเราเที่ยงแท้ถาวร

    จนพบง้วนดิน ไอระอุช่วงกำเนิดโลก ก็พาลงไปกิน จนเกิดกายหยาบ จ้องเพศกัน จนเกิดสมสู่ สร้างบ้าน เมือง แบ่งพวก
    กิเลสมันจรแล้ว เห็นไหม ยังเป็นจิตแท้อยู่ไหมนั่น

    ทีนี้ความหลงพอกพูนเป็นตัวเป็นตน พระพุทธเจ้าว่า อวิชา ความไม่รู้เหตุ

    รู้เหตุขันธ์ห้า อาศัยของที่มีพิจารณาของที่มีนั่นแหละ สลัดออกด้วยปัญญา

    ในพระไตรปิฏกไม่มีใครกล่าว จิตเป็นนิพพาน
    จริงอยู่ การเจริญภาวนา จนเกิดมรรคผลในพระอรหันต์
    จิตท่านไม่เกิดไม่ดับ นั่นเพราะหมดเหตุเกิด
    แต่ขันธ์ห้ายังต้องดำรงอยู่ จนกว่าจะถึงปรินิพานนั่นแหละ ดับไม่มีเหลือ


    ไปยึดตนภูมินั้นภูมินี้ สร้างทิฏฐิมานะปล่าๆ
    มันลงยาก ฟังคนยาก ถ้าหลงก็เข้าพงเลย
     
  8. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    จะพูดยังไงก็รวมลงที่กิเลสตัวเดี๋ยว เดี๋ยวก็ว่าอวิชชา เดี๋ยวก็ว่า โทสะ โมหะ ราคะ มากมายก่ายกอง สุดท้ายก็เรียกทีเดียวเลย กิเลสนี่แหละ ทำไมไปยึดกายเป็นตนเพราะมีอวิชชา อวิชชานี่เกิดเพราะมีกิเลสนี่แหละ พูดไงดีเอาอาการใหนดีถึงจะพูดให้มัน
    หมดกิเลสได้

    นิพพานที่ท่านจะกล่าวจากครูบาอาจารย์ท่านที่เป็นธรรมธาติไปแล้วก็กล่าวอันเดียวกัน
    แล้วจะเอาอะไรมาพูดให้เราเก่งกว่าผู้สิ้นกิเลสไปแล้ว คงจะแบกปัญญาน้อยๆเหมือนเทียนใกล้มอดนี่แหละมาอวดกัน มันถึงจะสมกับการที่เป็นคนโง่ๆแบบผม คนที่เขาเพียรเขารู้แล้วเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปไม่ลดละ ขออนุโมทนาท่านเหล่านั้น ข้ิาพเจ้ากิเลสหนานักคงจะทะเลาะและพิพม์ข้อความเดิมๆต่อไปซักพัก สาธุ

    คนแรกเดินมาชี้นิ้ว พร้อมกับพูดว่า นี่คือน้ำ
    คนที่สองเดินมาอีกเอานิ้วชี้ พร้อมกับพูดว่า oh Warter

    การเถียงกันก็เกิดขึ้น

    นี่น้ำ
    No Warter
    แล้วคนหลายๆคนก็เดินผ่านมามาร่วมด้วยช่วยเถียงกันเรื่อยๆ

    ชายคนหนึ่งเดินมาดูน้ำ พร้อมนั่งลงถามน้ำว่า เธอชื่ออะไร

    น้ำไม่ตอบ นั่นสิ ไม่เห็นน้ำมันจะพูดอะไร มีแต่ที่ชื่อว่าคนนี่แหละที่เถียงกันยัดเยียดว่านี่คือน้ำ ไม่ใช่ water
     
  9. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ขยายความหน่อยได้มั้ยว่า พุทธแท้เขาสอนยังไง ?
     
  10. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    พุทธแท้ สอน ปฏิเสธอัตตา

    จิตดวงเดียว เที่ยวไปมา สางกิเลสหมดคือเดิมแท้ แปลว่าเห็นจิตเที่ยง

    ในอาตมันพรหม เชื่อเรื่อง จิตบริสุทธิ์ไม่ตาย นั่นก็เหลือจิตดวงเดียวเหมือนกัน

    ช่วงหลังล้ำไปกว่านั้นอีก ว่าเป็นเนื้อเดียวกับพระเจ้า

    การมีอยู่ การรวมอยู่ เที่ยงอยู่ ก็แปลว่า อัตตาสิ

    จิตว่าง จิตเดิมแท้ ความหมายไม่ต่างกัน
     
  11. alila

    alila สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    จิตมันเกิดดับแบบเร็วมากๆ แล้วจะมีอะไรต่างกันหรือ ระหว่าง เกิดดับ หรือ คงที่

    ถ้าจิตมันเกิดดับแบบเร็วมากๆ
    เร็วมากจริงๆ คือ 1 ใน 1 ล้านล้าน วินาที = ความเร็วเกิดดับของ อัฐกลาปะ

    แล้วจะมีอะไรต่างกันหรือ ระหว่าง เกิดดับ หรือ คงที่

    เว้นเรื่องจิตสักครู่ วัตถุทั้งหลายที่คุณสัมผัสอยู่นี้ ก็เกิดดับในระดับ sub atomic (สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น atom อีกทีนะครับ) ตาม string theory แล้วก็มีการเกิดดับในระดับ 1 ใน ล้านล้านวินาทีเช่นกัน เราก็เข้าใจว่า สสารคงที่ โมเลกุลคงที่ อะตอมคงที่ แบ่งแยกไม่ได้ ไม่เกิดดับง่ายๆ ทั้งที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงเลยซักนิด

    หากจิตเกิดดับที่ความเร็วสูงมากด้วย สาวกอย่างเราๆคงไม่สามารถหยั่งรู้ได้ คงต้องอาศัยเชื่อตามอภิธรรมเท่านั้น

    แต่ประเด็นที่อยากเน้นอีกครั้งคือ มันไม่สำคัญอะไรเลย ว่าจิดเกิดดับหรือไม่ (เช่น หากมันเกิดดับเร็วมากๆๆ) เพราะมันก็จะเห็นเหมือนกัน เพราะ หากมันสำคัญแม้ซักนิดต่อการพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าคงได้ตรัสเน้นย้ำได้แล้วในคำสอนที่ละเอียดครอบคลุมยิ่งของท่าน

    ในเมื่อเราอ่านพระไตรปิฎกแล้ว หากยังต้องมานั่งถกเถียงกัน แสดงว่าไม่ใช่สิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งสำคัญต่อการหลุดพ้น พระองค์จึงไม่อธิบาย ไม่ต่างจาก อจินตาทั้งหลาย
     
  12. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ไม่สำคัญหรอกที่ต้องไปรู้จิตเกิดดับเร็วเป็นโกฏิๆ

    เอามันเฉพาะหน้านี่แหละ จิตมีธรรมชาติรู้อารมณ์ หรือวิญญาณขันธ์ก็ได้ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

    จิตเกิดดับ พร้อม เจตสิต แปลว่า บางทีตาเห็นรู้ รู้ว่าเห็น จิตเข้าไปรู้แล้ว จิตเกิดแล้วดับแล้ว

    ทีนี้เห็นรู้จำได้ว่านั่นนี่ รู้ว่านั่นนี่เกิดแล้วดับแล้ว

    เจตสิกก็ร่วมผสมโรงพร้อมจิต เป็นอารมณ์ เป็นกิริยาจิต แล้วดับไป

    จากสิ่งหนึ่งนำไปสู่สิ่งหนึ่ง ในแต่ละวันอารมณ์เป็นอย่างไร

    เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวรู้รส เดี๋ยวคิด เดี๋ยวเฉย เอาของที่รู้ได้นี่แหละ


    แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า การไม่รู้ ไม่เข้าใจ จิตเกิดดับสืบสายเป็นวัฏฏะ

    จนเข้าใจว่าจิตมีดวงเดียวเที่ยวไปมา จนเข้านิพพานนี่แหละ

    เป็นอวิชา เพราะความเชื่อนี้มีก่อนพุทธศาสนา

    เชื่อจิตแท้ วิญญาณบริสุทธิ์ บรมอัตตา เป็นความเห็นนิกายอื่น และไปคล้องกับอาตมัน นิพพานพรหม

    ซึ่งเห็นจิตเที่ยง จึงไปหยุดที่จิตเดิมแท้ก็มี
     
  13. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    งั้นถาม โชแปง ไว้ก่อนเลยนะตามความนึกคิดของ โช ว่า
    ตกลง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็น อนัตตา เป็นสุญญตา ใช่หรือไม่ ?
    และที่ว่าเมื่อวานเป็นอดีต เมื่อวานจึงไม่มีอยู่จริง ใช่หรือไม่ ?
    แล้วปัจจุบัน ในขณะปัจจุบันเป็นอนัตตา ไม่มีอยู่จริง ใช่หรือไม่ ?
    กัปป์ก่อนๆที่ผ่านมาได้พินาศไปแล้ว ย่อมไม่ตามมาที่กัปป์นี้ ใช่หรือไม่ ?
    ศีล สมาธิ ปัญญา บารมี ของเราล้วนเป็นอนัตตา ย่อมไม่ตามไปกัปป์หน้า ใช่หรือไม่ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  14. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    งั้นถาม โชแปง ไว้ก่อนเลยนะตามความนึกคิดของ โช ว่า
    ตกลง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็น อนัตตา เป็นสุญญตา ใช่หรือไม่ ?

    :cool: แน่นอนอยู่แล้ว
    ธรรมทั้งปวงเป็น อนัตตา

    และที่ว่าเมื่อวานเป็นอดีต เมื่อวานจึงไม่มีอยู่จริง ใช่หรือไม่ ?

    :cool: แน่นอนอยู่แล้ว
    เมื่อวานเป็นอดีต ไม่มีอยู่จริง เป็นธรรมที่ดับไปแล้วเหตุ
    ทีมีอยู่เพราะ เป็นธรรมที่ปรากฎใจยึดมั่นหมาย ในภพชาตินั้นๆ

    แล้วปัจจุบัน ในขณะปัจจุบันเป็นอนัตตา ไม่มีอยู่จริง ใช่หรือไม่ ?

    :cool: แน่นอนอยู่แล้ว
    ในขณะปัจจุบัน เป็นสภาวะะรรมที่กำลังเปลี่ยนไป

    กัปป์ก่อนๆที่ผ่านมาได้พินาศไปแล้ว ย่อมไม่ตามมาที่กัปป์นี้ ใช่หรือไม่ ?

    :cool: แน่นอนอยู่แล้ว
    กัปป์ก่อนๆที่ผ่านมาได้พินาศไปแล้ว ย่อมไม่ตามมาที่กัปป์นี้
    แต่เหตุที่กรรมตามส่งผลถึงปัจจุบัน นั้นเพราะอัตตา พอใจในชาติภพ


    ศีล สมาธิ ปัญญา บารมี ของเราล้วนเป็นอนัตตา ย่อมไม่ตามไปกัปป์หน้า ใช่หรือไม่

    :cool: แน่นอนอยู่แล้ว
    ศีล สมาธิ ปัญญา บารมี ล้วนเป็นอนัตตา
    ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว หมดวิสัย หมดเหตุ วิหน้าทีหน้าก็ไม่มี

    เพราะ ศีล สมาธิ ปัญญา บารมี ของเราล้วนเป็นอัตตา กัปป์หน้าย่อมมีอยู่

    แถมให้อีกนิด วิบากยังไม่ได้หายไปไหน
    อัตตา เป็นผู้เสวยกรรม
    อนัตตา เป็นผู้ระลอกกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  15. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    ถามต่อ
    แล้วพระธาตุสมเด็จองค์ปฐม ปัจจุบันมีอยู่ ใช่หรือไม่ ?
    พระบารมีของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ยังอยู่ ใช่หรือไม่ ?
     
  16. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ยกตัวอย่างอื่นดีกว่า อย่าถามอะไรเป็นเหตุให้เราเชิงปรามาสเลย
     
  17. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    ถามง่ายๆ ว่า ใช่หรือไม่ ? จะมาอ้างว่าปรามาสได้ไง
     
  18. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    <DD>คําว่า "พระธรรมกาย" ในหนังสือ ทิพยอํานาจ อดีตพระอริยคุณาธาร เส็ง ปุสโส ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ แต่ขอนํามาโดยย่อว่า
    <DD>"...ในปกรณ์ของฝ่ายเถรวาท ท่านโบราณาจารย์แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาค ดังนี้คือ

    <DD>๑. พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งกําเนิดจากพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔

    <DD>๒. พระนามกาย ได้แก่กายชั้นใน นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอํานาจกุศลที่ตนทําไว้ก่อน ส่วนพระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านดีวิเศษกว่าของสามัญมนุษย์ ด้วยอํานาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบําเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัป

    <DD>๓. พระธรรมกาย ได้แก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวาและมนุษย์ หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง พระธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลาย แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัณฐานเช่นไรหรือไม่

    <DD>อนึ่ง ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพาน แล้วยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ ไม่สลายไปตามกาย คือความเป็นพระอรหันต์ ไม่สูญ ตัวอย่างเช่น
    <DD>พระยมกะ เมื่อยังไม่บรรลุอรหัตผลได้ แสดงความเห็นว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ ได้ถูก พระสารีบุตร สอบสวน เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว จึงเห็นตามความจริงว่า

    <DD>"สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเป็นไปตามปัจจัยคือสลายไป ส่วนพระอรหันต์มิใช่สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งจึงไม่สลายไป แปลว่า ไม่ตาย"

    <DD>ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านก็จัดเป็น อินทรีย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า "อัญญินทรีย์" พระผู้มีพระภาคเจ้าคงหมายเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า "วิสุทธิเทพ" เป็นสภาพที่คล้ายคลึง "วิสุทธาพรหม" ในสุทธาวาสชั้นสูง (พรหมอนาคามี ชั้นที่ ๑๒-๑๖ เป็นแต่ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น)

    <DD>อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น มนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบ ๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่า "อินทรีย์แก้ว" คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถ พบเห็น "พระแก้ว" คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้…"

    <DD>การที่ยกเอาบทความนี้มาให้อ่านกัน ก็เพราะอาจจะมีนักปราชญ์บางท่านเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เหมือนกับเปลวไฟที่ดับไปฉะนั้น ก็เลยเหมาเอาว่า "พระนิพพานสูญ" ไปเลย
    <DD>ตามที่พระนาคเสนท่านอุปมาเช่นนั้น ท่านคงหมายถึงดับไปเฉพาะ "พระรูปกาย" เท่านั้น แต่จิตใจอันใสบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ที่เรียกว่า "พระธรรมกาย" มิได้ดับสูญ ไปด้วยแต่อย่างใด

    <DD>อดีตพระอริยคุณาธาร ซึ่งเป็นศิษย์สาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงให้ทัศนะเป็นข้อสรุป ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ นับเป็นเวลา ๔๐ ปี เศษแล้วว่า

    <DD>"...ความรู้เรื่องนี้ เป็นความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไป ถ้ายังรู้ไม่ถึงอย่าพึงค้าน อย่าพึงโมทนา เป็นแต่จดจําเอาไว้ เมื่อใดตนเองได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้ได้เหตุผลที่ถูกต้องดีกว่า เมื่อนั้นจึงค้าน ถ้าได้เหตุผลลงกันจึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึงแล้ว ด่วนวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนผู้พูด เรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณ ตนเองยิ่งจะซ้ำร้ายใหญ่ ดังนี้... "
    </DD>
     
  19. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    บทความนี้ ก็ต้องไปทะเลาะกับพระไตรปิกฏ

    จะเชื่อพระนิพพานจากแหล่งไหนดีล่ะ ชาวพุทธมามกะ

    ส่วนผู้ที่ปฏิบัติถึงนิพพาน เขาไม่มีทัศนะว่านิพพานเป็นธรรมกายก็มาก

    ไม่ใช่เรื่องแปลก ความหมายครูบาอาจารย์อาจไม่หมายอย่างที่ท่านเข้าใจก็ได้ ถ้าจะฟังต่อๆกันมา แล้วมาเล่าบอกเรา
     
  20. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    บทความนี้ โชแปง ไม่เชื่อไม่เป็นไรเพราะคงไม่เคยเห็น พระธรรมกาย
    แต่คำถามข้างบน โชแปงจะตอบไหม ถ้าไม่ตอบจะได้ผ่านไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...