พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมก็รู้อยู่จึงเตือนผู้อื่น เพราะอย่างไรท่านก็หาได้นำพาธรรมมาสู่ใจท่านหลอกครับ คนที่เอาดีไม่ได้ กับคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่าอะไรคือดีอะไรคือไม่ดี เอาแต่พูดแจ้วๆๆๆๆ ผมก้อเตือนไปตามสมควร ผมก็เห็นว่าหลวงตาท่านไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นออกมาแล้วหลายคน ผมเองก็ไม่เคยโดนเพราะไม่เคยไปหาท่านเลย หลวงตาบัว หากไปหาท่านคงมีธรรมเข้าสู่ใจมากกว่าที่เป็น มากกว่าที่เห็นก็เป็นได้ หรือท่านไปมาแล้วและโดนตะเพิดมา จึงไม่มีเลย บังเอิญอีกนั่นแหละผมรู้ว่า หากผมเองเอาดีไม่ได้แล้ว ท่านคิดว่าจิตใจแบบท่านเรียกว่า เอาดีหรืออย่างไร ยิ่งทำไปก็ยิ่งดูเป็นคนฟุ้งซ่าน ขาดสติ ในตนเอง ไปหาหลวงตาเถอะไปอยู่กับท่านสักพักจิตใจจะได้ สงบ สมาธิ ที่เสื่อม ความดีที่เสื่อมไปจะได้ สร้างขึ้นมาใหม่ หรือ เอาง่ายกว่านั้น พิจารณาใหม่อีกทีลดทิฐิมานะในตนเองเสีย จะได้ไม่ต้องเป็นแบบนี้ อยากจะพูดตรงๆนะครับ ว่าดูคล้ายคนเสียสติหรือกำลังจะบ้า ที่ตอบคำถาม หรือโพสต์ออกมาแบบนั้น
    ยังไงผมก็หวังดีอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลงอยากให้พิจารณาให้ดีๆเท่านั้น ถ้าผมอวดไปว่าผมดีกว่าท่าน ผมรู้มากกว่าท่าน ผมอยู่ในที่ๆท่านไม่รู้ไม่เห็นได้ มันจะได้อะไรเพราะสิ่งเหล่านั้นคือ สักกายะทิฐิ โดยแท้ เช่นที่ท่านเป็นอยู่ ผมคงทำได้เพียงเท่านี้เหลือแต่ท่านแล้วว่าจะช่วยตนเองอย่างไร
    อนุโมทนา ขอให้พ้นทุกข์นี้โดยเร็วด้วยตัวท่านเอง
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอาเท่านี้ก่อนครับ

    หากเราคิดว่า คนอื่นโง่ เราก็โง่กว่าเขา

    หากเราคิดว่า เราโง่ เราก็โง่จริงๆนั่นล่ะ

    หากเราคิดแบบกลางๆ แสดง ว่าเราเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว
    ....หลวงปู่พุธ ฐานิโยกล่าวไว้



    ..หาก พี่ 5ห่วง วางลงทีละห่วง และเริ่มคิดแบบไหน หากเริ่มคิดแบบกลางๆ

    ปัญญาในทางโลกียะ ก็เริ่มเดิน ไปหาปัญญาทางโลกุตระ
     
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    เหนือเหตุเหนือผล....?


    เมื่อไม่ทำเหตุ ผลก็คืออุปทานย่อมไม่เกิด...

    ตรงที่ไม่มี ความพอใจและไม่พอใจ อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น...

    เรียกว่านอกเหตุเหนือผล
    ตรงที่ไม่มีภพคนไม่ค่อยรู้จัก...


    เมื่อไม่มีเหตุ ไม่มีอุปทาน นั้นเรียกว่า ดำเนินตามองค์มรรค
    นิโรธ ดับแล้วซึ่งอุปทาน ไม่สร้างแล้วซึ่งเหตุแห่งอุปทาน


    อันนี้ก็เรียกว่าดำเนินมรรค
    ก็ยังเรียกว่านอกเหตุแห่งอุปทาน เหนือผลคืออุปทาน

    ตรงที่ไม่มีภพคนไม่ค่อยรู้จัก...


    โลกียะ ก็คุยทุกเรื่อง มั๊ง :)
    โลกุตระ ก็คุยภึงเรื่องนี่คือทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่คือทางดำเนินที่ไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์(หรือทางเพื่อความดับทุกข์) นิโรธ(อันนี้คุยไม่ถูก :))
    ทั้งหมดนี่เดาเอานะมั่วซั่วไป อย่าว่ากันถ้ามั่วผิด



    ผมพวกโลกุตะเลอะ ก็ชอบคุยเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ทำอย่างไรจะเพิ่มเติมให้มีให้เกิดขึ้นได้บ้าง ทำอย่างไรจะได้มีศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา อะไรพวกนั้น (แอบอวดดีซะหน่อย :))

    จริงแล้วอาจจะชอบคุยเรื่อง ดารานักร้อง การเมือง คนทะเลาะกัน นินทาชาวบ้านมากกว่า น่าจะจัดเข้าพวกโลกีเยอะมากกว่า 555 :)
    โลกุตะเลอะกับโลกีเยอะ ยังไงก็คุยเหมือนกันหละน่ายังมีความคิดยังมีปาก


    คุยกันสนทนาธรรมตามกาลก็เป็นมงคลสูงสุดอย่างนึง
    แม้ศาสดาเอกของโลกท่านก็ยังพูดคุยกับปุถุชน
    อย่าไปคิดมากเลยท่านอภิมหาจอมปราชญ์ 00000


    ถ้าท่านไม่รังเกียจโลกีย์เยอะอย่างผมก็ยินดีสนทนาด้วยเน้อ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กุมภาพันธ์ 2010
  4. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    พระอริยะ...ท่านจะสนทนามีใจความไปในทาง....ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง

    ความยึดมั่นเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น...จึงไม่ควรถือมั่นในสิ่งใดใด



    โลกุตรธรรม....เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย

    ไม่สามารถใช่เหตุผลของมนุษย์หรือตรรกกะใดใดมาอธิบายได้

    เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปถุชนไม่เคยเห็น เช่นพระอริยะท่านจะเห็นว่า...

    ไม่มีตัวเราในที่ใดใด... ความเห็นนี้...มนุษย์อ่านเข้าก็ไม่เข้าใจว่า

    มันเป็นอย่างไรและไม่เชื่อว่าสภาวะนี้มันมีจริง....
     
  5. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เหนือเหตุเหนือผล ไม่ค่อยได้ฟังพระเทศเท่าไรห่นะครับส่วนไหย่ดูที่กายใจตัวเองอย่างเดียว

    คำนี้ก้ไม่ได้ยินมาจากไหน แต่ที่คุนกล่าวถึงกันว่า เหนือเหตุ เหนือผล
    ผมก้เดาว่า มันเหนือเหตุ เพราะ ไม่ยึดไม่มีอวิชามาปิดบังเหตุเลยเป็นเหตุที่กระจ่าง เหนือผล ก้คือไม่มีตันหาทยานอยากก้เลยไม่สร้างภพต่อ มันก้เลยเป็นผลที่หลุดพ้น เพราะไม่สานต่อตัดยอด ไม่เกิดอีกไม่ก่ออีก ผลมันเป็นสภาวะ นิพพาน ไม่สร้างภพ * *
    มาร่วมด้วยคน ตามมายทิฐิ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอร่วมสนุกด้วยคน ตามประสาโลกียะชน มีแต่ปัญญาทางโลกมาตอบ นะ

    1.ขอถามเพื่อให้มี ปัญญาและหายโง่และดื้อรั้นหน่อยเถอะ
    ตอบ การถามแล้วได้คำตอบที่พอใจทำให้ใจเราสงบได้ แต่ถูกหรือไม่ถูก
    เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นการถามย่อมไม่เกิดปัญญาแบบ 1+1 = 2 ทุกครั้ง
    แต่การถามเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญาได้ หรือเกิดเป็นความสงบในใจได้
    ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาตามจริงได้ถูกส่วน ถ้าถามแล้วไม่ดูที่ใจตัวเอง ว่าได้
    อะไร ก็จะไม่มีวันหายโง่และดื้อรั้น เหมือนการเทน้ำทิ้งลงพื้นทราย มีแต่ซึมหาย
    ไปกับพื้นทรายไม่มีประโยชน์ต่อ ตัวเองและผู้อื่น ก็กลายเป็นถามไปเรื่อยๆ
    โดยไม่ได้อะไร และถ้าจะถามเพื่อให้คนอื่นได้ปัญญา ต้องมีความอุสาหะสูง
    มากกว่าปกติ กว่าที่คนอื่นจะตอบสนองต่อคำถามของเราด้วยปัญญาของเขา
    เราอาจจะเสียสติไปซะก่อน ก็ได้

    2.ธรรมในระดับโลกียะของผู้ที่ยังอยู่ ในโลกียะจะคิดกันอย่างไร
    ตอบ โลกียะมองเห็นโลกเป็นคู่ มีสองด้านเสมอ มีถูก-ผิด ชอบ-ชัง ยินดี-ยินร้าย
    มีเลือกข้างมีพวกมึง-พวกกู มีกูถูก-มึงผิด เป็นต้น ซึ่งความจริงแล้ว
    ถ้าเอาตามปัญญาของโลกียะนั้น อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
    เพราะไม่มีใครรู้ถูกรู้ผิดตามจริงแห่งสัจจะธรรมมีแต่รู้ด้วยความคิด
    สัญญา ญาณลวง จึงเรียกว่ารู้ตามโลกตามโลกียะธรรม
    ไม่ได้รู้พ้นไปจากความคิด อันเป็นสมมุติบัญญัติได้เลย และถ้าบังเอิญคิดถูก
    ไปตรงกับสัจธรรมความจริง ก็ไม่นับว่ารู้จริงรู้แจ้ง เพราะเป็นการ
    รู้ด้วยความคิดและสัญญาหมายรู้ วันนี้รู้ถูกแต่วันหน้าอาจบิดเบือนไปรู้ผิด
    ก็ได้ เพราะ ความคิดและสัญญาหมายรู้ มันพลิกคว่ำพลิกหงายได้

    2.1 การถกเถียงกันจะเป็นอย่างไร.
    ตอบ การถกเถียงจะไม่มีสิ้นสุด ถ้าความคิดยังคงอยู่
    ก็เถียงด้วยความคิดกันต่อไป จนกว่าจะยอมแพ้ไปรวมอยู่เป็นข้างเดียวกัน
    กลายเป็นพวกกู เมื่อไร ก็ไม่ต้องเถียงกันอีก หรือ เถียงกันจนความคิดรวม
    กันเป็นหนึ่งมีข้อสรุปได้ ก็หยุดพักกันชั่วคราว พอมีประเด็นใหม่ ก็จะเริ่ม
    เข้าสู่วังวนเดิม และจบด้วยวังวนเดิม คือ ถ้าไม่รวมข้างเป็นพวก ก็แยกข้าง
    กันไปเป็นพวกมึง-พวกกู ต่างคนต่างอยู่ โคจรมาเจอกันเมื่อไร ก็เอาความ
    คิดที่ไม่ตรงกัน มาฟาดฟันกันต่อเพราะกิเลสมันชอบมั้ง มานะก็ชอบด้วย
    ทำแบบนี้มันเหมือนให้อาหารกับมานะ ให้อาหารกับกิเลส จะได้มีเรี่ยวแรง
    มาถกเกียงกันด้วยความคิดได้เรื่อยๆ แบบว่าแรงดีไม่มีตก

    3.ส่วนธรรมในระดับ โลกุตระเป็นอย่างไรและอริยะบุคคลจะสนธนาธรรมอย่างไร..
    ตอบ ให้ไปดูตัวอย่าง หลวงปู่หลวงตาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านสนทนาธรรม
    ต่อกัน อย่างเรายังไม่ได้บรรลุธรรม ก็คงทำไม่ได้ แต่สมควรรู้วัตรปฏิบัติ และ
    เอามาเป็นแนวทางฝึกฝนให้ตัวเองเดินตามผู้ใหญ่ได้ถูกมรรควิธี
    เพราะยังมีผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีเป็นแนวทางอยู่ก็สมควรศึกษาเป็นความรู้ประดับตัว
    และพึงเตือนตัวเองไว้เนืองๆ เวลาทำอะไรนอกลู่นอกทางไปจากครู อย่าเพิ่ง
    หวังดีเอาไปเตือนคนอื่น ให้เตือนตัวเองให้ได้ก่อน

    4..ระดับโลกียะเห็นธรรมอย่างไร..
    ตอบ เห็นโลกเป็นคู่ เป็นข้าง ทุกสิ่งมีค่าวัดค่าได้ ต้องมีเหตุและมีผลเสมอ

    5..ระดับโลกุตระเห็นธรรมอย่างไร..
    ตอบ เห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวไม่ให้ค่า หรืออาจจะไม่เห็นโลกแบบเดิมแล้ว
    เห็นแต่ธรรมหนึ่ง (เดาเอาจากความคิดนะ พูดได้เพราะจำเขามาแต่นึกภาพไม่ออก)

    6. ..เหนือเหตุเหนือผล..เป็น อย่างไร..ทำไมถึงเป็นเช่นนี้..
    ตอบ ไม่มีถูกผิด ไม่มีเลือกข้าง ไม่ให้ค่า ไม่มีเหตุและผลก็ไม่มี ไม่มีนิวรณ์
    ห่างไกลกิเลส เพราะรู้แจ้งอริยะสัจ4 จึงเป็นเช่นนี้ได้ (ฟังจากคำสอน
    พระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ต่างๆ แล้วสรุปด้วยความคิดออกมาอีกที)
    การรู้แจ้งอริยสัจ4 ต้องปฏิบัติตาม มรรคมีองค์8 ย่อเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
    เลือกกรรมฐานที่ทำให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา และปฏิบัติตาม มรรคมีองค์8
    ย่อมไปถึงจุดหมายได้ในที่สุด ถ้าไม่เลิกกลางทางซะก่อน

    หวังว่า คำตอบจะถูกใจท่าน 00000 บ้างนะ ถ้าไม่ถูกใจท่าน ก็ขออภัยด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2010
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ๑ ทำไมถึงอยากรู้ และทำไมถึงคิดว่ารู้แล้วจะหายโง่ (ยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น)
    ๒ โลกียะเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก โลกุตระเกิดจากการออกจากตัณหาความทะยานอยากต่องสิ่งนั้นๆ หรือทั้งหลายเหล่านั้น
    ๓ การถกเถียงกันจะเป็นอย่างไร.การถกเถียงมีสองกรณีคือใช้ปัญญานำกับใช้กิเลสนำ เมื่อใช้ปัญญานำการถกเถียงก็คือการสนทนาธรรม เมื่อใช้กิเลสนำการถกเถียงก็คือการถกเถียงหากไม่รู้ตัวทั้งสองฝ่ายก็จะได้ผลลัพธ์คือความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในจิตทั้งตนและผู้พบเห็น ดังนั้นข้อสำคัญต้องรู้ว่าปัญญาในการใช้สังขารขันธ์ทั้งหลาย อันมี มโน วจี กาย นั้นเมื่อใดจะเป็นอกุศลต้องรู้จักห้ามและเป็นการฝึกสติปัญญาที่ดีวิธีหนึ่งด้วย
    ๔ ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ ละวางกิเลสตัณหา มายา อันมีโทสะ ราคะ โลภะ โมหะ ได้ธรรมนั้นเป็นของพระอริยะ และธรรมใดก็ตามที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่รู้จบ พระอริยะไม่กล่าวถึง
    โลกีย์ ไม่ต้องแปลหรอก เห็นยังไงก็โลกีย์ ถ้าประกอบด้วยตัณหาอุปปาทาน
    โลกุตร ไม่ต้องแปลหรอก เห็นยังไงก็โลกุตร ถ้าไม่ประกอบด้วยตัณหาอุปปาทาน
    ๕ นิพพาน นี้เป็นสมมุติบัญญัติ ที่ขยายความว่า ไม่มีเหตุและไม่มีผล ไม่ได้อยู่เหนือหรืออยู่ใต้ ไม่มีสมมุติใด เพราะทั้งเหตุและผลต่างก็เป็นสิ่งสมมุติ เพราะปัญญาวางแล้วซึ่งสมมุตินั้นๆ
    ตามความเข้าใจของผมนะครับ หากมีคุณค่าก็พิจารณาเอา หากไม่มีค่าอะไรก็ขอให้ท่านทั้งหลาย อย่าทำอกุศลให้เกิดแก่จิตท่าน
    อนุโมทนาครับ
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโป ถ้าคุณจะสนทนาธรรมกับผมแล้ว
    เมื่อผมถามอะไรไป ช่วยแบบตรงไปตรงมา
    อย่าพาออกนอกประเด็น ซึ่งขาดเหตุขาดผล

    โลกุตรจิตหรือจิตบริสุทธิ์ชั้นพระอรหันต์ เป็นอมตะธรรมใช่มั้ย?
    โลกุตรจิตหรือจิตบริสุทธิ์ชั้นพระอรหันต์ ไม่กลับเกิดในภพต่างๆอีกแล้วใช่มั้ย?
    โลกุตรจิตหรือจิตบริสุทธิ์ชั้นพระอรหันต์ เที่ยงแท้ตรงต่อพระนิพพานแล้วใช่มั้ย?

    ใครที่ยึดว่ามีเราในทุกๆที่?
    แล้วที่พระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา
    เราในที่นี้ใครหละ? ใช่จิตของผู้ปฏิบัติตนใช่มั้ย? หรือของใครก็ไม่รู้เดาๆเอา?

    "เราทั้งหลายจักเป็นผู้ฉลาดในวารจิตของตน"
    จิตของตนผู้ปฏิบัติใช่มั้ย? ใช่จิตของเราผู้ปฏิบัติมั้ย? หรือของใครก็ไม่รู้เดาๆเอา?

    "ธรรมนี้มีอยู่แก่เราหรือว่าไม่มีหนอ เราเป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ"
    ใช่จิตของเรามั้ย? ที่เป็นผู้ไม่พยาบาทใช่มั้ย? หรือของใครก็ไม่รู้เดาๆเอา?

    "มุนีปลงเสียได้แล้วซึ่งกรรมที่ชั่งได้ และกรรมที่ชั่งไม่ได้ อันเป็นเหตุสมภพ
    เป็นเครื่องปรุงแต่งภพ และได้ยินดีในภายใน มีจิตตั้งมั่น ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย เหมือนนักรบทำลายเกราะฉะนั้น ฯ"

    พระพุทธพจน์นี้ชัดเจนนะ "มีจิตตั้งมั่น ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย เหมือนนักรบทำลายเกราะฉะนั้น"

    "ดูกรพราหมณ์ ความเพียรเราได้ปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน สติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน
    กายสงบระงับแล้ว ไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์แน่วแน่ ดูกรพราหมณ์ เรานั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม"

    คุณโป ไหนบอกว่าท่านพระโสดาไม่มีเราในที่ทั้งปวง แล้วทำไมพรพพุทธพจน์ยังมีเราอยู่หละ?
    อย่าลืมนะว่า พระสาวกไม่กล่าวขัดแย้งกับพระศาสดาใช่มั้ย
    เรานั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ใครที่สงัดจากกามและสงัดจากอกุศล?
    ใช่จิตของพระพุทธองค์ใช่มั้ย? หรือของใครก็ไม่รู้เดาๆเอา?

    "เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจาก
    อุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ โน้มน้อมจิตไป"

    ใช่จิตของพระพุทธองค์ใช่มั้ย? หรือของใครก็ไม่รู้เดาๆเอา?

    หัดค้นดูในพระสูตรต่างๆบ้าง มีคำว่าเราถมเถไปหมด ไหนบอกว่าไม่มีเราในที่ทั้งปวง
    ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาที่ยืนอยู่บนหลักเหตุผล ไม่ใช่เดาเอาซะเมื่อไหร่หละ?
    ต้องมีตนผู้เข้าถึงธรรม มีเราที่บรรลุถึงธรรม มีเขาที่ต้องเป็นผู้รับกรรมดีกรรมชั่ว ใช่มั้ย?
    ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดอะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่
    แล้วพระพุทธองค์จะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอมตะธรรรม(ธรรมที่ไม่ตาย)ไปทำไม?
    ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ มีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น เพราะที่สุดแล้วอะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่
    คนที่ศึกษาศาสนาอื่นๆมาคงต้องอดหัวเราะเยาะเอาได้หรอกว่า มั่วแต่ค้นหาสิ่งไม่มีอยู่จริง...

    ;aa24
     
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เราในที่นี้คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือเปล่าละ เมื่อเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ยังไงๆมันก็มีเรา เขา บุคคล ตัวตน สัตว์ อะไรก็ตามทำให้เป็นเราได้สิ่งนั้นเรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น
    ใช่นั่นจิตของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอาลัยว่านั่นเป็นของพระองค์หรือไม่แต่อย่างไร และยังคงย้ำเตือนเสมอว่า พึงมีสติระลึกรู้ว่า นั่นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนและไม่ใช่ของๆตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะอย่างที่เห็นหากพระศาสดามีความยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นพระองค์ จิตนั้นคือของพระองค์แล้ว พระพุทธวจนะที่ว่าด้วยนิพพานจะขัดแย้งไปหมด และไม่ได้ขัดแย้งในผู้รู้และอริยะสงฆ์อริยะบุคคลแต่ประการใด แม้แต่ธรรมเดิมๆก็เช่นกัน มันจะขัดแย้งในตัวของท่านทั้งหลายที่มีความยึดมั่นถือมั่นเองนั่นแหละ เกิดอัตานุทิฐิ เป็นทิฐิปาทาน ที่ตนเองนั่นแหละ พระศาสดาไม่ได้ทรงสอนไห้ถือครองไว้ด้วยความยึดมั่นถือมั่นหรอกแม้จะเป็นจิตก็ตาม ทรงสอนให้ถือครองไว้ด้วยสติ ใช้ปัญญาถอดถอนกิเลสตัณหาอุปปาทานนั้น และคืนไว้ตามธรรมนั้นเหมือนเดิม พระศาสดาและพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจึงไม่ให้ถือครองเอาไว้ว่านั่นเป็นเรา เพราะคำว่าเราในความหมายของพระศาสดาก็คือ บัญญัติให้รู้ว่ามีว่าเป็น และในที่สุดก็ให้ละวางลงและคำว่าเราจะกลายเป็นเพียงความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สรรพสิ่งในโลกนี้ มีเหตุมีผล ทุกอย่าง
    แต่คำว่า เหนือเหตุ เหนือผล นี่ จริงๆ แล้ว มันเหนือเหตุ เหนือผล ของคนทั่วไปที่จะนึกคิด

    เพราะคำว่า โลกุตระคือเหนือโลก เมื่อเหนือโลกแล้ว เหตุผลเดิมๆ แบบที่โลกคิดมามันก็เลยใช้ไม่ได้ แต่จริงๆ มันก็อยู่ในเหตุในผล นั่นแหละ

    นอกเหนือไปจาก เรื่อง ธรรมดา แล้ว ยังมีเรื่อง การทรงคุณวิเศษ การทรงคุณวิเศษนี้ ต้อง ย้อนกลับไปว่า ทำไม โลกนี้จึงเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ เพราะมาจากอำนาจจิต ที่มีอำนาจสูงนั่นเอง
    ดังนั้น เมื่อพระอริยะหลุดพ้นแล้วจากอำนาจแห่งโลกีย์ ท่านจึงมีคุณวิเศษ ที่นอกเหนือเหตุผล เมื่อ ผู้ทรงคุณวิเศษ คิดนึกอะไร หรือ กล่าวคำพูดอะไรแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า เป็นจริงอยู่เสมอ
    อย่างพระอริยะ องค์สำคัญๆ นี่ ท่านนึกจะรู้เท่านั้น ท่านก็รู้ได้เลย แล้วแม่นยำไม่มีผิด

    รวมไปถึง การทรงอภิญญาต่างๆ ในบาลี ใช้คำว่า เพียงแค่ น้อมจิตไปเท่านั้น
    น้อมจิตนี้คือ เอาจิตให้มันไปในทิศทางที่เราต้องการ เช่น น้อมไปรู้ น้อมไปเพื่อฤทธิ์
    จะได้ ตามประสงค์ ตามวาสนา บารมีที่สร้างมา

    นี่แหละ เหนือเหตุ เหนือผล

    แต่ ปุถุชน ยังมีเหตุผลไม่ถึง ก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ ว่าทำไม
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่ค้านแล้ว บัญญัติโดยสภาวะ พระอริยะทั้งหลายท่านใช้มาดีแล้ว ผมตรึกตรองดูแล้ว มันก็หาบัญญัติอื่นมาใช้ได้ไม่ดีกว่านี้

    "จิตหลุดพ้น" หรืออื่น ๆ ถ้ามันพ้นไปจากกิเลส จะเรียก จิตหนึ่ง จิตเที่ยง ขันธ์ที่ไร้อุปทาน นิพพาน ขอให้มันพ้นโลก สิ้นการปรุงแต่ง ตัดขาดสงสารวัฎ ก็ประเสริฐแล้ว
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ถูกต้องแล้ว สาธุ ที่มีจิตอยากพ้นทุกข์

    การจะพ้นทุกข์ ต้องมีสติ เห็นทุกข์เกิดกับใจ ให้บ่อย แล้ว หาทางแก้ไข ด้วยตัวเอง
    โดย มีเครื่องมือหลัก คือ ไตรลักษณ์ เอาให้เห็นไตรลักษณ์ให้เกิดกับใจ แล้วใจยอมรับ
    คราวนี้ ทุกข์อะไร จะเกิดกับใจเราก็ตาม
    1 มีสติเห็นทุกข์
    2 รู้ ไม่หลง และ เห็นจนชินแล้วว่า ทุกข์ทั้งหลาย เป็นไตรลักษณ์ ไม่หลงไม่สร้าง
    3 จิตที่ถางทางไปใน กุศล ในการ ปล่อย วิราคะ บ่อยๆ โดยอาศัยปัญญา จาก 1 และ 2 นั้นแหละ จะทำให้เราเห็น สมุทัย และ นิโรธ ทั้งปวง
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ศาสนาหมายถึงพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เหลือนอกนั้นเป็นที่พึ่งโกหกพกลม เป็นโลกีย์ มีแต่โทษล้วนๆ สุปฏิปันโนในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงพระโสดาบันเป็นต้นไป จึงเอาเป็นประมาณได้ ต่ำกว่านั้นลงมาเป็นโลกีย์


    นะโม พระโสดาบันเป็นนะโม ที่ไม่สงสัยหนทาง และไม่ลูบคลำหนทางด้วย และไม่ถือตัวด้วย ที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ น่ะ มีผู้แนะนำไปในทางดี พระโสดาบันก็ยอมรับฟัง ไม่หากินทางคัดค้านหน้าเดียว เรียกว่าไม่ถือตน ถือตัว เรียกว่าละสักกายทิฏฐิ ไม่ถือตนถือตัว รักการไม่ถือตนถือตัว เด็กๆ พูด ถ้าเป็นธรรมะก็ยอมฟัง ยอมรับ ยอมพิจารณา เพราะอัสสิมานะเบาไปแล้ว เข้าโลกุตตระแล้ว เห็นฝั่งพระนิพพานแล้ว เห็นฝั่งความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว คือฝั่งพระนิพพาน คือฝั่งความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จะโลภเอาอันใดในไตรโลกธาตุนี่เพราะมีแต่ของเกิดขึ้น แล้วแปรปรวน และแตกสลาย

    อนุโมทนากับผู้นำธรรมนี้ของหลวงปู่หล้ามาให้อ่านครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขอให้รักษาสติไว้ เพื่อให้เกิดปัญญา สามารถเอาชนะกิเลสที่มีในตนได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายมาจากกิเลส เพราะกิเลสก็มาจากความยึดมั่นถือมั่น ทั้งหมดมาจากความปรุงแต่งไปเพราะความไม่รู้ในเหตุทั้งหลาย เท่านั้น
    อนุโมทนาด้วยครับ ทุกๆท่าน
     
  15. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ท่านธรรมภูติครับ......

    ท่านกล่าวถึงประเด็น จิตนี้มีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปตราบจนเข้านิพพาน



    ผมกล่าวถึงประเด็น จิตนี้จะเป็นอย่างไรหรือเรียกอย่างไรก็ช่าง

    แต่สุดท้ายก็ต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิต ไม่ถือมั่นในสิ่งใดใดครับ


    ที่ท่านยกพุทธพจน์และอ้างพระสูตรมาแสดงว่า มีการกล่าวคำว่า....เรา..ในหลายๆแห่ง

    แสดงถึงการยืนยันว่า อย่างไรต้องมีตัวผู้เสวยผลหรือ เรา นั้น

    มันอาจจะแฝงไปด้วย....ความถือมั่นว่ามีตัวตน...ไม่มีวันดับสลายด้วยนะครับ
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อุปทาน หรือ ความยึดมั่นมี ๔ ลักษณะ
    ๑ กามุอุปปาทาน
    ๒ ทิฏฐุปาทาน
    ๓ สีลัพพตุปาทาน
    ๔ อัตตวาทุปาทาน
    พึงเอาไปขยายความกันเอาเองด้วยปัญญาของตนเองเถอะครับ อนุโมทนาครับ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโป คุณช่วยตอบที่ผมถามดีกว่านะ
    ทุกวันนี้ที่ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา เพื่ออบรมจิตใช่มั้ย?
    ใช่อบรมจิตของตนใช่มั้ย? หรือพูดเข้าใจง่ายๆว่าอบรมจิตของเราใช่มั้ย?
    อบรมจิตของตนไปเพื่ออะไร? เพื่อชำระจิตของเราให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใช่มั้ย?
    เมื่ออบรมจิตของเราจนบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้แล้ว
    ความบริสุทธิ์ใช่ปรากฏขึ้นในจิตหรือปรากฏขึ้นที่จิตใช่มั้ย?
    ไม่ยึดมั่นในจิต(สิ่งที่ปรากฏขึ้นภายในของจิต) ไม่ใช่ให้ไม่ยึดมั่นตัวจิตซะหน่อย

    หรือเมื่อชำระจิตจนบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้แล้ว
    ความบริสุทธิ์ไปปรากฏในที่อีกแห่งหนึ่ง ที่ไหนก็ไมรู้ใช่มั้ย?
    เปรียบเหมือนเราทำความสะอาดพื้นบ้านแทบเป็นแทบตาย แต่กลับไปสะอาดบนหลังคาบ้านหรือ?

    ผมถามว่าพระนิพพานมีจริงมั้ย? และมีรูปร่างให้จับต้องได้มั้ย?
    แล้วรู้ได้ยังไงหละว่าบรรลุพระนิพพานแล้ว?
    เช่นกันจิตมีจริงมั้ย? และมีรูปร่างให้จับต้องได้มั้ย?
    ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะจิตไปยึดถือว่ารูปขันธ์๑+นามขันธ์๔ว่าเป็นเราใช่มั้ย?
    ที่จิตหลุดพ้นได้ก็เพราะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕ใช่มั้ย?

    การตรัส(พูด)รู้(ว่ารู้)ของพระพุทธองค์จอมศาสดานั้น ตรัสรู้ที่ไหน?
    ที่กาย(ขันธ์๕)หรือที่จิตที่บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองของพระองค์ท่าน?
    ในพระสูตรมีมากมายที่กล่าวไว้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น
    นั่นไม่มีในตน ไม่เป็นตน ไม่ใช่ตัวตนของเรา
    แล้วที่ใช่ตน ที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยหละ? มีมั้ย? อย่าบอกนะว่าไม่มี?

    เพราะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕ได้
    จึงได้มาพบที่พึ่ง ที่อาศัยที่แท้จริงใช่มั้ย?
    ใครปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕?
    ใครที่เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยที่แท้จริง? อย่าบอกนะว่าไม่มี?

    ถ้าพระพุทธศาสนาขาดเหตุขาดผลเสียแล้ว เพราะไม่มีอะไรเป็นอยู่จริง
    พระพุทธองค์คงไม่ได้ชื่อว่าเป็นศาสดาเอกของโลกง่ายๆหรอกนะ

    ;aa24
     
  18. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ท่านธรรมภูติครับ..........

    ปฏิบัติธรรมเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่นครับ...

    หาใช่สิ่งใดใดไม่....
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนา ...
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโป อย่าพูดอะไรลอยๆสิ
    แบบนี้ไปสอนใคร แล้วใครจะเชื่อ
    มีแต่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่ลอยไปลอยมา
    อย่าบอกนะมีแต่การกระทำ ผู้กระทำไม่มี ไหนลองทำให้ดูหน่อยสิ

    มีแต่การบรรลุ ผู้บรรลุไม่มี งั้นก็ลบหลู่พระบรมศาสดานะ
    เพราะพระองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า
    จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว

    ถามว่า อะไรของใครที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น?
    แล้วที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นหนะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร?

    ในพระสูตรก็มีตรัสไว้มากมาย เช่น อนัตตลักขณสูตร
    จิตของพระปัญจวัคคีย์ก็หลุดพ้นจากการถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...