จะทราบได้อย่างไรว่า บรรลุโสดาบัน

คือช่วงนี้ผมนั่งสมาธิบ่อยมากๆ พยายามลดกิเลส

เลยอยากรู้ว่าถ้าบรรลุโสดาบันจะเป็นอย่างไร

รบกวนตอบทีนะครับ

ขอบคุณครับ

 

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

พระโสดาบันเป็นใครกัน ​

​

[/FONT]​

[/FONT]?​

​

​

​

​

สารีบุตร ! ที่มักกล่าวกันว่า โสดาบัน –โสดาบัน ดังนี้ เป็นอย่างไร
เล่า สารีบุตร ?
“[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ[/FONT][/FONT]! [FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]ท่านผู้ใด เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่​

ผู้เช่นนั้นแล ข้าพระองค์เรียกว่าเป็นพระโสดาบันผู้มีชื่ออย่างนี้ๆ มีโคตรอย่างนี้ๆ พระเจ้าข้า [/FONT][/FONT]!”

สารีบุตร ​

​

​

​

! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ผู้ที่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรค
มีองค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเองก็เรียกผู้เช่นนั้น ว่าเป็น [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]พระโสดาบัน ​

[/FONT]ผู้มีชื่ออย่างนี้ๆมีโคตรอย่างนี้ๆ.​

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓.
[/FONT]

 

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

แว่นส่องความเป็นพระโสดาบัน​

[/FONT][/FONT]

อานนท์ ​

​

​

​

! เราจักแสดง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ธรรมปริยายอันชื่อว่าแว่นธรรม [/FONT][/FONT]ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้ในข้อที่ตนเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้วมีอบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว, ในข้อที่ตนเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า ดังนี้.​

อานนท์ ​

​

​

​

! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]แว่นธรรม [/FONT][/FONT]ในที่นี้ เป็นอย่างไรเล่า ?​

อานนท์ ​

​

​

​

! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]....[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ในองค์พระธรรม[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold].... [/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ในองค์พระสงฆ์[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold].... [/FONT][/FONT]และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า [/FONT][/FONT]คือเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญเป็นศีลที่ตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำและเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ.​

อานนท์ ​

​

​

​

! ธรรมปริยาย อันนี้แล ที่ชื่อว่า [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]แว่นธรรม [/FONT][/FONT]ซึ่งหาก อริยสาวก[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้[/FONT][/FONT], ดังนี้แล.​

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑-๑๔๗๙-๑๔๘๐.
[/FONT][/FONT]

 

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ​

[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

(​

[/FONT]​

[/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]อภัพพฐานสำหรับผู้ที่ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold])​

[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

​

[/FONT]​

[/FONT]​

ภิกษุ ท. ! [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ [/FONT][/FONT]เหล่านี้ มีอยู่ หก
ประการ เหล่าไหนเล่า ? หกประการ คือ :-​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ปลงชีวิตมารดา [/FONT][/FONT];​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ปลงชีวิตบิดา [/FONT][/FONT];​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ปลงชีวิตพระอรหันต์ [/FONT][/FONT];​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]คิดประทุษร้ายตถาคต แม้
เพียงทำโลหิตให้ห้อ [/FONT][/FONT];​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ทำสงฆ์ให้แตกกัน [/FONT][/FONT];​

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]

เป็นไปไม่ได้ ​

​

[/FONT]​

[/FONT]ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึง [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ถือศาสดาอื่น [/FONT][/FONT](นอกจาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)​

ภิกษุ ท​

​

​

​

. ! เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ.​

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๕.

 

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold]​

[/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]อภัพพฐานสำหรับผู้ที่ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,Bold]

​

[/FONT]ภิกษุ ท. ! [FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ [/FONT][/FONT]เหล่านี้ มีอยู่. หกประการ เหล่าไหนเล่า ? หกประการ คือ :-
[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ตนทำเอง[/FONT][/FONT]” ;

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ผู้อื่นทำให้[/FONT][/FONT]” ;

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ตนทำเองก็มีผู้อื่นทำให้ก็มี[/FONT][/FONT]” ;

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ไม่ต้องทำเองเกิดขึ้นได้ตามลำพัง[/FONT][/FONT]” ;

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ไม่ต้องใครอื่นทำให้ เกิดขึ้นได้ตามลำพัง[/FONT][/FONT]” ;

[FONT=AngsanaUPC,Bold][FONT=AngsanaUPC,Bold]ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ​

​

[/FONT][/FONT]

ว่า “[FONT=AngsanaUPC,Italic][FONT=AngsanaUPC,Italic]สุขและทุกข์ ไม่ต้องทำเองและไม่ต้องใครอื่นทำให้ เกิดขึ้นได้ตามลำพัง[/FONT][/FONT]”.

ข้อนั้น เพราะเหตุไรเล่า ​

​

? ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า เหตุ(แห่งสุขและทุกข์) อันผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเห็นแล้ว โดยแท้จริง และธรรมทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่เกิดมาแต่เหตุด้วย.

​

​

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ.​

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๙ /๓๖๖.


​

 

หนังสือ คุณสมบัติโสดาบัน ดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ
หนังสือ - กลุ่มพุทธโอษฐ์

 

จะทราบได้อย่างไรว่า บรรลุโสดาบัน

ตอบ...คุณจะรู้ได้ด้วยจิตของตนเอง โดยไม่ต้องมีใครมารับรอง คุณจะเห็นจิตที่หลุพ้นจากพันธนาการของอุปทานบรรดามีชั่วสายฟ้าแลบ จ้า...ความรู้นี้แล จะทำให้คุณเข้าใจสภาพจิตของพระโสดาบันจ้า...

คือช่วงนี้ผมนั่งสมาธิบ่อยมากๆ พยายามลดกิเลส

เลยอยากรู้ว่าถ้าบรรลุโสดาบันจะเป็นอย่างไร

ตอบ...ถ้าบรรลุโสดา คุณจะสามารเอาความทุกข์ออกจากใจได้ ตามกำลังของความเป็นพระโสดาบันในจิตใจของคุณจ้า...

รบกวนตอบทีนะครับ

ขอบคุณครับ

 

คุณสมบัติพระโสดาบันสามารถฟังได้ที่นี่ครับ
รวมธรรมบรรยาย เรื่อง คุณสมบัติพระโสดาบัน - Buddhism Audio

 

ปฏิบัติเองเดี่ยวก็รู้เองครับ

 

ธรรมวินัยนี้ ถ้าท่านเข้าถึง
จิตท่านจะรู้ จะตื่น จะเบิกบาน
เป็นความสุขที่ท่านไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อน
ความรู้สึกตัว เหมือนท่านตื่นขึ้นมากจากการหลับไหล
มาชั่วกาลนาน และท่านตื่นขึ้นครั้งแรก

คุณธรรมทางพุทธ เมื่อท่านเข้าถึง จะเกิด ญาณทัสสนะ
ขึ้น รู้ขึ้นมาเฉพาะตนว่าสิ่งนี้เราถึงแล้ว เราเห็นแล้ว
ท่านไม่ต้องไปวิ่งเดินถามใครว่าฉันได้หรือยัง
ฉันถึงไหนแล้ว ตราบใดที่ยังสงสัยอยู่ ยังห่างมรรคผลอีกมาก
เฉพาะแค่ นิวรณ์ขั้นพื้น ๆ ยังผ่านไ่ม่ได้ จะสู้อะไรได้กับ
เหล่าเสนามารทั้งหลาย ที่ยืนรอรับท่าน ๆ อยู่

เหมือนท่านกินผลมะม่วงสุก มันหวานเช่นไร มันหอมหวานประการใด
มันรู้สึกลึกๆ อิ่มเอิบสดชื่น อมยิ้มได้ทั้งวัน คนอื่นเขาไม่มารู้สึกกับเรา
แต่คนที่กินผลมะม่วงชนิดเดียวกับท่านมาก่อน
ท่านจะมองออกว่า ท่านได้ชิมผลไม้ชนิดเดียวกับท่านแล้ว
ทุกคำพูดของท่านจะ มีปีติหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเป็นคำดุ คำตำหนิจากพระอริยเจ้า
ก็จะเป็นเพียงแค่คำพูดเหมือนจะลอย ๆ ไม่เกาะที่จิตของท่าน
พูดเสร็จท่านทิ้งเลย ไม่เก็บอารมณ์ ส่วนผู้ฟังใครจะเก็บ
ก็เป็นกรรมของผู้นั้น

สังเกตได้ง่ายอีกอย่าง จิตเกาะอารมณ์จะน้อยมาก
พอรับรู้อารมณ์มันจะสลัดทิ้งทันที มันไม่ค่อยเกาะอารมณ์
ไม่ค่อยจะอินน์กับอะไร ๆ ที่เข้ามาทางผัสสะ

อาการแบบหลงคิด จะลดน้อยลงอย่างมาก
บ่งบอกถึงสภาวะ โมหะครอบงำจิตลดน้อยลงไปอย่างมาก

จิตจะตื่น รู้ เบิกบาน

อนุโมทนากับกุศลเจตนาด้วยนะครับ
ขอบารมีของท่านให้ท่านเข้าถึงมรรคผลตามที่ท่านปรารถนา ฯ

 

คนบรรลุแล้วน่าจะมีเยอะนะเนี่ย ดูจากคำตอบแล้ว

 

พระโสดาบันมี อธิศีล คือรักษาศีลอย่างยิ่งด้วยชีวิต จะยอมตาย แต่ไม่ยอมให้ศีลของตนเองขาด.........อุปมาหากมีคนเอาเงินมาให้ท่าน จ้างท่านซักแสนล้าน เพื่อให้ทุบหัวปลาซักตัวหนึ่ง.....ให้รู้ไว้ว่าพระโสดาบันจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งปวง....ผิดจากปุถุชนที่จะมีเหตุผลโน้นเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้ทรัพย์
(แต่ผมไม่ได้เป็นนะ)

 

พระโสดาบัน ย่อมเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา ย่อมเชื่อเรื่องผลของกรรมดี และกรรมชั่ว มีความยึดมั่นพระรัตนตรัยเป็นที่สุด และมีศีล ๕บริสุทธิ์ค่ะ


แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น จะผ่านการพิจารณาธรรมข้อใดข้อหนึ่งอย่างละเอียดก่อน และผ่านอารมณ์วิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนจึงจะเข้าสู่กระแสของพระอริยเจ้าได้ค่ะ

อารมณ์วิปัสสนาที่มักจะเกิดอย่างน้อยจะมีอารมณ์ของนิพพิทาญาณ หรือสังขารุเปกขาญาณ หรืออารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งในวิปัสสนาญาณ ๙ (ไม่ต้องไปหาอ่านก่อนนะคะ เพราะว่า ถึงแม้เกิดขึ้นจริง ก็จะไม่เหมือนในตำรา)



เคยได้กราบเรียนถามพระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี ว่า


"บุคคุลที่บรรลุพระโสดาบันนั้นจะทราบหรือไม่ว่าตนบรรลุโสดาบัน"

พระอาจารย์ท่านเมตตาตอบว่า..

<O"ผู้ที่บรรลุพระโสดาบัน หากได้ทิพยจักขุญาณ จึงจะทราบได้ด้วยตนเอง หากไม่ได้ทิพยจักขุญาณ จะไม่ทราบว่า ตนเองเป็นพระโสดาบัน แต่จะมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่มีการปรามาสพระรัตนตรัย"

จึงกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า...
<O</O

"บรรลุที่บรรลุพระโสดาบันนั้นจะมีการเสื่อมจากคุณธรรมนี้หรือไม่เจ้าคะ"

<Oพระอาจารย์เล็ก ท่านเมตตาตอบว่า..

"บุคคลใดที่บรรลุพระโสดาบันแล้วมีแต่จะเจริญขึ้น ๆไม่มีความเสื่อมถอยเด็ดขาด"

<Oขออนุโมทนาบุญกับคุณ Sir-Pai ด้วยค่ะที่ตั้งใจปฏิบัติให้เข้าสู่กระแสมรรคผลพระนิพพาน ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

<Oบุญรักษาค่ะ

<ONumsai<O

 

ครูบาอาจารย์ของดิฉัน ในสายพระป่า ท่านเคยกล่าวว่า...

" ประเทศไทยเรา มีพระโสดาบันอยู่มาก เดินกันขวักไขว่ แต่ส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็น"

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

Numsai

ปล. ดิฉันเองก็ยังไม่ได้เป็นนะคะ เพราะไม่ได้ปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ค่ะ

 

ถ้าเอาตามคำหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอกว่า มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพยากรณ์ได้

แต่จะรู้ด้วยตัวเองได้รึป่าวนี่ไม่แน่ใจนะครับ ไม่เห็นหลวงพ่อบอก

ที่แน่ๆ อย่างน้อยพระโสดาบันต้องได้สมาธิขั้น ปฐมญาณ (หรือปฐมฌาณ ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันรึป่าว)

ศีล 5 สักข้อต้องไม่มีทางล่วงละเมิดได้ (เรียกว่าถือศีลเป็นปกติโดยไม่ต้องระวังตัว)

และนึกถึงความตายอยู่เสมอๆ ว่าตัวเราต้องตายแน่ๆ

และไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อนี้คงไม่ต้องบอก เพราะปฏิบัติสมาธิทุกวันแบบนี้คงไม่มีทางสงสัยอยู่แล้ว

เอาตามคำหลวงพ่อฤาษีท่านนะครับ เพราะฟังทุกวัน

 

มรรคา หนทางเดิน พุทธองค์ทรงชี้แนะไว้ไห้แล้ว

ถามยันตาย ไม่หายสงสัยได้

ปฏิบัติเอง รู้เอง

ปรุงเอง กินเอง อร่อยเอง

อนุโมทนามิ คิคิ

 

เอาแบบนี้ หลวงตาทองแห่งวัดอโศการาม เคยกล่าวว่า
(ถ้าผิดเพี้ยนอย่างไร ก็ขออภัยว่า เอาคำพระอริยเจ้ามาไม่ครบถ้วนกระบวนความ)

"ในพระโสดาบันยังไม่แจ้งเพราะอวิชชาในส่วนนั้นๆยังมี จึงอาจจะยังไม่รู้ว่า ตนเองนั้นละสังโยชน์ได้หมดหรือยัง จะแจ้งอีกทีเมื่อ เข้าถึงสกิทาคามี"

ขยายความว่า พระโสดาบัน หากว่า ตนเองยังทำมรรคไม่แจ้ง ยังทำผลไม่แจ้ง ก็ยังมีลังเลสงสัยในส่วนของพระธรรม ยังควานหาผิดทิศได้บ้าง จนกว่า มรรคแจ้ง ผลแจ้ง นั้นแหละ จึงจะทราบว่า ตนมีคติเที่ยงแล้ว
ไม่สงสัยในธรรมของพระศาสดา ไม่สงสัยตนเอง รู้แนวทางในการดำเนินแน่ชัด

 

ปราชญ์ราชบัณฑิต

..................................
..................................

 

อย่ารีบตาย ก่อนเป็นพระโสดาบัน

พลูโตไปหาคำตอบมาให้ค่ะ เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า....




[VDO]<object style="height: 390px; width: 640px;">


<embed src="http://www.youtube.com/v/AUtR24-BSz4?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" width="640" height="390"></object>[/VDO]
​

 

ชอบคำตอบทุกอันที่โพสต์โดยคุณจิตสดใสมากเลยค่ะ เพราะเป็นคำตอบโดยพุทธวัจนะจากพระบรมศาสดาโดยตรง ไม่มีความเห็นของผู้อื่นหรือสาวกท่านใดทั้งนั้น สาธุ