พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

พบกันก็ด้วยบุญ....

บางทีหาเหตุแห่งการจาก ยังยากกว่า การหาเหตุแห่งบุญนะ...

วันเวลาดีๆ ถนอมกันไว้ แม้จะ"รู้"ว่าความไม่เที่ยงนั้นกลับแน่นอน..

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ IT Man
สำหรับการถวายพระบรมฯที่อัญเชิญมาจากกรุงเทพนั้น ผมได้แจ้งผู้อัญเชิญฯ และพระผู้รับในทุกครั้ง มีชื่อทุกคนในคณะอยู่โดยตลอด และที่พวกเรารับรู้ทุกอย่างต้นสายก็มาจากพี่ทั้งนั้นนะครับ

แต่ถ้าจะเตือนกันว่าลงนามออกอากาศไม่ครบก็น่าจะเตือนแต่ปีแรกๆไม่ใช่ให้ผมทำผิดมานานขนาดนี้ แต่บนฟ้าท่านก็คงรับรู้อยู่ตลอดแล้วนินา ตกลงว่าเราจะสนใจมนุษย์หรือเทวดากันแน่เล่า

หรือองค์ความรู้ถ้าเรามัวแต่มากั๊กกัน การเทิดทูนพระวังหน้าคงมีแต่พวกเราเพียงไม่กี่คนเองครับพี่

ผมรู้ว่าพี่ห่วงและหวังดีกับผมมาโดยตลอด ไม่งั้นผมก็ไม่ได้มาไกลขนาดนี้ครับ

ถ้าวันหนึ่งมันไม่ไหวจริงๆ เพราะพี่เป็นคนสร้างผมขึ้นมา พี่ก็จงทำลายผมเสียเถอะอย่าให้คนอื่นในคณะฯเดือดร้อนด้วยเลย

แต่อย่างไรสัญญาใจต่อพระสัมมาฯ กับหลวงปู่ก็จะอยู่กับผมจนวันตายเช่นเดิมครับ

กราบ
</TD></TR></TBODY></TABLE>
การเดินทาง หากเดินทางกันไปทั้งหมู่คณะ ต้องเดินทางไปในแนวทางเดียวกัน

เฉกเช่นองค์ความรู้ที่จะบอกออกไป ต้องเหมือนกัน ตรงกัน

เรื่องรายนาม ที่ผ่านมาพี่ตั้งใจทำในนามของชมรมรักษ์พระวังหน้าและกองทุนหาพระถวายวัด ซึ่งเงินของชมรมรักษ์พระวังหน้าและกองทุนหาพระถวายวัดบางส่วน พี่ได้ใช้ในการซื้อผอบ

แต่หากต่อจากนี้ไป ตามที่พี่แจ้ง รายนามผู้ร่วมถวาย จะเป็นรายชื่อที่พี่ส่งให้เท่านั้น

พี่เองไม่ได้สนใจว่า คนจะทราบว่ามีรายชื่อผู้ถวายหรือไม่ แต่สนใจว่า เบื้องบนรับทราบว่า มีผู้ใดที่ได้มีการร่วมกันทำบุญ

ส่วนเรื่องของพระวังหน้า ใครจะรู้จัก ใครจะศรัทธา อย่างไร ให้เป็นเรื่องของวาสนา และ บารมี

พี่ย้ำมาตลอดว่า พระวังหน้า อยู่กับผู้ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกับวังหน้า , คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และกลุ่มองค์อภิญญาใหญ่ เท่านั้นครับ

พี่เองสร้างด้วยมือพี่เอง พี่ไม่ลบเองครับ เพราะเสียเวลามามากในการสร้าง แต่ที่ต้องเตือน เพราะความเป็นห่วง

สิ่งใดควรพูด ก็พูดได้ สิ่งใดควรบอก ก็บอกได้
แต่สิ่งใดไม่ควรพูด ก็อย่าพูด สิ่งใดที่บอกไม่ได้ ก็ไม่ต้องบอก

สำหรับผู้ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวกับพระวังหน้า เมื่อถึงเวลา จะมาเองครับ

ไม่ต้องยกตัวอย่างไกลๆ อย่างเช่นตัวเรา หรือ น้องปฐม ไงครับ

หลายสิ่งหลายอย่างหลายเรื่อง พี่ผ่านมาหมดแล้วครับที่เราบอกพี่

ด้วยรัก
sithiphong
28/1/2554

.<!-- google_ad_section_end -->

 

ขออนุโมทนาบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งกับพี่เมตตาด้วยครับ..ภายในอาทิตย์หน้าผมจะดำเนินการจัดส่งไปให้ทึกท่านครับ

 

ผมเองเป็นแบบนี้ครับ

อะไรที่ถูกต้อง ทำไปเถอะครับ

แต่อะไรที่ไม่ถูกต้อง ต้องเตือนกัน

ถ้าไม่รักกัน ไม่ห่วงใยกัน จะเตือนให้เสียเวลาทำไม ต่างคนต่างเดินไม่ดีกว่าหรือ

เป็นเรื่องปกติที่แท้แน่นอน ความไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืน เป็นสิ่งแท้แน่นอนที่สุด

แต่การเดินทาง ต้องมีอุปสรรค มีขวากหนาม ต้องช่วยกันฝ่าฝันเดินหน้ากันไป

เราไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกนี้ได้ แต่หากมีคนมากแต่ว่า มีแต่ความขัดแย้ง สู้มีคนน้อยแต่สามัคคีร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ดีกว่าหรือครับ

ชมรมพระวังหน้า ที่หลายๆท่านได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้น ก็เช่นกัน

ผมไม่สนใจว่า จะมีสมาชิกมากแค่ไหน แต่สนใจว่า สมาชิกต้องเป็นผู้ที่มีคุณภาพ(คับแก้ว)ครับ

และต้องร่วมกันเดินฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน ไม่แตกแยกกัน เปรียบเหมือนกิ่งไม้ หากมีกิ่งไม้ 1 กิ่ง เราสามารถหักกิ่งไม้นั้นได้ไม่ยาก แต่หากมีเป็นร้อยๆกิ่ง เราไม่สามารถที่จะใช้กำลังหักกิ่งไม้เหล่านั้นได้ ใช่หรือเปล่าครับคุณเพชร

ผมเองหวังอยู่ในใจ(ลึกๆ)ว่า อยากเห็นชมรมพระวังหน้า เดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีกัน ความร่วมมือร่วมใจอันเป็นหนึ่งเดียว เดินหน้าเพื่อความศรัทธา ความเทิดทูนที่มีต่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม) , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ , พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่กลุ่มองค์อภิญญาใหญ่ , หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ , เทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน , พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , ท่านทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "พระวังหน้า" ทุกๆท่าน , ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า , ช่างสิบหมู่ชาวจีน และพระพิมพ์ พระเครื่อง วัตถุมงคลต่างๆของวังหน้า ที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังครับ

.

 

รายการที่ ๑ พระผงพระราชลัญจกรมังกรฮก บรรจุพระธาตุอรหันต์ (คุณchantasakuldecha)

รายการที่ ๒ พระผงพระราชลัญจกรมังกรฮก บรรจุพระธาตุอรหันต์ (คุณdrmetta)

รายการที่ ๓ พระผงพระราชลัญจกรมังกรฮก บรรจุพระธาตุอรหันต์ (คุณkeatipinich)

รายการที่ ๔ พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๐๘ เนื้อโลหะลงรักปิดทอง



รายการที่ ๔ ประคำงาช้างวังหน้า ลงรักปิดทอง


รายการที่ ๕ สมเด็จองค์ปฐม รุ่นยันกลับ เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์สี่เหลี่ยม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง









รายการที่ ๖ พระองค์ที่ ๑๑ ปางกายมนุษย์ หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัด กาญจนบุรี








เนื่องด้วยปัจจัยที่ต้องใช้ในงานบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งที่ใกล้จะมาถึงในวันที่ 12 ก.พ. 2554 เป็นต้นไป จนถึงวันมาฆบูชา(18 ก.พ. 2554) ยังขาดปัจจัยอีกจำนวนมาก ผมขอมอบ
๑) พระผงพระราชลัญจกรรูปมังกรฮก บรรจุพระธาตุอรหันต์ จำนวน ๓ องค์ มอบให้กับเพื่อนๆผู้สนใจพระวังหน้า....ที่ร่วมบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวนองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท (หมดแล้ว)

๒) พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๐๘ เนื้อโลหะลงรักปิดทอง จำนวน ๑ องค์ มอบให้กับเพื่อนๆผู้สนใจพระวังหน้า....ที่ร่วมบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวนองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท

๓) ประคำงาช้างวังหน้า ๑๐๘ เม็ด ลงรักปิดทอง จำนวน ๑ เส้น มอบให้กับเพื่อนๆผู้สนใจพระวังหน้า....ที่ร่วมบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวนองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท

๔) สมเด็จองค์ปฐม รุ่นยันกลับ เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์สี่เหลี่ยม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จำนวน ๑ องค์ มอบให้กับเพื่อนๆผู้สนใจพระวังหน้า....ที่ร่วมบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวนองค์ละ ๑๕,๐๐๐ บาท

สมเด็จองค์ปฐมรุ่น "ยันกลับ" เป็นเหรียญหล่อพิมพ์สี่เหลี่ยม ขนาดกว้างxยาว ๑.๖x๒.๓ ซม. ด้านหน้าสมเด็จองค์ปฐม ด้านหลังรูปเหมือนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งคุณวิมาลี ศิรประภาชัย ขออนุญาตหลวงพ่อสร้าง ๓ เนื้อ คือ เนื้อทองคำ เงิน นวโลหะ บรรจุรวมในกล่องเดียวกัน สำหรับมอบถวายพระภิกษุสงฆ์วัดท่าซุงที่สั่งจอง และอีกพิมพ์เป็น เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์เดียวกัน แยกชุดต่างหากเพื่อให้บูชาทั่วไป พุทธาภิเษกพร้อมพระบูชาครั้งสุดท้ายก่อนหลวงพ่อมรณภาพ ในวันศุกร์ที่ ๙ ตค. ๒๕๓๕ เวลา ๒๓.๐๐ น. ที่ตึกรับแขก หลังพิธีพุทธาภิเษกวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเล่าว่า "เมื่อคืนปลุกเสกหมาไม่หอนงวดนี้ไม่ให้หมาเห็น เพราะมา ๒ งวดก่อนมาให้หมาเห็นเห่ากันเจี๊ยวจ้าว รุ่นนี้แอบไม่ให้หมาเห็น เมื่อคืนปลุกเสกรุ่นยันกลับ (ใครทำไม่ดียันกลับหมด) พิธีนี้สมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาเป็นองค์ประธาน เทวดานางฟ้าบริเวณหน้าตึกรับแขกต้องออกไปอยู่ไกลถึงตลาดอุทัย"

หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐมรุ่นยันกลับ ( หลวงพ่อบอกรุ่นนี้จะทำให้เป็นพิเศษ)

หลวงพ่อบอก เมื่อคืนปลุกรุ่นยันกลับ(ใครทำไม่ดียันกลับหมด) รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นสุดท้ายที่พิเศษสุด

ยกตัวอย่าง เช่นคนที่จะทำร้ายเราด้วยอาวุธนานาชนิด

คนที่คิด จะถูกทำร้ายก่อน จะไม่มาถึงตัวเรา จึงเรียกว่า "ยันกลับ"

มันจะกลับเข้าตัวคนที่จะทำร้ายเรา

รวมทั้ง สัตว์ " มีพิษ " และ ภูตผีปีศาจร้าย ทุกชนิด

ถ้าคิดจะทำร้ายเรา ตัวมันเองจะถูกทำร้ายก่อน

ก่อนที่จะมาถึงตัวเรา

นี่คือ สิ่งที่พิเศษ คำว่า " พุทธาภิเษก รุ่น ยันกลับ "

ผมขอมอบองค์เปรียบเทียบที่หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์จัดสร้างให้เพิ่มอีก ๑ องค์ เพื่อเปรียบเทียบขนาดของที่ทันหลวงพ่อ กับของที่ไม่ทันหลวงพ่อ ว่าความแตกต่างกันอย่างไร พร้อมกล่องบรรจุเดิมๆ ทั้ง สีน้ำเงิน และสีแดง

๕) พระองค์ที่ ๑๑ ปางกายมนุษย์ หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัด กาญจนบุรี จำนวน ๑ องค์ มอบให้กับเพื่อนๆผู้สนใจพระวังหน้า....ที่ร่วมบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวนองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท

สมเด็จพระพุฒาจารย์เกี่ยว อุปเสณโณ วัดสระเกศ พุทธาภิเษก อธิฐานจิตเดี่ยว ใต้ฐาน อุดด้วย ผงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน )วัดท่าซุง

โดยโอนเงินตามใต้ลายเซ็นต์ของคุณหนุ่ม(ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ)

พระพิมพ์ และวัตถุมงคลที่นำออกมามอบให้ผู้ร่วมบุญพิเศษปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งนี้ ผมมีเก็บไว้เพียงอย่างละ ๒-๓ ชิ้นเท่านั้น ก็เป็นความยากลำบากในการตามหาอยู่พอสมควร ลองสอบถามจากทางคุณหนุ่มกันได้ครับ

หลังจากวันที่ ๔ ก.พ. ๒๕๕๔ เป็นต้น วัตถุมงคลทุกชิ้นที่นำออกให้บูชาเพื่องานบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งขอนำกลับดังเดิม จะไม่มีการนำออกให้ทำบุญอีกต่อไป...

 

เมื่อเกือบ ๔ ปี ผมทั้งนั่งยัน นอนยันว่า พระสมเด็จองค์ปฐมพิมพ์นี้ ทันหลวงพ่อเสกเดือนต.ค. ๒๕๓๕ สมัยนั้นสานุศิษย์ทั่วไปต่างเข้าใจว่า รุ่นนี้คือรุ่น ๓ ก็เรียกกันว่า พระสมเด็จองค์ปฐมรุ่นที่ ๓ โดยไม่ทราบยังมีรุ่นลอยองค์ที่คล้ายรุ่นที่ ๑ และรุ่นที่ ๒ เพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่า วันเวลาผ่านมาได้ระยะหนึ่งความจริงจึงเริ่มปรากฎ สิ่งที่ post ไว้เป็นความจริง แต่กว่าจะรู้ความจริง ผมก็ถูกด่าว่าเสียเทหายไปแล้ว ก็ขออโหสิกรรม "ผู้รู้"ก็เป็น"ผู้ไม่รู้"ในบางเวลาได้เหมือนกันครับ

สมเด็จองค์ปฐม รุ่นยันกลับ เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์สี่เหลี่ยม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง บางท่านก็เข้าใจผิดเกิดความสงสัยว่าองค์ใดทัน หรือไม่ทัน หากไม่เคยเห็นองค์ที่ทัน ย่อมไม่สามารถแยกแยะได้จริงๆ ซึ่งความจริงมีความแตกต่างกันทั้ง ขนาดความกว้าง และความยาว ความหนาอีกต่างหาก

จากภาพเปรียบเทียบ

ซ้ายมือ คือองค์ที่สร้าง และเสกในสมัยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

ขวามือ คือองค์ที่สร้าง และเสกในสมัยหลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

 

Post นี้ ช่วยสร้างถนนให้อาจารย์ผมบ้างครับ

เกี่ยวกับการสร้างสถานบำบัดโรคด้วยพลังจักรวาล ก็เป็นความเชื่อทางสากล หรือคนไทยบางส่วน ในอดีตเคยมีกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปตรวจสอบแล้ว ก็ไม่พบความผิดปกติ ผิดกฏหมาย หรือการหลอกลวงผู้คนแต่อย่างใด เรื่องราวการพบอาจารย์จันทร์เพ็ญ โพธิ์สวัสดิ์ ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อวันสิ้นปีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ซานติก้าผับ ราว ๔ ทุ่ม คุณหนุ่มโทรศัพท์มาบอกว่า มีท่านผู้หนึ่งให้ช่วยแจ้งว่า ในช่วงเที่ยงคืนประมาณ ครึ่งชั่วโมง จะมีพลังงานจากสามเหลี่ยมเมอบิวด้าส่งไปทั่วโลก สำหรับคณะพวกเราให้ทำสมาธิรับพลังงานจากสามเหลี่ยมเมอบิวด้า ผมและผบ.ทบ.ก็ได้ทำตามคำแนะนำนั้น จนเวลาเที่ยงคืนครึ่งก็ถอนออกจากสมาธิ ก่อนเที่ยงคืน หรือช่วงเที่ยงคืน หรือหลังเที่ยงคืนเล็กน้อยก็ได้รับทราบข่าวเรื่องเพลิงไหม้ซานติก้าผับ

วันที่ ๑ ม.ค. ๒๕๕๒ ผม และผบ.ทบ. เกิดอาการกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ชวนกันลงมาดูDVD ที่ซื้อไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้นำมาดู ก็เลยลองเลือกมาดูฆ่าเวลาให้ง่วง ก็เลือก"โหมโรง" ตัวละครเอกคือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ และท่านขุนอิน รู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้ครับ...

จนวันที่ ๔ ม.ค. ๒๕๕๒ พี่ท่านหนึ่งได้ชวนผมไปอาจารย์จันทร์เพ็ญที่ลำลูกกา ซึ่งปกติท่านจะอยู่ที่อ่างทอง มาทราบภายหลังว่าเพิ่งจะได้เข้ามาที่ลำลูกกา หลังจากที่มาที่ลำลูกกาเมื่อต.ค. ๒๕๕๑ ก็เป็น"บังเอิญ"ที่ได้พบกันครั้งแรก ท่านชวนผมไปอยู่ที่อ่างทอง ผมก็ถามว่าอยู่ตรงไหนของอ่างทอง ท่านตอบว่า อยู่ก่อนถึงวัดขุนอินทประมูล ๒ ก.ม. ผมกับผบ.ทบ.ก็เกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อย ก็หัวเราะให้กันเล็กๆ มีสัญญาณอะไรบางอย่างส่งมาละๆ ต้องมีอะไรแน่ๆเลย....

ผมไปอยู่ฝึกจิตที่อ่างทอง ๖ วัน ๕ คืน เช้าก็เดินทางไปช่วยบำบัดรักษาชาวบ้านที่อ.เสนา อยุธยา บ่ายเข้าที่อ่างทองก็มีชาวบ้านจากแดนใกล้ไกลมารอทุกวัน วันหนึ่งเป็นร้อยคน ท่านก็ทำอย่างนี้มานาน เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านเดินทางเข้ามามีค่าใช้เป็นค่ารถค่าเดินทางจากทุกที่ ท่านก็ปักหลักที่เดียวรักษาผู้คน แต่ท่านมาคำนึงว่า ท่านคนเดียวเดินทางเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ชาวบ้านจะเหมารถเดินทางเข้ามาที่อ่างทอง หากรวมค่ารถของชาวบ้านที่เดินทางเข้ามาก็เป็นพันต่อวัน ผมไปอยู่ที่นั่นได้ ๖ วันได้เห็นปฏิปทาท่านก็เกิดความศรัทธาอยากช่วยเหลือท่าน ความจริงผมเคยเข้าคอร์สการจูนคลื่นเรกิซึ่งเป็นศาสตร์ของญี่ปุ่นมาสิบกว่าปีก่อน ก็ได้ใช้เป็นประจำ การจูนคลื่นพลังจักรวาลของท่านให้ผมก็ไม่ได้กระทำในทันที กระทั่ง ๒ วันสุดท้ายท่านได้จูนคลื่นให้ คืนก่อนที่ท่านจะจูนคลื่นให้นั้น ผมได้อธิษฐานจิตขอคลื่นนี้จากปรมาจารย์แห่งวิชาพลังจักรวาลจากศรีลังกา และพระอาจารย์เรือง มิน ด๋าง ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม อาจารย์ผมท่านเป็นคนลาว มาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ยังเล็กเนื่องจากภัยสงคราม

การตั้งจิตของผมคือ หากผมได้รับคลื่นพลังจักรวาลโดยอาจารย์จันทร์เพ็ญไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ ผมจะนับถือว่าเป็นอาจารย์ และจะมอบไม้ครูหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรให้เป็นของกราบไหว้อาจารย์ เนื่องจากผมคิดเอาว่า หากเป็นครูจริง ต้องไม่คิดตังค์ ไม่รับเงิน ก่อนกลับวันนั้นผมได้มอบซองเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาทให้อาจารย์ แต่ท่านไม่รับ เพียงบอกว่า ให้ผมไว้เป็นค่าน้ำมันรถเดินทางกลับกรุงเทพแล้วกัน ผมจึงได้มอบไม้ครูให้กับอาจารย์จันทร์เพ็ญตามที่ได้ตั้งใจไว้...

เรื่องราวระหว่างท่านกับผมมีเรื่องลึกลับอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องราวของ"พระราหู"ที่ผมคาใจสงสัยอยู่นานก็ได้รับการไขรหัสลับออกมา...

ผมนำภาพมาให้ชมว่า สถานที่นี้อยู่ตรงไหน บรรยากาศดีอย่างไร เหมาะแก่การบำบัดรักษาผู้คนที่เดือดร้อนในเรื่องของสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องอื่นๆตามแต่ว่าจะมีผู้นำความมาสอบถามท่าน

ทางเข้าก่อนจะเข้าไปยังสถานที่ของท่านเป็นดงตาลเก่า คูน้ำที่สวยงาม...<!-- google_ad_section_end -->




<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>









</FIELDSET>
วันที่ ๙-๑๕ ม.ค. ๒๕๕๒ ผมอยู่ที่อ่างทอง ช่วยอาจารย์บำบัดรักษาให้ชาวบ้าน อ.เสนา และที่อ่างทอง เช้าทำสมาธิรับพลังดิน น้ำ ลม ไฟ ดึกๆเดินจงกรม ทำสมาธิ อุทิศบุญกุศลให้กับสิ่งลี้ลับรอบๆที่พัก ทั้งมืด ทั้งหนาว ทั้งเปลี่ยว

บริเวณทางเข้าจากถนนด้านที่เข้าออกประจำเป็นดินลูกรังปนดินเหนียวเลนเดียว ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้ คงถ่ายภาพเอาไว้แต่เพียงบริเวณภายใน และรอบๆพื้นที่ ๔ ไร่ ซึ่งบริเวณหนึ่งมีที่ดินที่เชื่อมไปยังอ่างเก็บน้ำของชลประทานในพระบรมราชินูปถัมภ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีทางลาดยางเข้ามาแล้ว อาจารย์ผมเล็งตัดทางผ่านพื้นที่เข้ามาทางด้านนี้ จึงเป็นที่มาของการร่วมบุญสร้างถนนงบประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท วันนี้ได้รับทราบมาว่า มีผู้ร่วมบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระพุทธเจ้าหลวงเนื่องในวันเสด็จสวรรคตครบ ๑๐๐ ปี รวมแล้วประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งก็ยังขาดปัจจัยอยู่ไม่มาก ไม่น้อย

ภาพภายในที่ดิน และที่ดินรอบๆสถานที่บำบัดด้วยพลังจักรวาล..<!-- google_ad_section_end -->



<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>























</FIELDSET>
โครงการนี้อาจารย์จันทร์เพ็ญตั้งใจว่า จะสร้างเป็นที่สากลที่สามารถรองรับคนทุกชาติ ทุกศาสนาเอาไว้ มุมหนึงเป็นที่ประดิษฐานพระคริสต์ มุมหนึ่งประดิษฐานพระอัลเลาะห์ อีกมุมหนึ่งประดิษฐานพระพุทธเจ้า คงจะจัดสร้างตามคำสั่งของปรมาจารย์ หรือพระอาจารย์ใหญ่เรือง มิน ด๋าง ผมก็เห็นว่า ดี เพื่อความสงบสุขสันติภาพของโลกที่นับวันมีแต่ความวุ่นวาย ร้อนรุ่ม สถานที่นี้จะเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้ายของคนที่มีความทุกข์ อาจารย์ผมบอกไว้ว่า ผู้คนที่หมดที่พึ่ง ก็มาอยู่กันซักพัก ทำจิตให้สงบ วันเวลาผ่านไป เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว ผ่านช่วงเวลาหนึ่งไปแล้ว ก็ค่อยกลับไปในสังคมเดิมๆที่เราจากมาได้ เรียกว่า หนีร้อนมาพึ่งเย็นกันก่อน ค่อยๆหาทางกันไป จิตที่วุ่นวายไป มันไม่มีทางออก ยิ่งคิดยิ่งทุกข์...<!-- google_ad_section_end -->



<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>





















</FIELDSET>
เมื่อทราบกันถึงที่มาที่ไปของการร่วมบุญสร้างถนนกับอาจารย์จันทร์เพ็ญ โพธิ์สวัสดิ์เพื่อให้คนมีทุกข์ได้เดินทางเข้าออกยังสถานบำบัดด้วยพลังจักรวาลด้วยความสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม และเป็นสถานปฏิบัติธรรมทำสมาธิ เป็นที่รวมของคนทุกชาติ ทุกศาสนากันแล้ว ในอนาคตพื้นที่ดินส่วนหนึ่ง อาจจะขอนำมาปลูกพืชสมุนไพรไทยชนิดที่หายากเพื่อรักษาโรคมะเร็ง โรคไต ฯลฯ

ผู้ทำบุญสร้างถนนกับอ.จันทร์เพ็ญ โพธิ์สวัสดิ์ จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ผมขอมอบหยก ๑๒ นักษัตรผลงานของช่างสิบหมู่วังหน้า และช่างจีน ข้อมูลอยู่ในกระทู้ ที่ผมเคย post เอาไว้
http://palungjit.org/threads/หยก-12-นักษัตร-อีกหนึ่งงานฝีมือของช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า.80127/page-3

​

งบประมาณที่ตั้งไว้คือ 300,000 บาท จนบัดนี้มีปัจจัยเพียง 60,000 บาทเท่านั้น ยังไม่เพียงพอในการสร้างถนน ครั้งก่อนคุณ chantasakuldecha และคุณ pinkcivil ได้ร่วมทำบุญรวม 10,000 บาทก็ได้รวมอยู่ในจำนวนนี้แล้ว

บัญชีของอ.จันทร์เพ็ญคือธนาคารออมสิน ค่อนข้างหาสถานที่ยากซักนิดครับ ผมเลยให้เพื่อนท่านใดที่สนใจทำบุญสร้างถนนโอนเข้าบัญชีของผมก่อน จากนั้น ผมจะโอนเข้าบัญชีของอ.จันทร์เพ็ญต่ออีกครั้งหนึ่ง ที่..
อภิวัฒน์ ชัฎอนันต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซอยไชยยศ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 040-2-25999-6

ถือว่า ทำบุญสร้างถนนกันในช่วงวันตรุษจีนนี้ กำหนดวันสิ้นสุดเพียงวันที่ 4 ก.พ. 2554 เท่านั้นครับ เนื่องจากวันที่ 5 ผมจะเดินทางไปพบอ.จันทร์เพ็ญ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้จัก “อาหารมงคล” กับข้าวไหว้บรรพบุรุษ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>27 มกราคม 2554 15:26 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นช่วงที่สมาชิกในครอบครัวมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นอกจากจะมาตั้งโต๊ะไหว้เจ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษ เพื่อให้เป็นสิริมงคล นำมาซึ่งความสุข และความเจริญรุ่งเรืองแก่ครอบครัว

ซึ่งในการไหว้บรรพบุรุษจะประกอบด้วยของคาวและของหวาน ที่ล้วนแต่มีความหมายเป็นมงคล แต่ “108 เคล็ดกิน” จะขอพาไปรู้จักเฉพาะของคาวที่นิยมนำมาไหว้กัน เพื่อให้รู้ที่มาที่ไป และความหมายที่เป็นสิริมงคลของอาหารแต่ละชนิด

หมู - ดูจากความอ้วนของหมูก็จะสะท้อนถึงความมั่งคั่งร่ำรวย การกินดีอยู่ดี

ไก่ - มีความเป็นมงคลถึง 2 อย่าง คือ ที่หงอนไก่จะสื่อถึงหมวกของขุนนาง มีความหมายเป็นมงคลในด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ส่วนอย่างที่สองคือ ไก่จะขันตรงเวลาทุกเช้า สะท้อนให้เห็นถึงการรู้งาน ขยันขันแข็ง

ตับ - ในภาษาจีนเรียกว่า กัว ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า กัว ที่แปลว่าขุนนาง จึงหมายถึงความเจริญในหน้าที่การงาน

ปลา - คนจีนแต่จิ๋วจะเรียกปลาว่า ฮื้อ ซึ่งให้ความหมายถึงการมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

กุ้งมังกร - จากรูปลักษณ์ของกุ้งที่ดูตัวใหญ่ มีก้ามที่รู้สึกถึงความมีอำนาจ ต่อมาในภายหลัง กุ้งมังกรหาได้ยากขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นเป็ดแทน ส่วนคนจีนแต่จิ๋วจะใช้ปลาหมึกแห้งมาไหว้แทน

เป็ด - หมายถึงความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

ปลาหมึกแห้ง - เป็นการอวยพรให้มีความรู้


</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

.

Travel - Manager Online -

http://palungjit.org/posts/4312278
.

http://www.manager.co.th/Travel/View...=9540000011754
.<!-- google_ad_section_end -->

 

s6s6 กรุณาเช็คPm ครับ

 

มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของงานบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ต้องยอมรับกันว่า ใช้ปัจจัยจำนวนมากจริงๆ ตั้งไว้ ๑ ล้านบาท เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของทุกฝ่าย พี่แอ๊วได้เกริ่นกับทางคุณหนุ่ม และผมก็ได้รับการถ่ายทอดมาอีกที หากปัจจัยจำนวนนี้ไม่สามารถหาได้ทันเวลา พี่แอ๊วในฐานะแม่งานก็จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว บอกตามตรงครับ ค่อนข้างหนักใจ จึงจำเป็นขอ"จัดหนัก" ให้สำหรับผู้ที่ทำบุญปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจำนวน 500,000 บาท(ห้าแสนบาท) ผมขอมอบพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมจำนวน ๑ องค์พร้อมผอบบรรจุ โดยขอมอบพร้อมกับ สมเด็จองค์ปฐม รุ่นยันกลับ เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์สี่เหลี่ยม ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ที่ท่านเสกตามรายละเอียดข้างต้น เพื่อการนี้โดยเฉพาะ หากพ้นกำหนดก็ขอนำกลับที่ดังเดิม หากมีผู้ขอทำบุญ สมเด็จองค์ปฐม รุ่นยันกลับ เนื้อทองเหลืองชุบทอง พิมพ์สี่เหลี่ยม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ก็คงจะไม่สามารถมอบพระสมเด็จองค์ปฐมได้ คงรับได้เพียงพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมเท่านั้นนะครับ ...

เรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมมีที่มา ตามที่ผมเคย post รายละเอียดไว้แล้ว ไม่ขอ post ซ้ำ โปรดดูภาพเปรียบเทียบทางกายภาพของพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(ภาพถ่ายขวามือ ๒ องค์) กับที่บรรจุภายในผอบของผม(ด้านซ้าย)นะครับ

 

ผม post เอาไว้ ไม่ถึงครึ่งช.ม.ดีเลย หยก ๑๒ นักษัตรของวังหน้า ก็ไปอยู่กับคุณ Pinkcivil แล้ว ขออนุโมทนาบุญสร้างถนนกับอ.จันทร์เพ็ญ โพธิ์สวัสดิ์ด้วยครับ ถนนเส้นนี้คุณ chantasakuldecha และคุณ pinkcivil ได้ช่วยกันตัดเข้าไป 1 ใน 6 ส่วนเข้าไปแล้ว หากสะดวกเดินทางไปมอบเงินจำนวน 40,000 บาท นี้กับอ.จันทร์เพ็ญโดยตรงกับมือก็จะดีมากครับ ผมนัดท่านที่ลำลูกกาวันที่ 5 ก.พ.นี้ เป็นการทำบุญกับท่านโดยตรงเลย...

หยก ๑๒ ชิ้นนี้ เดิมมาเป็นชุด ก็เป็นความยากลำบากในการเก็บรักษาให้เป็นชุดได้จนถึงปัจจุบันนี้ และเป็นหยกที่สามารถใช้กัน และแก้การ"ชง"กันทั้งครอบครัว ที่สำคัญอย่าได้เกิดในปีนักษัตรเดียวกันเป็นพอ เพราะแต่ละชิ้นคือ ๑ นักษัตร ๑๒ ชิ้น คือ ๑๒ นักษัตร จบปีแล้ว ก็มาพิจารณาการ"ชง" การ"ฮะ"สับเปลี่ยนกันสวมใส่กับคนในครอบครัว

 

โมทนากับพี่เพชรด้วยจริงๆนะครับที่มอบของรักของหวงมาให้ทำบุญ ท่านพี่ที่ได้ไปวาสนาดีจริงๆ

 

วันเสาร์ที่5 น่าจะว่างเพราะแฟนไปบินครับ ถ้าไม่ติดอะไร อยากไปเหมือนกันครับ ลำลูกกาคลองที่เท่าไหร่ครับ จริงๆแล้วต้องขออนุโมทนากับคุณเพชรด้วยครับ

 

โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

คุณเพชร ใจเยี่ยมมาก ใจผมยังไม่ได้ครึ่งของใจคุณเพชรเลยครับ


.

 

น้าแผน เพื่อนเ่ก่าแก่มาเยี่ยมในกระทู้พระวังหน้าฯ เห็นโพสเรื่องของเบี้ยแก้ และ พระกริ่งปวเรศ รุ่นปี 2434 ก็เลย pm มาหาผม

น้าแผนถามผมว่า ยังมีเบี้ยให้บูชาอีกหรือเปล่า

ผมตอบว่า มีครับน้า

ผมมีเบี้ยแก้ บุทองคำ

แต่หากน้าแผนอยากได้ ผมให้ทำบุญ

แต่อาจจะทำบุญในจำนวนเงินที่สูงหน่อยนะครับ

ผมให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท

ทำบุญผ้าป่าปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง



โมทนาสาธุครับน้า

.

มาโมทนาบุญกับน้าหน้าบอร์ดอีกครั้งครับ


สำหรับน้าแผน ไปงานบุญกันหลายแห่ง แต่ที่ประัทับใจ เป็นงานที่อยุธยาครับ

มีโอกาส จะแวะไปหาน้าที่ระยองครับ

.




.

 

คาดอีก 10 ปี พื้นดินแนวบางขุนเทียนหาย 50 เมตร


240Share

​

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

นักวิชาการคาดอีก 10 ปี พื้นดินเขตบางขุนเทียนจะถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 50 เมตร

ปัญหาที่คนกรุงเทพฯ กำลังกังวลมากที่สุดปัญหาหนึ่งก็คือ ปัญหาการทรุดตัวของพื้นดิน เพราะมีรายงานว่า ในแต่ละปีพื้นดินในเขตกรุงเทพมหานครทรุดตัวเฉลี่ย 1 เซนติเมตร ซ้ำยังมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ออกมาตอกย้ำว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ อีก 10 ปี กรุงเทพมหานครจะต้องจมน้ำเป็นแน่แท้

ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยที่คาดว่าจะถูกน้ำท่วมใหญ่ ได้แก่ พื้นที่ริมฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มต่ำ เช่น เขตคลองสามวา ลาดกระบัง หนองจอก มีนบุรี ร่มเกล้า กิ่งแก้ว ศรีนครินทร์ บางนา ประเวศ ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร เช่น ย่านตลิ่งชัน ทวีวัฒนา มีแนวกั้นน้ำเป็นเกราะกำบังอยู่ จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือ "เขตบางขุนเทียน" ซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน กว่า 4.7 กิโลเมตร โดยศูนย์วิจัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้ข้อมูลว่า ทุก ๆ ปี พื้นดินของเขตบางขุนเทียนได้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาเฉลี่ย 1.4-4.5 เมตร ที่สำคัญหากดูสถิติ 10 ปีย้อนหลัง จะพบว่า มีพื้นดินถูกกัดเซาะไปแล้วเกือบ 1 กิโลเมตร เท่ากับสูญเสียที่ดินไปมากกว่า 2 พันไร่เลยทีเดียว ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ อีก 10 ปีข้างหน้า ชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียนย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาอีก อย่างน้อย 50 เมตร

ทั้งนี้ ใช่ว่ากรุงเทพมหานครจะเพิกเฉยกับปัญหานี้ เพราะล่าสุด สำนักการระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร กำลังเร่งก่อสร้างแนวคันไม้ไผ่ ด้วยงบกว่า 5.8 ล้านบาท เพื่อช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน ขณะที่อีกด้าน ก็มีการสำรวจ ออกแบบ ก่อสร้างคันหินรอดักตะกอนรูปตัวที โดยใช้งบประมาณสูงถึง 500-600 ล้านบาท เพื่อยับยั้งการกัดเซาะชายฝั่ง และดักจับดินตะกอน แต่เพราะยังมีประชาชนในพื้นที่บางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ โครงการนี้จึงถูกชะลอไว้จนถึงทุกวันนี้

​

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ประชาชาติธุรกิจ




.

 

ยังมีอยู่ที่พี่หนุ่มอีก ๑ ชุดนะครับ..

 

ดื่มดีแก้เจ็บคอ


ระยะหลังๆ มานี้ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพบ่นกันมากถึงสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำเอาหลายๆ คนตั้งตัวไม่ทัน เจ็บป่วยด้วยหวัดถามหาปวดหัว ตัวร้อน บ้างก็เจ็บคอ จึงเรียกร้องขอสูตรเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ โดย ‘มุมสุขภาพ’ นำ แครอต แอปเปิ้ลแดง กะหล่ำปลีม่วง มาเป็นผักและผลไม้ที่เยียวยาอาการดังกล่าว

แครอต ที่สกัดเอามาแต่น้ำจะอุดมด้วยซัลเฟอร์ และคลอรีน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน แถมยังแก้ไอได้ด้วย ส่วน แอปเปิ้ลแดง มีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 พร้อมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดไข้และอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ และกะหล่ำปลีม่วง มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก ช่วยแก้เจ็บคอโดยเฉพาะ

ส่วนผสมของน้ำผัก-ผลไม้แก้เจ็บคอ มีดังต่อไปนี้...

• แครอต 1 ถ้วย
• แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย
• กะหล่ำปลีม่วง 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการปรุง ให้ นำส่วนผสมทั้งหมดมาทำความสะอาด แล้วหั่นแครอตและแอปเปิ้ลเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดกลาง ส่วนกะหล่ำปลีม่วงให้ซอยเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดเอารวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ ก่อนดื่มสามารถเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มสดชื่นและให้ดื่มได้ง่ายขึ้น.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มดีแก้เจ็บคอ

.



.



.

 

แจ้งไปทาง PM แล้วครับ

 

ขอบอกอีกรอบครับ

คุณเพชร ใจเยี่ยมมาก ใจผมยังไม่ได้ครึ่งของใจคุณเพชรเลยครับ

ให้ผมเก็บไว้เพื่อศึกษานะครับ

:'( :'( :'(
.