หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. katika

    katika สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +6
    สวัสดีคะ ทุกๆท่าน
    วันนี้แวะีนำรูปพระสมเด็จ ที่มีเขียวมาโพสทิ้งไว้เพื่อสอบถามหน่อยนะคะ
    เคยมีคนบอกว่า พระแบบนี้มากจากวังหน้า ก็ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่อย่างไรนะคะ และภาพสุดท้ายขอปรับให้มืดเพื่อจะได้เห็นเม็ดทองซึ่งปรากฎขึ้นเองโดยธรรมชาติคะ ขึ้นมาได้ไม่กี่เดือนนี้เองคะ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    คราบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะคะ ไม่ได้สร้างขึ้นจากไขสัตว์

    สวัสดีคะท่าน katika, nontayan, ทรงกลด555, IT Man, taemagic

    ยาไปก่อนนะคะ ไปข้างนอกก่อนคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_745885.JPG
      IMG_745885.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      527
    • IMG_7456886.JPG
      IMG_7456886.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      517
    • IMG_0129.JPG
      IMG_0129.JPG
      ขนาดไฟล์:
      544.9 KB
      เปิดดู:
      499
  2. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    สวัสดีตอนเย็นครับทุกท่าน
    ขณะนี้ผมนั่งอยู่กับลูกศิษย์ธรรมเจ้าของพระสมเด็จเนื้อดำผงใบลานองค์ข้างต้นครับ
    ผมรอข้อมูลอยู่นะครับ ตอนนี้ก็เริ่มเปิดจิตอธิษฐานของชมบารมีพระวังหน้า โดยเฉพาะองค์ที่หลวงปู่ใหญ่อธิษฐานจิต หากมีบุญวาสนาคงจะได้ท่านมาอยู่กับตัวบ้างนะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  3. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    ข้อมูลที่ผมเขียนในบล๊อกฯ ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องพระกริ่งปวเรศ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุข พ.ศ.2434 ถ้าย้อนกลับไปรุ่น พ.ศ.2416 จะคล้ายกันแตกต่างที่การบรรจุประเภทของกริ่งฯด้านใน พวกเซียนตำราคงได้ ง งง กันยกใหญ่

    ยิ่งลึกเข้าไปถึง พ.ศ.2411 ตามที่คุณ IT Man เปิดเผยยิ่งน่าสนใจ สมเด็จฯโต(ปู่โต) ท่านอยู่ถึง พ.ศ.2415 พิธีของพิธีที่เกี่ยวกับราชสำนักฯจะตกหล่นสมเด็จฯโตได้เช่นไร

    แต่ถ้าพระกริ่งปวเรศเข้าไปลึกถึง พ.ศ.2409 ตำราที่เซียนชอบอ้างกันคงได้ฉีกทิ้งลงถังขยะกันบ้าง

    ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อยและกลุ่มคนฯที่รู้เรื่องในแนวทางเดียวกันมาพบกัน ไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอนครับ
     
  4. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    สวยงามมาก ถึงเวลาผมคงได้ชมองค์จริงนะครับ
     
  5. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>7 เทคนิคทำสมาธิบำบัดโรค </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>การฝึกสมาธิกำลังกลายเป็นศาสตร์ใหม่ที่ชาวตะวันตกให้ความสนใจนำไปใช้รักษาอาการป่วยกายหลายอย่าง โดยไม่ต้องพึ่งยาเคมีปัจจุบัน มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกานำเอาการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาไปรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อาการซึมเศร้า รวมถึงภาวะทางจิตของผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุการณ์สะเทือนจิตใจ (พีทีเอสดี)


    รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้หนึ่งที่สนใจนำการฝึกสมาธิมาประยุกต์ใช้รักษาโรค หลังจากทำการศึกษาจนค้นพบท่วงท่าการฝึกสมาธิสำหรับบำบัดภาวะเบาหวาน และโรคอื่น


    จากผลวิจัยในคนไข้ ทำให้ได้เทคนิคบำบัดโรคที่พร้อมนำไปปฏิบัติได้จริงถึง 7 เทคนิค เพื่อประโยชน์ด้านการเยียวยาโรคที่เรื้อรังและการป้องกันการเกิดโรคในระยะยาว ที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้เองไม่ยาก




    ท่าแรกคือ ท่านั่งผ่อนคลาย


    ประสานกายประสานจิต มีผลดีในด้านการลดความดันโลหิต การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ดีสามารถฝึกได้ทั้งท่านั่งด้วยการขัดสมาธิ หงายฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่า หรือฝึกท่านอนให้วางแขนหงายมือไว้ข้างลำตัว หรือคว่ำฝ่ามือวางบนหน้าท้องก็ได้ จากนั้นหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ พร้อมนับ 1-5 กลั้นหายใจนับ 1-3 ช้า ช้า เช่นกัน แล้วเป่าลมหายใจออกทางปากช้าๆ พร้อมกับนับ 1-5 เช่นกัน โดยทำซ้ำ 30-40 ครั้งวันละ 3 รอบก่อนหรือหลังอาหารประมาณ 30 นาที




    ท่าที่ 2 เป็นท่ายืนผ่อนกายประสานการประสานจิต


    ท่านี้จะช่วยลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และควบคุมการทำงานของไขสันหลังให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีปฏิบัติให้ผู้ฝึกยืนตรงในท่าที่สบายวางฝ่ามือซ้ายทาบที่หน้าอกแล้วนำฝ่ามือขวาวางทาบทับฝ่ามือซ้าย พร้อมกับค่อยๆ หลับตาจากนั้นสูดลมหายใจเข้าและออกเหมือนกับท่าแรก แต่เทคนิคนี้จะทำซ้ำ 120-150ครั้ง จึงลืมตาขึ้นช้าๆ และทำวันละ 3รอบโดยเพิ่มเวลาให้มากกว่าเดิมทุกครั้ง




    ท่าที่ 3 การนั่ง เหยียด ผ่อนคลายประสานกาย ประสานจิต


    ท่านี้จะช่วยลดไขมันหน้าท้องลดพุง และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี การปฏิบัติท่านี้ให้ผู้ฝึกนั่งราบกับพื้นในท่าที่สบาย เหยียดขาและเข่าให้ตึง หลังตึง เท้าชิด คว่ำฝ่ามือบนต้นขาทั้ง 2ข้างค่อยๆ หลับตาลงจากนั้นหายใจเข้าออกและนับเหมือนกับท่าแรก 3 ครั้ง จากนั้นต่อด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้าผลักฝ่ามือทั้งสองข้างไปด้านหน้าจนปลายมือจรดนิ้วเท้า หยุดหายใจชั่วครู่ และหายใจออกช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ ดึงตัวและแขนเอนไปข้างหลังให้ได้มากที่สุดและนับเป็น 1 รอบ ทำซ้ำ 30 ครั้งแล้วค่อยๆ ลืมตา




    ท่าที่ 4 การก้าวย่างอย่างไทย


    เจ้าของท่าบอกว่า ในท่านี้ความยากของการฝึกจะมีมากขึ้น เริ่มจากยืนตรงในท่าที่สบายลืมตา มือสองข้างไขว้หลัง สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ และทำเหมือนท่าแรก จนครบ 5รอบ จากนั้นให้ยืนตัวตรงมองต่ำไปข้างหน้าหายใจเข้าช้าๆ พร้อมค่อยๆ ยกเท้าขวาสูงจากพื้นเล็กน้อยหายใจออกช้าๆ พร้อมกับก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าจรดปลายเท้าแตะพื้น ตามด้วยส้นเท้าวางลงบนพื้น ส่วนเท้าซ้ายให้วางชิดเท้าขวาในช่วงหายใจออกทำซ้ำให้ได้ 20ครั้ง โดยที่เวลากลับตัวให้หมุนทางขวาโดยขยับเท้าให้เอียง 60องศาและ 90องศาในท่ายืนตรง ทำซ้ำด้วยการเดินกลับไปมา 2เที่ยว จะใช้เวลาประมาณ 45-60นาที หลังการฝึกวิธีดังกล่าวมีผลในเรื่องเพิ่มภูมิต้านทานโรคเรื้อรังทุกประเภท คล้ายกับการเดินจงกรม




    ท่าที่ 5 ชื่อว่ายืดเหยียดอย่างไทย


    ผู้ฝึกต้องเคลื่อนไหวอย่างช้า นับเลขอย่างช้าจะได้ประโยชน์สูงที่สุด โดยเริ่มฝึกจากวันละ 60 รอบและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในวันต่อๆ ไป ช่วยป้องกันโรคและเสริมสร้างสุขภาพๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจากท่ายืนตรงที่สบาย เข่าตึงและค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเหมือนกับท่าแรก จนครบ 5 รอบ จากนั้นต่อด้วยการค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะให้ฝ่ามือประกบกัน แขนตึงแนบใบหู หายใจเข้าและออก 1 ครั้ง และค่อยๆ ก้มตัวลง โดยศีรษะ ตัวและแขนก้มลงพร้อมๆ กันอย่างเป็นจังหวะช้าๆ ไปเรื่อยๆ ให้ได้ 30 จังหวะเมื่อปลายนิ้วกลางจรดพื้นพอดี ตามด้วยหายใจเข้าและออกช้าๆ ลึกๆ 1 ครั้งและค่อยๆ ยกตัวกลับ ในท่าเดิมศีรษะตั้งตรงใน 30 จังหวะเช่นกัน




    ท่าที่ 6 เป็นเทคนิคการฝึกสมาธิการเยียวยาไทยจินตภาพ


    เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้มีปัญหาระบบไหลเวียนอัมพาต ซึ่งประสาทการรับรู้ทั้งร่างกายไม่สามารถทำงานได้สะดวก แต่ประสาทการได้ยินยังทำงาน ผู้ดูแลจะต้องเป็นผู้ช่วยในการบอกให้เขาได้ยินและคิดตามตั้งแต่เริ่มนอนบนพื้นเรียบ แขนทั้งสองข้างวางแนบลำตัว และให้เขาหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเหมือนท่าแรก 3รอบด้วยกัน แล้วให้เขาท่องในใจว่า


    "ศีรษะเรากำลังเริ่มผ่อนคลาย ผ่อนคลายลงเรื่อยๆ" และกำหนดความรู้สึกไปที่อวัยวะที่เราจดจ่อไล่จากศีรษะ หน้าผาก ขมับ หนังตา แก้ม คาง ริมฝีปาก คอ ไหล่ ต้นแขน แขน มือ หน้าอก หลัง หน้าท้อง ก้น ต้นขา เข่า น่อง เท้าและตัวเราทั้งตัว (ขณะที่ไล่มาถึงมือและเท้าให้ท่องว่า มือเรากำลังเริ่มหนักขึ้น หนักขึ้น เท้าเรากำลังเริ่มหนักขึ้น หนักขึ้น) เมื่อทำครบเช่นนี้แล้วให้หายใจเข้า กลั้นใจ หายใจออก เหมือนเริ่มต้นอีก 3 รอบ




    ส่วนท่าสุดท้าย เป็นเทคนิคสมาธิการเคลื่อนไหวไทยชี่กง


    เริ่มด้วยการยืนตัวตรงแยกเท้าทั้งสองข้างพอประมาณ ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเหมือนท่าแรกให้ครบ 5 รอบ จากนั้นค่อยๆ ยกมือขึ้น แขน ข้อศอกทั้งสองข้างอยู่ในระดับเอว โดยหันฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน ขยับฝ่ามือเข้าหากันช้าๆ นับ 1-3 และขยับมือออกช้าๆ นับ 1-3 ทำทั้งหมด 36-40 รอบ และยืนอยู่ในท่าเดิม หายใจเข้าลึกๆ นับ 1-5 ค่อยๆ ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ คล้ายกับกำลังประคองหรืออุ้มแจกันใบใหญ่ แล้วค่อยๆ ยกมือลงในท่าประคองแจกันเช่นกันนับเป็น 1รอบ โดยทำซ้ำ 36-40 รอบแล้วยืนในท่าเดิม ท่านี้จะช่วยลดอาการท้องผูก นอนไม่หลับ อาการปวดเรื้อรัง หรือเฉียบพลัน และภูมิแพ้


    "การฝึกสมาธิเพื่อบำบัดโรค แต่ละท่ามีความยากง่ายต่างกัน สำหรับคนที่ยังไม่เคยฝึกควรเริ่มจากท่าที่ 1เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องการหายใจให้ร่างกายก่อนที่จะเริ่มฝึกปฏิบัติในท่าที่ยาก เพราะหากร่างกายไม่พร้อมแล้วฝืนอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้เช่นกัน" หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข ม.มหิดล กล่าว



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>




    ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    โดย :The Ripper ( สมาชิกไอดีที่ 124891) โพสเมื่อ [ วันอังคาร ที่ 1 มีนาคม 2554 เวลา 18:32 น.] [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, nontayan </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับคุณ nontayan
    สบายดีไหมครับ
     
  7. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ขุดตำนาน "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>

    ขุดตำนาน "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>วัดสระเกศในอดีต</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตำนานแร้งวัดสระเกศ
    <!--colorc-->
    ลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" กันมาจนชินหู
    ทั้งสองวัดนี้.. มักจะได้ยินพร้อมๆกันเสมอ..เพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นอย่างนั้น
    และมันก็คือ นรกจำลองดีๆ นี่เอง

    โดยเฉพาะเรื่องของวัดสระเกศ ที่แต่ก่อนเป็นศูนย์รวมของแร้งนับพัน
    อันเนื่องมาจากโรคห่าระบาดเมืองในช่วงรัชกาลที่ 2 นั่นเอง
    สถิติคนตายตอนนั้นก็ไม่มากไม่มายเท่าไรหรอกตายไปสามหมื่นคนภายใน 15 วันเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

    กรุงเทพตอนนั้น.. กลายเป็นเมืองแห่งคนตายเลย
    เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ เห็นจะน้อยกว่าศพที่กองระเนระนาดไปทุกตารางนิ้ว
    แม้แต่แม่น้ำลำคลองก็ยังเต็มไปด้วยซากศพ จนใช้อาบใช้กินไม่ได้เลยทีเดียว

    คนตายกันไม่รู้วันละกี่พัน จะจัดพิธีทำศพก็ไม่ทัน จะเผาก็ไม่ทัน จะฝังก็ไม่ทันอีก..

    ไม่มีวิธีการไหนจะจัดการกับศพเหล่านั้นได้

    สุดท้าย.. ต้องขุดหลุมแล้วเอาศพมากองรวมกันไว้ที่นี่..วัดสระเกศ

    นอกจากสมัยรัชกาลที่ 2 แล้วโรคห่าก็ระบาดกันทุกรัชกาลเลย
    เค้าก้อจะเอามากองรวมกันที่วัดสระเกศ..
    ฝูงแร้งก็จะมารวมกันอยู่ที่นี่ เยอะขึ้น เยอะขึ้น อิ่มหนำสำราญมากมาย
    จำนวนคนตายมันมากจนฝูงแร้งมีกินกันได้ทั้งชีวิตเลยทีเดียว

    นอกจากศพคนตายด้วยโรคห่าแล้ว ก็ยังมีศพที่ไม่ได้มาจากโรคห่าด้วย อย่างสมัยรัชกาลที่ 5 นี้..

    ทางคุกจะเอาศพนักโทษที่แก่ตายมาทิ้งไว้ที่นี่ ศพนักโทษประหารก็ด้วย..
    ถ้าไม่ขุดหลุมกลบ เค้าก็จะแบกศพมาทั้งๆที่ไม่มีหัวน่ะแหละ
    และยังมีศพไร้ญาติอีก เอามาทิ้งไว้ที่นี่เหมือนกัน


    <!--coloro:#33CC00--><!--/coloro-->แล้วทำไมต้องเป็นวัดสระเกศ? <!--colorc--><!--/colorc-->

    ต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพกันในเมือง ใครตายก็ต้องนู่นเลย.. นอกกำแพงเมืองนู่น
    แล้วประตูเมืองที่เค้าอนุญาตให้เอาศพผ่านก้อมีประตูเดียว ที่เรียกว่า ประตูผีนั่นแหละ
    ทีนี้วัดสระเกศก็อยู่ใกล้กับประตูผีนั่นพอดี ผ่านประตูเมืองมาก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรก..
    ก็เลยต้องเอาศพมาทิ้งที่นี่.. เพราะสะดวกดี

    ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้..เวลาพูดถึงแร้ง เลยทำให้นึกไปถึงวัดอื่นไม่ได้
    นอกจาก.. วัดสระเกศ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศ จากกระทู้ที่แล้ว แล้วไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้น ก็เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์

    เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงตกต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นเสีย

    ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวรา
    รามราชวรมหาวิหาร ที่เล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ"

    ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯนั้น มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้าต่างหาก



    <!--coloro:#C0C0C0--><!--/coloro--><!--sizeo:1--><!--/sizeo-->ขอขอบคุณ
    dek-d.com/board
    www.shockfmclub.com<!--sizec-->

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883) โพสเมื่อ [ วันอังคาร ที่ 1 มีนาคม 2554 เวลา 11:48 น.] [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, มูริญโญ่, IT Man </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โอ้ นานแล้วนะครับที่เราสามพี่น้องไม่ได้อยู่ด้วยกัน

    คิดถึงเหลือเกินครับ
     
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ด้วยความยินดีครับท่าน
    พระพิมพ์สมเด็จระดับ TOP รอท่านอยู่แล้ว
    ขออภัยที่ไม่สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ห่างกาย แต่ไม่ห่างใจครับ :)
    อาจเป็นปลายเดือนคงได้พบปะกันครับผม
     
  11. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    สวัสดีตอนเช้าครับท่าน IT Man ท่านแหน่ง และทุกท่าน
    ช่วงนี้ผมยุ่งเรื่องวิทยานิพนธ์ ป.เอก แต่จิตกลับมาผูกอยู่กับการวิปัสสนาและพระเครื่อง ผมเลยทิ้งวิทยานิพนธ์ที่เขาจะให้ขึ้นสอบจบไปปีกว่าๆแล้ว เผอิญติดสุข ไม่อยากได้อะไร แม้กระทั่งปริญญาเอกและตำแหน่ง รศ. เลยทิ้งมันทั้งคู่ ตอนนี้ที่ปรึกษาเร่งมาก็เลยจะเร่งทำทางโลกให้เสร็จสิ้นเสีย จะได้มุ่งทางธรรมให้เต็มที่ครับ และจะได้มีเวลาไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนธรรมในอนาคต รออีกนิดนะครับ
     
  12. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
    คณะเดียวกันก็เป็นเช่นนี้ และก็เป็นมาหลายภพแล้วครับ
     
  13. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768


    โมทนาสาธุครับ
    แต่ยังงัยก็ดูแลสุขภาพควบคู่กันไปด้วยนะครับ
     
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ครับผม...
    ความจริงยังไงก็เป็นความจริง
    เพชรแท้ยังไงท่านก็ยังเป็นเพชรแท้

    ผมกับเพื่อนๆขอร่วมด้วยช่วยกัน...เปิดเผยความจริงให้ประจักษ์แจ้ง เพื่อที่ลูกหลานเหลนของพวกเราในอนาคตจักได้ไม่ต้องมางงและจักสามารถเลือกเส้นทางเดินที่ถูกที่ควรได้ด้วยตัวของเขาเองครับ
     
  15. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    ขอเชิญร่วมงานประจำปี ประเพณีเตียวขึ้นดอย สรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย


    [​IMG]วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2010 เวลา 20:10 น. | [​IMG]เขียนโดย Administrator
    [​IMG]ขอเชิญร่วมทำบุญ งานประจำปี ประเพณี สรงน้ำ พระพุทธบาทสี่รอย ประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นเขา) ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดและดาวน์โหลดกำหนดการได้จากทางหน้าเวปไซต์วัดหนองก๋าย โดยประเพณีเตียวขึ้นดอย สรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย จะจัดขึ้นในทุกๆ ปี โดยจะมีคณะศรัทธาญาติโยมทั้งจากในจังหวัดเชียงใหม่ และต่างจังหวัดมาร่วมเดินถวายเป็นพุทธบูชาเป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ที่เดินทางมาไกลหรือผู้ที่มีความประสงค์ที่จะเดินทางมาร่วม สามารถมาพักผ่อนได้ก่อนที่วัดหนองก๋าย ทางวัดหนองก๋ายมีสถานที่สำหรับพักอย่างสะดวก มีห้องน้ำเีพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่เข้าร่วมงาน หรือผู้ใดที่สนใจจะทอดผ้าป่าเพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ หรือผ้าป่าในด้านต่างๆ สามารถที่จะติดต่อร่วมบุญกันได้ในครั้งนี้ เพราะในขณะนี้ทางวัดหนองก๋ายกำลังก่อสร้างพระอุโบสถทรงเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่เจดียืพุทธคยาเป็นพระอุโบสถ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองงานเลขานุการวัดหนองก๋าย เบอร์โทรศัพท์ ๐๕๓-๓๗๔๓๑๑ และ ๐๕๓-๓๗๔๔๘๘ หรือติดต่อโดยตรงได้ที่ Webmaster เบอร์โทรศัพท์ ๐-๘๔-๘๖๘-๘๘๐๑ สามารถคลิกอ่านต่อเพื่ออ่านกำหนดการและรายละเอียดเพิ่มเติม




    <OBJECT style="BACKGROUND-COLOR: #000000; WIDTH: 540px; HEIGHT: 410px; VERTICAL-ALIGN: middle" class=inlineimg title=Open-mouthed border=0 codeBase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=10,0,32,18" alt="" classid="clsid:d</OBJECT>


    เชิญร่วมทำบุญ – งานประจำปี
    ประเพณี สรงน้ำ พระพุทธบาทสี่รอย ประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นเขา)
    วันที่ ๑๘ – ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔
    ณ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

    กำหนดการ
    วันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นวันเตียวขึ้นดอย – เดินถวายเป็นพุทธบูชา เริ่มเดินจากหน้าวัดหนองก๋าย
    ถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอยประมาณ ๐๖.๐๐ น. ในขบวนมีน้ำสรงพระราชทาน
    พระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุ ฆ้อง กลอง เดินถวายเป็นพุทธบูชาเหมือนเช่น
    กับทุกๆปี
    วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นวันถวายน้ำสรงพระราชทาน สืบชะตาหลวง สะเดาะเคราะห์
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ประธานในพิธีจุดธูปเทียนพิธีบวงสรวงถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธบาทสี่รอย
    เวลา ๑๐.๐๐ น. ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ไว้พระรับศีล พระสงฆ์เถรานุเถระ
    เจริญพุทธมนต์ สวดมนต์สืบชะตา
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายน้ำสรงพระราชทาน สรงรอยพระพุทธบาทสี่รอย
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ทำพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีและเปิดให้พุทธศาสนิกชนร่วมสรงน้ำ รอยพระพุทธบาท


    ประวัติงานประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย
    วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

    งานประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งเป็นงานประจำปีที่ทางวัดได้จัดทำบุญทุกๆ ปี มีการเดินแห่ขบวนฆ้อง กลอง และของวัตถุไทยทานพร้อมด้วยของบริวารขึ้นสู่บนยอดเขา คือวัดพระพุทธบาทสี่รอย หรือเรียกว่าประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นเขา) งานทุกๆ ปี จะมีการจัดทำบุญ ๒ วันคือ วันขึ้น ๑๔- ๑๕ ค่ำเดือน ๔ หรือเพ็ญเดือน ๔ โดยเย็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ของทุกปี จะมีการเดินขบวนแห่ฆ้อง กลอง เดินขึ้นไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย โดยเริ่มเดินตั้งแต่ตอนค่ำเวลา ๒๐.๐๐ น. เป็นต้นไป จนขึ้นถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอยเช้าในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๔ แล้วก็ประกอบพิธีทำบุญตักบาตร พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
    ระยะทางที่ใช้ในการแห่ขบวนขึ้นไปยังวัดพระพุทธบาทสี่รอยรวมทั้งหมดประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ในขบวนแห่จะประกอบไปด้วย ช่อธง พระพุทธรูป อัฐิครูบาศรีวิชัย รูปเหมือนครูบาศรีวิชัย และน้ำสรงพระราชทาน แห่ฆ้อง กลอง พร้อมญาติโยมพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมากร่วมเดินขบวนด้วยกันทุกๆ ปี เดินทางมาทั้งในจังหวัดเชียงใหม่ และต่างจังหวัด โดยได้รับพระราชทานน้ำสรงรอยพระพุทธบาทสี่รอย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อน้อมมาสรงรอยพระพุทธบาท
    ผู้ริรเมจัดงานทำบุญประจำปีหรือประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยคือ ท่านครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ซึ่งท่านครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำญาติโยมศรัทธาสาธุชนเดินขบวนแห่ฆ้อง กลอง ขึ้นไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนนหนทาง ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงขึ้นไปด้วยความยากลำบาก ต้องขึ้นเขาและข้ามลำน้ำห้วย ๓๒ ท่า ขึ้นไปถึงเช้าในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ (เดือน ๖ เป็งเหนือ) และทำบุญตักบาตร เจริญพระพุทธมนต์ สรงน้ำรอยพระพุทธบาท อยู่ปฏิบัติธรรม ๑ คืน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงสั่งให้ร่วมกันทำบุญสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยขึ้นทุกๆ ปี หลังจากนั้นทางศรัทธาสาธุชนที่อาศัยที่อยู่เชิงเขาและที่ได้ร่วมกับครูบาศรีวิชัยในครั้งนั้น ก็ได้พากันประพฤติ ปฏิบัติมาประมาณ ๓๐ ปี
    ประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นเขา) หรือประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยก็ถูกทิ้งและลืมไป เพราะการเดินทางขึ้นวัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งไม่มีถนนหนทางรถยนต์ไม่สามารถขึ้นได้ ประกอบด้วยครูบาศรีวิชัยได้ มรณภาพ ครูบาอาจารย์ และศรัทธาญาติโยมที่เคยร่วมงานกัน จัดทำประเพณีสรงน้ำประจำปี ก็เฒ่าแก่ชรา ไม่สามารถจะเดินขึ้นได้ ประเพณีจึงถูกลืม พอมาถึงปี พ.ศ.๒๕๓๖ ประเพณีจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบัน คือ พระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (ครูบาพรชัย ปิยวณฺโณ) และได้จัดประเพณี สรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยมาทุกๆ ปี โดยมีการขอพระราชทานน้ำสรงทุกปี เพื่อน้อมนำมาสรงรอยพระพุทธบาทสี่รอย ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ และจะรักษาประเพณีอันดีงามและทรงคุณค่านี้ต่อไป
    วัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ รักษาประเพณีเตียวขึ้นดอย (เดินขึ้นเขา) หรือประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยประจำปี เพื่อเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยและพุทธศาสนิกชนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้ประพฤติ ปฏิบัติเป็นแบบอย่างแนวทางให้ชนรุ่นหลังได้เดินตามแนวทางปฏิบัติสืบต่อไป และเพื่อให้เป็นการชักจูงศรัทธาสาธุชน ได้แสดงออกถึงความสามัคคี และความตั้งมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งทางใจในการดำเนินชีวิต เป็นกำลังใจให้ประกอบแต่คุณงามความดี ประพฤติปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา สืบทอดอายุพระพุทธศาสนายั่งยืนยาวไปตลอดกาล
    หมายเหตุ งานประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทสี่รอยในทุกๆ ๓ ปี ก็จะตรงกับวันมาฆบูชา ครั้งหนึ่ง ถ้าหากปีไหนเป็นเดือน ๘ สองหนทางเหนือ (เดือน ๑๐ ภาคกลาง) ปีนั้นก็จะตรงกับวันมาฆบูชา


    http://www.watnonggai.com/index.php?option=com_content&view=article&id=435&catid=10
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  16. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พวกเราขอเอาใจช่วยให้ท่านผ่านภาวะนี้ไปได้ด้วยดี...
    สุขภาพก็สำคัญ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ :cool:
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    เมื่อวานผมได้รับ fw:mail มาจากพี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง
    เป็นหนังสือที่จักได้แจกสำหรับงานพระราชทานเพลิงสังขารหลวงตามหาบัว‏
    พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ไม่มีลิขสิทธิ์ครับ

    โมทนาสาธุครับ
    (LINK File แนบ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  18. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    นำภาพเปรียบเทียบพระกริ่งปวเรศรุ่นหนึ่ง ปี 2416 กับ ปี 2434 จะมีความแตกต่างกันดังภาพครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอบคุณมากครับ
    ดูแล้ว..ตัดสินทางสายตาได้เลยครับ
    แต่ระหว่าง 2411 กับ 2434 นี่ซี คงต้องทำการบ้านหนักเลย
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับ .. อย่าลืมทานข้าวกลางวันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...