พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

โห้ย ยังอยู่ไหมนี่ พึงมาเห็น

นี่กำลังเห็นของดี ดูยินดียินร้ายเป็นแบกกราวด์ไว้เลย

อาการอ่านๆ แล้วปวดหัวของคุณเกิดนี้ ผมขอแทงกั๊กผสมโสดา ไว้เลย
ว่า มันเกิดการสั่นสะเทือนของ ความคิด ตัวทิฏฐิบางประการ

แล้วดูดีๆ ว่า กินพาราเสร็จแล้วม่อง เอ้ย เซ๊ตตาม่อล นี้ ตอนที่มัน
คลายตัว อะไรมันคลาย

ฤทธิยาไปกดให้คลาย หรือว่า ทิฏฐิมันคลายไป

หากฤทิธยามันกดนะ อีกไม่กี่นาทีก็ปวดหัวใหม่ แต่ถ้า ทิฏฐิมันคลายนี่
มันจะเกิดอาการ "แล้วกินยาทำไม่กันนี่ โล่งและ" คือ ธรรมะมันบอกว่า
เกิดจาก ทิฏฐิคลาย ไม่ใช่ ยา

ตามรู้ ตามดู กายใจ ลงเป็นปัจจุบันไว้ อย่าลืมคำสอนหลวงตามหาบัวนะ
( ตอนนี้ผมเอามาอ้าง ก็ปล่อยๆผมไปก่อนนะ อย่าพึ่งเล่นงานเด้อ)

อ้อ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หายปวดหัวแล้ว ให้ดู คือ ความไม่จริงแปรปรวน
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แส่ส่ายไปเอง

 

นั่นคนมีสติ ท่าทางจะยังไม่เข้าใจจริงๆ ยังคิดไปได้ที่นอนไม่หลับกระสับกระส่าย นั้นท่าทางจะเคยเป็นใช่ไหม ทำไมเอาไปบอกให้คนอื่นรู้ละ บอกแล้วไงให้เอาธรรมของหลวงตามาใส่ใจบ้างอย่าใส่แค่หน้าจอคอมพ์ และเรื่องที่พูดว่าวันนี้จะมีคนกลับไปนอนไม่หลับ มันก็เป็นเรื่องของสักกายะทิฐิ ที่คิดว่าเราเป็นนั่นนั่นเป็นเรา เมื่อเราเป็นสิ่งนั้นแล้วการจะทำอะไรไปนั้นย่อมไม่ผิด จะเห็นว่าความคิดของพวกมิจฉาทิฐิ นี่ไม่ค่อยแตกต่างกันเลย เพราะคิดแต่ว่าเพราะเราเป็นนั่นเป็นนี่เราทำคนอื่นได้คนอื่นทำเราไม่ได้ แค่ส่วนนี้ก็ไม่มีไม่ใช่สิ่งที่เกิดแก่จิตของอริยะบุคคลแล้ว และผมว่ามันจะเสื่อมเอานะ เสื่อมจากธรรมเลยนะถ้าคิดอย่างนั้น ผมเตือนเฉยๆ แต่555 เหมือนกัน เดี้ยวหลวงปู่มั่นก็ไปเข้านิมิตอีกหรอก555 เหมือนกัน แล้วจิตจะขาดจากสมาธิไปอีกนานเลย และจิตผมจะกระสับกระส่ายได้นั่นไม่ใช่เพราะจิตที่เป็นจิตปุถุชนแน่นอนครับ น่าเสียดายคนดีๆจริงๆ

 

เรื่องของเอ็ง เถอะ พูดเท่านี้ ยังไม่รู้ตัวก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

 

อนุโมทนากับพี่แมวค่ะ
เพิ่งได้แวะเข้าอ่าน อ่านแล้วโดนใจค่ะ

 

เรื่องสำนวนเหมือนหลวงตามหาบัว นี่ อย่าพูดส่งเดชไป
มันเป็นการคิดเอาเอง มันไม่ดี

แต่หากธรรมบางคำ จะมีสำนวนท่านบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นอย่าไปโยงเรื่อง ด้วยความรู้สึกตน

 

เผื่อมีประโยชน์ :

ว่าด้วยเรื่อง : ภพซ้อนภพ

จิงเกิ้ล : ......

เปิดฉาก :

ไฟแนนซ์ : เพื่อน เชื่อไหมว่าที่เห็นผมโพสๆ ทวงหนี้อยู่แบบนั้น จิตผมไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเลย

โตเบิกทีละอัน : ......(ตอบด้วยการนิ่ง)........

ตัด !!

เปิดฉาก :

หลวงพ่อสงวนนาม : เวลาคนที่ทำสมาธิมาระยะหนึ่ง เริ่มมีความชำนาญ จน กาย
เวทนา จิต ธรรม เริ่มแยกเป็นส่วนๆ เห็นเป็นคนหละส่วน เป็นคนละเลเยอร์ คนๆนั้น
จะเล็งเห็นว่า สิ่งที่เขาทำทางกาย3(กาย วจี มโน)ก็ดีมันเป็นอีกเลเยอร์หนึ่งต่างหาก ด้วยอำนาจ
ของสมาธิ แล้วเกิดความพอใจยินดีในส่วนสมาธินั้นๆ เวลาทำอะไรจิตจะมาชำเลืองเห็น
จิตที่นิ่งนั้น แล้วเข้าใจผิดว่า สิ้นกิเลสแล้ว เกิดการเห็นความเที่ยง ปรากฏแล้ว แต่จริงๆ
จิตมันยังแยกกันอยู่เป็นเลเยอร์ การที่จิตยังแยกกันอยู่ อันนี้คือเกิดธรรมคู่อยู่ แต่ที่เห็น
ว่าเป็นธรรมหนึ่ง เพราะจิตติดในภพย่อยนั้นๆ คนแบบนี้ยังตบกับสามี ภรรยาได้ แล้ว
บอกว่า จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเลย ติดสมถะ

วิธีแก้ : ให้รู้ทันลงไป อย่าจงใจรู้ ให้รู้ทันลงไปว่ากำลังติดในภพย่อย หากรู้ทันโดยไม่
จงใจรู้จะพอดีที่สัมมาสมาธิ แต่จะเห็นได้แค่แว๊บๆ เพราะปุญญาภิสังขารที่ชอบเกาะ
จิตที่นิ่งมันยังส่งผลอีกนาน ทำอะไรไม่ได้ ก็ดูไปเรื่อยๆ อย่าขี้เกียจ



ภาพตัดมาอีกฉาก เป็นคำสอนที่อธิบาย ภพย่อย เหมือนกัน แต่ต่างรสภาษา

หลวงพ่อเสียงดัง : ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า มันยังไม่รู้จักสมาธิเลย แล้วบอกว่ารู้จักสมาธิ ไอ้ที่
เห็นว่าไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเลยนั่นหนะมันสัญญาล้วนๆ สัญญาไปหมายเอาว่าตรงนั้น
เที่ยง มันดีใจเห็นอะไรนิ่งก็ดีใจจับหมับ ที่แท้สมาธิเองยังไม่เกิดเลย ปัญญายังไม่เกิด
กาย เวทนา จิต ธรรม มันแยกของมัน มันยังต้องทำต่ออีกเยอะ รายละเอียดมีอีกเยอะ
นั้นมันไปติดในภพน้อยภพใหญ่ ภพซ้อนภพ ภพซ้อนภพ!!!

วิธีแก้ เองบริกรรมลงไปเลยหากเองยังบริกรรมได้ รู้เลยว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ สมาธิยัง
ไม่เกิดเลย หมาเห่าใบตองแห้ง หากเห่าไม่ได้แล้ว บริกรรมลงไปไม่ได้แล้ว นั่นแหละ
อยู่ที่สัมมาสมาธิ ...บริกรรมลงไปอย่าขี้เกียจ

 

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทมีอยู่ ณ
ภายในจิตของเรา หรือเมื่อพยาบาทไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท
ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

จบนีวรณบรรพ

;aa24

 

ก็ไม่แปลกหละ ที่ชอบ คุณภาวนาถุกนะนี่

แม้มันจะมีรสของการผลัก แต่มันก็อยู่ในใจ ไม่ลืม เพราะที่จริงแล้ว ผลัก
เพราะชอบ

บาลีคือ เกิดวิภวตัณหา วิภวตัณหามันก็คือตัณหา พอมีตัณหาแล้ว
ขันธ์5ก็ทำงานได้ครบองค์ของมัน มันก็อยู่ในใจได้ไม่เลิก ไม่ปล่อยวาง
แต่ที่นิ่ง เพราะอาศัยความชำนาญในการทำสมาธิ เลยมองแยกส่วนได้
แต่จริงๆแล้ว ยืนอยู่บนปากเหวนรก หากกำลังสมาธิหมด ไอ้ที่ทำอาการ
ไม่ชอบไว้มันจะไหลเข้าสู่จิต นำไปสู่คติ หากมีกรรมตัดรอนตอนนั้นก็
ไปเกิดภพภูมิตัณหาไป ต่ำลง แต่ถ้าเกิดความขุ่นเคือง ก็ลงนรกไป

พาราเซ็ตตามอลก็ช่วยไม่ได้

ยังไงก็ดูไปนะ เอามาเป็นโอกาสเลย เอามาภาวนาดู ตัณหา จิตมีราคะให้รู้

จิตไม่มีราคะ(จำกลอนไม่ได้และ)ก็รู้ จำกลอนไม่ได้เลยแม่แต่สะอึก(รู้ชัด
ว่าจิตไม่มีราคะ - ในภพย่อยนี้ )

ตามรู้ ตามดูไปนะ ไม่เสียสตางค์

 

ถูกต้องแล้ว การสงบสติ มีมากมาย แต่ภายในหลง คลุมเครือ วกวน

อาจจะสงบเพื่อสร้างภาพ เพราะโลกธรรมเป็นเหตุ ก็มี

โอ้ย มากมาย กับกิเลสนี่ เพราะฉะนั้นอย่างไปเชื่อ อากัปกิริยาภายนอกเลย



กลอนนี้ ถูกต้อง
การข่มความโกรธ มีมากมาย ยิ่งพวกที่สร้างภาพว่ามีธรรมะ
ผมเห็นมาเยอะ อะไรนิดอะไรหน่อยบอกว่า เป็นพระต้องพูดจากสำรวม เนิบๆ แบบนิ่งๆ เรียบๆ นั่นนะหรือ สงบ สว่าง ว่าง....

แต่พระอนาคามี นั่นท่านเป็นแบบนั้นจริง เพราะว่า ท่านอยู่ในฌาณ ตลอด
ท่านก็สงบ ท่านนิ่ง แต่ไม่ได้นิ่งด้วยการข่ม จิตท่านเป็นแบบนั้นเอง

 

ความเป็น ปกติ ของจิต คือ มีสัมผัส มีรับรู้ มีเหมือนทั่วๆไป
แต่ไม่หลง อะไรเกิดกับตน ขึ้นมาแล้วดับไป เกิดมาแล้วดับไป นั้นแหละ เพราะอำนาจธรรม
มันก็ไม่หลง เปรียบเทียบเหมือนกับ อะไรก็ตามที่มีเสถียรภาพแล้ว ไม่ว่ามันจะเคลื่อนไปอย่างไร มันจะกลับมามีเสถียรภาพดังเดิม โดยไม่เสียรูปทรง

ดังน้ำกลิ้่งบนใบบัว ตามที่พระอริยท่านว่าไว้นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว

 

ไม่รู้หายปวดหัวยัง ถ้ายัง แล้วยังอยู่ในนี้ ก็ไม่แน่

เดี๋ยวมันไหลแว๊บ ฤทธา

เดี๋ยวมันไหลแว๊บ ฤทธา

ถ้ามันไหลมากๆ นี่ ทั้งๆที่คิดว่ามีกำลังสมาธิ นี่แปลว่าโดนสมาธิ
ผิดฝาหลอกอยู่ จริงๆแล้ว มันเป็นฝุ้งซ่านทางธรรมะ (คนละอันกับ
ฝุ้งซ่านแบบคนโลกๆนะ )

ก็ขอแนะนำ หาอะไรดูเล่นๆ เพลินๆ อารัมภบทไปอย่างงั้นแหละ
จริงๆแล้ว อยากเสนอรายการนี้ บังเอิญไปพบแล้วมันส์ดี เลยเอา
มาเผื่อ


[ame="http://www.youtube.com/watch?v=0TrU99fySp4"]YouTube - เจาะใจ - ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ 28/01/10 (1-4)[/ame]

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=_X4Y6DXVJxY"]YouTube- ?????? - ??.??????? ???????? 28/01/10 (2-4)[/ame]

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=QBiwWjiOghU"]YouTube- ?????? - ??.??????? ???????? 28/01/10 (3-4)[/ame]

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=sUGYGThirP8"]YouTube- ?????? - ??.??????? ???????? 28/01/10 (4-4)[/ame]

 

นั่นมัน อาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไม่ใช่หรือนั่น

 

21 พหุธาตุกสูตร-หลวงปู่มั่น

ณ กาลใด ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรม เป็นแดนอาศัยเกิดขึ้นพร้อมเป็นผู้ฉลาดในฐานะ - อฐานะ คือ สิ่งที่เป็นได้ เป็นไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาดอย่างนี้นักปราชญ์เรียกว่าเป็นปัณฑิตผู้มีปัญญาไต่สวน
ธาตุ 18 คือ จักขุธาตุ 1 รูปธาตุ 1 จักขุวิญญาณธาตุ 1 โสตธาตุ 1 สัททธาตุ 1 โสตวิญญาณธาตุ 1 ฆานธาตุ 1 คันธธาตุ 1 ฆานวิญญาณธาตุ 1 ชิวหาธาตุ 1 รสธาตุ 1 ชิวหาวิญญาณธาตุ 1 กายธาตุ 1 โผฏฐัพพธาตุ 1 กายวิญญาณธาตุ 1 มโนธาตุ 1 ธัมมธาตุ 1 มโนวิญญาณธาตุ 1
ธาตุ 6 คือ ปฐวีธาตุ 1 อาโปธาตุ 1 เตโชธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 อากาศธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1
ธาตุ 6 อื่นอีกคือ สุขธาตุ ธาตุคือสุข 1 ทุกข์ธาตุ ธาตุคือทุกข์1 โสมนัสสธาตุ ะาตุคือผู้มีใจดี 1 โทมนัสสธาตุธาตุคือผู้มีใจชั่ว 1 อุเบกขาธาตุ 1 อวิชชาธาตุ 1
ธาตุเหล่านี้คือ กามธาตุธาตุคือกาม 1 เนกขัมมธาตุ ธาตุคือความออกไปจากกาม 1พยาบาทธาตุ ธาตุคือพยาบาท 1 อพยาบาทธาตุ ธาตุ คือความไม่พยาบาท 1 วิหิสํธาตุคือความเบียดเบียน 1 อวิหิสํธาตุธาตุคือความไม่เบียดเบียน 1 รวมเป็น 6 ประการ
ธาตุ 3 เหล่านี้คือ กามธาตุธาตุคือกาม 1 รูปธาตุ ธาตุคือรูป1 อรูปธาตุ ธาตุคืออรูป 1ฯ
ธาตุ 2 เหล่านี้คือสังขตธาตุ ธาตุอันปัจจัยตกแต่ง 1 อสังขตธาตุ ธาตุอันเป็นปัจจัยไม่ตกแต่ง 1 ฯ
ก็อายตนะทั้งหลายที่เป็นภายใน 6 ที่เป็นภายนอก 6 เหล่านี้ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรมอันมีอวิชชาเป็นต้น ไปจนถึง สงขิตเตน ปญจุปาทานขนธาปิ ทุกขา นั้น ย่อมรู้ชัดว่า บุคคลได้บรรลุพระโสดาบันแล้วเป็นคนไม่ถือมั่นปุถุชนย่อมถือมั่นในสังขาร ถือว่าตัวตนเราเขาว่าเที่ยงแท้
ธรรมปริยายนี้ชื่อพหุธาตุกสูตร ว่าด้วยธาตุมาก เรียกว่า จตุปริวัฏฏ์ เวียนรอบ 4 บ้าง ว่า ธัมมาทาสาแว่นส่องธรรมบ้าง ว่า มตกุนกุภิ กลองอมฤตเภรีบ้าง ว่า อนุตตรสงคามวิชยเครื่องชนะสงครามอันเยี่ยมบ้าง

22 พระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ-หลวงปู่มั่น

นมตถุ สุคตสส ฯ สมมาสมพุทธมตุลํ สสทธมมคณุตตมํ อภิวาทิย ภาสิสสํ อภิธมมตตถ สงคหํ ตตถ วุตตาภิธมมตถา จตุธา ปรมตถโต จิตตํเจตสิกํ รูปํ นิพพานมีติ สพพถาติ
บัดนี้จะแสดงพระอภิธรรมปรมัตถสังคหะที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดาจารย์ญาณสัพพัญญู ผู้เป็นบรมครูเจ้าได้ตรัสไว้อันท่านพระอนุรุทธาจารย์นำมาประพันธ์เป็นคาถา 9 ปริเฉทดังต่อไปนี้
สังขตธรรมธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง จัดโดยหมวดเป็น 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สงเคราะห์ลงเป็น 3 ประการ คือจิต เจตสิก รูป ฯ วิญญาณขันธ์เป็นจิต เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก รูปขันธ์แยกเป็นภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนอสังขตธรรมนั้นได้แก่พระนิพพาน ซึ่งมีอารมณ์เหี่ยวแห้งด้วยอริยมรรค จิต -อริยผลจิตแล้ว
จิตแยกเป็น 4 ประเภทโดยภูมิ คือกามาวจรจิต 1 รูปาวจรจิต 1 อรูปาวจรจิต 1 โลกุตตรจิต 1 จิตซึ่งเป็นไปในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในกามภพ 11 คืออบายภูมิ 4 กามสุคติภูมิ 7 ..ชื่อว่ากามาวจรจิต 54 ดวงจิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในรูปภพ ..ชื่อว่ารูปาวจร 15 ดวงจิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในอรูปภพ ..ชื่อว่าอรูปาวจรจิต 12 ดวง..จิตซึ่งข้ามขึ้นจากโลก คือปัญจุปาทานขันธ์ไม่มีอาสวะชื่อว่า โลกุตตรจิต คืออริยมรรคคจิต 4 อริยผลจิต 4 เป็น 8 ดวง สิริรวมเป็นจิต 89 ดวงด้วยประการฉะนี้
เจตสิก 52 ดวง เป็นธรรมเป็นไปในจิต เกิดกับดับพร้อมกับจิตซึ่งแจกโดยประเภท และอาการแตกต่างแห่งหมวดธรรม นับได้ 52 ดวงด้วยประการฉะนี้
........


..

ไปอ่านต่อได้ที่เว็บ 84000 .. ???Ã?Ò·ը 17 - 24 ?Ð͒?҃¬?蹠?Ô?ѵ⵸4000.org
บทธรรมบรรยาย ของพระอาจารย์มั่น
(ข้อความด้านบนยกส่วนหนึ่งมาจากที่นั่น แต่เขาพิมพ์พลาดอยู่บ้าง ที่นำมาพยายามแก้คำที่ผิดพลาดแล้วบ้าง) หลวงปู่มั่นเก่งอภิธรรมมาก เพราะท่านเป็นพุทธภูมิก่อนลานั่นเอง จึงเก่งทั้งปัญญาและฤทธิ์ จะหาคนจะเก่งปริยัตินี่หาได้น้อยนะ เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย

ที่ยกเรื่องธาตุและขันธ์มา เพราะ
ธาตุ หมายถึง ธรรมชาติที่คงไว้ซึ่งลักษณะของตน
ขันธ์ หมายถึง เป็น กอง หมวด ส่วน ฯลฯ<O</O
วิญญาณขันธ์ หมายถึงกองวิญญาณต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่ต่างๆ ในวิญญาณธาตุ ..ที่เรียกขันธ์เพราะโดยลักษณะเป็นกองๆ ..ทีเรียกธาตุเพราะในลักษณะเป็นธรรมชาติที่คงไว้เฉพาะตน สรุปรวมคือจิต(สังขาร)

ที่เราสังเกต
รูปขันธ์ เป็นหนึ่งในขันธ์หน้า ประกอบไปด้วย ธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ
ซึ่งด้านบนก็เห็นใช้คำว่ารูปธาตุธาตุ และอรูปธาตธาตุ น่าจะมีนัยยะถึงลักษณะของตนในความเป็นรูปกับอรูป
วิญญาณขันธ์ บอกความเป็นส่วนหนึ่งหมวดหนึ่งกองหนึ่งในขันธ์ห้า แต่เมื่อกล่าวถึง จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนวิญาณธาตุ จะเห็นว่าเมื่อใช้คำว่าธาตุ ก็มีนัยยะแสดงความเป็นลักษณะเฉพาะตัวขึ้นมา
ส่วนจิตหนึ่งๆ (จิตสังขาร) เกิดขึ้นด้วยการสัมปยุตต์ ของวิญญาณขันธ์(จิต)และเจตสิกคือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

เห็นคุณนิวรณ กำลังแจกแจงเรื่องจิตอยู่ (เรื่องจิตนี่ก็เป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง)

ในที่นี้ หลวงปู่มั่น เรียกนิพพานธาตุว่าอสังขตธาตุ
นี่เป็น บทธรรมบรรยายที่เห็นแล้วเป็นสาเหตุทำให้เราเข้าไปศึกษาอภิธรรมกับเขานิดๆ หน่อยๆ ขึ้นมา

(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)<O</O

({)<O</O

 

เต้าเจี้ยว อย่าเพิ่งไป วู้ วู้

จิตกะวิญญาณเป็นอันเดียวกันไหม โหล ๆ

 

เอ่อ. ลืมอ่านท่อนนี้ไป "วิญญาณขันธ์เป็นจิต"

อาจารย์ใหญ่แสดงไว้แจ่มแจ้งหนอ

 

ตามหลักอภิธรรม จิตคือ วิญญาณขันธ์
แต่จิตหนึ่งๆ (จิตสังขาร) จะเกิดขึ้นได้ด้วยการสัมปยุตต์ ของวิญญาณขันธ์(จิต)และเจตสิกคือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ แยกตามประเภท ได้ 89 ประเภท (หรือนับพิศดารได้ 121 ประเภท)ค่ะ

หลวงปู่มั่น -วิญญาณขันธ์เป็นจิต เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก รูปขันธ์แยกเป็นภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนอสังขตธรรมนั้นได้แก่พระนิพพาน ซึ่งมีอารมณ์เหี่ยวแห้งด้วยอริยมรรค จิต -อริยผลจิตแล้ว

ครูบาอาจารย์มักจะเรียกนิพพานธาตุ ว่าจิตบริสุทธิ์ จิตพ้นโลก หรือ ใจ ฯลฯ คือจิตที่ตับขันธ์ห้าไปแล้ว แต่อาจจะมีที่สอนว่า ที่ดับไปคือกิเลสไม่ใช่จิต


({) เน็ตช้าหน่อยนะ

 

ขอบใจเต้าเจี้ยวมาก นึกว่าไปซะแล้ว

เอ่อ. ครูบาอาจารย์มักจะเรียกนิพพานธาตุ ว่าจิตบริสุทธิ์ จิตพ้นโลก หรือ ใจ ฯลฯ อันนี้จะเรียกว่า อรหัตถผลจิตก็ได้นะ

เต้าเจี้ยว ของแท้ แน่นอน

อนุโมทนา มิ

 

http://palungjit.org/threads/ตายแล้วเกิดก็ไม่ใช่-ตายแล้วสูญก็ไม่ใช่-พระครูเกษมธรรมทัต.198388/

 

ยินดีค่ะคุณ CottonFields

:boo:

นิวรณ์ ไม่คุยกะเรา ไปแล้วนะ คิดถึงฟร่ะ

:boo:

ละกายได้โลกียฌาน
ละจิตได้โลกุตตรฌาน

:boo:

 

กันเพื่อนเอาไว้หนะ ของสูง ไม่อยากดึงมาเล่น

แหะ แหะ