พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ถ้ากล่าวว่า จิตคือวิญญาณขันธ์ มันมีความหมายสืบต่อไปว่า ทุกอย่าง หยิบฉวยอะไรไม่ได้

    ตาม นัยยะ ของ เจ้าลัทธิ ที่เคยสอนมาว่า จิตควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้มันเป็นไปเอง

    นี่คือต้นเหตุ

    ทีนี้ คำว่า จิตคือวิญญาณ ก็ดูเหมือนว่า จะบีบให้จิตมีศักยภาพเพียงแค่ รู้เท่านั้น และเป็นไปเพื่อ รู้ได้เท่านั้น ทั้งๆ ที่ มหาปัญญา มหาสติ สามารถฝึกให้มีในจิต อันจะสั่งสมไป เพื่อความสุขได้

    นี่คือ ต้นเหตุ ดังนั้น นัยยะ หรือ เจตนาที่อยู่เบื้องหลัง คำพูด ยังมีอยู่มาก
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สำหรับ คนที่ยังยึดติดคำวา จิตเที่ยง และ มักเลยเถิดว่า จิตนั้นคืออมตธาตุ หรือ นิพพาน

    ขอพิจารณาแบบนี้

    1. จิตที่ถึงที่สุด คือ พ้นกิเลสแล้ว คือ มันไม่เผลอไปรับแขกที่ยังจรไปๆมาๆ เข้ามาเป็น
    ตน นี่เรียกว่า จิตมันเที่ยงต่อการไม่รับแขก ....นิยามสั้นๆว่า จิตที่พ้นกิเลสแล้ว อย่าไป
    เรียกว่า จิตเที่ยง แต่สั้นๆ หากจะใช้ให้ใช้เต็มว่า จิตเที่ยงต่อการไม่รับแขก(กิเลส)แล้ว

    2. จากจิตที่ปราศจากกิเลสนั้นๆ อมตธาตุ หรือ นิพพาน จึงปรากฏขึ้นให้รู้ อมตธาตุนั้น
    มีอยู่แล้ว และไม่ใช่สภาพธรรมอันเกิดจาก จิตที่มันเที่ยง อมตธาตุนั้นไม่ใช่ผลผลิตของ
    การมีจิตเที่ยงต่อการไม่รับแขก แต่จิตที่ปราศจากกิเลสนั้นๆมันมีสภาพสมควรแก่ธรรมที่
    จะแลเห็น อมตธาตุ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เหตุนี้ ปรมัตถ์ธรรมจึงบัญญัติ จิต กับ นิพพาน เป็น
    คนละธาตุ คนละปรมัตถ์ธรรม

    คำบัญญัติว่า รูป จิต เจตสิก นิพพาน บางคนก็ว่า มันเป็นอภิธรรมชั้นหลัง แต่ตรงจุดนี้
    พระทั้งหลายไม่เคยขัดการแยกปรมัตถ์ธรรมส่วนนี้ ต่างยอมรับ และใช้ยกขึ้นกล่าวเฉพาะ
    แต่ผู้ปฏิบัติมาถูกต้องเท่านั้น เพราะคนที่ปฏิบัติมาไม่ถูกต้องจะมีความเห็นค้านอยู่ร่ำไป

    ก็ขอให้ทบทวนว่า จริงหรือ ที่จะไปกล่าวว่า จิตแท้ จิตเที่ยง คือ อมตธาตุ คือ นิพพาน

    หากกล่าวว่า จิตแท้ จิตเที่ยง คือ นิพพาน นั่นไม่เท่ากับ กระบวนการปรุงจิตมีอยู่หลอกหรือ

    โดยในที่นี้ คือไป กล่าวว่า

    กระบวนการปรุงจิตให้บริสุทธิ์มีอยู่ และถ้ากล่าวแบบนั้นแล้ว ย่อมเลยเถิดว่า
    กระบวนการปรุงนิพพานให้เกิดขึ้นมีอยู่ไปด้วย

    ซึ่งขัดกับ นิพพานธาตุ เป็น อสังขตธรรม ไม่ใช่ธรรมที่เกิดจากการปรุงขึ้น แต่เป็น
    ธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว มีอยู่ก่อนพระพุทธองค์เสียอีก

    การแยกปรมัถต์ธรรมว่า จิต เป็นคนละส่วนกับ นิพพาน จึงสมควรแล้ว และไม่มี
    วันที่จะปรุงจิตธาตุให้เป็นนิพพานธาตุไปได้ จิตจึงเป็นส่วนธรรมที่ใช้เป็นดังแพ
    เพื่อให้ถึงฝั่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องการสร้างมาเพื่อเป็นตน หรือ เข้าไปครอบครอง

    ส่วนคำว่า ไม่สูญ นั้น อย่าว่าแต่จิตเลยที่ไม่สูญ

    รูป มันก็ไม่สูญ มันก็มีของมันไปตามเหตุปัจจัย

    เจตสิก มันก็ไม่สูญ มันก็ปรากฏของมันเรื่อยๆ

    จิต มันก็ไม่สูญ มันก็อยู่โดยความเป็นธาตุของมันไป

    และ นิพพาน ก็ไม่สูญ

    ความที่เห็น จิตไม่สูญ แล้วละเมอว่า เป็น นิพพาน จึงเป็นเป็นความสูญเปล่าโดยแท้
    มีแต่จะสร้างความเขลาว่า มีเรา มีเขา มีสัตว์ ขัดพุทธพจน์

    ความเห็นว่ามีเรา มีเขา เป็น คำที่เกิดจาก อุปทานโดยแท้ เพราะในทางปรมัตถ์แล้ว
    ไม่กล่าวว่ามี และเพราะโดยสมมติสัจจกล่าวว่ามี จึงใช้คำว่า อนัตตา มารองรับธรรม
    ทั้งหลายเหล่านั้น

    หากจะสงสัยไปอีกว่า แล้วการสะสมบุญ ตัดแต่งพันธุกรรมจิต มีโดยอาศัยอะไร ก็
    ต้องบอกว่า มันไม่ได้อาศัยความ มีเรา มีเขา หลอก แต่มันอาศัย กฏแห่งกรรม และ
    ปฏิจสมุปบาท เท่านั้นเอง พระพุทธองค์ได้ชี้เหตุปัจจัยนี้ไว้อย่างเอนกอนันต์ แต่
    พวกที่มีธรรมลามกอาศัยแล้ว[พระสูตรยกให้เห็นแล้ว] ก็จะหักล้าง กร่อนความหมาย
    กฏแห่งกรรม และ ปฏิจสมุปบาท

    ไปเป็นเรื่อง จิตเที่ยง(หรือวิญญาณเที่ยงโดยนัยยะเลี่ยงบาลี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2010
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    วันนี้ฟังธรรมหลวงพ่อสงบ ท่านบอกว่าทำไมหลวงตาไม่ออกมาพูดเรื่องราวต่างๆ

    หลวงพ่อสงบกล่าวว่า :
    หลวงตาบอก "ขี้"
    ขี้มันเหม็น อย่าไปเขี่ยมัน ยิ่งเขี่ยยิ่งเหม็น...

    เป็นประโยคที่...
    เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่มีคอมเม้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กุมภาพันธ์ 2010
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สมควรปฏิบัติตามที่หลวงตาบอก นะ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, เกิดเป็นคน </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Yuf1Oytbhwc&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Yuf1Oytbhwc&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    แล้วใครเป็นคนขึ้นแพหละ

    จิตนี้มีเจ้าของ เป็นของบุคคล แต่ที่เห็นว่า จิตนั้นเปลี่ยนแปลงไป เพราะว่า เงาของจิต
    เช่นว่า มีถ้วยอยู่ใบหนึ่ง เปลี่ยนไปใส่ข้าวบ้าง ใส่น้ำบ้าง ใส่น้ำพริกบ้าง นี่คือ จิตที่เปลี่ยนไป
    แต่ จิตเดิม คือ ไม่ได้ใส่อะไรนั้นมันมีอยุ่ ก็คือ ถ้วยใบนั้นแหละ

    ทีนี้ ในส่วนของ อภิธรรมที่ว่า วิญญาณขันธ์ คือ จิต และ จิตทั้งหมด คือ วิญญาณขันธ์ ก็ถูกแล้ว เพราะว่า ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด
    จิตก็เปลี่ยนไปตามสภาวะที่จะปรุงแต่งไป แต่ก็มีจิตของบุคคลคนนั้นแหละ ที่เปลี่ยนไป เรื่อยๆ ตามเวรตามกรรมที่สร้างไว้ ถ้าดีหน่อยก็ พัฒนาตนเข้าสู่ จิตที่เป็น โลกุตระ แต่ก็เป็นจิตดวงนี้แหละ

    ทีนี้ นิพพาน คืออะไร ก็ตอบว่า เมื่อจิตก้าวเข้าสู่ ความไม่แปรปรวน นิพพาน คือ สภาวะของจิตนั้น จนที่สุด บริสุทธิ์สุดส่วน ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ก็หมดกิจ นิพพานทั้งหมด อายตนะแห่งนิพพานจึงอยู่ที่จิต จิตนี้ไม่ต้องไปหา สิ่งภายนอกมาเพิ่มเติม

    ทีนี้ พระอริยบุคคล ที่เป็นเสข ท่านก็มีจิตที่มีนิพพาน แต่มันไม่ทั้งหมด มันยังเปลี่ยนไปเป็น มรรคจิต ผลจิต ได้ แบบนี้เป็นต้น แต่ก็ ความไม่เปลี่ยนแปลงไปในอบายนั้นมีอยู่ที่จิตแล้ว

    ลองพิจารณาดูแล้วกัน นี่เป็นคำพูดจากปฏิบัติ ไม่ใช่ ปริยัติ ทีนี้ พอพูดจากปฏิบัติ มันก็ต้องเป็นแบบนี้ จะให้เป็นแบบตำราว่ามา มันก็ค้านกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ค้าน แต่เรายังไม่เข้าใจกันทุกส่วน เท่านั้นเอง
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ใครที่ว่า จิตควบคุมไม่ได้ ให้ดูเฉยๆ มันจะดับไป มันยังไม่ได้สะเก็ดความดีเลย
    มันเป็นการอธิบาย ปรากฎการณ์ ที่แม้ไม่ต้องดูเห็น มันก็ดับไปเองอยู่แล้ว จะว่ามีประโยชน์ก็เหมือนกับ การที่เราโมโห แล้วพ่อแม่เราห้าม เราก็หยุดโมโห แต่ทีนี้ การหยุดโมโหนั้นเพราะว่า เรามีคนเตือนสติ แล้วเราก็เลยหยุด

    การดูเฉย นี้ก็เหมือนกัน มีคนเตือนสติ ก็คือ คำหลวงพ่อปราโมทย์ ที่มันก้องในหูนั่นแหละ
    เราก็ตื่นตระหนกว่า นี่แหละคือสุดยอด แต่ที่ไหนได้ เราโดนหลอกว่านี่คือ ทาง

    มันหยุดโกรธ เพราะมีแรงจูงใจ คือ อัตตาเข้าล่อ ว่า ถ้าเรามีสตินะ เราจะเป็นคนมีปัญญา เราก็เอาตัวเราไปสอบอารมณ์ กับหลวงพ่อทุกอาทิตย์ รอว่าเมื่อไร กูจะถึง พระโสดาบันว้า

    นี่ เรียกว่า เทความโกรธทิ้งไป เอาความโง่ใส่เข้ามา ในภาชนะ

    นิพพาน ยังอีกไกลโพ้น หนุ่มๆ สาวๆ แก่ๆ ทั้งหลาย
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ใครจะเป็นคนขึ้นแพนั้น คนที่ปฏิบัติ และพูดด้วยภาษาปฏิบัติแท้ๆ
    เขาไม่บัญญัติขึ้นมาถามหลอก ของมันปฏิบัติอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่

    ภาษาปฏิบัติ หรือ ปริยัติ จะคัดแย้งกันแล้วจริงๆ ไม่มีเลย ที่ยังปรารภ
    และปรักปรำว่า ค้านกัน มีที่ค้านกัน นั่นเพราะยังโง่อยู่ ยังไม่เข้าใจภาษา
    ปริยัติว่าเป็นภาษาปฏิบัติทั้งหมดนั่นแหละ

    ความถูดต้อง กล่าวอย่างไหนถูกต้อง ชนิดฟันธงลงไปว่า ถูกต้อง ต้อง
    อย่างนี้เท่านี้จึงเป็นเรื่อง ความไม่รู้ถ้วนในภาษาปฏิบัติของคนๆนั้น

    เพราะหากรู้ถ้วนในภาษาปฏิบัติจริงๆแล้ว ปริยัติทุกคำเป็นภาษาปฏิบัติ
    หมด จึงไม่มีคัดค้าน ไม่มีเรื่อง ถูก หรือ ผิด

    มันจะมีแต่เรื่อง กล่าวแล้วเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ

    คำกล่าวที่ยกว่า จิตเที่ยง มันเป็นคำกล่าวที่ควรกล่าวหรือไม่ควรกล่าว

    พระพุทธองค์ถึงได้ให้คำสอนไว้นัยหนึ่งว่า หากจะเข้าใจจิตเป็นตน(จิตเที่ยง)
    ให้เข้าใจว่า กายเป็นตน(กายเที่ยง) ยังดีเสียกว่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะ
    หากลงมือปฏิบัติแล้ว มันเห็นสัจจความจริงได้ง่ายกว่า เป็นประโยชน์ต่อการ
    ปฏิบัติของสาธุชนมากกว่า ไม่เกิดมายาคติเคยชินจนปรารภความมีตัวมีตน
    จนติดปาก

    หากคนที่เขาได้ยินธรรมะว่า มีจิตเป็นของตน มีตนเป็นดวงจิต ถามหน่อยว่า เขาจะ
    เข้าจะ เอะใจ สงสัย เข้ามาซักถามธรรมะไหม ก็มีแต่จะเสร็จศาสนาอื่นรณรงค์ไป
    เอาจิตตนไปฝากสรณะอื่นเท่านั้น

    ทำอะไรก็อ้างศิษย์ตถาคตๆ ก็อ้างไปอย่างนั้น พอเวลาสอน อุบายธรรมที่ดีก็กล่าว
    กลบธรรมะของพระพุทธองค์เสียหมด กล่าวธรรมให้สบช่องแก่คนอื่นเสียหมด
    เพราะอะไรเพราะอ้างเป็นศิษย์ตถาคตก็เพราะต้องการสร้างภาพ มายาคติ

    หากคุณคิดว่า การประกาศจิตเที่ยงอะไรนั่นมันดีนัก ไหนลองบอกหน่อยสิว่า
    พระสูตรนี้ จะให้ขนออกไปจากพระไตรปิฏกไหม?!

    [ แล้วดูหน่อยนะ ว่า คนประเภทไหน ที่ยกคำว่า "จิตเดิมแท้" ธรรมะตัดแต่ง
    โดยมหายานมาใช้อย่างโง่ๆ แล้วใช้เพื่อกลบธรรมคนอื่น เอามากลบสัทธรรม
    อีกด้วย

    หลังจากวันนี้ ผมก็เชื่อว่า คุณยังยึดคำว่า จิตเดิมแท้ แบบมหายานไม่เลิก แต่
    ขอโทษนะ หากคุณพูดว่า จิตเดิมแท้ เคลื่อนเข้าสู่พระนิพพาน ละก้อ คุณก็เพียง
    แต่ยืมคำมาใช้อย่างไม่ถูกไปอย่างงั้นเอง เพราะของมหายานเขาระบุว่า ไม่มีไป ไม่มีมา ]


    http://palungjit.org/threads/เข้าใจว่ากายเป็นตน-ยังดีกว่า-เข้าใจว่าจิตเป็นตน.225054/
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    จิตเที่ยง เป็นคำที่คุณพูดขึ้นมา แล้วมีคนพยายามอธิบายให้เข้าใจ ในสภาพเที่ยงของนิพพาน
    แต่ โดยรวมให้คุณ เข้าใจ สภาพของจิตก่อนว่า นี่มันมีของตน มันไม่สูญ
    และ มันก็่ไม่ใช่ วิญญาณ เพราะว่า วิญญาณ เป็น สมมติ จะต้องไปจับกับสมมติ

    แต่ ปรมัตถ์ คือ ปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป เป็นจริง แต่ เงาของจิตนั้นเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไป
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คนมันโง่ มันก็ปรักปรำอย่างโง่ๆ

    คนที่เขาปฏิบัติได้ มาอ่านเข้า เขาก็เห็น คนที่กล่าวสิ่งที่ตนไม่มีฐานะรู้
    แต่สำคัญว่ารู้

    พูดซื่อๆ กล่าวจากสิ่งที่ไม่มีในตน ว่ามี นี่ก็เท่ากับ ทำมุสาวาทา อยู่

    เจตนานั้นคืออะไร จะเตือนสติ ทำตัวเป็นคนเตือนสติ แทน นี่ก็เท่ากับ
    ด่าบริภาษสิ่งหนึ่งๆ แต่สิ่งนั้นตัวเองทำเสียเอง อยู่ตรงหน้า คนเห็นเข้า
    หากไม่มีธรรม เขาก็หัวร่อ

    คนที่เขาปฏิบัติธรรมได้ เขาไม่ได้เห็น โทษะ แบบมีคำบริกรรม มีเสียง
    อะไรก้องในหู เขาแลเห็นตัณหาเจตสิกที่มันไหวในอก เขาเห็นธาตุ4
    ที่กำลังแปรปรวณขึ้นในรูปแบบของโทษะ เขาแลเห็นกายที่มันจะขยับๆ
    (จะส่งออกนอก) แล้วมันดับไปเสียก่อนที่จะก่อตัวสำเร็จต่างหากเล่า
    เรียกอีกอย่างว่า กรรมฐานปิดรูเหี้ยแบบพระใบลานเปล่า

    แต่คนที่เห็นได้แบบวรรคข้างต้น เมื่อถึงเวลาหนึ่ง มันแค่อุบายในการเจริญสติ
    ก็จะรู้ว่าหนทางมรรค หากสติมันเกิดบริบูรณ์ของมันแล้ว ขันธ์5มันทำงานของ
    มัน มันก็ก่อเป็นธรรมารมณ์อยู่ในใจ แต่ไม่ได้แปดเปื้อนต่อจิตผู้รู้ ผู้ดู ต่างหาก
    ที่เรียกว่า จิตอยู่ที่ฐาน

    และสภาวะจิตอยู่ที่ฐาน ตรงนี้ต่างหาก ที่เขาเอาไปส่งการบ้าน ในแบบส่ง
    แบบปัจจุบันธรรม เพื่อดูมันคลาดมันเคลื่อนอยู่ไหม เพราะความเป็นกลาง
    หรือ เฉยๆ นั้น เขารู้ของเขากันหมดแล้วว่า เป็นตัณหาชนิดหนึ่ง

    ส่วนคนที่เขาไปส่งแบบเล่าความแต่หนหลัง นั่นเขาไปแค่ขอกำลังใจในการ
    ปฏิบัติ ไม่ได้เรียกส่งการบ้าน

    ในเชิงของ มงคล38 ประการ จัดว่า เป็นการ เห็นสมณะสารูป แต่พวกมานะ
    มากขาดความสามัคคีธรรม และหลงไปตามเกมส์ของพวกทำลายศาสนา ก็
    ไปมองว่า เขาก่อสิ่งที่เป็นอัปมงคลแก่ตัว

    อะไรที่ไม่รู้ ไม่ต้องพูด ทำทีเป็นปรักปรำเขาก็ได้ เพราะมันจะเผยให้เห็น
    ความตื้น แล ลึก ของความสามารถที่คุณพยายามจะลงไปคุ้ย
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    มีเหตุผล อื่นที่ดีกว่า นี้ไหม
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กลับไป ทบทวน และ ระวังการใช้คำ อธิบายเรื่องจิต ให้มากๆ

    พยายามให้มากๆ ที่จะกล่าวว่า มันมีดวงเดียวเข้าไว้

    เพราะวันนี้ คุณเริ่มทนไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยตรงกันกับที่เขาอธิบายเอาไว้แล้ว

    เช่น เงาจิต

    หากบ้านคุณเรียกเงาจิต มันมี ดวงข้างหน้าหรือไง แล้วดวงดำๆข้างหลังคือ
    เงา ตกลง จิตบ้านคุณมีกี่ดวง มีดวงเดียวแล้วมันจะเงือมไปข้างหน้าได้ไง
    แล้ว จิตบ้านคุณมีสป๊อตไลท์ส่องอยู่เหรอ ....หากทนไม่ได้ ก็จงพูดเสียให้
    เหมือนกับเขาว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เสียยังดีกว่า เพราะอย่าง
    น้อยก็ตรงกับ พุทธพจน์ โดยธรรมะ ไม่ใช่กิเลสอ้างอย่างที่ปรักปรำ

    เช่น จิตบริสุทธ์ดวงสุดท้าย เข้าสู่นิพพาน

    หากบ้านคุณมีจิตดวงสุดท้าย แล้วจิตก่อนหน้ามันอยู่ที่ไหน อ้าวไหนบอกว่า
    มี จิตดวงเดียวเทียวไป แล้วไอ้จิตดวงสุดท้ายมันออกมาจากไหน ทำไม
    ไม่พูดว่า "จิตดวงเดิม"มันเดินเล่นเข้าสู่นิพพานเสียให้ตลอดศกหละ ...หาก
    ทนไม่ได้ ก็จงพูดเสียให้เหมือนกับเขาว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
    เสียยังดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ตรงกับ พุทธพจน์ โดยธรรมะ ไม่ใช่กิเลส
    อ้างอย่างที่ปรักปรำ

    แล้วก็อย่าโง่ มันแต่สาละวน แก้อรรถาธิบายคำว่า ดับ เป็น สูญ เหมือนลิง
    ติดตังอยู่อย่างนั้น เพราะเขาพูดคำว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
    เขาก็ไม่ได้หมายถึง มันสิ้นสุดประบวนการ เพราะการกล่าวว่า ดวงหนึ่งเกิด
    ขึ้น ดวงหนึ่งดับไป นั้นเขาละไว้ในฐานที่เข้าใจกันว่า เป็นขบวนการสืบเนื่อง
    หากพูดให้เต็มๆ คือ "ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่ง
    ดับไป ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ..." แต่คนที่เขาฉลาด เขาก็พูดเพียง
    ท่อนเดียวก็เข้าใจกันแล้ว ไม่ต้องมานั่งแก้อรรถคำว่า ดับสูญ แบบลิงติดตัง
    อธิบายธรรม
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นายนิวรณ์ ไม่กลัวว่าจะปรามาส พระอริยไซเบอร์ ขันธ์ หรือไง
    เห็นด่าเอาๆ ระวังจะปรามาส พระอริยไซเบอร์ ขันธ์ นะ ปิดทางมรรคผล ทันที นี่พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้
    ปิดทางมรรคผล ถึงวิปลาส และ โทษอีกมากมายเลย

    พระอริยไซเบอร์ขันธ์ ก็ประกาศปาวๆ แล้วยังจะไม่กลัวอีกหรือ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำพูดที่ต้องระวัง นั้น คุณต้องไปเตือน กลุ่มของคุณโน่น มาเตือนผมทำไม
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็เตือนคุณนั่นแหละ ที่ต้องเตือนคุณเพราะ แทนที่จะใช้คำว่า จิตเดิมแท้

    ตอนนี้ ก็น้ำท่วมปาก จึงต้องหันไปใช้ จิตดวงเดิม แต่ถ่ายเดียว

    พอใช้จิตเป็นดวงมากๆเข้า ก็เผลอใช้ เงาจิต(มีหน้า มีหลัง) หรือไม่ก็
    เผลอใช้ จิตดวงสุดท้าย

    เรียกว่า เผลอมาใช้อย่างคนที่ตนตำหนิว่าผิด

    แทนที่จะดูลงไปว่า ก็มันไม่ได้ผิด ที่ตนเห็นว่าผิดไม่ตรงกับตน ก็เพราะ
    สติสัมปชัญญะที่จะเห็นได้อย่างเขามันไม่มี
     
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่ค่อยอยากจะกล่าวทับคำครูเลย

    คัดมาจากหลวงตา ท่านกล่าวประมาณอวิชชา แทบจะทำนองว่าจิตนั่นแหล่ะ คือ อวิชชา เป็นสิ่งที่ต้องทำลาย


    ที่ทำมาก็ตรงสติสุดท้าย ลมหายใจ ผู้รู้ การรับรู้(วิํญญาณ) มโน ใจขณะสุดท้าย ความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรานี่แหล่ะ(อวิชชา) เพราะมันต้องปล่อยหมดเลย ไม่ว่าจะกาย จิต (ขันธ์ห้า)

    ก็เป็นอีกหนึ่งทัศนะ แต่ก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่ามันไม่ต่างกัน ก็แล้วแต่ว่าจะให้ศัพท์อย่างไร สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ กิเลสมันหมดหรือเปล่า

    ขอกราบอภัยอย่างสูง ที่นำคำสอนครูบาอาจารย์ มาตีความ วิจารณ์ด้วยปัญญาอันน้อยนิด

    บัญญัติบางคำ ครูอาจารย์ใช้ได้ เราก็ขอให้เข้าใจ แต่ถ้าเราจะใช้ ก็เลือกหน่อยนะครับ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    1 เรื่องเงาของจิต เป็นคำพูด พระอรหันต์ ท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้
    2 จิตเดิมแท้ จิตดวงเดิม หรือ จิตดั้งเดิม หรือ จิตหนึ่ง อะไรก็แล้วแต่จะเรียก มีความหมายเดียวกัน เรื่องนี้ ทำความเข้าใจไม่น่าจะยาก
    3 นิพพานเที่ยง ธรรมธาตุ เป็นคำเดียวกัน
    4 จิตเที่ยง เป็นเรื่องของพระอริยบุคคล เช่น ปิดอบายแน่นอน หรือ เที่ยงที่จะตรัสรู้ หรือ จิตพระอริยบุคคล 8 จำพวก เมื่อเคลื่อน เรียกว่า กิริยาจิต แต่จิตท่าน ไม่คล้อยไม่หลง จะไหวไปก็ไปในทางกิริยาของจิต ทั้งนี้ เพราะว่า จิตท่านเป็นพระอริยบุคคลแล้ว พูดถูกไม่ถูกปริยัติก็ไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องของปฏิบัติ

    นี่พูดให้ฟัง แล้วลองไปพิจารณาดู
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถือพูดอย่างนี้ ก็แทบจะถือว่าปฎิรูปเลยที่เดียว

    ปรมัตถ์ รูป จิต เจตสิก เป็นของมีเมื่อเกิดมาเป็นคน สัตว์ คือ มีอยู่ แต่ก็ไม่แปลไปว่ามันเที่ยง เหตุมันมี กิเลสมันมี มันจึงเกิด

    นิพพาน ก็คือนิพพาน มันมีสภาพพ้นไปแล้ว ไม่เกี่ยวกัน

    รูป จิต เจตสิก มันก็รูปนาม มันก็ขันธ์ห้านั่นแหล่ะ หากจะยกย้ายกล่าวว่า วิญญาณ ไปเป็นสมมุติ มันก็จะกล่าวเข้าทิฐิตนมากไปหน่อยนะ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขอโทษนะ คนมีธรรม เขาไม่กล่าวแบบนี้หลอก

    แล้วจริงๆ เราก็กล่าวแต่ หัวข้อธรรมตามกระทู้

    แต่จิตคุณเองนั่นแหละ ที่แลบออกไป หาเรื่องนอกประเด็น นอกธรรมะบท
    ไปยุ่งเรื่องของ คนอื่น

    และมันก็เป็นปัจจัยที่คุณควรได้รับการตอบสนอง ไปตามกรรมนั้น

    แต่คุณกลับมองว่า ตัวเองไม่ได้ไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย แล้วร่ำร้อง
    อ้างอริยะเพื่อของความเป็นธรรม

    ยิ่งทำ ก็ยิ่งทำให้ยุ่ง.......ไมไม่นิ่งเสียหละ
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เรื่องนี้ ถ้า เป็นธรรมพระอรหันต์ เราก็ อย่าไปตีความ เพราะว่า สุดส่วนของท่าน เราไม่มีทางรู้

    ไปตีความว่า จิตคืออวิชชาอีก

    ก็หลวงปู่มั่นท่านก็บอกว่า พ่อแม่ ของอวิชชา คือ ฐีติจิต

    การทำลายให้ทำลาย อวิชชา ไม่ใช่ ทำลายจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...