ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ฝีมือดีดเปียโนยอดเยี่ยมมาก เห็นยูทูปแล้วอยากรู้จักว่าใครเป็นคนเล่นเปียโนนี้
    เขาเป็นคนไทยค่ะ ชื่อ เสกข์ ทองสุวรรณ เล่นได้ไพเราะมากๆ

    เพลงพระราชนิพนธ์ รัก

    YouTube - ช่องของ Thongsuwan

    เพลง น้ำเซาะทราย

    YouTube - ช่องของ Thongsuwan

    เพลง somewhere over the rainbow (เพลงผรั่งที่ชอบมากอีกเพลงหนึ่งค่ะ)

    YouTube - ช่องของ Thongsuwan
     
  2. bear17

    bear17 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +90
    ติดตามอ่านมาวันนึงแล้วครับ...ผมก็เป็นทหารยุคท่านครับและเป็นทหารเสือพระเจ้าตากด้วยครับ..ดีใจที่มีกระทู้แบบนี้ครับ
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    Oh I Say



    <DD>เพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ ๒๑ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานให้นำออกบรรเลงในงานของสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ สโมสรสวนสราญรมย์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๘ เพลงพระราชนิพนธ์นี้ไม่มีคำร้องภาษาไทย

    <DD>เนื้อเพลงภาษาอังกฤษ

    <DD>
    Oh let me say, just to say, What I'll say.
    Or do you say, just to say, What you'll say.
    Oh let us say, Just to say, What we'll say.


    <DD>Now what'll we say? Just something to be gay,
    To chase the trouble and the cares of the day away.
    Let us all sing the song, we want to be happy today.
    <DD>

    <DD>Happiness comes only once in a lifetime.
    We do not know whence we come, where we go.

    So here goes.

    <DD>


    <DD>Now let me say, just to say, What I'll say.
    And do you say, just to say, What you'll say
    Let us all sing the song, we want to be happy today.
    <DD>
    <DD><DD>ตอนไปเฝ้าไข้คุณแม่ที่ รพ. ศิริราช ไปนั่งฟังคอนเสริต ดนตรีในสวน ที่ลานพระบรมราชชนก และจำไว้ว่ามีเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ที่ไม่มีเนื้อร้องภาษาไทย เป็นเพลงสนุกๆ จึงอยากจะนำมาเสนอเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ คุณเสกข์ ทองสุวรรณ ได้อัญเชิญมาบรรเลงไว้ด้วย<DD><DD>
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=CqtcH5hScuM&feature=related"]YouTube - เพลงพระราชนิพนธ์ Oh I say (audio)[/ame]​



    </DD>
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ช่วงนี้ใกล้จะมีพิธีเททองหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่พระราชวังจันทน์ ซึ่งจะทำพิธีกันในวันที่ 17 มีนาคม 2554 พี่จงรักภักดีเขาอาจจะยุ่งๆเพราะพี่เขาอาจจะวางแผนไปร่วมงานนี้ ขอถือโอกาศกล่าวต้อนรับคุณ bear17 แทนท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทางสายธาตุขอนำเสนอข้อมูลเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับภาพเขียนต่างๆในหอเขียน ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่วังสวนผักกาด อันอาจจะเกี่ยวเนื่องกับพระประวัติส่วนพระองค์ในเจ้าแม่วัดดุสิต เป็นภาพเขียนเก่าแก่ที่อยู่ในหอเขียนแห่งนี้ค่ะ

    หอเขียน


    หอเขียนอยู่ทางทิศใต้สุดของวังสวนผักกาด ด้านหน้ามีสนามหญ้าและมีสวนอันสวยงาม หอเขียนหลังนี้เดิมเป็นตำหนักของเจ้านายที่ปลูกอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นสมัยพระนารายณ์ (ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23)

    เมื่อเสด็จในกรมฯ และคุณท่าน ทรงทราบว่าวัดบ้านกลิ้ง ซึ่งเป็นวัดเล็กตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังวัดพระนครศรีอยุธยา โดยสภาพวัดเกือบจะร้างอยู่แล้ว มีเรือนโบราณเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมากและไม่มีผู้ใดบูรณะรักษาเลย แต่ภายในมีสิ่งสวยงามเป็นภาพลายรดน้ำเรื่องพุทธประวัติ พระองค์ท่านจึงทำผาติกรรมคือไถ่ถอนเรือนโบราณนี้มาจากวัดบ้านกลิ้ง ย้ายมาไว้ที่วังสวนผักกาดเพื่อนำมาทำการบูรณะซ่อมแซมทั้งตัวอาคารและภาพลายรดน้ำ แล้วทรงสร้างศาลาวัดสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ ถวายให้แก่วัดเป็นการทดแทน หลังจากการบูรณะแล้วเสร็จ เสด็จในกรมฯ ทรงประทานหอเขียนเป็นของขวัญแก่คุณท่านซึ่งเป็นชายา เนื่องในโอกาสที่คุณท่านมีอายุครบ 50 ปี ในวันที่ 8 มีนาคม 2502

    หอเขียนนี้มีลักษณะเป็นเรือนไทยภายนอกมีภาพแกะสลักซึ่งชำรุดลบเลือนไป เนื่องจากถูกแสงแดด ลม และฝนเป็นเวลานาน ส่วนชั้นในนั้น ลวดลายและช่องหน้าต่างเป็นศิลปะยุโรป ภาพลายรดน้ำส่วนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนล่างเป็นเรื่องรามเกียรติ์และเรื่องราวที่บันทึกในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ได้ส่งทูตเข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทย ตามด้วยราชทูตชาวฮอลันดา ภาพที่เขียนเต็มไปด้วยธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและมีชีวิตชีวา ช่างเขียนได้บันทึกความสวยงามของธรรมชาติไว้ด้วยภาพ ภูเขา ลำธาร และภาพขนบธรรมเนียมในราชสำนักในสมัยนั้นตลอดจนการตกแต่งรั้ววังและยังมีภาพเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่มีค่ายิ่งทางสถาปัตยกรรมไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2011
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    Rue de siam ถนนสยาม ในประเทศฝรั่งเศส

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


    ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1686-พ.ศ.2229 หรือ 320 ปีพอดี เมื่อเรือรบหลวงลัวโซ (L"Oiseau) เดินทางจากสยามเข้าเทียบท่าเมืองเบรสต์ Brest นำราชทูตสยามได้แก่ ออกพระวิสุทธสุนทร (ต่อมาเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี-ปาน) หรือราชทูตโกษาปาน พร้อมออกหลวงกัลยาณราชไมตรี ออกขุนศรีวิศาลวาจา และคณะจากสยามประมาณ 30 คน มาถึงแผ่นดินฝรั่งเศส
    ก่อนจะนำพระราชสาส์นจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งจารึกลงบนแผ่นทองคำ ถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ กรุงปารีส ด้วยปัญหาทางการเมือง ฝรั่งเศสอ้างพระอาการประชวรจากโรคริดสีดวงทวารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นเหตุให้คณะราชทูตสยามต้องติดค้างอยู่ในฝรั่งเศสนานเกือบหนึ่งปี กว่าจะได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

    ในโอกาสที่ไทยและฝรั่งเศสเจริญสัมพันธไมตรีครบ 320 ปี และก่อนหน้านี้ในปีพ.ศ.2546 รัฐบาลไทยและฝรั่งเศสลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลมีความเห็นสอดคล้อง ร่วมกันในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน โดยร่วมกันจัดงานเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศสในประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.-14 ก.ค. 2547 ในปีนี้มีการจัดงานเทศกาลวัฒนธรรมไทยในประเทศฝรั่งเศส ณ กรุงปารีส ระหว่างเดือนก.ย.-ต.ค. 2549

    กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ ในฐานะที่ปรึกษากระทรวง นำทีมสื่อมวลชนเดินทางพลิกหน้าประวัติศาสตร์แกะรอยหาสถานที่พำนักของราชทูต โกษาปานและคณะ ขณะเดินทางมารอเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ กรุงปารีส

    ดร.สุเมธเผยว่า เพื่อระลึกการมาถึงของคณะราชทูต ทางเมืองเบรสต์ได้จัดสร้างถนนสยาม (Rue de Siam) ขึ้นที่ใจกลางเมืองเบรสต์ ส่วนที่พักของคณะทูต พบว่าอยู่ที่คฤหาสน์ใหญ่เลขที่ 10 ถนน Rue de Tournon และถือเป็นสถานทูตสยามแห่งแรกในฝรั่งเศส

    ปัจจุบันเป็นอาคารของหน่วยทหารองครักษ์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยได้ประสานงานขอให้เปิดคฤหาสน์แห่งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงวัฒนธรรมเข้าไปชมภายใน ดร.สุเมธกล่าวด้วยว่า หลังจากขึ้นบกเมืองเบรสต์แล้วร่องรอยของราชทูตโกษาปานก็หายไป โดยเฉพาะช่วงที่เดินทางเข้ากรุงปารีส แต่ประวัติศาสตร์ที่ขาดตอนไปขณะนี้ปรากฏโฉมออกมาแล้ว โดยประเทศฝรั่งเศสจัดเก็บเอกสารและบันทึกเรื่องราวไว้เป็นอย่างดี

    ส่วนของขวัญที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ พระราชทานให้โกษาปานนำถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้น เก็บรักษาอยู่ในสภาพสมบูรณ์

    ระหว่างโกษาปานอยู่ในกรุงปารีสได้รับความสนใจจากชาวฝรั่งเศสมาก หนังสือพิมพ์รายวันของฝรั่งเศสติดตามรายงานข่าวตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน คณะราชทูตลงอาบน้ำริมแม่น้ำแซนและแม่น้ำลัวร์ สร้างความประหลาดใจ มีชาวฝรั่งเศสออกมามุงดู และการแต่งกายของคณะราชทูตกลายเป็นแฟชั่นที่มีการทำเลียนแบบใช้สวมในงานเต้น รำด้วย

    คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เผยว่า จะขอให้ฝรั่งเศสติดป้ายจารึกที่คฤหาสน์แห่งนี้ว่า เป็นสถานเอกอัครราชทูตสยามแห่งแรก ส่วนของขวัญจากสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทางการฝรั่งเศสตอบรับว่าจะนำของขวัญมาจัดนิทรรศการแสดงให้ประชาชนได้รับชม ที่พิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ในปีพ.ศ.2551

    ดร.สุเมธยังถือโอกาสนี้พาสื่อมวลชนออกทัวร์ตามหา "ถนนสยาม-Rue de Siam" ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นถนนสยามแห่งที่ 3 ในประเทศฝรั่งเศส และน่าจะอยู่ในเขตที่ 16 ของกรุงปารีส เป็นที่ตั้งของสถานทูตสยามอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฝรั่งเศส ในช่วงกลางรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ค.ศ.1884 (พ.ศ.2427) ขณะนั้นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ทรงดำรงตำแหน่งราชทูตกรุงสยามประจำภาคพื้นยุโรปและสหรัฐอเมริกา ความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกประการก็คือ ในปี ค.ศ.1885 (พ.ศ.2428) พระองค์เจ้าปฤษฎางค์พร้อมคณะได้ยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5 ที่สถานทูตไทยประจำกรุงปารีสนี่เอง ถือเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย

    แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงชื่อถนน Rue de Siam เท่านั้น เพราะสถานทูตสยามได้ย้ายมาหลายครั้งจนมาตั้งอยู่ในย่านทร็อคคาเดโร เขตที่ 16 ของกรุงปารีส

    ดร.สุเมธยังนำกลุ่มนักข่าวไปนั่งร้านกาแฟที่เก่าแก่พอๆ กับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส นั่นคือร้าน Cafe Le Procope ร้านกาแฟและอาหารขนาดใหญ่มีเนื้อที่ 3 ชั้น เสิร์ฟเอสเปรสโซตำรับฝรั่งเศสขนานแท้ ด้านหลังเมนูมีข้อความว่า มีนักคิด นักปฏิวัติ หรือกวีเอก หรือแม้แต่นโปเลียน มานั่งตรงนี้ และเราอาจเป็นคนที่คิดดีหรือคิดร้ายอยู่ก็ได้ คนดังๆ ที่มานั่งร้านนี้มีอย่างวิคตอร์ อูโก และวอลแตร์
    Le Procope อนุรักษ์การตกแต่งแบบสมัยโบราณไว้เป็นอย่างดี หนังสืออายุเก่าแก่มากกว่า 100 ปี วางเรียงรายบนชั้นหนังสือตามมุมต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถหยิบมาอ่านแล้วจิบกาแฟไปพลาง ร้านนี้ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1686 หรือพ.ศ.2229 ปีเดียวกับที่โกษาปานเดินทางถึงฝรั่งเศส

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2011
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วารสารมิวเซียมสยาม "โกษาปาน"

    วารสารมิวเซียมสยาม "โกษาปาน"

    [​IMG]


    โดย ภูธร ภูมะธน

    "โกษาปาน" ราชทูตผู้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ราชทูตผู้นี้เป็นผู้ที่ทำให้ชาวโลกรู้ว่า "สยาม" ไม่ใช่คนเถื่อน จากเอกสารสำคัญต่าง ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะเอกสารสำคัญจากฝรั่งเศส ...เราจะรู้จักโกษาปานมากยิ่งขึ้น

    สารบัญ

    บทที่ 1 โกษาปาน ต้นวงศ์จักรี ?
    บทที่ 2 ออกพระวิสุทธสุนทรหรือออกพระวิสูตรสุนทรกันแน่
    บทที่ 3 ประสบการณ์การทำงานก่อนได้เป็นราชทูต
    บทที่ 4 ใครเลือกโกษาปานเป็นราชทูต...สยามหรือฝรั่งเศส
    บทที่ 5 ทำไมจึงเลือกโกษาปานเป็นราชทูต
    บทที่ 6 โกษาปานไปฝรั่งเศสเพื่อ...?
    บทที่ 7 ใครเป็นใคร ในคณะราชทูตครั้งโกษาปาน
    บทที่ 8 การต้อนรับราชทูตโกษาปานที่ฝรั่งเศส
    บทที่ 9 ทำไมคนฝรั่งเศสจึงสนใจติดตามพฤติกรรมโกษาปาน
    บทที่ 10 มิเพียงแค่เชิญพระราชสาส์น แต่ยังเจรจาความเมืองด้วย
    บทที่ 11 โกษาปานฟีเวอร์ในฝรั่งเศส
    บทที่ 12 โกษาปาน นักบันทึก
    บทที่ 13 เมื่อกลับจากฝรั่งเศส โกษาปานมีหน้าที่ต้อนรับคณะราชทูต
    บทที่ 14 หยุดอิทธิพลฝรั่งเศสในสยาม
    บทที่ 15 ทำความเข้าใจกับประชาคมฝรั่งเศส
    บทที่ 16 อวสานโกษาปาน
    บทที่ 17 อนุสรณ์และความทรงจำเรื่องโกษาปานที่พระนครศรีอยุธยาและลพบุรี


    บทสรุป

    บางส่วนจากบทนำ
    บันทึกชาวฝรั่งเศสระบุว่า คณะราชทูตสยามชุดนี้ฉลาดและหน้าตาดีกว่า คณะราชทูตสยามชุดก่อนมากนัก รวมทั้งมีหน้าที่มากยิ่งกว่าการอัญเชิญพระราชสาส์นคือ ได้เจราจาเรื่องความบ้านความเมืองกับขุนนางฝ่ายฝรั่งเศสด้วย โดยเฉพาะตัวราชทูต-โกษาปาน ยังได้แสดงตัวตนให้ฝ่ายฝรั่งรู้ว่าไม่พอใจกับนโยบายการสร้างอิทธิพลทางศาสนา และทางทหารของฝรั่งเศสในสยามด้วยการนิ่งเฉย หรือให้ความเห็นอย่างตัดบทเมื่อข้าราชสำนักฝรั่งเศสแสดงเป้าประสงค์จะมา ดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวในสยาม


    คณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1686 (พ.ศ. 2229) โดยแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเคารพต่อกษัตริย์ฝรั่งเศสด้วยการหมอบคลาน เข้าไปในท้องพระโรงและคุกเข่าถวายบังคมเสมือนพระมหากษัตริย์ของตนประทับอยู่ เบื้องหน้า
    ชาวฝรั่งเศสต่างชื่นใจและประทับใจเป็นอย่างยิ่งในความงดงามแห่งอากัปกิริยา ของคณะราชทูตสยาม ด้วยเป็นพฤติกรรมที่ถูกใจชนชั้นปกครองฝรั่งเศส
    แม้ฝ่ายฝรั่งเศสจะประทับใจท่านราชทูตสยามที่แสดงกิริยานอบน้อมและจงรักภักดี ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มากมายขนาดไหน แต่แผนการรุกสยามต้องเดินหน้าต่อไป มิฉะนั้นผลประโยชน์มหาศาลของตนจะหลุดลอย (จาก บทนำ หน้า 18)


    ปรับปรุงล่าสุด: 9 มีนาคม 2554 - 23:57น.

    ดูจากคำนำแล้วเป็นหนังสือน่าอ่านนะคะ

    วารสารมิวเซียมสยาม "โกษาปาน" | Museum Siam
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    เรื่องราวของท่านโกษาปาน เมื่อครั้งอัญเชิญพระราชสารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถึง พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14

    เรื่องท่านโกษาปานไปฝรั่งเศสนั้น ในพงศาวดารเล่าว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงปรึกษากับเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก-ผู้เป็นพี่ชายท่านโกษาปาน) ว่าควรจะส่งผู้ใดออกไปดี เจ้าพระยาโกษาเหล็ก จึงได้กราบทูลว่า มีน้องชายของท่านคนหนึ่งชื่อ "ปาน" เป็นคนฉลาดเฉลียว และมีสติปัญญาดี

    สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดให้เข้าเฝ้า ทรงพระราชปฏิสันถารจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแลัว จึงกำหนดตัวให้เป็นราชทูตเพื่ออัญเชิญพระราชสาส์นของพระองค์ ออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส

    ในครั้งนั้นท่านโกษาปาน ได้นำอาจารย์ (ปะขาว) ผู้เชี่ยวชาญคาถาอาคมไปกับตนด้วย

    “...........เมื่อเรือสำเภาจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำวน เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันท่านโกษาปานราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของท่านโกษาปาน ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตันยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์"

    เมื่อท่านไปถึงฝรั่งเศส ต้องรอเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ด้วยความอดทนถึง ๑๕ วัน โดยท่านคุกเข่าทูลพระราชสานส์รอเฝ้าอยู่อย่างนั้น.. จนพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงเห็นความอดทนจึงยอมให้เข้าเฝ้าได้

    ทรงรับสั่งให้ล่ามถามทูตถึงทางอันมาในทะเลนั้นสะดวกดี หรือมีเหตุการณ์ประการใดบ้าง ครั้นได้ทรงทราบว่ากำปั่น (สำเภา) ตกวนเวียนอยู่ในวังน้ำวนใหญ่ถึงสามวัน จึงขึ้นพ้นมาได้ ก็ให้สงสัยพระทัยนัก ด้วยว่าแต่ก่อนแม้ว่ากำปั่นลำใดตกลงในวังวนนั้นแล้ว ก็จะถูกดูดจมลงไปสิ้น มิอาจรอดขึ้นได้แต่สักลำหนึ่ง

    จึงให้ล่ามซักถามทูตอีก ทูตให้การยืนคำอยู่ก็มิได้ทรงเชื่อ จึงให้สืบถามบรรดาฝรั่งเศสลูกเรือ ต่างก็ให้การสมคำราชทูตทั้งสิ้น ทรงเห็นเป็นมหัศจรรย์นัก
    จึงให้ซักถามราชทูตว่าคิดอ่านแก้ไขประการใด กำปั่นจึงรอดพ้นจากวนได้

    ท่านโกษาปานราชทูตได้กราบทูลว่า

    “ ข้าพเจ้าคิดกระทำสัตยาธิฐาน ขอเอาพระกฤษฎานุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ซึ่งเริ่มแรกจะผูกพระราชสัมพันธ์มีแก่กัน ขอจงอย่าได้เสียสูญขาดทางพระราชไมตรีจากกันเลย เอาความสัจจาข้อนี้เป็นที่พำนัก ด้วยพระเดชพระคุณพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ก็บันดาลเกิดเป็นมหาวาตะพายุใหญ่ พัดหวนหอบเอากำปั่นพ้นจากวังวนได้ “

    พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงฟังคำราชทูตก็เห็นจริงด้วย พระราชดำริว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยามีบุญญามากเสมอด้วยพระองค์ ก็ทรงพระมหากรุณาแก่ราชทูต

    อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าหลุยส์ ต้องการแสดงพระราชอำนาจให้แก่คณะทูต จึงเชิญให้เข้ามาเฝ้า...

    "...........ในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? ท่านโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยามไม่มีทหารแม่นปืน เหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืน ไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็น ในการตั้งกองทหารปืน พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ ?

    ท่านโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน”

    ในวันรุ่งขึ้น อาจารย์ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อย เข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี

    ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดง และทหารชุดแต่งกายดำ พร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ ท่านโกษาปาน จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยังกลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น

    เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์

    อาจารย์ทหารสยามจึงร้องอนุญาตไปว่าท่านจงยิงอีกเถิด ทีนี้เราจะให้เพลิงติดดินดำ แลจะให้กระสุนออกทั้งสิ้น

    ทหารฝรั่งเศส พร้อมกันยิงอีก เพลิงก็ติดดินดำ กระสุนก็ออกจากลำกล้อง ตกลงตรงปากกระบอกบ้าง ห่างออกไปบ้าง ลางกระสุนก็ตกลงที่ใกล้เบญจา แต่จะได้ถูกต้องทหารไทยผู้หนึ่งผู้ใดหามิได้


    พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามท่านโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด?

    ท่านโกษาปานกราบทูลตอบว่า “ชายสยามเหล่านี้ เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น เยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย" (ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษาวิชชาชาตรี เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว)
    ..........พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมี ที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม ให้เป็นเอกราชไว้ได้..........”

    พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พืชพันธุ์ของท่านโกษาปานไว้ จึ่งพระราชทานนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาคนหนึ่ง แล้วพระราชทานเครื่องแต่งตัวอย่างฝรั่ง ล้วนประดับด้วยพลอยต่าง ๆ กับสนองพระองค์ทรงองค์หนึ่ง แล้วให้เขียนรูปราชทูตแลจดหมายถ้อยคำไว้ทุกประการ

    แลราชทูตก็อยู่กินกับภรรยา จนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนบิดา.......ต้นสกุล Kosapan ในฝรั่งเศส

    beeman 吴联乐 - beemanNUKM - เรื่องเล่าของครูกฤษณ์ ฤทธิ์เดชา : ตระกูลท่านโกษาปาน ในฝรั่งเศส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2011
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี พระนามทองดี เป็นเหลนเจ้าพระยาโกษาปาน


    เจ้าพระยาโกษาปาน มีบุตรคนโต ชื่อ ขุนทอง ต่อมาเป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีคลัง

    บุตรของท่านขุนทองคือ ทองคำ ต่อมาเป็น พระยาราชนิกูล ปลัดทูลฉลองในกรมมหาดไทย

    พรยาราชนิกูลมีบุตรชื่อทองดี ได้เป็นหลวงพินิจอักษร ในกรมมหาดไทย


    หลวงพินิจอักษรอาศัยอยู่กับบิดาที่ตำบลป่าตอง ใกล้วัดบรมพุทธาวาศน์ คือ วัดกระเบื้องเคลือบ

    เมื่อได้สมรสกับท่านดาวเรือง ได้ย้ายเรือนมาภายในกำแพงพระนครหลังป้อมเพชร

    มีบุตรชาย สาม หญิงสอง

    ท่านทั้งห้านั้นเป็นต้นตระกูลเจ้านายฝ่ายกรุงเทพ

    (บุญเตือน ศรีวรพจน์ ชำระต้นฉบับ อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์ ศิลปวัฒนธรรม มติชน หน้า ๑๕ - ๑๖)
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "แรกเริ่มเดิมที ท่าน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เกิดมาในตระกูลขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ตระกูลของท่านเป็นตระกูลขุนนางสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นับแต่เจ้าพระยาโกศาปาน นักรบและนักการทูตผู้มีชื่อเสียงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เจ้าพระยาโกศาปานมีบุตรคนหนึ่งชื่อขุนทอง ได้เป็นพระยาวรวงศาธิราช พระยาวรวงศาธิราช (ขุนทอง) มีบุตรคนหนึ่งชื่อทองคำ ได้เป็นพระยาราชนิกุล พระยาราชนิกุล (ทองคำ) มีบุตรชายชื่อทองดี ได้เป็นพระอักษรสุนทร เสมียนตราในกรมมหาดไทย พระอักษรสุนทร (ทองดี) มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อทองด้วง ได้เป็นหลวงยกกระบัตร หลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) ได้แต่งงานกับนางสาวนาค ธิดาเศรษฐีชาวบางช้าง เมืองสมุทรสงคราม"

    (หนังสือ "ราชินิกุล บางช้าง" พิมพ์แจกเมื่องานฉลองพระราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. ๒๕๑๐)

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ภาพพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ บันทึกประวัติศาสตร์ ระบุไว้ บรรดาเครื่องปืนอันเป็นเกียรติยศสูญหายไปสิ้นเมื่อสงครามกับพม่า เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว จึงได้สร้างปืนขึ้นเพื่อเป็นพระเกียรติยศและเฉลิมพระเกียรติถึงวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวร

    พระแสงปืนนี้จึงเป็นจัดเข้าเป็นสิ่งของในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตลอดมาทุกรัชกาล

    ศิลปะการสร้างปืนเป็นงานโบราณที่เรียกว่า งานคร่ำทอง คือสลักเส้นทองลงบนเหล็ก นกสับแกะเป็นครุฑและหัวสิงห์ ผูกลายใบไม้ ลายมงคลอย่างจีน ลายศาสตราวุธของไทย

    ต้องถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ ด้วยเช่นกัน

    เนื่องด้วย พระองค์เคยรับหน้าที่เป็น นายสุดจินดา หุ้มแพรมหาดเล็กในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยมาศรินทร์(พระเจ้าเอกทัศน์) จึงทำให้ทรงทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพระแสงต่าง ๆ และขนบธรรมเนียมในพระบรมมหาราชวัง


    <!--MsgFile=15--><!--MsgFile=7-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2011
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "การเปิดเผยพระนาม รวมไปถึงอธิบายความหมายของพระนามพระมหากษัตริย์ เกิดขึ้นจริง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่เพียงแต่ทรงเปิดเผยพระนามเท่านั้น ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เปิดเผยประวัติความเป็นมาของราชตระกูลอีกด้วย โดยมีพระราชหัตถเลขาถึง เซอร์จอห์น เบาว์ริง ไว้อย่างค่อนข้างชัดเจนตรงไปตรงมา ทรงยอมรับที่จะไม่ใช่ "ไทยแท้" หากแต่เป็น "มอญ" ผสม "จีน" ในชั้นบรรพบุรุษต้นตระกูล

    ความในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ ทรงอ้างถึงต้นตระกูลชาวมอญหงสาวดี ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวร หรือที่ทรงเรียกว่า "พระนเรศร" (King Phra Naresr) มายังกรุงศรีอยุธยา

    "ในตอนนี้คนในตระกูลที่รับราชการเป็นทหารของพระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ติดตามมากับสมเด็จพระนเรศรด้วย แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ในอยุธยา" (เซอร์จอห์น เบาว์ริง, ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๗, น. ๘๗.)

    ทรงบรรยายต่อว่า หลังจากนั้นเรื่องราวของตระกูลก็ขาดหายไปราวครึ่งศตวรรษหรือประมาณ ๘ รัชกาล จนกระทั่งมาปรากฏขึ้นอีกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งทรงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Narayu...

    ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์นี่เองที่ "ต้นตระกูล" ได้รับโอกาสรับราชการสำคัญของแผ่นดินคือ เจ้าพระยาโกษาเหล็ก และเจ้าพระยาโกษาปาน (ในพระราชหัตถเลขาใช้ "ปาล" (Pal) แต่ในพระราชพงศาวดารใช้ "ปาน")

    "กล่าวกันว่าบุพการีของพวกเราสืบสายเลือดต่อลงมาจากท่านผู้เป็นอภิชาตบุตรนี้เอง" (เบาว์ริง, น. ๘๘)

    จากนั้นก็ทรงเล่าสืบสายตระกูลลงมาจนถึงสมเด็จพระบรมมหาชนก (คือพระราชบิดารัชกาลที่ ๑)

    "ต้นตระกูลผู้เป็นบิดาของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก และเป็นปู่ของพระราชบิดาในพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน (ตัวข้าพเจ้า) กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน (พระเชษฐาผู้ทรงล่วงไปแล้วของข้าพเจ้า) แห่งสยาม เป็นอภิชาตบุตรของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเสนาบดีต่างประเทศที่ได้กล่าวมาแล้ว ท่านได้ย้ายหลักแหล่งจากอยุธยามาเพื่อความสุขของชีวิต และตั้งบ้านเรือนที่ "สะกุตรัง" เป็นท่าเรือบนลำน้ำสายเล็ก อันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่ ตรงรอยต่อของราชอาณาจักรสยามตอนเหนือกับตอนใต้" (เบาว์ริง, น. ๘๘)

    .....พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงเรื่องราวของตระกูลที่ขาดหายไปราวสองสามชั่วอายุคน จนกระทั่งมาถึงเรื่องของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)

    แต่ในเอกสารอื่นได้เชื่อมรอยต่อตระกูล "ทอง" ตรงนี้ไว้บ้างแล้ว คือบุตรคนใหญ่ของโกษาปานชื่อนายขุนทอง หรือนายทอง ได้เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช บุตรนายทองคนใหญ่คือ นายทองคำ รับราชการเป็นพระยาราชนกูล บุตรคนใหญ่ของนายทองคำ คือนายทองดี คือสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ เป็นที่หลวงพินิจอักษร หรือพระอักษรสุนทรศาสตร์ บิดานายทองด้วง คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก"

    (คัดจากบทความ "ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต ต้นราชวงศ์จักรี "เจ้า" หรือ "สามัญชน"???" โดย ปรามินทร์ เครือทอง ในหนังสือ "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๘)
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ภาพด้านล่างคือ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับภาพวาดเจ้าพระยาโกษาปาน ช่างเขียนน่าจะได้เค้าพระพักตร์จากภาพลายเส้นของเจ้าพระยาโกษาปาน <!--MsgEdited=12-->

    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 49 00:46:40[/SIZE]
    <!--MsgFile=12-->
    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#442244><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#442244><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    จากคุณ : <!--MsgFrom=12-->วศินสุข [​IMG] - [ <!--MsgTime=12-->3 ก.ย. 49 00:38:43 <!--MsgIP=12-->]

    อ้างอิงบทความในกระทู้พันทิพย์
    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/09/K4675554/K4675554.html <!--pda content="end"-->
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    น่าตกใจมาก สีนามิถล่มญี่ปุ่นวันนี้ คลื่นสูงถึง 10 เมตร
    ร่วมสวดมนต์แผ่เมตตาให้ผู้ประสบภัยกันค่ะ ดูจากภาพข่าวแล้วครั้งนี้สาหัสนัก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5cCN2STnpi8&feature=player_embedded]YouTube - earthquake and Tsunami March 11, 2011 Japan, Miyagi, Sendai[/ame]
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เห็นภาพที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นแล้วน่าสงสารนะครับ เร่งสร้างบุญสร้างกุศลกันให้มากอย่าประมาท อะไรมันก็ชั่วคราว เดี๋ยวก็ผ่านไป ครับ
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ในห้องฉุกเฉิน

    ขอนอกเรื่องนิดนึง เป็นศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ จะขำก็ไม่เชิง ฟังแล้วก็อึ้ง เป็นศัพท์ที่หมอใช้ตรงประเด็นที่สุด และทุกคนฟังแล้วต้องเข้าใจถ้าไม่ไขว่เขวไปก่อนว่าหมอใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยกันแน่

    ในห้องฉุกเฉิน รพ. ศิริราช เที่ยงของวันที่ 10 มีนาคม มีลุงคนหนึ่งนำร่างที่หมดสติแล้วของป้า(แฟนของลุง) ลงจากแท๊กซี่ขึ้นแปลเข็นเข้าห้องฉุกเฉินมาหน้าตาตื่น

    ป้าแกจมน้ำ ตอนนี้หยุดหายใจแล้ว ตัวเริ่มเขียว

    หมอระดมสรรพกำลัง เข้าไปปั้มหัวใจร่างที่หมดสตินั้น แต่ก็ไร้ผล

    ระดมเครื่องช่วยหายใจทุกอย่างเข้าไปแล้ว แต่ก็ไร้ผล

    ระหว่างนี้หมอต่างใช้ศัพท์แสงทางวิชาการแพทย์ที่คนทั่วไปฟังไม่เข้าใจ แต่หมอและพยาบาลเขาเข้าใจกันดี ทำงานประสานกันดี

    จนผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง เมื่อเครื่องมือต่างๆที่ระดมเข้าไปช่วยชีวิตป้ายังไร้ผล

    หมอเดินไปที่โทรศัพท์ แล้วยกสายไปที่แผนกแปล พูดว่าส่งไปเมน

    ดิฉันคิดว่าหมอพูดภาษาอังกฤษว่าส่งไป main คือไปห้องใหญ่ ห้องหลัก อะไรเทือกนั้น

    สักพักหนึ่ง คนเข็นแปลที่มีถุงผ้าหนัง คุลมตลอดร่าง มีซิปรูดปิดสนิทเข้ามา รับร่างป้าคนนี้ออกไป

    ดิฉันจึงเพิ่งเข้าใจว่า ส่งไปเมน ที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนั้น ที่จริงแล้วหมอพูดภาษาไทยว่า ส่งไปเมรุ

    ก็เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆจากห้องฉุกเฉิน รพ. ศิริราช

    ส่วนแม่ดิฉันยังรักษาตัวอยู่ค่ะ ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2011
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุโมทนาค่ะพี่จงรักภักดี
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เรื่องราวน่าอ่าน เขียนโดยคุณชานนคนไทย

    ลาบวช และเล่าประสบการณ์(ทางธรรม)

    <TABLE id=post4470497 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_4470497 class=alt1>กราบสวัสดีครับ
    ผม(ชานนคนไทย) ต้องกราบอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมเป็นเจ้าภาพบริขารในการบวชครั้งนี้ของกระผม...จริงๆผม...ตัวผมจะบวชแบบเงียบและไปแบบเงียบๆไม่บอกใคร...

    แต่ได้ปรึกษากับผู้ใหญ่และพ่อแม่ครูบาอาจารย์(พระที่นับถือ)ท่านให้ผมบอกกล่าวขอขมาลาโทษซึ้งกันและกันเพื่อจะได้รับทราบและอโหสิซึ้งกันและกันก่อนที่จะบวช...แต่ถ้าเราไปแบบเงียบทุกๆท่านไม่ทราบและมีการพูดถึงโดยที่ไม่รู้ว่าผมบวชจะทำให้ผู้พูดปรามมาสได้โดยไม่เจตนา...แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น...ผู้ที่ผิดคือตัวกระผม(ชานนคนไทย)ที่ไม่ได้บอกกล่าว...จึงฝากน้องณ.มาบอกกล่าวแทนตัวกระผมโดยที่ตัวกระผมได้โทรบอกและPMไปให้ครับ...บ้างท่านอาจจะสงสัยโทรมาถามว่าทำไมไม่บอกด้วยตัวเอง...จริงๆแล้วไม่มีเจตนาที่จะไม่บอกด้วยตัวเองครับ...ต้องขอโทษด้วยครับ...

    เพราะผมต้องเตรียมตัวบวชและเตรียมตัวท่องขานนาคแบบ...เอสาหัง...แบบมคล...ก็ยากพอสมควรมากเพราะผมติดท่องแบบบาลี...จึงต้องมาเรียนรู้ใหม่หมด...ทั้งๆที่เคยบวชมาแล้ว(ที่วัดสังฆทาน)...การบวชแบบพระป่า...ผมต้องขอโทษเพื่อนๆสมาชิกด้วยครับว่าที่ผมจะมาเล่าณ.ที่นี้ไม่ใช่ว่าพระป่าจะปฏิบัติดีกว่าพระบ้านนะครับ...เพียงแต่จะมาเล่าที่มาที่ไปครับ...อย่างผมจะมาบวชกับชมรมพุทธ..มหิดล...ก็ต้องมีการสัมภาษณ์และคัดผู้บวช...คือผู้สัมภาษณ์10ท่านผม1ท่าน...ผมก็งงมากครับ...ถามหลายเรื่องเกียวกับการปฏิบัติธรรม...แต่ที่สำคัญคือผู้ถามผมอายุห่างกว่าผมตั้ง20กว่าปี...ผม44ปี...แต่สิ่งหนึ่งเราจำจากพ่อแม่ครูอาจารย์ว่าต้องรู้จักให้เกรียติผู้อื่นเพราะบางท่านถึงอายุน้อยกว่าแต่เขาปฏิบัติธรรมมาดี...เพราะธรรมะไม่จำกัดวัยปฏิบัติได้ตลอดไม่จำกัดเพศ...ทำให้เรารู้จักลดอันนตาตัวตนลงรับฟังความคิดเห็นและคำถาม...อีกอย่างหนึ่งการจะบวชพระป่า...เพื่อนๆบางท่านอาจจะรู้มาบ้างว่า...การที่จะบวชพระป่าต้องมาอยู่ดูนิสัยก่อน...คือมาอบรมเป็นพระขาวอย่าง6เดือนหรึอ1ปีหรึออาจจะ2-3ปีเป็นต้น...เพราะว่าท่านต้องการพระที่มาจากใจ...ไม่ต้องการพระที่มาจากกาย...จึงต้องเลือกผู้มาเป็นกุลบุตรของศาสนา...ไม่ใช่มาเป็นญาติห่างๆบวชขอไปที่...ทำให้ผมตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด...คือประพฤติปฏิบัติธรรมสมกับที่เรามาบวชในบวรพระพุทธศาสนาไม่ให้เบื้องข้าวและน้ำของญาติโยมที่นำมาใส่บาตรถวายครับ...ที่ๆผมจะไปเป็นที่สัมปายะมากพอสมควรก็รู้สึกหวั่นๆ...บางท่านที่รู้จักผมรู้ว่าผมเคยบวชอยู่และปฏิบัติอยู่ในป่าช้ามาก่อน...แต่เราต้องยอมรับความจริง...ว่าทุกคนมีความกลัวไม่มากก็น้อย...ตอนที่ผมอยู่ป่าช้า5ปีที่จังหวัอุบล...

    ใหม่กลัวมากครับไม่กล้ากลับกุฏิเลย...จนหลวงพ่อบอกว่าถ้าไม่กลับจะให้นั่งกลับศพคนตายโหง...ทำให้ผมต้องกลับกุฏิและทำให้เราเข้าใจความกลัว...คือใจของเราเองคิดไปเองทั้งๆที่ไม่เคยเห็นเพราะโดนปลุกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ...เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็เข้าใจ...สภาวะของจิต...สิ่งหนึ่งที่จะคุ้มครองเราได้เมื่ออยู่ในป่า...คือ...ศีลถ้าศีลเราไม่บริสุทธ์คือพร่อง...จะทำให้จิตเราหวั่นไหวและไม่มั่นใจและก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมเราไม่สงบ...พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านบอกว่าพื้นฐานของการจะทำให้จิตสงบและรวมตัวกันได้เป็นสมาธิ...คือเราต้องรักษาศีลให้ได้ก่อน...เพราะ...อย่างที่ผมถามเพื่อนสมาชิกก่อนว่า...ก่อนเราจะทำบุญและนั่งสมาธิ...พระท่านต้องให้เราขอศีลก่อน...เพราะท่านต้องการให้จิตใจเราบริสุทธิและมั่นคงว่าณ.เวลานั้นเราได้เป็นมนุษย์สมบัติคือผู้ถือศีล5-8แล้วเรามั่นคงในพระรัตนะตรัย...พระพุทธ.พระธรรม..พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสรณะ...ถ้าไม่มีศีลแล้วจะทำให้การประพฤติปฏิบัติธรรมไม่มั่นคง...เพราะใจเรายังไม่มั่นใจในศีล...ความหมายของศีลที่แปลจากบาลีแล้วได้ความหมายว่า

    สีเลนะ สุคะติง ยันติ แปลว่าศีลเป็นเหตุให้ไปสูสุคติ
    สีเลนะ โภคะสัมปะทา แปลว่าศีลเป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์
    สีเลนะ นิพพุติ ยันติ แปลว่าศีลเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน
    ศีลเป็น...อานิสงส์สุงสูด

    พระท่านจึงให้เราอานาทานศีลก่อน...ต้องขอโทษเพื่อนๆที่เขียนนอกเรื่องครับ...ที่ว่าใจผมหวั่นคือต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมคือเป็นพระป่า...เพราะที่นั้นเป็นสมบรูณ์มากพื้นที่ 7250 ไร่...กุฏิห่างกันประมาณ 5-10 กิโลและสัตว์ป่าก็ยังอุดมสมบรูณ์มากโดยเฉพาะ...งูจงอาง...เพราะเป็นป่าสงวน...ต่อครับ

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2> <SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("4470497")</SCRIPT> </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- google_ad_section_end -->

    หลังจากอ่าน PM ของ MBNY แล้วเธอแจ้งว่าคุณชานนจะเขียนบันทึกเรื่องราวเหล่านี้จนถึงวันที่ 17 มีนาคมนี้ ทั้งนี้ที่ทำให้คุณชานนเขียนบันทึกได้เพราะเพื่อนๆสมาชิกได้ขอร้องให้เล่าเรื่องราวประสบการณ์ธรรม ซึ่งครั้งนี้คุณชานนอาจจะบวชนาน ยังไม่มีกำหนดการสึก เรื่องราวของคุณชานนน่าอ่านค่ะ ตามไปอ่านกันค่ะ

    http://palungjit.org/threads/ลาบวช-และเล่าประสบการณ์-ทางธรรม.283193/
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับหลักฐานและการตีความ จึงเขียนเป็นเพียงการบอกเล่าในเชิงสมมุติฐาน หากสิ่งนี้ทำให้คุณ jirat45 ไม่สบายใจ

    ทางสายธาตุเห็นว่าเพื่อให้ท่านสบายใจแล้ว ข้าพเจ้าจึงลบข้อความที่ก่อให้ท่านไม่สบายใจนั้นทิ้งไปแล้วค่ะ
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ............................................................................

    และตัวกระผมก็เชื่อว่าทุกๆท่านที่อยู่ณ.ที่นี้เป็นคนดีคนหนึ่งเพราะการที่เราได้มาเจอกันได้มาพบได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นการพบและต่อสายบุญกันสิ่งที่ทุกๆท่านทำมาดีแล้วถึงจะผิดบ้างก็อย่าไปโทษตัวเองเพราะทุกคนมีสิทธิผิดพลาดได้หมด...ตัวกระผมก็ไม่ใช่คนดียังเลวอยู่และยังมีกิเลสที่ต้องขัดเกลาอีกมาก...แต่ขอให้เรามีสัจจะกับตัวเอง...ว่าเราจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด...และพลังความดีที่เราบอกทุกๆวันก็จะเป็นพลังให้จิตใจเราเข็มแข็งและเป็นจิตบวก(คือจิตดี)ตัวกระผมเชื่อว่าเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านทำได้และทำได้ดีว่าตัวกระผมอีก...ขอให้มั่นใจในความดีและคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกและพระอริยะเจ้า(ครูอาจารย์ของทุกท่าน)ว่าเราเกิดมาไม่เสียชาติเกิดที่ได้พบศาสนาพุทธ......

    คัดลอกจากข้อความบางตอนในบันทึกของคุณชานนคนไทย คนคุ้นเคยกัน นำมาฝากกันครับสอนใจและเตือนใจตนเองได้ดีทีเดียวพูดง่ายๆก็คือการเตือนสตินั่นเอง
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ พร้อมทั้งสมาชิกเวปพลังจิตทุกๆท่าน
    ข้าพเจ้าชานนคนไทยขออโหสิกรรมให้กับทุกๆ ท่านที่เคยลวงเกินข้าพเจ้า
    ทั้งกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี (กาย,วาจา,ใจ)
    ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ทั้งตั้งใจก็ดี และมิได้ตั้งใจก็ดี
    ข้าพเจ้าไม่ถือโทษและให้อภัยทั้งหมดไม่มีเวรแก่กันและกัน
    และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินท่านทั้งหลายและทุกๆ ท่าน
    ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี(กาย,วาจา,ใจ)
    ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ทั้งตั้งใจก็ดี และมิได้ตั้งใจก็ดี
    ขออโหสิกรรมและโปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
    บุญใดที่ข้าพเจ้าทำมาดีแล้ว ตั้งแต่อดีตและปัจจุบันและต่อไปในอนาคตข้างหน้า
    คือลาอุปสมบทบวชพระ จะตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม
    ตามแนวทางและคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะ
    บุญการบวชครั้งนี้ขอให้ถึงทุกๆ ท่านด้วยเทอญ
    ธรรมะอันใดที่ดีแล้วที่ทุกๆ ท่านได้พบและได้ฟัง
    ก็ขอให้ทุกๆท่านได้พบสัจธรรมนั้นด้วยเทอญ
    ขอยกขึ้น สาธุ สาธุ สาธุ ขึ้นพร้อมกันเทอญพระเจ้าค่ะ
    นิพพาน นังปัจจโย โหตุ จงมีกับทุกๆ ท่านที่ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยเทอญ
    ...กราบลาสวัสดีครับ

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    ...วันศุกร์ที่ 18 มี.ค. 54 ลาบวชพระขาว(ที่ร.พ รามา)และเดินไปที่วัดป่าภูสังโฆตอนเย็น
    ...เช้าวันเสาร์ที่ 19 มี.ค. 54 ถึงวัดป่าภูสังโฆ อยู่ที่นี่ 7 วัน
    ...เย็นวันศุกร์ที่ 25 มี.ค. 54 เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ
    ...เช้าวันเสาร์ที่ 26 มี.ค. 54 ถึงกรุงเทพฯ พักที่วัดบวรฯ 1 คืน
    ...เช้าวันอาทิตย์ที่ 27 มี.ค. 54 บวชพระ ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กรุงเทพฯ และอยู่จำวัดปฏิบัติธรรม 7 คืน
    ...เย็นวันเสาร์วันเสาร์ที่ 2 เม.ย. 54 เดินทางไปวัดป่าภูสังโฆ
    ...เช้าวันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย. 54 ถึงวัดป่าภูสังโฆ

    ----------------------------------------------------


    ขออนุญาตคัดลอกการขอลาบวชและการขออโหสิกรรมของคุณชานนคนไทย
    มาบอกกล่าวเล่าขาน เพื่อจะได้ให้อโหสิกรรมและร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณชานนคนไทยในการบวช มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

    สำหรับผมขอให้อโหสิกรรมทั้งสิ้นแก่คุณชานนครับ และสิ่งใดที่ผมได้ล่วงเกินคุณชานน ด้วยกายกรรม
    วจีกรรมและมโนกรรม ก็ดี ก็ขออโหสิกรรมต่อคุณชานน และขอให้เจริญในธรรมมีความสุขภายใต้ร่มกาสาวพัตร ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...