พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ลุงขันนี่ก้พยามช่วยเค้าจังเลย
    มาพุดแบบนี้เด่วเค้าก้เหมาอีกว่าพวกเดียวกัน เปนพวกคนนั้น เปนพวกคนนี้
    เห็นคนทำดีก้รู้สึกยินดีด้วย มุทิตาจิต
    จะเข้าถึงมันต้องปติบัติให้ถึงตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  2. CottonFields

    CottonFields เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +149
    ข้อความเดิมของ CottonFields
    จิตไม่มีตัวตนครับ เป็นไตรลักษณ์ ไม่มีจิตเที่ยง
    จิตต้องอาศัยปัจจัยในการเกิดคืออารมณ์
    เมื่อไม่มีอารมณ์เกิดขึ้น จิตจะไม่เกิดขึ้น
    ที่ว่าจิตหลุดพ้น คือจิตเกิดความรู้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน
    สุดท้ายย่อมรู้ว่าจิตก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเราเช่นกัน เป็นเพียงธรรมธาตุหนึ่งซึ่งต้องอาศัยปัจจัยในการเกิดเช่นเดียวกับธรรมธาตุ อื่น ๆ
    การถือเอาจิตเป็นตัวตนว่าเป็นเราว่าของเรา แสดงว่ายังมีการพอใจในจิตอยู่
    นักปฏิบัติที่ทำเพื่อการถึงที่สุดพึงรู้ชัดว่า จิตไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธรรมชาุติรู้ที่เกิดขึ้นตามปัจจัย เมื่อไม่มีปัจจัย จิตก็ไม่มีที่อาศัยในการเกิด




    <big><big>
    ที่่ว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ มีเขียนอยู่ในพระอภิธรรมปิฎก
    ปริจเฉทที่ ๑ ชื่อจิตตสังคหวิภาค
    </big></big>
    จางลิ้งค์นี้ครับ
    �����Ը����͹�Ź�...
    <big>สภาพหรือลักษณะของจิต

    จิตเป็นปรมัตถธรรม ดังนั้นจิตจึงมีสภาวะ หรือสภาพ หรือลักษณะทั้ง ๒ อย่าง คือ สามัญลักษณะ และวิเสสลักษณะ

    ๑. สามัญญลักษณะ จิตมีไตรลักษณ์ครบ คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ

    จิตนี้เป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ตั้งอยู่ได้ตลอดกาล

    จิตนี้เป็นทุกขัง คือ ทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาลจึงมีอาการเกิดดับเกิดดับ

    จิตนี้เป็นอนัตตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาให้ยั่งยืน ให้ทนอยู่ ไม่ให้เกิดดับไม่ได้

    ๒. วิเสสลักษณะ หรือลักขณาทิจตุกะของจิต มีครบทั้ง ๔ ประการคือ

    มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ

    เป็นประธานในธรรมทั้งปวงเป็นกิจ (รสะ)

    มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดสายเป็นอาการปรากฏ(ปัจจุปัฏฐาน)

    มีนามรูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด (ปทัฏฐาน)</big>

    [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]สามัญลักษณะทั้ง ๓ นี้ เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน เป็นกฎธรรมชาติที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ รูปธรรม และนามธรรมทั้งหลายอันได้แก่ รูป จิตและเจตสิก ย่อมจะต้องมีลักษณะเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด

    www.buddhism-online.org

    [/FONT]<table width="700" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ทำหน้าที่ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ จิตนี้ไม่ว่าจะเกิดแก ่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ย่อมมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนกันทั้งสิ้น[/FONT]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td> [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิต เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะใด ๆ แต่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติฝ่ายนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกฎของธรรมชาติ[/FONT]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td> [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิต จะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว จิตจะมีการเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง (หนึ่งล้านล้านครั้ง) จึงเป็นการยากที่บุคคลจะรู้เท่าทันได้[/FONT]</td></tr></tbody></table>
    [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]ดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกัน นอกจากนี้ จิต ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น หทัย, ปัญฑระ, มโน, มนัส, มนินทรีย์, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ, วิญญาณขันธ์, มนายตนะ เป็นต้น จึงขอให้เข้าใจว่า แม้จะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม ชื่อเหล่านั้นก็คือ จิต นั่นเอง[/FONT]

    พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า การฝึกจิตการข่มจิตเป็นความดี เพราะว่าถ้าทำได้สำเร็จก็จะมีความสุข เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละจสามารถนำสุขมาให้ได้จริง ฝึกจิตข่มจิตได้เพียงใด ก็จะมีความสุขเพียงนั้น

    ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขของทุกคนไม่ได้เกิดแต่อื่น แต่เกิดแต่จิตของตนเท่านั้น ที่เข้าใจว่าความสุขอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ความสุขอยู่ที่คนนั้นอยู่ที่คนนี้ หรือความสุขอยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นเป็นความเข้าใจผิด

    ที่จริงความสุขเกิดแต่จิต ความสุขอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่เป็นสุขแล้ว ผู้ใดอื่น อะไรอื่น ก็หาอาจทำให้เกิดความสุขได้ไม่ เงินทองแม้มากมายมหาศาล ยศฐาบัดาศักดิ์แม้ยิ่งใหญ่ บ้านเรือนตึกรามแม้มโหฬาร วงศ์สกุลแม้สูงส่ง ก็ไม่อาจทำให้เป็นสุขได้ ถ้าใจไม่เป็นสุข ถ้าจิตเป็นทุกข์ คือเร้าร้อนอยู่ด้วยกิเลส มีโลภ โกรธ หลง เป็นสำคัญ

    อารมณ์ที่น่าใคร่ทั้งหลายที่มักจะมีอำนาจเหนือจิตใจที่ เบา ที่อ่อน นั่นแหละเป็นเหตุสำคัญแห่งความทุกข์ความร้อนของจิต เมื่อเห็นความจริงนี้แล้ว ก็ย่อมจักยินดีอบรมจิตของตนให้พ้นจากอำนาจของกิเลส ให้เป็นจิตที่อ่อนต่ออำนาจของความดีงาม แต่ให้หนักให้แข็งต่ออำนาจของความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย

    เมื่อใด สามารถอบรมจิตได้ ข่มจิตได้ แม้เพียงพอสมควร จึงจิตให้พ้นจากความอ่อนต่อความชั่วร้าย คือสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย แม้เพียงพอสมควร ก็จะได้รู้รสความสุขที่แตกต่างจากความสุขที่เป็นความร้อนเช่นที่พากันเสวย อยู่ พากันคิดอยู่ว่า เป็นความสุขที่พอใจแล้ว

    จิตที่ไม่ได้ถูกอบรมดีแล้ว ยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะว่ายังตกอยู่ในสามัญลักษณะคือไตรลักษณ์ จิตที่หลุดพ้นแล้วจึงเป็นที่พึ่งที่แท้จริง และแน่นอนว่าเป็นจิตที่พ้นจากอุปาทานขันธ์แล้ว ภาวะของจิตเมื่อพ้นจากทุกข์แล้วจึงเหมือนว่ามีจิตก็ไม่ใช่เพราะท่านไม่้ได้ถือเอาเป็นของท่าน จะว่าไม่มีจิตก็ไม่ใช่ เพราะมันมีอยู่เป็นธรรมธาตุ ที่เกิดขึ้นโดยมีเหตุคืออารมณ์

    จิตที่ได้ฝึกมาแล้ว ย่อมห่างจากทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสามารถในการถอดถอนอุปาทาน เมื่อทุกข์ห่างขึ้นเรื่อย ๆ สุขก็เข้ามาเรื่อย ๆ เพราะเป็นจิตที่ห่างจากการสร้างเวรภัย

    www.buddhism-online.org
    <table width="700" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td width="767">
    <table width="80%" border="0" cellpadding="5" cellspacing="0"><tbody><tr bgcolor="#ffffff"><td valign="top" width="20%">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิต [/FONT]</td> <td width="80%">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่รู้อารมณ์[/FONT]</td> </tr> <tr bgcolor="#ffffff"> <td valign="top">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC] อารมณ์ [/FONT]</td> <td>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นธรรมชาติที่ถูกจิตรู้ ถ้าจิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นคืออารมณ์[/FONT]</td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> </tr> <tr> <td> [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]หากกล่าวโดยสรุปก็คือ จิต เป็นผู้รู้ อารมณ์ เป็นสิ่งที่ถูกรู้
    [/FONT]<table width="700" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]คำว่า “อารมณ์” ในที่นี้หมายถึง เครื่องยึดหน่วงจิต อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส ฯลฯ ตลอดจนเรื่องราวต่าง ๆ ที่คิดนึก มิได้มีความหมายดังที่ใช้กันทั่วไป เช่น อารมณ์ดี อารมณ์เสีย หรือมิได้หมายถึงสภาพนิสัยใจคอ เช่น อารมณ์เย็น อารมณ์ร้อน อารมณ์โรแมนติก อารมณ์ขัน เป็นต้น[/FONT]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td> [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิตที่เกิดแต่ละขณะ จะรับอารมณ์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น ในขณะที่เราดูโทรทัศน์ จิตที่เห็นภาพทางตา กับจิตที่ได้ยินเสียงทางหู เป็นคนละขณะกัน ขณะที่เห็นภาพ ก็จะไม่ได้ยินเสียง ขณะที่ได้ยินเสียงก็จะ ไม่เห็นภาพ แต่เพราะจิตเกิดดับสลับกันเร็วมาก จึงทำให้เราแยกไม่ออก และเข้าใจผิดว่า การเห็นและการได้ยินนั้นเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน จริง ๆ แล้วจิตแต่ละขณะ จะรับอารมณ์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น [/FONT]</td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
    [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]จิตจะว่างจากอารมณ์ไม่ได้ เมื่อจิตเกิดขึ้นทุกครั้ง จะต้องมีอารมณ์ให้รู้เสมอ จิตคือตัวรู้ อารมณ์คือตัวถูกรู้ ถ้าไม่มีตัวถูกรู้ ตัวรู้ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อมีการรู้ ก็ย่อมจะต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ อยู่ควบคู่กันด้วยเสมอไป


    [/FONT] [FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]สภาพรู้ทั้งหลายมี จิต เป็นผู้รู้ แต่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจผิดว่า เราเห็น,เราได้ยิน,เรารู้กลิ่น,เรารู้รส, เราเย็น, เราร้อน, เรารู้สึก, เราคิดนึก ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว สภาพรู้ทั้งหลายนี้เป็นจิต ไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว หาแก่นสาร หาเจ้าของ หาตัวตนมิได้เลย มีแต่ “จิต” กับ “อารมณ์” เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เพราะไม่รู้ความจริงเช่นนี้ จึงหลงผิดคิดว่าเป็นเรามาตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย และเพราะมีเรานี่แหละ จึงได้มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอด เพราะมี “เรา” นี่แหละจึงมีความรู้สึก เหมือนกับแบกโลกไว้ทั้งโลก ถ้าเอา “เรา” ออกเสียได้ก็จะรู้สึก เหมือนกับว่ากำลังยืนอยู่เหนือโลก[/FONT]

    ข้อความเดิมของ CottonFields

    การถือเอาจิตเป็นตัวตนว่าเป็นเราว่าของเรา

    จิตที่ประกอบด้วยอวิชชา

    ข้อความเดิมของ CottonFields
    แม้จิตของพระอรหันต์ก็ไม่ใช่ตัวตน ท่านไม่ถือจิตเป็นของท่าน ท่านเพียงรู้ถึงการมีอยู่ของจิตซึ่งเกิดดับตามเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา
    จึงเสมือนว่าจิตพระอรหันต์มีจิตก็ไม่ใช่ ไม่มีจิตก็ไม่ใช่
    มีจิตก็ไม่ใช่เพราะไม่ใช่ของท่านเพียงเกิดดับตามปัจจัยและท่านก็มิได้มีความพึงพอใจที่มีจิต
    จะว่าไม่มีจิตก็ไม่ใช่ เพราะมันมีอยู่โดยธรรมชาติ แต่ไม่ถูกยึดถือว่าเป็นของท่าน


    จิตพระอรหันต์ก็ยังมีอยู่เป็นธรรมดาเพราะเกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัยแต่ท่านก็มิได้ถือจิตเป็นของท่าน ท่านเห็นแต่เพียงเป็นธรรมธาตุที่เกิดตามเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา พระอรหันต์ปล่อยวางจิต วางขันธ์ทั้งหลายคือให้แก่โลกหมดแล้ว

    สิ่งที่พระอรหันต์บรรลุคือจิตที่หลุดพ้นจากอวิชชา เรียกว่า อรหัตตมัคคจิต อรหัตตผลจิต
    แต่จิตที่ว่านี้จะเป็นจิตที่นอกเหนือความหมายจากตัวตนแล้ว เป็นจิตที่ถูกปล่อยวางลงคืนแก่โลกแล้ว อรหันต์ไม่ยึดถือว่าเป็นจิตของตนอีกแล้ว อรหัตตผลจิตมีอยู่ แต่ไม่ใช่ของพระอรหันต์อีกแล้ว
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เลิกมั่วเถอะลุง

    "จิตจะติดเป็นบริวารเขาไป" เนี่ยะนะ

    ถ้าพูดแบบนี้ อย่าแสดงดีกว่า มันบ่งบอกว่า ไม่รู้เรื่องเอาเลย

    คุณกลับไปถือคำสัตย์เดิมที่ให้ไว้ดีกว่า ที่ว่า จะไม่สอนผมหนะ
    ทำได้ ยังน่านับถือกว่าอีก
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณCottonFields คุณยกๆมานะ คุณอ่านรู้เรื่องหรือเปล่า
    เมื่อจิตแบ่งออกเป็น๒ ๑.โลกียจิต ๒.โลกุตรจิตแล้ว
    โลกียจิต คือ จิตที่ติดอยู่ในโลกข้องโลก(จิตสังขาร)
    โลกุตรจิต คือ จิตที่พ้นโลกเหนือโลก(จิตที่บริสุทธิ์)
    ถามว่าโลกุตรจิต ยังตกอยู่ในอำนาจพระไตรลักษณ์อีกหรือ?

    คุณไม่เข้าใจเองหรือว่าแกล้งไม่เข้าใจเพื่อเอาชนะเท่านั้น มันขัดแย้งกันเองชัดๆ
    ถ้าสอนแบบนี้แล้วใครจะเชื่อ พูดอยู่หยกๆว่าจิตป็นตัวทุกข์ พอเผลอเข้าหน่อย "ที่จริงความสุขเกิดแต่จิต"
    การพูดแบบนี้เป็นการพูดหลอกเด็กชัดๆ ถ้าจิตเป็นตัวทุกข์การดับจิตก็เท่ากับดับทุกข์สิ?

    ;aa24
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณCottonFields ผมถาม
    จิต เป็นผู้รู้
    อารมณ์ เป็นสิ่งที่ถูกรู้
    สิ่งที่ถูกรู้เกิดดับ หรือตัวรู้เกิดดับ?
    ถ้าตัวรู้เกิดดับ แล้วรู้ได้ยังไงว่ามีสิ่งที่ถูกรู้เกิดขึ้น ขณะที่ตัวรู้ดับอยู่?
    จำไว้นะ การศึกษาธรรมควรยืนอยู่บนหลักเหตุผล ไม่ใช่เชื่อแต่ที่เค้าเขียนให้อ่านเท่านั้น

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณ CottonFields ถ้าไม่รู้ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ
    เพราะที่เขียนมา มันขัดกันเอง ไม่ยืนอยู่บนหลักเหตุผล

    คุณเขียนว่า จิตพระอรหันต์ก็ยังมีอยู่เป็นธรรมดาเพราะเกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัย
    แต่ท่านก็มิได้ถือจิตเป็นของท่าน
    จิตพระอรหันต์ยังต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นอีกหรือ?
    อะไรของท่าน(พระอรหันต์) ที่มิได้ถือจิตเป็นของท่าน?

    การจะเป็นพระอรหันต์เป็นที่จิตหรือที่กาย?
    ปฏิบัติไปแล้วจิตของท่านไม่ใช่จิตของท่าน แล้วเป็นจิตของใคร?

    คุณเขียนว่า ท่านเห็นแต่เพียงเป็นธรรมธาตุที่เกิดตามเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา
    พระอรหันต์ปล่อยวางจิต วางขันธ์ทั้งหลายคือให้แก่โลกหมดแล้ว
    อะไรของท่านเห็น? แต่เพียงเป็นธรรมธาตุที่เกิดตามเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา
    อะไรของพระอรหันต์ปล่อยวางจิต วางขันธ์ทั้งหลายคือให้แก่โลกหมดแล้ว?

    คุณเขียนว่า สิ่งที่พระอรหันต์บรรลุคือจิตที่หลุดพ้นจากอวิชชา เรียกว่า อรหัตตมัคคจิต อรหัตตผลจิต
    สิ่งที่พระอรหันต์บรรลุ ใช่จิตของพระอรหันต์ที่หลุดพ้นจากอวิชชามั๊ย?
    การบรรลุพระนิพพาน เกิดขึ้นที่ไหน ที่กายหรือที่จิตของพระอรหันต์?

    คุณเขียนว่า แต่จิตที่ว่านี้จะเป็นจิตที่นอกเหนือความหมายจากตัวตนแล้ว
    เป็นจิตที่ถูกปล่อยวางลงคืนแก่โลกแล้ว อรหันต์ไม่ยึดถือว่าเป็นจิตของตนอีกแล้ว
    อรหัตตผลจิตมีอยู่ แต่ไม่ใช่ของพระอรหันต์อีกแล้ว

    ถ้าอรหัตตผลจิต ไม่ใช่ของพระอรหันต์ แล้วเป็นของใคร?
    ตกลงพระอรหันต์ของคุณ มีจิตหรือไม่มีจิต เอาให้แน่
    ขึ้นต้นพระอรหันต์มีจิต แต่...ลงท้าย จิตไม่ใช่ของพระอรหันต์

    วิธีเดาสวดแบบนี้เลิกได้แล้ว

    ;aa24
     
  7. THEFOOL23

    THEFOOL23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +136

    ลองฟันเทศน์ ของพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต นี้ดูคับ

    ควรทำอย่างไร เทศน์เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2553

    เสียเวลา ฟรี ๆ ไป 19 ปี เพราะโดนหลอก ทำสมาธิ ผิดทาง

    ฟังแล้ว ไม่ต้องเชื่อ แต่ฟังเอาไว้เป็น แล้วลองตัดสินด้วย ปัญญา ตัวเองดูคับ ว่าจริง หรือปลอม

    ระวังจะเดินทางผิดทั้งชาติ นะ
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมไม่อาจบอกได้ว่าที่ผมรู้กับที่พี่รู้นั้นต่างกันแค่ไหนเพราะ ผมไม่อาจจะอุปโลกตัวเองเพราะคนอื่นได้ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามคำพูดของคนอื่น เรื่องจริงคือ ผมไม่จำเป็นต้องศึกษาเรื่องโพธจิตแต่อย่างใด เพราะย่อมรู้ดีว่าความดีและความชั่วต่างกันเพียงใดเช่นเดียวกัน สิ่งดีและสิ่งไม่ดีก็ย่อมรู้ได้เท่าเทียมกัน ไม่ได้เป็นแบบนี้หรือแบบไหนๆเพราะใคร และไม่ได้ยึดว่าต้องเป็นแบบนี้ถึงเป็นแบบนี้ แต่เท่าที่ผมเห็นก็เห็นเพียงผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจพระสัทธรรม นำพระสัทธรรมมาปฏิรูปเพื่อให้เห็นว่าตนนั้น อยู่สูงกว่าผู้อื่นทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่ได้สูงกว่าใครเลยสักคนเดียว ถึงบอกว่าพิจารณาดีๆ อย่างเรื่องสมาธิสูตรและสารีปุตสูตรที่ยกมาทั้งพี่และเขาหรือใครๆก็หาได้เข้าใจเลยว่าแท้จริงคืออะไร แต่ในที่นี้เห็นว่ามีคนพอเข้าใจแต่ก็ใช้คำรุนแรงเกินไป จนอาจเกิดการเพี้ยงพล้ำต่อกิเลสในตนอยู่ก็มี และส่วนคนที่รู้อยู่ก็มีและไม่แสดงความคิดเห็น เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น แต่ผมขอบอกตรงๆเลยว่า ถ้าโพธิจิต หรือ พุทธจริต แบบที่เป็นอยู่นี้จะทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้นั้น มันเหมือนคนเพ้อละเมอไหลไปตามสิ่งใดก็ตาม ที่หาที่ยึดไม่ได้เลยเหมือนไหลไปเพราะคำพูดของคน และคำพูดที่เกิดขึ้นไม่ว่าเกิดเมื่อใดก็ถือเอาไว้เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ มันเลยกลายเป็นพุทธจิต หรือ พุทธจริต แบบที่พี่เป็นอยู่นี่แหละ ในใจผมมีเพียงแค่ว่า อะไรคือคำสอนของพระศาสดาเท่านั้น โพธิจิตหรือพุทธจริตนั้น มันก็เป็นเรื่องภายใน ย่อมรู้ได้ด้วยตนว่าสมบูรณ์หรือไม่ประการใดในการจะนำสิ่งที่รู้ออกมาเผยแพร่แก่ผู้อื่นทั้งที่ขาดการพิจารณาไตร่ตรองความเหมาะสม ดังนั้นจึงเกิดเรื่องของศรัทธาขึ้นมามากมาย แบ่งได้หลายลักษณะ แต่มีหลักๆเพียงสองคือ ศรัทธาไปทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย กับศรัทธาเพราะรู้เพราะเห็นตาม ดังนั้นข้อเสนอแนะของผมที่มองเห็นในตัวพี่ที่ดูจะเลื่อนลอยออกไปไกลพอสมควร ดูแล้วไม่เหมือนโพธิจิต หรือ ผู้บำเพ็ญบารมีมาทางด้านนี้เลย เพราะปัญญาในการไตร่ตรองธรรมนั้นน้อยเหลือเกินต้องพึ่งคนอื่นอยู่ ถึงขนาดว่าต้องให้คนอื่นชี้นำจึงมีจริตแบบพุทธจริต เพราะอะไรก็ลองย้อนนึกดูในอดีต เพราะผมเองก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนและไม่อยากรู้มากว่าเป็นอย่างไร เพราะหวังแค่เพียงว่า ถ้าเราเข้าใจความหมายของพระสัทธรรมและปฏิบัติตามพระสัทธรรมนั้นเห็นชัดแล้วว่านี้คือพระสัทธรรมแท้ ไม่เคลือบแคลงไม่สงสัย ก็รู้ได้ทันทีว่าควรจะกล่าวหรือไม่ควรกล่าวอะไรๆ ต่อใครๆ และอีกประการหนึ่ง โพธิจิต หรือ โพธิสัตว์นั้น ไม่ปราถนาจะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะความโง่เขลาของตนเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งจะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะการก้าวล่วงก็ไม่ทำ และพิจารณาเสมอว่าทำอย่างไรจึงไม่เป็นอย่างนั้น สรุปคือ มีแต่ความหวังดีแต่ถ้าพูดเรื่องธรรมนั้นต้องแน่ใจจริงๆว่านั่นเหมาะสมกับกาลและแจ้งชัดในธรรมแล้วจริงๆ ไม่เหมือนกับสิ่งที่พี่ทำลงไปไหลไปตามกระแสนั้นหรอก ทั้งที่รู้ว่านั้นคือ สุญตสมาธิ อเนญชาสมาธิ สัญญาเวทยิตนิโรธ แต่เป็นการรู้เพียงตำราเท่านั้น หรืออาจจะไม่รู้ก็เป็นได้ ซึ่งปุถุชนทำได้แต่ไม่ง่ายเหมือนพระอริยะบุคคลหรือพระอริยะเจ้าข้อนี้ก็ต้องพึงเข้าใจ ผมก็ขอเพียงให้พี่พิจารณาในธรรมนั้นใหม่อีกรอบว่าที่ผ่านมาทั้งหมด มันเป็นพระสัทธรรมจริงๆไหม เพราะมันจะเป็นการดีที่ไม่ต้องหลงภพหลงชาติไปอีกมากมายและไม่เป็นบาปที่พาผู้อื่นให้หลงภพหลงชาติไปด้วย เพราะความเขลาของตนเอง
    ผมก็ฝากพี่ไว้แค่นี้พี่จะยอมรับว่าไม่รู้พระสัทธรรมหรือรู้พระสัทธรรมที่ไม่ใช่ตัวหนังสือก็สุดแล้วแต่พี่จะพิจารณาเอาครับ

    มันเหมือนกับว่า
    คนที่ไม่รู้ว่าความสงบคืออะไร จะไปรู้ไปเห็นเรื่องสมาธิได้อย่างไร
    และคนที่ไม่มีสติควบคุมจิต จะไปรู้ได้อย่างไรว่าความสงบคืออะไร
    เช่นเดียวกัน คนที่ไม่รู้ว่ารูปฌานมีอะไรคุม จะไปรู้ได้ยังไงถึงอรูปฌาน
    นั่นคือ คนไม่เคยเห็นของหยาบ จะไปเห็นของละเอียดได้ยังไง
    ข้อนี้เป็นสัจธรรมไหม ไม่รู้ ก็ลองพิจารณาดูเช่นกันเพราะผมไม่เน้นตำรามากนักแต่อ่านเพียงเพื่อรู้เฉยๆครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ที่พูดมาทั้งหมดนั่นแหละ อาการติดตำรา

    แล้วเรื่อง "สุญตสมาธิ อเนญชาสมาธิ สัญญาเวทยิตนิโรธ" อะไรนั่น เขาก็
    เห็นว่า ไม่ใช่ประโยชน์ที่จะไปกล่าวถึงไง เลยไม่จำเป็นต้องอวดว่ารู้ เราก็
    กล่าวเฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อคนธรรมดา แต่พวกสำคัญว่ารู้ เห็นคนอื่นไม่
    พูดก็คิดว่าเขาไม่รู้ เลยขี่แพะอยู่นั่น แบบมั่นอกมั่นใจ แต่น่าสมเพช

    ตกลง จริตคืออะไร โพธิจิต คืออะไร ก็กล่าวแต่เรื่องที่ตัวเองหมกมุ่น แถม
    อาศัยแต่ตรรกะไปเจื่อยๆ

    สติสตังค์ที่คุณอ้างว่ารู้ ถามหน่อยเถอะ หากมีสติแบบนั้นแล้ว คุณคิดว่า
    คุณจะไปสู่ภพไหนได้บ้าง พรหม เทวดา หรือ มนุษย์ ไหนลองตอบมาสิ
    ว่า สติแบบที่คุณชำนาญ รู้ดีนั่น พาไปภพไหนเป็นหลัก เอาแค่นี้แหละ แล้ว
    มันจะเป็นคำตอบเองว่า อะไรใกล้ อะไรไกล
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่านนิวรณ์ อย่าไปเสวนากับคนพาล ที่บ้าๆ บอๆ ทำอะไรไม่ยั้งคิดเลย
    จะทำให้ คนพาล นั้นบาปติดตัวมากไปอีก

    เรา ท่านเถียงกัน มันก็ไม่บาปมาก เพราะมันถกธรรมกัน
    แต่สันดาน คนพาล มันอวดรู้ ตลอด โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าจะมองเหลี่ยมไหน ก็ มีแต่จะเห็นโทษเห็นภัย จะเข้าตัวมันมากขึ้นเท่านั้น

    ตามธรรมดา เปรตกินขี้ มันก็ว่าอร่อย นี่ก็เหมือนกัน

    อย่าเอาขี้ให้มันอีก ท่านนิวรณ์ มันจะกินไม่หยุด
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทำไมถึงกล่าวว่า น่าสมเพช เพราะยึดในรู้อยู่อย่างนั้น

    นี่ เห็นเพื่อนคุณเขาขนกระทู้มา แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับเรื่อง สมาธิ ที่คุณสำคัญ
    ตนว่ารู้ ก็ลองเข้าไปอ่านของเขาหน่อย แล้ว เปรียบเทียบกับสิ่งที่คุณเข้าใจ
    ดูว่า คุณยึดมั่นถือมั่นตำรงตำรา หมกมุ่นอะไรเกินไปหรือเปล่า

    ในนั้นก็มี คียเวิร์ด ที่ผมโยนให้คุณไว้ใช้แทงปริศนาไปแล้ว หาเอาละกันว่ามี
    หรือไม่มี มีแล้วเป็นอย่างไร ตกลงต้องเป็นอย่างที่คุณสำคัญว่ารู้หรือเปล่า

    http://palungjit.org/threads/อุปสมานุสสติกรรมฐาน.225777/
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ใครจะไปบอกได้ ถ้าบอกก็บ้าแล้ว ก็บอกแล้วไงตำราเอยตัวเองก็ไม่รู้ และแถมยังรู้เพราะคนอื่นว่าโพธิจิต เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บำเพ็ญอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ ไม่ยอมรับว่า มันไม่ใช่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ยังจะมาถามเรื่องโง่ๆอีก ไม่เสียเวลาแล้วเพราะว่า หากคิดว่าผมอวดรู้ก็แล้วแต่ แต่ต้องนึกตรองให้ดีๆนะว่า สมาธิในตำรากับสมาธิที่ผ่านการปฏิบัติมานั้นเป็นยังไง ผมแค่เห็นข้อความที่ยกมาของ คุณโพธิสัตว์ ซื่อบื้อ อย่างคุณเท่านั้นแหละเลยทักท้วงและถามไป แล้วทักขึ้นมาแล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่ประโยชน์อีก ก็ทั้งที่มันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลทัวไป ยังจะกล้าเอามาแสดงอีก สารีปุตสูตร เอย อะไรต่อมิอะไรเอย ยังไงๆ ผมก็ว่า คุณโพธิสัตว์ ไม่ครบองค์ประกอบนี้ พิจารณาดีๆในสิ่งที่พูดหน่อยนะครับ โพธิจริตผมบอกแล้วว่าไม่สำคัญเท่า กับพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าควรบอกหรือควรถามหรอกครับ ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นเอาคนอื่นมาเป็นเหตุให้เป็นโพธิสัตว์นะครับ โดยเฉพาะประโยคหลังนี่ยิ่งไร้สติใหญ่เลย เพราะคนที่มีสติย่อมเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องควรถาม ม่ายรู้ว่าคิดว่าเป็นพุทธจริตได้ไง เพราะประโยคนั้นพระศาสดาตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เรื่องควรถามและควรตอบ เรื่องอย่างนี้ยังไม่รู้เลย สงสัยจะรู้แต่เรื่องฤทธิ์เดชที่อุปโลกเอาเองจริงๆ ตามมายาที่หลอกลวงตน ดูแล้วคล้ายหมอดูนะครับผมว่า มากกว่าจะเป็นพุทธจิต หรือ พุทธจริต หรือ โพธิสัตว์
    ผมก็กล่าวไปงั้นแหละไม่ได้อวดรู้อะไรหรอกก็เห็นชอบยกพระสูตรมา เลยนึกว่ารู้ว่ายกมาแล้วรู้ไหมคืออะไร หลายครั้งหลายทีแล้ว จนมาครั้งนี้แหละชัดเจนที่สุดว่า เป็นผู้ไม่รู้ในพระสัทธรรมเลย ทั้งยังไม่ยอมพิจารณา เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ ไอ้ปณิธานที่ตั้งไว้ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ ตนเองนั่นแหละจะพาให้พระศาสนาของพระศาสดาเสื่อมลงเป็นอันมากรู้ตัวไหมเนี่ย ท่านโพธิสัตว์ซื่อบื่อ
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่างนั้นเหรอทั้งสองหลง รวมกันแล้วก็กลายเป็นซูเปอร์หลง คงได้เวลาอันควรแล้วละ ก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่า อะไรเรียกว่าพาล อะไรเรียกว่า หลง และอะไรเรียกว่าไม่รู้ในพระสัทธรรมจริงๆ อย่าลืมนะถ้าไปหาหลวงตาอีกอย่าให้หลวงตาไล่ตะเพิดมาอีกนะครับ
    โชคดีครับทั้งสองท่าน เพราะทั้งสองท่านก็ไปไกลแล้วเช่นกัน
    สิ่งไม่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม ผมก็สังเวชในความเป็นท่านทั้งคู่เช่นกัน เพราะอะไรท่านถึงไม่กลัวว่าท่านเองหละจะเป็นในสิ่งที่ท่านพูด เพราะในอดีตท่านก็ ยิ่งกว่าที่เห็น
    บายๆๆๆ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ประหลาดหนะคุณ คนที่เขาศึกษาธรรมะนี่ ท้ายที่สุด ยังไงเขาก็ต้อง
    พอรู้ได้ว่าจะไปเกิดที่ไหน และที่สุดของที่สุด นี่จะต้องรู้ชัดเลยหละว่า
    เกิดอีกหรือไม่

    ก็มีแต่คุณนี่แหละ ที่รู้เสียทุกเรื่อง เขาก็รู้ๆกันว่าบทสมาธิของพระสารีบุตรนั่น คนที่เขา
    รู้เรื่องหรือเคยสดับนี่ ใครไม่รู้ว่าเป็นสมาธิชนิดไหนก็บ้าแล้ว เพราะอรรถกถา
    แนบท้ายไปอีกสองสามบรรทัด ระบุไว้ชัด คุณอุปทานว่าเขาไม่ล่วงรู้ ก็มั่นอก
    มั่นใจอย่างกิ้งก่าพยักคออยู่นั่น เขาไม่พูด เพราะจะดูสันดานคุณไง ว่าจะแสดง
    ตัว อวดตัวไปอย่างไรบ้าง ก็เรียกว่าเอ้าไม้เสียบลูกชิ้นยื่นให้เล่นๆเอาเพลิน

    ถามว่า ประโยชน์หละมีให้คุณไหม ก็โยน ปริศนา ไปให้แล้ว แต่คุณทะลึ่งงับ
    ในแบบเอาไปสำคัญมั่นหมาย แทนที่จะรับธรรมะไปหาธรรม ทะลึ่งงับเพื่อมา
    มางับคนให้อาหาร

    ไอ้ที่อวดตัวว่ามีสติสตังค์หนะ ตกลง ไปไม่ถึงไหน

    ปฏิบัติไป เพื่อผลท้ายสุดคืออะไร ทะลึ่ง ตอบว่า "ตอบได้ก็บ้าแล้ว"

    ปฏิบัติไป เพื่อมีธรรมเป็นสรณะ เห็นธรรมเป็นใหญ่ แต่ สาม สี่ คำ เห็นอ้า
    ปากงับคนอยู่นั้น

    แล้วขอโทษนะ ใครๆที่เขาเห็น พฤติกรรมคุณหนะ มันไม่เหมือนสุภาพบุรุษเลย

    เพราะ คุณจะเข้ามา ข้ามคนที่คุณเห็นว่ากำลังล้ม ข้ามมันทุกคนที่กำลังล้มแบบ
    ไม่เลือก วันไหนคนๆนั้น ดูเหมือนยืนหยัดขึ้นมาได้ คุณก็หันไปก้าวข้ามคนที่ล้ม
    ลงไปแทน เห็นทำอยู่แค่นี้แหละ คนมีสติดีแบบคุณหนะ

    เลิกหมกมุ่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นสักพักเถอะ แล้วจะมองเห็น

    สุภาพบุรุษข้ามไม้ล้ม!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8844168/Y8844168.html
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อ่านแล้ว ก็ยังนึกขำอยู่ดี ที่ว่าเมื่อไม่รู้และไม่มีแล้วจะออกลายไหนมันก็เหมือนเดิม และเจ้าของกระทู้ก็มีเจตนาเพื่อให้ทุกคนเรียนรู้และไม่หลอกตัวเองไงครับว่ารู้หรือไม่รู้ และเพราะด้วยการมีสติรู้อยู่นั่นแหละ แม้จะไม่มีอะไรเลย ก็ยังเหลือสติอยู่ในที่สุด แน่นอนคนที่คิดว่ารู้แล้วเพราะหลอกตัวเองก็จะไม่เห็นค่าของธรรมบทนี้ ด้วยความเคารพเลยไม่ได้อวดรู้หรอกเพราะไม่มีอะไรที่รู้เองเลย เป็นสิ่งที่พระศาสดารู้มานานแล้ว ก็ยังนึกขำในความไม่มีสาระของคนให้อาหารสัตว์อยู่ดี (นึกว่าเป็นโพธิสัตว์แค่คนให้อาหารสัตว์เองหรอกรึ) ที่พยายามเอาธรรมที่ว่าด้วยสมาธิมากระจายอย่างกระเซอะกระเซิง แล้วก็อีกคนหนึ่งที่บอกว่าผมเป็นคนที่สอนไม่ได้ก็อยากจะบอกว่าถูกต้องที่สุดเลย เพราะเขาไม่ควรค่าแก่การสอนผมเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้หยิ่งหรือถือมานะแต่อย่างใดเพราะธรรมแบบนั้นมันไม่สมควรจะเอามาให้รู้หรอก ไอ้ความหยาบคาย ในกาย วาจา ใจเอย และผมก็ยืนยันอยู่ดีว่า คุณคนให้อาหารสัตว์นั่นแหละน่าจะพิจารณาเอาเองว่าเขาโพสต์เพื่ออะไร โพสต์เพื่อให้ธรรมนั้นสอดคล้องกับความต้องการของเขาหรืออย่างไร จะมาบอกว่ารู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ยังโพสต์เพราะรู้ว่าจะมีสัตว์มาโดดงับ ยิ่งดูก็ยิ่งขำ ใกล้หรือไกล สุดท้ายไปไหน มันก็เรื่องของบุคคล จะเอามาประกาศปาวๆๆ ว่าฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ เพื่อให้ได้อย่างนั้นให้ได้อย่างนี้ เอออยากถามอีกเรื่องหนึ่งคือ ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน หรือ สองผู้ให้อาหารสัตว์นี้ แท้จริงคือผู้ปราถนาพุทธภูมิใช่ไหม เพราะถ้าใช่ คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะยังไงๆ ก็ไม่จบแค่นี้หรอก และเพราะยังเป็นกันอยู่อย่างนี้อยู่ก็คงไม่มีวันรู้ที่มาที่ไปของตนเองได้หรอก และที่ไม่พูดเพราะมันไม่ได้อะไรมีแต่จะทำให้หลงคิดว่าตนนั้นดีวิเศษวิโสกว่าผู้อื่น เหมือนอย่างที่คนให้อาหารสัตว์ทำและคิดกับสัตว์ทั้งหลาย แต่บังเอิญที่สัตว์ทั้งหลายเป็นมนุษย์เวไนยสัตว์ จึงชี้ทางได้ด้วยให้ใช้ปัญญาตนเองได้คิด สัตว์ทั้งหลายจึงรู้ว่าจะงับและกลืนกินหรืองับแล้วปล่อย ส่วนนี้คนให้อาหารสัตว์คงไม่รู้เพราะคิดแค่ว่า เป็นการให้อาหารสัตว์ ต้นตอของความคิดของจิตก็เป็นแบบนี้แล้ว ก็สมพรปราถนาแล้วกันที่จะได้เป็นคนให้อาหารสัตว์ต่อไปนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พูดแบบนี้ กูจะเมตตาบอกอะไรให้เอาบุญ

    มึงเคยสร้างประโยชน์อะไรให้กับ เพื่อนที่นี่ หรือยัง หรือว่ามึงด่าเป็น ตำหนิเป็น
    มึงเคยแนะนำอะไรใคร ด้วยใจห่วงหาอาทรณ์ เขาหรือยัง
    มึงดีแต่จะไปสนใจว่า คนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร มึงจะตะเกียกตะกายให้เหนือเขา

    สันดาน

    มึงมีจิตพยาบาท อยากเห็นคนอื่นเขา ฉิบหาย ด้วยว่ามึงเป็น พระอริยะ หรือ คนมีบุญญาธิการ ดีแต่สอนคนอื่น ตัวมึงเอง พัฒนาไปได้แค่ไหน
    คอยมาดูว่า กูจะบรรลัย เพราะคำสาบของมึงหรือเปล่าใช่ไหม

    ถามสมาธิ ไม่รู้ ถามศีลไม่รู้ ถามปัญญาไม่รู้ ในหัวมึงมีแต่ขี้ขยะ ที่เอาแต่จดจำ แต่สันดานมึงมันไม่มีอะไรพัฒนาเลย

    กู ตอบปัญหาให้คนมีความรู้มาเท่าไร นายนิวรณ์ เขาให้ความรู้คนมาเท่าไร
    เพื่อนๆ คนอื่นๆ เขาเอาธรรมมาโพส มาแปะ มึงก็เสือกไปพูดว่า เขาว่า เขาทำไปเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ กระแนะกระแหนเขา ด้วยปากดุจดังสตรีของมึง

    มึงอย่าเอาคนต่ำมาเทียบกับกู เอาหมามาเทียบกับกูยังจะดูดีกว่า กูจะตำหนิใคร กูเห็นโทษ แล้วกูตำหนิไปด้วยสอนไปด้วย ด้วยเหตุด้วยผล มึงมันตำหนิคนด้วยปากสตรีอย่างเดียว

    แล้ว ความชั่วมึง ยังมีอีกมาก มึงไม่เคยสำรวจ ดีแต่ว่า คนนั้นแบบนั้นคนนี้แบบนี้ ตัวมึงเองเอาดีไม่ได้ต่างหากไม่ดู

    แล้วกูจะเตือนมึงครั้งนี้พอ ถ้ามึงยังจะตะแบง ก็เรื่องของมึง สันดาน
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สันดานตัวเมีย โพสแล้วลบ ยังเสือกเสี้ยมอีก
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละถึงเชื่อไม่ได้ไง ทำอย่างกับว่าตัวเองสันดานดีอย่างนั้นแหละ พอไม่ถูกใจตนเองก็คิดว่าเขา ติดอคติพยาบาทตน และผมไม่ได้ลบมันยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ เพราะยังไงคนที่สันดานตัวเมียนั้น มันก็คือตัวคุณนั่นแหละ และเหตุที่คุณมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นธรรมเพราะคุณมีแต่ ทิฐิ กลัวว่าจะเสียหน้าต่างๆนานาๆ ผมจึงไม่ฟังคำสอนคุณ ส่วนคำสอนหรือคำแนะนำต่อผู้อื่น ผมก็มีอยู่แต่ต่อเมื่อมันจำเป็นเช่นคุณนั่นแหละ สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่คุณคาดคะเนเอาตามความมีแห่งกิเลสตัณหาในตัวคุณทั้งนั้น และที่จิตคุณมองไม่เห็นว่าอะไรเรียกหน้าตัวเมีย อะไรเรียกหน้าตัวผู้ นี่แค่ขนาดว่าเจอกันแบบไม่รู้หน้าตากันคุณยังระงับความคิดอันหมักดองและตำทรามไว้ไม่ได้ แล้วถ้าเจอกันจริงๆ คุณจะเอาอะไรมาระงับ แค่นี้ผมก็พิจารณาได้ว่า อะไรเรียกว่า ธรรมที่เป็นจริงได้และมีในตนได้ คนมีกิเลสหนาปัญญาทึบยังไงๆก็เป็นคนมีกิเลสหนาปัญญาทึบอยู่ดี หากว่าที่ผมเตือนไปนั้นเพราะว่าผมพยาบาทในตัวท่านทั้งหลายหรือกลุ่มมิตรสหายของท่านทั้งหลายแล้ว ต้องถามตัวท่านเองก่อนว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น เคยทำอย่างนั้นมาก่อนเหรอหรือปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น คนอย่างท่านไม่สมควรจะสอนธรรมใครเลยท่านก็ยังไม่รู้ตัวเอง และตอนนี้สันดานผู้หญิงของจริงก็ปรากฏออกมาแล้ว ว่าอะไรคืออะไร งั้นก็ตามแต่ท่านปราถนาเช่นกัน ส่วนเรื่องธรรมจะยกมาให้ดูบ้างว่าธรรมที่ผมมีมันมีน้อยเท่านี้แหละ
    http://palungjit.org/search.php?searchid=192258
    คุณสนใจอันไหนก็ไปอ่านเอา จะสอนก็สอนตนเองก่อนจะได้ไม่แสดงอาการเสื่อมออกมาดังที่เห็นครับ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมไม่ได้ลบแล้วผมจะลบทำไมเพราะมันไม่ได้แฝงอะไรนี่นา แต่เพราะคุณมีจิตอันสกปรกเกินกว่าจะนำธรรมมาใช้ได้ เลยปรุงแต่งไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...