สงสัยว่าพระอรหันต์ รู้สึกขำและหัวเราะได้ไหม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิศว, 11 กันยายน 2009.

  1. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ความหมายของขันธ์ 5

    ขันธ์ 5 ประกอบด้วย

    1.) รูปขันธ์
    2.) เวทนาขันธ์
    3.) สัญญาขันธ์
    4.) สังขารขันธ์
    5.) วิญญาณขันธ์


    ขันธ์ 5 คืออะไร

    1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
    ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)

    2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย
    รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ

    2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)

    2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)

    2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง

    2.4) วิญญาณขันธ์ คือ การรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ที่มากระทบอินทรีย์ทั้ง 6 ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง



    เรื่องขันธ์ มหาสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนาหรือว่าจิตตานุปัสสนาถึงข้อนิวรณ์ 5 อันนี้ เป็นสมถกรรมฐาน ตอนที่ว่าด้วยขันธ์นี่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

    ขันธ์ก็แปลว่ากอง ขันธ์ 5 แปลว่า มีอยู่ 5 กอง คือ 1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4 สังขาร 5 วิญญาณ

    คำว่าวิญญาณตัวนี้ไม่ใช่จิต
    เป็นวิญญาณที่เกาะอยู่กับขันธ์ 5 เรียกว่าประสาท การพิจารณาขันธ์ 5 นี่เป็นปัจจัยให้ได้โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ในอริยสัจ 4 ก็เหมือนกัน อริยสัจ 4 ก็เป็นการพิจารณาขันธ์ 5 คือทุกข์หรือว่าสมุทัยที่เกิดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5 เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน คือคนที่จะบรรลุพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อาศัยขันธ์ 5 เป็นปัจจัย

    มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททกนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง" บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารี บุตร พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า พวกกระผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะ ทำยังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส เมื่อปลงขันธ์ 5 อย่างเดียวสังโยชน์ 3 มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์ 3 ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะ ทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามแบบนั้นแหละพิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะ ทำยังไง ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์ 5 นั่นเองทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ 10 ก็ จะขาดไป พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป้นพระอรหันต์ละสังโยชน์ 10 ได้แล้วการพิจารณาขันธ์ 5 ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข ขันธ์ 5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้

    รูปนี่ เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธาตุ 4 มีอาการ 32 มหาสติปัฏฐานต้องมองย้อนไปย้อนมาว่า คือรูปมันก็มีหนังกำพร้ามีเนื้อมีรูป มีตับไตพังผืดไส้ปอด ไม่ต้องพรรณนาอาการ 32 ครบถ้วนเป็นรูป ทีนี้รูปร่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ต้องไปดูธาตุ 4 อาศัยธาตุ 4 มาประชุมกัน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เล็กแล้วก็โตมาทีละน้อย ๆ อาศัยอาการเปลี่ยนแปลงเจริญเติบโตขึ้น การเจริญขึ้น ก็หมายถึงการเสื่อมลงนั่นเอง เดินไปหาความพังของมันแล้วในที่สุด ก็เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายเป็นโรคะนิทัง เป็นรังของโรค คำว่าโรคะหรือโรค แปลว่าอาการเสียดแทง ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ แล้วในที่สุดมันก็เสื่อมลง ๆ แล้วก็สลายตัว คือตาย


    ว่าด้วยเรื่องรูป ในอาการ 32 ที่ว่าด้วยปฏิกูลบรรพพิจารณาอาการ 32 มาแล้ว พิจารณาธาตุ 4 รูป คือกายคตานุสติกรรมฐาน คืออาการ 32 เป็น อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด

    เวทนาก็ คืออารมณ์ อารมณ์ที่เป็นสุข อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อาการเกิดของเวทนาเป็นยังไง ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย มันเป็นเวทนาทั้งนั้น เป็นทุกขเวทนา การอยากได้ของที่ชอบใจเป็นสุขเวทนา รู้ว่าเวทนามันเกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป ไม่มีอะไรคงที่ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน

    สังขาร คือสภาพที่ ปรุงแต่งจิต หมายความถึงอารมณ์ของจิต อารมณ์ที่เข้ามาแทรกจิต ท่านกล่าวว่า อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารมี 3 ปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ที่มีความสุข อปุญญาภิสังขาร ได้แก่อารมณ์ที่มีความทุกข์ อารมณ์ที่มีความสุขก็คือบุญ อารมณ์ที่มีความทุกข์ก็คือบาป ความชั่ว และอเนญชาภิสังขาร คืออารมณ์ที่วางเฉยเป็นอารมณ์กลางได้แก่อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์ว่างจากกิเลส ว่างจากความสุขหรือความทุกข์ อันนี้เป็นอารมณ์ที่ปรารถนาพระนิพพาน ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศลก็มีความสุขใจ ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลก็มีความทุกข์ใจกลัดกลุ้มใจ ถ้าเป็นอารมณ์พระนิพพานก็มีแต่ความเยือกเย็น อารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่คงสภาพ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ไม่คงที่ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนี้ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนั้น ข้อนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรทรงตัว

    สัญญา คือความจำ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง จำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็สลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้นาน

    วิญญาณ ที่รับรู้สภาพของอากาศ ดินฟ้าอากาศ ความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความเจ็บ ความปวด ความอ่อน ความแข็ง นี่เป็นอาการของวิญญาณ คือประสาท สัมผัสรู้ว่าอ่อน รู้ว่าแข็ง รู้ว่าเย็น รู้ว่าร้อน แล้วก็เลิกสัมผัส ไม่มีอะไรแน่นอน

    การที่มาพิจารณาเรื่องขันธ์ 5 ก็เพื่อละ อุปาทานขันธ์ 5 อุปาทาน แปลว่าเข้าไปยึดถือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา การที่เราจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีความมั่นคงแน่นอน เราต้องทุกข์เพราะขันธ์ 5 เป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องของการปวดท้อง หิวข้าว มีเวทนาต่าง ๆ การปวดเมื่อย เราไปห้ามไม่ได้ และสิ่งต่าง ๆ ก็สลายไปในที่สุด ไปยึดถืออะไรไม่ได้ ไม่มีความจีรังยั่งยืน เราคือ จิต จิตเราชั่ว เราก็ต้องหาที่เกิดต่อไป นี้คือ วิปัสสนาญาณ และสมถะ ก็อย่าทิ้ง ถ้าทิ้งก็ตายเพราะเป็นลมหายใจเข้าออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ
     
  2. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    การที่หัวเราะหรือน้ำตาไหล แม้แต่ความร้อน ความหิว ความกระหาย มันเป็นเวทนาทั้งสิ้น

    พระอรหันต์จิตท่านไม่ยึดขันธ์ 5 และเวทนาก็เป็น 1 ใน ในขันธ์ 5

    จึงกล่าวว่า ขันธ์ส่วนขันธ์จิตส่วนจิต เพราะจิตพระอรหันต์ไม่ได้ยึดขันธ์ 5

    จิตของพระอรหันต์เป็นอิสระ...ไม่มีอุปทานความยึดมั่นถือมั่น..

    จิตของพระอรหันต์ไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกิเลส
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สำหรับ มีเหตุชวนหัวเราะ ทำไมต้องหัวเราะ ตอบว่า หัวเราะมันไม่เกี่ยวกับกิเลสครับ

    จิต นี้ไม่ใช่ ตอไม้ เราดูตลกแล้วหัวเราะ ก็เรื่องปกติครับ

    แต่หาก มีเหตุสลดสังเวช น้ำตาไหล นี้ไม่เคยทราบมาก่อน เพราะว่า พระอรหันต์อารมณ์เศร้าไม่มี เป็นอารมณ์แห่งทุกข์

    ไม่ต้องพระอรหันต์หรอก ขนาดผม บีบน้ำตามันยังแทบจะไม่ไหล เพราะมันไม่เศร้า

    แต่ว่า ถ้าหัวเราะจนน้ำตาไหลนี่มีได้

    ดูที่ตัวอารมณ์เป็นหลัก
     
  4. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    การหัวเราะหรือน้ำตาไหล มันไม่ใช่เวทนาขันธ์นะครับ มันเป็นผลที่เกิดจาก
    เวทนาขันธ์ มันมาแสดงออกทางกายเรียกว่ารูปขันธ์ การหัวเราะหรือน้ำตาไหล
    แสดงให้เห็นว่า เมื่อเกิดผัสสะขึ้น จิตก็ไปยึดเกาะกับ
    ขบวนการขันธ์เข้าเต็มๆ เหตุเกิดที่นามขันธ์และเริ่มขบวนการของมัน ผลสุด
    ท้ายก็ออกมาในลักษณะที่เห็นกัน สงสัยรู้เหตุแล้วไม่ดับปล่อยให้เกิดผลขึ้น
    ฉะนั้นที่ท่านว่าจิตส่วนจิต ขันธ์ส่วนขันธ์ ในที่นี้จิตเป็นตัวรู้ ไปรู้ขันธ์เมื่อรู้แล้ว
    ต้องรีบดับ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดผลขึ้น คือน้ำตาไหลหรือหัวเราะซึ่งอาการเหล่านี้
    เป็นอาการของปุถุชนครับ
    ......ส่วนความร้อน ความหิว กระหายนั้นก็ไม่ใช่เวทนา มันเป็นอาการของ
    รูปขันธ์ รูปขันธ์ที่ว่านี้ก็คือกาย กายเรานั้นประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
    เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยเกินไป ก็จะเกิดอาการที่ว่านี้ ซึ่งมัน
    เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ต่อเมื่อจิตเราไปยึดเกี่ยวกับอาการที่ว่า จนเกิด
    อารมณ์สุข ทุกข์ขึ้นนั้นแหละครับถึงเรียกว่า เวทนา
    .....ขอออกตัวควาสมเห็นผมไม่เกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์ แค่แสดงความ
    เห็นต่อข้อมูลของจขกทเท่านั้น
     
  5. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ตัวผมซึ่งเป็นปุถุชน จะหัวเราะก็ต่อเมื่อ มีอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจครับ
    ที่ว่าหัวเราะเพราะไม่พอใจก็คือการ หัวเราะแบบเยียดหยามผู้อื่น
    หัวเราะแบบพอใจก็คือ เอ็นดู รักใคร่ ขบขันในอาการหรือคำพูดของบุคคลอื่น
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนา สาธุฯครับ
    กราบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับ

    ;aa24
     
  7. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ตอบ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->บุญพิชิต<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2428875", true); </SCRIPT>
    คุณก็เข้าใจคำตอบของคุณถูกต้อง...ผมคงไม่สามารถทำให้คุณเชื่อได้....

    ถ้าคุณอยากรู้ที่คุณเข้าใจถูกหรือผิด...ผมอยากให้คุณบุญพิชิต เอาคำถามเรื่องเวทนาขันธ์ ที่คุณเข้าใจทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่อง...ขันธ์ส่วนขันธ์ จิตส่วนจิต..


    เข้าไปถามองค์หลวงตามหาบัว...ตามนี้เลยครับ

    http://www.luangta.com/thamma_forum/question_form.php

    หลวงตามหาบัวท่านจะเป็นผู้ตอบปัญหาให้แก่คุณเอง..คุณจะได้คำตอบที่ถูกต้องแน่นอนเมื่อเปิดดูที่นี่
    http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_show.php


    มิเช่นนั้น..คุณก็คงเข้าใจว่า..คำตอบของคุณถูกต้อง..

    ทั้งๆที่ ยังมิได้พิสูจน์จากผู้รู้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2009
  8. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมสุ้อุตสาห์ออกตัวไว้แต่ต้นว่า ข้อความผมไม่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์
    ทำไมท่านดึงเรื่องนี้ไปยุ่งกับหลวงตาท่านด้วย ความเห็นผมเพียงเพื่อต้อง
    การทราบถึง ความรู้ความรับผิดชอบต่อบทความ ที่จขกทนำมาโพสว่า
    ถ้าเกิดสมาชิกสงสัยหรือเห็นแย้ง จขกทจะแก้ปัญหาให้กับสมาชิกอย่างไร
    ....ที่มาที่ไปกับความเห็นของกระผม ก็เนื่องจากจขกทนำบทความมาโพส
    เป็นการชื่นชมบารมีของหลวงปู่ โดยการไปวิจารณ์พระอีกรูป และจขกทได้
    แสดงอาการตลกขบขันต่อพระภิกษุรูปนี้ ซึ่งผมเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร
    ....พระภิกษุรูปนี้อาจยังไม่บรรลุธรรม ท่านจึงไม่สามารถล่วงรู้ไปว่าหลวงปู่
    ท่านได้บรรลุธรรมสูงสุดหรือยัง ท่านถึงได้กล่าว "ให้ปล่อยวาง" มันเป็นคำ
    ธรรมดาๆ ที่พระภิกษุสงฆ์จะกล่าวให้กำลังใจต่อผู้อื่น แล้วที่หลวงปู่ขบขัน
    ก็เป็นเรื่องระหว่างพระผู้สูงวัยกับอ่อนวัย
    แต่สิ่งที่น่าให้ความสนใจมันอยู่ที่จขกทบอกว่า ขบขันและดูเหมือนจะดูถูก
    นิดๆด้วย ผมจึงเข้าใจไปเองว่า จขกทมีความรู้สึกขบขันเหมือนหลวงปู่
    ภูมิธรรมท่านคงแน่นเหมือนหลวงปู่ เลยโพสความเห็นมาสนทนาด้วย แล้ว
    ผลที่ได้ก็ที่เห็นๆกัน
    .....ท่านวิสุทโธ ผมเป็นแค่ปุถุชนผมไม่ทราบหรอกครับว่าใครรู้จริง ไม่รู้
    จริง แล้วไม่ต้องการพิสูจน์ด้วย เพียงแค่ปฏิบัติแล้วสบายใจเป็นใช้ได้ แล้ว
    ความเห็นที่โพสในนี้ของผม ก็มาจากความรู้ในการปฏิบัติของผมเอง เพราะ
    ผมไม่ชอบอ้างโน้นอ้างนี้ กลัวว่าเอาภูมิธรรมผู้อื่นมาอ้าง เดี๋ยวถูกคู่สนทนา
    ถามแล้วจะตอบไม่ได้หรือตอบแบบกำปั้นทุบดิน
    .....ท่านวิสุทโธถ้าจะคุยกับผมยินดีคุยด้วยครับ แต่รบกวนมาคนเดียวไม่
    ต้องให้ผู้ใหญ่จูงมานะครับ หรืออย่าอ้างว่าผู้ใหญ่บอกอย่างโน้นอย่างนี้ มัน
    หาผู้รับผิดชอบไม่ได้ แล้วมันไม่สนุกด้วยเหมือนคุยอยู่กับหุ่นยนต์
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หุ่นยนต์<!-- google_ad_section_end -->
    หุ่นยนต์<!-- google_ad_section_end -->
    หุ่นยนต์<!-- google_ad_section_end -->
    หุ่นยนต์<!-- google_ad_section_end -->
    หุ่นยนต์<!-- google_ad_section_end -->

    ขออภัย อ่านแล้วมัน..จิ๊ด..จิ๊ด..จิ๊ด.. แล้วก็วิปลาส ประสาทหลอนไปชั่วขณะ
    อนุโมทนาคุณบุญพิชิต ที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก จิ๊ด ได้
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    จากการได้ศึกษาพระอภิธรรมมาบ้าง....ในอภิธรรมก็ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริงๆ....

    แต่ที่เคยพบเจอนั้นตามพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่าน(ที่คาดกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์)...ท่านก็มียิ้มมีหัวเราะบ้างตามความเมตตาของท่านที่มีต่อศิษย์.....เช่นหลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤาษี....เป็นต้น....ท่านเหล่านี้ค่อนข้างจะเห็นบ่อยๆนะ.....
     
  11. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ผมเอง..ไม่ได้อวดอ้างหลวงตา..
    เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจคำตอบของคุณ..ว่าถูกต้องหรือไม่..

    แต่การที่คุณ..ตำหนิว่า..ผมเหมือนหุ่นยนต์..
    ผมก็ไม่อยากคุย..กับคนที่..ทำตัว..เป็นทนาย..
    เพราะผม..ไม่ใช่..จำเลย..เป็นผู้ต้องหาที่จะต้องถูกสอบสวน

    การที่ใครจะตอบคำถามหรือไม่ตอบคำถาม..
    เป็นสิทธิส่วนบุคคล..ไม่ได้มีค่าตอบแทน..
    และก็ไม่ได้มีข้อบังคับให้กระทำตาม...

    ส่วนเรื่องที่คุณ ไม่อยากทราบ ว่าใครรู้จริง ไม่รู้จริง แล้วไม่ต้องการพิสูจน์ด้วย
    ก็เป็นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของคุณ..
    ผมเองก็ไม่อยากทราบเรื่องส่วนตัวของคุณเหมือนกัน..
    เพราะไม่รู้จะรู้ไปทำไม..ไม่เกี่ยวกับผม

    และปิดการสนทนา..เพราะผมไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าหน้าจอ..ทั้งวัน
    คอยทะเลาะกับคนโน้นคนนี้....
    เสียเวลา..เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า..
    ทางใครทางมัน...

    ส่วนใครไม่เกี่ยว..ไม่ได้คุยด้วย..กรุณาอย่าได้มาสอด..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2009
  12. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ไม่ว่า..คุณจะตอบอย่างไร..ผมคงไม่เข้ามาอ่าน..

    เพราะไม่มีเวลามาทะเลาะด้วย..
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณเคย หัวเราะในอาการของคนอื่นด้วย อาการเหยียดหยามหรือ
    สำหรับ ผม ถ้าโกรธ คือ โกรธ และ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
    แต่คงจะไม่มีประเภท หัวเราะ เพราะเหยียดหยาม
    แต่อาจจะมีหัวเราะเพราะความเปิ่นของคน แต่ มันไม่ใช่ดูถูกเหยียดหยาม

    คุณแยกไม่ออก เพราะไม่สังเกตุใจให้ถี่ถ้วน ว่า ที่มันมีอาการเคลื่อนไหวของจิตนั้น มันมาจากแรงอะไร ในใจ ตัวนี้แหละ ที่คุณจะต้องฝึกดูให้แม่นยำ มันจึงจะเห็นได้

    ซึ่ง เมื่อขัดเกลาจิตใจไปเรืืื่อย มันจะหัวเราะอย่างไร มันก็ไม่ได้มาจากกิเลส
     
  14. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านครับคนบางคนเวลาโกรธ ส่วนใหญ่ก็จะด่าหรือแสดงอาการไม่พอใจ
    แต่บางครั้งมันก็ขึ้นกับ สถานะหรือสภาพแวดล้อม ก็ทำให้อาการที่กาย
    แสดงออกขัดแย้งกับจิตใจ ท่านดูบทอ้างอิงด้านล่างแล้วช่วยวิจารย์หน่อย
    ว่า ในขณะที่กายกลั้นหัวเราะ..อมยิ้ม..นึกขำ(คำพูดนี้คงเป็นสำนวน ผมว่า
    ความจริงจขกทคงจะหัวเราะไปแล้วละ) ท่านว่าจิตของจขกทที่มีต่อภิกษุคน
    ที่อ่อนวัยเป็นลักษณะใดครับ ก่อนพิจารณารบกวนดูคำพูดของจขกทก่อนนะ
    ครับ ผมว่าคงว่าคงไม่ใช่ขำกับความเปิ่นหรอกครับ ปรามาสพระสงฆ์องค์
    เจ้ามาซะขนาดนั้น
    .....ผมฝึกดูจิตดูอารมณ์บ่อยมากครับ จนไปรู้ว่าเวลาที่เรามีอารมณ์หรือกิเลส
    กายก็สามารถแสดงออกสวนทางกับจิตในขณะนั้นได้ ตัวอย่างง่ายๆเวลาที่
    เราอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิท เพื่อนฝูงชอบเอาปมด้อยของเพื่อนๆมาล้อ แล้วก็
    หัวเราะกันแม้กระทั้งผู้ที่ถูกล้อ ผมว่าในใจผู้ถูกล้อคงไม่ยินดีกับคำล้อนั้น
    หรอกครับ ทำไมต้องหัวเราะก็เพราะทำอะไรไม่ได้ จะแสดงอาการโกรธก็
    อายเพื่อนฝูง
    ....หรือไม่ตอนเช้าๆก่อนไปทำงาน ท่านลองเปิดทีวีดูข่าวที่เกี่ยวกับการเมือง
    ดูตอนที่นักการเมืองออกมาพูด เลือกเอาคนที่เราไม่ชอบและรู้นิสัยว่าเป็นคน
    อย่างไร เวลาที่เราดูคนโกหกหน้าตาเฉย มันจะรู้สึกโกรธจนต้องหัวเราะออก
    มากับการกระทำของคนๆนั้น
    ....อีกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย เวลาดูทีวีที่เป็นงานสังคม ท่านลองดูสตรีสูงวัย
    พวกไฮโซต่างๆ ดูการแต่งตัวแต่งหน้าของคนวัยเกษียนอายุแล้ว มาจีบปาก
    จีบคอให้สัมภาษณ์ ท่านดูแล้วรู้สึกอย่างไรครับ ผมดูแล้วรู้สึกสมเพศ
    เวทนาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาดังๆครับ
    ....ท่านอย่าลืมนะครับว่าที่ผมกล่าวมา เป็นอารมณ์ของปุถุชน เพียงจะชี้ให้
    เห็นว่า ยามเมื่อจิตมีกิเลส กายก็หัวเราะได้
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านเป็นนินจาหรือเปล่าครับนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
    สงสัยเป็น "หุ่นยนต์ยอดนินจา" สำนวนผมแรงไปนิด
    หยอกล้อหน่อย ทำใจน้อยตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตัวผมโดน
    ด่า โดนเล่นถึงครูบาอาจารย์ ยังไม่กล่าวคำว่าทะเลาะกันเลย
    อยากหยุดการสนทนา ก็บอกว่าอยากหยุด ไม่ใช่บอกว่า
    "ไม่อยากทะเลาะด้วย" ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลนะ
    ....."ไม่ว่าคุณจะตอบอย่างไร..คงไม่มาอ่าน" คำพูดนี้ฟังดูเหมือนในนิทาน
    อีสป เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ อะไรกันครับมาว่าเขาแล้ว เหมือนบอกไม่
    ต้องมาเถียง กลัวโดนสวนกลับหรือครับ ผมจะเสนอแนะให้นะครับเวลา
    ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายแสดงความเห็นกลับ ก็ไม่ควรแสดงความเห็นทิ้งท้ายไว้
    สิ่งที่ท่านทำเหมือนเป็นการยั่วยุครับ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าตีหัวเข้าบ้าน
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ส่วนใครไม่เกี่ยว..ไม่ได้คุยด้วย..กรุณาอย่าได้มาสอด..<!-- google_ad_section_end -->

    ใครหว่า... เขาหมายถึงคุณกิเลส อย่ามาสอด รุป่าว!!!

    จม.ผิดซอง จะส่งถึงรึป่าว ก็ไม่รู้...นะ เหอๆๆๆๆ

    [​IMG]
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นี่เป็นอาการสอด ด้วยหรือเปล่า

    เพราะว่า ผมเห็นมี บุญพิชิต ที่เขาพูด และ มีวิสุทโธ และ วิศว แล้วก็มี ขันธ์ ที่อ้างอิิงถึง

    ไม่เห็นมี อ้างอิงอะไรถึงขวัญนี่

    ผมว่า คุณ ควรระวัง ความคิดของคุณหน่อย

    เรื่องที่ผ่านมา ที่เป็นกรรมมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่า คุณ เอง ระลึกเอาไว้ด้วย

    คุณ ชอบแบ่ง ก๊กแบ่งเหล่า สนับสนุนคนนั้นคนนี้ ออกมาพูดจาเรื่อยเปื่อย

    จนคนที่มีธรรมดีๆ เขาเอื่อมระอา จน ขี้เกียจจะเล่น กระทู้ที่นี่แล้ว

    สำหรับ ธรรมอะไรก็ตาม ผมมองไปที่ธรรมล้วนๆ ใครจะส่งจดหมายถึงใคร ไม่สำคัญ
    สำคัญที่ว่า ที่พูดมานั่นถูกต้องหรือไม่
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กิริยาท่านผู้มีทำ เขาเป็นเช่นนี้กันหนอ (จะได้รับรู้ไว้ด้วยความกลัวสุดขีด)
    [​IMG]
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาครับ ท่านเจ้าของกระทู้ ผมไม่เคยพบหลวงปู่หรอกครับ แต่ก็เลื่อมใสเคารพศรัทธา ด้วยจิตใจเป็นอันมากนี้เช่นกัน เมื่อก่อนไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่เชื่อว่าท่านเป็นเพราะว่าเคยเห็นพระธาตุของท่าน แม้ความเชื่อนี้จะดูไม่มีเหตุผลสักเท่าไร ความเชื่ออื่นๆ ก็จะตามมาหากปฏิบัติตามที่ท่านสั่งสอนอย่างจริงจัง ส่วนเรื่องพระอรหันต์ขำได้ไหมนั้น ผมว่าพระอรหันต์ทำได้เพราะรู้จักคุณและโทษของสรรพสิ่งดีแล้ว แจ่มแจ้งแล้ว จึงไม่แปลกอะไร เพราะการขำก็ไม่ได้เกิดโทษแก่ผู้อื่น ทั้งแก่ตนก็เช่นกัน ผมเห็นเป็นเช่นนี้ครับ ใครที่กำลังคิดมากฟุ้งซ่านและวุ่นวาย วางมันเสียเถิดครับ ให้เข้าใจว่าถ้าเราเชื่อว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์แล้วจิตใจของท่านก็ไม่อยู่ในวิสัยอันเป็นของปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ เรื่องทั้งหมดก้อเป็นเพียงความเข้าใจของแต่ละคน ถูกแต่ไม่ทั้งหมดหรอกครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้โดยเฉพาะ กายกับใจ นี้ พระอรหันต์และพระอริยะบุคคลย่อมทราบดีถึง คุณและโทษแห่งสองสิ่งนี้ หาได้เพียงแค่รู้หรือแค่เห็นเท่านั้นครับ พระอริยะบุคคลก็เช่นกันเพียงแต่ความชัดเจนแจ่มชัดและความสิ้นสุดแห่งคุณและโทษของสองสิ่งนี้สุดที่พระอรหัตผล คือ ความเป็นพระอรหันต์
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...