ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อยากติดต่อ อยากสัมภาษณ์ ค่ะ ท่านพี่จงรักภักดี

    เมื่อก่อนจะเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ ไปเรื่อยๆ

    ทางสายธาตุจะตั้งประเด็นการค้นหาขึ้นมาเรื่อยๆ

    แต่ข้อมูลที่ต้องการหานั้น หาได้ยากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

    จะว่าไปแล้ว ต้องการความช่วยเหลือในการหาข้อมูล

    พวกหลักฐานสนับสนุนเหมือนกันค่ะ โจทย์เริ่มยาก

    ตอบโจทย์จึงยากตาม วันนี้ นั่งหาที่มาของ ย่อมุมได้สิบสอง

    ว่างก็ Serch ผ่าน Google ศิลปะหมิง แล้วกดค้นหารูปภาพ

    เจอแต่ตู้ใส่ของศิลปะหมิง เก้าอี้ ชาม ยังไม่เจอศิลปะการเขียนรูป

    การเขียนรูปมีแบ่งด้วยค่ะว่าสำหรับสามัญชนก็แบบหนึ่ง

    เขียนให้สำหรับเชื้อพระวงศ์ก็จะมีอีกรูปแบบหนึ่ง ตรงนี้ถ้าหาได้ก็จะดีด้วยค่ะ

    เดินหน้าไปเรื่อยๆค่ะ ไม่หยุดหาค่ะ
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะเข้าใจประวัติศาสตร์ครับ เพราะประวัติศาสตร์ก็คือ

    ประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ก็มักจะถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอไม่ใช่หรือ

    ครับ นักวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์มักจะถูกชำระและเปลี่ยนแปลงด้วยกาล

    เวลา หาใช่จากผู้หนึ่งผู้ใดไม่ ผมเข้าใจอย่างนั้นนะครับ (ความสามารถส่วน

    ตัว กรุณาอย่าลอกเลียนแบบ )
     
  3. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    สาธุครับ ท่านพี่ อดีตก็เหมือนเงาในน้ำ จะไปยึดว่าเป็นตัวเองนั้นก็หาใช่ไม่ เพียงแต่ให้รู้ว่าเคยเป็นใคร มีกรรมอันใดที่ตามส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคตqsqu อยู่ที่เรา ณ ปัจจุบัน จะก่อกรรมอันใดไว้เท่านั้นเองqsqu
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เม่นแล้วค่ะ สาธุ เปลี่ยนชาติก็คือเปลี่ยนบทตัวละครไม่ใช่ตัวละครเดิม มันเป็นแค่สมมติสัจจะ ที่เหลือเป็นสายโยงใยคือกรรมดีกรรมชั่ว สะสมต่อเนื่องกันไป ปัจจุบันขณะคือเวลาที่ดีที่สุดที่จะตัดเครื่องผูกอันทำให้ต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้กี่ภพกี่ชาติค่ะ :cool:
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    สาธุ ขออนุโมทนาครับ เมื่อได้รู้แล้ว ก็เพียงปฎิบัติดีปฎิบัติชอบให้ยิ่งๆขึ้นไป

    อดีตผ่านไปแล้วไม่อาจหวนทวนกลับคืน อนาคตก็เป็นสิ่งที่มาไม่ถึง เพราะเมื่อ

    มาถึงก็กลายเป็นปัจจุบัน อาจพูดได้ว่าอนาคตนั้นไม่เคยมี ฉะนั้นไซร้จงทำ

    ปัจจุบันให้ดีที่สุด เริ่มจากตัวเอง ครอบครัว สังคม และไปสู่ประเทศชาติ

    ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในที่สุด ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน
     
  6. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205


    สาธุ อนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ตามที่ได้เคยเกริ่นไว้ว่าจะนำเสนอเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภัยคุกคามในหัวข้อ

    ที่ว่า "ภัยคุกคาม-ช่องแคบมะละกาเรื่องที่ไม่แคบอย่างที่คิด" :


    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ภัยคุกคาม - ช่องแคบมะละกาเรื่องที่ไม่แคบอย่างที่คิด </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>แก้ไขโดย ทอทหาร </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>วันเสาร์ที่ 08 ตุลาคม พ.ศ.2548 </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]

    ในช่วงที่สถานการณ์ความร้อนแรงของความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นที่สนใจของเรา ๆ ท่าน ๆ จนทำให้กลบข่าวความร้อนแรงรอบบ้านที่เกิดขึ้น อย่างเช่นสถานการณ์บริเวณช่องแคบมะละกาที่มีหลายประเทศเกี่ยวข้องกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้



    จากที่ผมกล่าวนำมาอย่างนี้ คิดว่าหลายท่านอาจจะสนใจแล้วว่า ช่องแคบมะละกามีความสำคัญอย่างไร? ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่อยู่บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย ตะวันตกและใต้ของมาเลเซีย ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือและเหนือของเกาะสุมาตรา และเลยไปถึงทางด้านใต้ของสิงค์โปร์ ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่มีความกว้างบริเวณทางเข้าประมาณ 5 ไมล์ ยาวประมาณ 600 ไมล์ ช่วงที่แคบที่สุดประมาณ 1.5 ไมล์ มีเรือผ่านประมาณ 900 ลำต่อวัน หรือประมาณ 50,000 ลำต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วมีประมาณเรือที่ผ่านมากว่าคลองสุเอซประมาณ 2 เท่า และ มากกว่าคลองปานามากว่า 3 เท่า

    นอกจากนี้ช่องแคบมะละกายังเป็นช่องแคบที่ใช้ขนส่งน้ำมันวันละ 11 ล้านบาเรล โดยเฉพาอย่างยิ่งประเทศ ไทย จีน และญี่ปุ่น อาศัยช่องแคบมะละกาในการนำน้ำมันเข้าประเทศกว่า 80% ของน้ำมันที่แต่ละประเทศ และโดยรวมแล้วช่องแคบมะละกายังใช้เป็นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันทั่วโลกกว่า 50% และยังเป็นเส้นทางขนส่งสินค้ากว่า 25% ของโลก ทั้งนี้เพราะว่าช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่เชื่อมต่อระหว่าง มหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้


    ด้วยความสำคัญของช่องแคบมะละกาจึงเปรียบเสมือน เส้นทางคมนาคมทางทะเล (Sea Line of Communication: SLOC) ที่สำคัญ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาสนใจ เพราะปัจจุบันภัยคุกคามจากการก่อการร้ายเป็นภัยที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและยังส่งผลกระทบโดยตรงพลังอำนาจของชาติทางด้านเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ถ้าเกิดการก่อการร้ายบริเวณช่องแคบมะละกาอาจจะส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยขาดแคลนน้ำมัน เพราะน้ำมันสำรองที่ประเทศไทยมีสามารถสำรองใช้ได้เพียง 18 วัน ทั้งนี้เพราะประเทศไทยนำเข้าน้ำมันประมาณ 710,000 บาเรลต่อวัน (ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานในปี 2546)


    นอกเหนือจากประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่นจะประสบปัญหาเหมือนกัน เพราะ ญี่ปุ่นนำน้ำมันเข้าประมาณ 5.57 ล้านบาเรลต่อวัน เพราะหากช่องแคบมะละกาไม่สามารถเปิดให้เดินเรือได้แล้วเรือต่าง ๆ ที่เปลี่ยนเส้นทางจะต้องเดินทางอ้อมไกลจากเดิมไปอีกกว่า 100 กม. ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นและยังส่งผลตามมาในทางจิตวิทยาที่ผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


    จากการคาดการณ์ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการก่อการร้ายในบริเวณช่องแคบมะละกาจะเห็นได้ว่ามีผลต่อระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของแต่ละชาติ ซึ่งปัจจุบันการขนส่งทางทะเลมีความสำคัญในส่วนแบ่งของตลาดการค้าโลกถึง 90% นอกเหนือจากประเทศในภูมิภาคนี้แล้วประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ฯ เองก็มีความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะสหรัฐ ฯ เองนั้นอาศัยการขนส่งทางทะเลถึง 80% จากทั่วโลกในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ซึ่งสหรัฐ ฯ ถือว่าเป็นการส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของชาติสหรัฐ ฯ เอง


    ด้วยเหตุนี้เองหลาย ๆ ท่านจึงอาจจะเคยได้ยินข่าวว่าสหรัฐ ฯ โดย พล.ร.อ. ทอมัส บี. ฟาร์โก (Admiral Thomas B. Fargo) ผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐ ฯ (Commander, US Pacific Command) เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ฯ เมื่อ 31 มี.ค. 2547 ที่นำเสนอแนวความคิดเรื่อง "ความริเริ่มเพื่อความมั่นคงทางทะเลระดับภูมิภาค" (The Regional Maritime Security Initiative: RMSI)


    โดยที่ RMSI เป็นแนวความคิดที่มีความสัมพันธ์กับแนวความคิดในเรื่อง “มาตรการเพื่อความร่วมมือและสกัดกั้นการขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง” (Proliferation Security Initiative: PSI) ของสหรัฐ ฯ ที่พยายามหยุดยั้งการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ทาง บก ทางทะเล และ ทางอากาศโดยทำการตรวจค้น จับกุม หรือยึดสินค้าต้องสงสัย (สำหรับประเทศไทยเองได้มีการทำการตกลงในระดับทวิภาคีกับสหรัฐ ฯ ในเรื่อง “มาตรการเพื่อความร่วมมือในการป้องกันการขนส่งสินค้าที่ไม่ชอบธรรม” (Container Security Initial: CSI) ซึ่งจะแตกต่างจาก PSI ตรงที่มุ่งเน้นในการตรวจตู้สินค้าที่จะส่งตรงทางเรือไปยังสหรัฐ ฯ เท่านั้น แต่ PSI รวมทั้ง ทางบก ทะเล และอากาศ)


    มาตรการ RMSI นั้นมีวัตถุประเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคร่วมกันสร้างความมั่นคงในทะเล โดยดำเนินการ ลาดตระเวน ตรวจจับ และเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวทางทะเลในพื้นที่ที่เป็นผลประโยชน์ และรวมไปถึงการสถาปนาขีดความสามารถทางด้านการข่าว ความสามารถในการประสานการปฏิบัติ และ การรักษากฎหมายของภูมิภาคเพื่อสกัดกั้นเรือต้องสงสัยในน่าน้ำระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดีการจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกใน RMSI คงจะต้องพิจารณาให้รอบ เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันหลายเรื่อง เช่น ความละเอียดอ่อนต่อปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค กฎหมาย และอื่น ๆ อีกหลายประการ


    ดังนั้นเมื่อพิจารณาดี ๆ แล้ว จะเห็นว่าสหรัฐ ฯ เองมีความพยายามยามเป็นอย่างมากที่จะผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่องแคบมะละกายอมรับ และร่วมกันเป็นสมาชิกใน RMSI ดังที่ผ่านมา ในเดือน มิ.ย. 2547 ในการประชุม 2<SUP>nd</SUP> IISS Asia Security Conference – Shangri La Dialogue ที่ประเทศสิงค์โปร์ โดย พล.ร.อ. ทอมัส ฯ ได้นำ RMSI มาเสนอในการประชุมอีกครั้ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>อย่างไรก็ตามเสียงตอบรับจากความพยายามของผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐ ฯ คงมีเพียงแต่ สิงค์โปร์ประเทศเดียว ส่วนมาเลเซีย และอินโดนีเซียต่างคัดค้างอย่างรุนแรงและแสดงจุดยืนที่ว่า ช่องแคบมะละกาเป็นเรื่องของความมั่นคงในภูมิภาค ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของประเทศในภูมิภาคนี้ทำการป้องกันกันเอง อย่างไรก็ดีอินโดนีเซียยินดีที่จะรับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติที่จะนำมาใช้ในการรักษาความปลอดภัยบริเวณช่องแคบมะละกา ส่วนไทยนั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไร และ เมื่อ 20 ก.ค. 47 มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ สิงค์โปร์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง กองกำลังลาดตระเวนทางทะเล ด้วยกองเรือจำนวน 17 ลำ ภายใต้ชื่อ “ยุทธการมาลินโด (Operation Malindo)” เพื่อทำการทำการลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายและโจรสลัดในบริเวณช่องแคบมะละกา

    อีกทั้งทางกองทัพเรืออินโดนีเซียได้เพิ่มมาตรการเฝ้าตรวจลำน้ำโดยจัดเรือ 5 – 7 ลำ ทำการลาดตระเวนเพื่อป้องกันและปราบปรามโจรสลัด และยังตามมาด้วย การลงนามความร่วมมือทางทหารและแลกเปลี่ยนข่าวกรองระหว่างกันระหว่างมาเลเซียและสิงค์โปร์ ในวันที่ 27 ก.ค. 2547 ต่อมาเมื่อ 9 ส.ค. 2547 มาเลเซียประจัดตั้งหน่วยรักษาฝั่งที่มีโครงสร้างการจัดคล้าย ๆ กับ หน่วยรักษาฝั่งของสหรัฐ ฯ (US Coast Guard) ภายในต้นปี 2548 เพื่อการกู้ภัยและช่วยเหลือทางทะเล


    จากมาตรการต่าง ๆ ที่ประเทศรอบ ๆ ช่องแคบมะละกาได้ดำเนินการสามารถใช้เป็นสิ่งบอกเหตุว่า แต่ละประเทศต่างก็มีความกังวลกับความปลอดภัยและเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ และไม่ต้องการให้ประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ ฯ เข้ามาแทรกแซง เมื่อถึงตรงนี้ผมคิดว่า เรา ๆ ท่าน ๆ คงจะมีคำถามในใจว่าทำไม? สหรัฐ ฯ ถึงได้ให้ความสนใจมากนักในบริเวณช่องแคบมะละกา และพร้อมที่จัดตั้งกองกำลังเข้ามาร่วมในการทำการลาดตระเวนน่านน้ำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ ฯ ในมุมมองด้านการรักษา SLOC เท่านั้นหรือ? เพราะสหรัฐ ฯ เองได้ทุ่มเททรัพยากรทางทหารจำนวนมากไปในอิรักและในอัฟกานิสถาน หรือว่าสหรัฐ ฯ จะมีวาระซ่อนเร้นที่แอบอยู่ภายใต้มาตรการ RMSI?


    เมื่อกล่าวถึงสหรัฐ ฯ แล้วหลาย ๆ ท่านอาจจะไม่ทราบว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ฯ ได้ประกาศว่าเส้นการคมนาคมทางทะเล (SLOC) และจุดสกัดกั้นทางทะเล (Chokepoint) เปรียบเสมือน เส้นทางการคมนาคมหลักและพื้นที่ถ่ายสิ้นค้า (US Lifelines and Transit Regions) จำนวน 8 ช่องทาง คือ


    (1) คลองปานามา ที่อยู่บริเวณ ทะเลคาริบเบียนในอ่าวเม็กซิโก
    (2) ช่องแคบและคลองหลายคลองบริเวณ ทะเลบอลติกและทะเลเหนือ
    (3) ช่องแคบยิบรอนต้าที่อยู่บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ รวมถึงช่องทางเข้าสู่ตะวันออกกลาง
    (4) คลองสุเอซที่อยู่บริเวณทางทิศตะวันตกของหาสมุทรอินเดียและช่องแคบแห่งฮอมุซและบริเวณรอบ ๆ อัฟริกาใต้ถึงบริเวณคลองโมซัมบิก
    (5) ช่องแคบมะละกา และ ลอมบอด บริเวณทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ SLOC ที่ผ่านหมู่เกาะสแปรทลีย์
    (6) SLOC สำคัญบริเวณทะเลในเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เข้าสู่ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และรัสเซีย
    (7) SLOC ที่สำคัญบริเวณ ตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เข้าสู่ ออสเตรเลีย
    (8) ช่องแคบเบอริ่ง ที่ในมหาสมุทรอาร์คติก

    สาเหตุที่สหรัฐ ฯ กำหนดความสำคัญของ ช่องแคบ และ SLOC ต่าง ๆ ก็เพราะว่าสหรัฐ ฯ เคยประสบปัญหาต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในช่วงสงครามระหว่าอิรักและอิหร่าน (ช่วงปี พ.ศ. 2523 – 2531) เนื่องจากน้ำมันที่ใช้ในประเทศสหรัฐ ฯ นั้นมากกว่าครึ่งนั้นนำเข้าจากต่างประเทศโดยนำเข้าส่วนใหญ่นั้นมาจากซาอุดิอารเบีย ซึ่งจะต้องขนส่งทางทะเลมากกว่า 800 ไมล์ทะเล ผ่านทาง SLOC บริเวณทิศตะวันตกของหาสมุทรอินเดีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ และรวมถึงทะเลคาริบเบียนในอ่าวเม็กซิโก เพราะในช่วงสงครามดังกล่าว มีเรือขนส่งถูกโจมตีระหว่างเดินทาง 543 ครั้ง และกลาสีบนเรือ มากกว่า 200 ชีวิตได้สูญเสียไปในระหว่างที่ถูกโจมตี (ในจำนวนนี้เป็นชาวสหรัฐ ฯ 53 คน) โดยทั้งเรือเดินสมุทรและเรือรบนั้นเสียหายจนใช้งานไม่ได้ถึง 80 ลำ ส่วนคลังสินค้าและลำเรือเสียหายทั้งหมดกว่า 2 พันล้านเหรียญ และยังส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้นถึง 200% และผลกระทบที่ตามมาคือราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จากราคาในขณะนั้น บาเรลละ 13 เหรียญสหรัฐ ไปเป็น 31 เหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกขยับตัวสูงขึ้นเป็นมูลค่ารวมถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ


    จากตัวอย่างความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสหรัฐ ฯ และเศรษฐกิจโลกในห้วงสงครามอิรัก-อิหร่าน จะเห็นได้ว่า SLOC ที่สำคัญ รอบ ๆ โลกนั้นย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเศรษฐกิจของโลก ซึ่งในอนาคตถ้าเกิดเหตุกาก่อการร้าย หรือเหตุใด ๆ ก็ตามที่ส่งผลให้ SLOC สำคัญ ๆ ไม่สามารถใช้ทำการเดินเรือได้ โดยเฉพาะอย่าง บริเวณช่องแคบมะละกา ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านสูงที่สุดใน 8 พื้นที่ตามที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ฯ ประกาศไว้ และยังมีบริเวณที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ เส้นทางเดินเรือบริเวณหมู่เกาะสแปรทลีย์


    และจากแหล่งข่าวหลาย ๆ ที่นั้นต่างก็มีรายงานข่าวไปในทำนองเดียวกันว่าในปีหน้า (2548) การก่อการร้ายจะพุ่งเป้ามาที่ช่องแคบที่สำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องแคบมะละกา ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่กลุ่มอัลกออิดะห์ ให้ความสนใจเพราะสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ และโลกได้อย่างมหาศาลด้วยการลงทุนที่ต่ำ


    มาถึงตรงนี้คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงจะเริ่มปะติดปะต่อภาพและมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าทำไม่สหรัฐ ฯ ถึงให้ความสนใจในบริเวณช่องแคบมะละกา และมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะนำกำลังเข้ามารักษาความปลอดภัย ท่ามกลางการต่อต้านของมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพราะถ้ายินยอมให้สหรัฐ ฯ นำกำลังเข้ามาในภูมิภาคนี้แล้ว เห็นทีจะเป็นการเชื้อเชิญผู้ก่อการร้ายเข้ามาร่วมทำสังฆกรรม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแน่แท้ นี่แหละครับสาเหตุว่าทำไมช่องแคบมะละกาจึงเป็นเรื่องที่ไม่แคบอย่างที่ดิค เพราะ ผลประโยชน์ของชาติใด ชาตินั้นก็ต้องรักษาไว้ สวัสดีครับ ...............
    </TD></TR><TR><TD class=modifydate align=left colSpan=2>แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( วันจันทร์ที่ 03 กันยายน พ.ศ.2550 ) </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    น้ำมันสำรองที่ประเทศไทยมีสามารถสำรองใช้ได้เพียง 18 วัน

    มีแค่ 18 วันเองหรือคะ น้อยมาก เริ่มเห็นถึงความเสียหายที่จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    เศรษฐกิจหยุดชะงักทันที ภาวะความอดอยากและไม่พอใจก็จะตามมาอย่างรวดเร็วทั่วโลก

    อ่านแล้ว เรื่องนี้มันไม่ได้แคบอย่างที่ท่านพี่ว่าจริงๆค่ะ
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=1><TBODY><TR><TD>
    • [​IMG] <!--WapAllow138=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 138 [​IMG]

      <!--MsgIDBody=138-->ถ้าเคยอ่านเรื่องครุฑดำจะเข้าใจความรู้สึกของนักรบในสมัยนั้นได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว หลายคนอาจสงสัยว่าครุฑดำเกียวอะไรกับพระนเรศวร ครุฑดำเป็นชื่อของกลุ่มคนที่ปารฏอยู่ในพงศาวดารว่าเป็นกลุ่มของยอดทหารม้าที่มีมาก่อนยุคของพระนเรศวรและต่อเนื่องมาจนถึงยุคของท่าน พวกนี้คิดแต่เพียงอย่างเดียวว่า พม่าคือศัตรูที่ยุติธรรม คือ ผู้ที่เข่มแข็งย่อมมีอำนาจเหนือผู้อ่อนแอ ครุฑดำจะตามฆ่าพวกขุนนางที่ไม่รักชาติ อันนี้ไม่ทราบว่าท่าน Cinephile ใส่เอาไว้บ้างหรือเปล่าแต่พอจะแสดงถึงความรู้สึกของขุนศึกที่รักชาติถึงขนาดสาบานว่าจะฆ่าพม่าให้ได้อีกหนึ่งศพหลังจากที่ตนถูกบั่นศีรษะในสนามรบ ถ้าจำไม่ผิดจะมีการร่วมทำสงครามกับพระนเรศวรด้วยแต่จำไม่ได้ว่าอยู่ในสมรภูมิใด จำได้เลาๆ ว่าทุ่งๆอะไรซักอย่างนึงเนี่ยล่ะ <!--MsgFile=138-->

      จากคุณ : <!--MsgFrom=138-->ทองไม่รู้ร้อน (Pigusto) [​IMG] - [ <!--MsgTime=138-->11 พ.ย. 47 14:56:17 <!--MsgIP=138-->] <!--pda content="end"-->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านพี่จงรักภักดี รู้เรื่องครุฑดำไหมคะ เอามาจากกระทู้ เพชรพระนเรศ 2 ค่ะ
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ต้องขออนุญาตส่งผ่านไปที่ คุณไก่เหลืองหางขาวครับ ผมยังขาดข้อมูล

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    รอคุณไก่ฯ อิอิ เนื่องจากทางสายธาตุ serch google แล้วยังหาไม่ได้ ท่านไก่ฯหาได้ไหมเอ่ย

    เมื่อวันพุธที่แล้ว ไปร้านหนังสือ เจอหนังสือ พุทธกิจ 45 พรรษา ทางสายธาตุอ่านครั้งแรก เมื่อ 6ปีก่อน

    ไปซื้อที่วัดมหาธาตุฯ รู้สึกจะจัดพิมพ์โดยชมรมเพื่อนวันพุธ อ่านแล้วซาบซึ้งในพระพุทธกิจของพระพุทธเจ้าเป็นล้นพ้น

    ครั้งแรกที่หัดนั่งสมาธิ หลวงพ่อจรัญท่านสอนเอง มีแม่ใหญ่คอยกำกับ คนอายุ 30 ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน

    เพิ่งได้เคยสัมผัสความสุขจากความสงบ มันซาบซึ้งจนน้ำตาของความปิติไหล วันที่ครบบวชเนกขัมมะ

    ตั้งใจเดินไปกราบลาพระประธานในโบสถ์วัดอัมพวัน พอก้มลงกราบ น้ำตามันมาเอง ขอบพระทัยเหลือเกินที่ทรงพระมหากรุณาสอนสัตว์โลก

    พระมหากรุณาธิคุณที่จะโปรดเหล่าสรรพสัตว์ให้ก้าวพ้นห้วงแห่งวัฏฏสงสาร ซาบซึ้งดวงวิญญาณเหลือเกิน

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ดวงแก้วอันสุขสว่างยิ่งอันเป็นแสงนำทางชีวิต
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คนแต่ละคน ไม่สามารถรับรู้ได้ทุกเรื่อง เกิดมาชาติหนึ่ง มีสิ่งแวดล้อมแบบหนึ่งๆ จึงมีกรอบความคิดของตัวเองที่หล่อหลอมขึ้นมาจากสิ่งแวดล้อมชีวิตในชาตินั้นๆ

    บางทีมนุษย์เราก็ไม่เข้าใจคนอื่น เพราะตัวตนของเราไม่เคยสัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างเขา ตัวเราจึงไม่ควรไปตัดสินใจว่าใครผิด ตรงนี้ตรงกับหนังสือเดล คาร์เนกี้ ที่ชอบอ่าน

    หากอยากจะกินน้ำผึ้ง อย่าไปตีรังผึ้ง คืออย่าไปตัดสินว่าคนอื่นถูกหรือผิดอย่างไร ตัวเราไม่ได้มีหน้าที่อันนั้น

    พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านผ่านพระชาติมามากมาย ทรงทราบถึงทุกสรรพสิ่ง ทรงเป็นพระสัพพัญญู พระองค์ท่านจึงมีพระเมตตาสูงกับเหล่าสรรพสัตว์

    เพราะพระองค์ทรงเข้าใจแจ้งในชีวิตทุกชีวิตโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยแล้ว พระเมตตาของพระองค์ท่านที่แสดงผ่านการเทศนาโปรดสัตว์ไม่มีพักแม้ยามใดก็ตาม

    เพราะพระองค์เมตตาในความไม่รู้ของเหล่าสรรพสัตว์ แม้พระธรรมจะยากสำหรับชนเหล่านั้นที่จะเข้าใจ แต่ก็ทรงตรากตรำพระวรกายเสด็จดำเนินไปโปรดในทุกถิ่นที่

    ไม่มีคำกล่าวอันใดที่เอ่ยบรรยายถึงพระเมตตาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หมด ได้แต่รู้สึกได้ด้วยใจอยู่เสมอเช่นนี้เอง
     
  14. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คำว่า ออกญา หมายถึง

    ออกญา นั้นน่าจะเป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยอยุธยา

    นอกจากออกญา แล้ว ในหนังสือเก่าๆ ออกหลวง ออกพระ ด้วย ซึ่งคำเหล่านี้ ในที่สุดก็กร่อนมาเป็น หลวง และพระ ตามลำดับ

    ออกญา ก็คงจะมาจากออกพญา นั่นเอง แต่เราเรียกแบบสั้นๆ ว่า ออกญา

    1 ออกญา เป็น บรรดาศักดิ์ของขุนนางขั้นผู้ใหญ่ในสมัยอยุธยา ( น่าจะตั้งแต่ พระเจ้าอู่ทอง- พระเจ้าท้ายสระ )

    2 ออกญา หมายถึง ตำแหน่งเสนาบดี

    ออกญา = รัฐมนตรีในปัจจุบัน

    จมื่น ออกพระ ออกหลวง ออกขุน = ส.ส ในปัจจุบัน

    คำว่า "ออกญา" สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านมีพระวินิจฉัยว่า น่าจะเป็นคำเขมร โยที่ไทยรับเอามาใช้ในช่วงตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเรื่อยมา โดยใช้เป็นยศขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เจ้าเมืองหัวเมืองชั้นโท บางครั้งถึงขนาดใช้เรียกเจ้าประเทศราชก็มี อย่างเช่น สมเด็จพระนครินทราธิราชเรียกนามพระมหาธรรมราชาไสลือไทว่า "ออกญาธรรมราชา" เป็นต้น

    ในพระไอยการนาพลเรือน-นาทหารหัวเมือง ก็มีปนกันอยู่ 2 คำครับ คือ "ออกพญา" และ "ออกญา" ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างที่คุณบ้านใหม่อธิบายครับว่า "ออกญา" ก็คงจะกร่อนมาจากคำว่า "ออกพญา" นั่นเอง แต่เราเรียกแบบสั้นๆ ว่า "ออกญา"

    คำว่า "ออกญา" ใช้เป็นยศขุนนางผู้ใหญ่สมัยอยุธยาเรื่อยมาจนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังที่ปรากฏในจดหมายเหตุชาวต่างประเทศเสมอ อย่างเช่น ออกญาวิไชเยนทร์ (ฟอลคอน) เป็นต้น พอถึงสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง คำว่า "ออกญา" ก็เลือนไป กลายเป็นคำว่า "พระยา" ในที่สุด

    สำหรับทางราชสำนักกรุงกัมพูชา ยังใช้คำว่า "ออกญา" เรื่อยตลอดไม่เปลี่ยนเป็นพระยาอย่างไทย บรรดาศักดิ์และราชทินนามของเขมรบางครั้งก็เหมือนไทยเลยครับ เช่น ออกญายมราช ออกญาสวรรคโลก เป็นต้นครับ รู้สึกจะเลิกสมัยเจ้าสีหนุครองราชย์ครั้งแรกนี่เอง

    "ออกญาศรีราชเดโชชัย" เป็นตำแหน่งขุนนางฝ่ายกลาโหมในสมัยอยุธยา ราชทินนามเต็มๆตามพระไอยการคือ "ออกญาศรีราชเดโชไชยอะไภยพีริยปรากรมภาหุ" เป็นแม่ทัพทางบกครับ ศักดินา 10000 ราชทินนามนี้ในสมัยหลังก็จะกลายเป็น "พระยาสีหราชเดโช" ครับ ท่านสุดท้ายน่าจะเป็นเจ้ากรมทหารมหาดเล็กสมัยรัชกาลที่ 7

    มีคู่กันกับออกญาศรีราชเดโชชัย ก็คือตำแหน่งแม่ทัพทางเรือครับ ราชทินนามว่า "ออกญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำ" ที่ในพงศาวดารมักจะเรียกว่า "พระยาท้ายน้ำ" ศักดินา 10000

    ว่าตามพระไอยการนาทหารหัวเมือง (สมัยอยุธยา) ก็แล้วกันนะครับ…ก็จะมีดังนี้ครับ

    หัวเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองเป็น “เจ้าพญา / เจ้าพระยา” ได้แก่...

    เจ้าพญาสุรศรีพิศมาธิราชชาติพัทยาธิเบศวราธิบดีอภัยพีรียบรากรมภาหุ เจ้าเมืองพิษณุโลก

    เจ้าพญาศรีธรรมราชชาติเดโชไชยมไหยสุริยาธิบดีอภัยพีรียบรากรมภาหุ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

    หัวเมืองชั้นโท เจ้าเมืองเป็น “ออกญา / พระยา” ได้แก่...

    ออกญากระเสตรสงครามรามราชแสนญาธิบดีศรีสัชนาไลยอภัยพีรียบรากรมภาหุ เจ้าเมืองสวรรคโลก

    ออกญาศรีธรรมศุกราชชาติบดินทรสุรินทฤๅไชยอภัยพีรียภาหุ เจ้าเมืองสุโขทัย

    ออกญารามรณรงคสงครามรามภักดีอภัยพิริยภาหะ เจ้าเมืองกำแพงเพชร

    ออกญาเพชรัตนสงครามรามภักดีพิริยภาหะ เจ้าเมืองเพชรบูรณ์

    ออกญากำแหงสงครามรามภักดีพิริยภาหะ เจ้าเมืองนครราชสีมา

    ออกญาไชยยาธิบดีณรงคฤๅไชยอภัยพิริยบรากรมภาหุ เจ้าเมืองตะนาวศรี

    หัวเมืองชั้นตรี เจ้าเมืองมีทั้งที่เป็น “ออกญา / พระยา” และ “ออกพระ / พระ” ได้แก่...

    ออกญาศรีสุริยะราชาไชยอภัยพิริยภาหะ เจ้าเมืองพิชัย

    ออกญาเทพาธิบดีศรีณรงคฤๅไชยอภัยพิริยภาหะ เจ้าเมืองพิจิตร

    ออกญาไกรเพชรัตนสงครามรามภักดีพิริยภาหะ เจ้าเมืองนครสวรรค์

    ออกญาแก้วเการพยพิไชยภักดีบดินทรเดโชไชยอภัยพิริยภาหะ เจ้าเมืองพัทลุง

    ออกญาเคางะทราธิบดีศรีสุรัตวลุมหนัก เจ้าเมืองชุมพร (ราชทินนามท่านนี้แปลกที่สุด)

    ออกพระไชยธิบดีศรีรณรงคฤๅไชยอภัยพิริยภาหะ เจ้าเมืองจันทบูรณ์

    ออกพระวิชิตภักดีศรีพิไชยสงคราม เจ้าเมืองไชยา

    หัวเมืองจัตวา (หัวเมืองชั้นใน) เจ้าเมืองเป็น “ออกพระ / พระ” มีเยอะครับ ยกตัวอย่างละกัน...

    ออกพระพิไชยรณรงค เจ้าเมืองสระบุรี

    ออกพระสุนธรสงครามรามพิไชย เจ้าเมืองสุพรรณบุรี

    ออกพระราชภักดีศรีสงคราม เจ้าเมืองระยอง

    ออกพระญี่สารสงคราม เจ้าเมืองสิงห์บุรี เป็นต้น...
    _____________________________________________________

    บรรดาศักดิ์ "จมื่น" หรือ "เจ้าหมื่น" เท่าที่รู้จักก็อยู่ในส่วนของมหาดเล็กครับ
    ที่เรียกกันว่า

    "หัวหมื่นมหาดเล็ก" มีอยู่ ๔ คนครับ คือ "จมื่นสรรเพธภักดี", "จมื่นศรีสรรักษ์", "จมื่นไวยวรนารถ", "จมื่นเสมอใจราช" มหาดเล็กทั้ง ๔ นี้เรียกกันอย่างลำลองว่า "คุณพนาย" (คุณพระนาย)

    ท่านจมื่นทั้ง ๔ จะมีมหาดเล็กอื่นเป็นลูกมือ ซึ่งพวกนี้จะมีคำขึ้นต้นว่า "นาย" ครับ เช่น นายจ่ายง,นายจ่ายวด,นายสุดจินดา

    ________________________________________________

    ในบังคับบัญชากรมวังยังมี "จมื่น" อยู่อีกหลายตำแหน่งครับ เช่น

    จมื่นจงรักษาองค์, จมื่นจงภักดีองค์ สองท่านนี้เป็นพระตำรวจวังซ้าย-ขวา

    จมื่นวิสูตรสมบัติ, จมื่นรัตนโกษา สองท่านนี้เป็นปลัดกรมศุภรัตน์ เป็นต้น

    กรมพระตำรวจ ยังพบบรรดาศักดิ์ "จมื่น" เป็นตำแหน่งปลัดกรมครับ ได้แก่...

    จมื่นทิพเสนา ปลัดกรมพระตำรวจในขวา, จมื่นราชามาตย์ ปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย,

    จมื่นทิพรักษา ปลัดกรมพระตำรวจนอกขวา, จมื่นราชาบาล ปลัดกรมพระตำรวจนอกซ้าย...

    ตำแหน่งจมื่นในกรมพระตำรวจนี้ ที่ทำให้รู้ว่า "จมื่น" เป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่า "หลวง"

    เพราะตำแหน่งเจ้ากรมเป็นหลวงทั้งสิ้น แต่จะสูงกว่า "ขุน"

    จาก "พระไอยการนาพลเรือน-นาทหารหัวเมือง"

    อัครมหาเสนาบดี ๒ ตำแหน่งได้แก่.....

    เจ้าพระยามหาเสนา (สมุหพระกลาโหม)ราชทินนามเต็มคือ...เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิรียภักดีบดินทรสุรินทรฤๅไชยอะไภยพีริยปรากรมภาหุ


    เจ้าพระยาจักรี(สมุหนายก)ราชทินนามเต็มคือ...เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษสมุหนายกอัครมหาเสนาธิบดีอะไภยพีริยปรากรมภาหุ

    เสนาบดี ๔ คือ เสนาบดีจตุสดมภ์ (เวียง วัง คลัง นา) ได้แก่...

    กรมเวียง...ออกญายมราชอินทราธิบดีศรีวิไชยบริรักโลกากรทัณทะราธรกรมพระนครบาลบดีอะไภยพีริยปรากรมภาหุ

    กรมวัง...ออกญาธารมาธิบดีศรีวิริยพงษวงษภักดีบดินทรเดโชไชยมะไหยสุริยาธิบดีศรีรัตนมณเทียรบาลอัครมหาเสนาธิบดีอะไภยพีริยปรากรมภาหุ

    กรมคลัง...ออกญาศรีธรรมราชเดชะชาติอำมาตยานุชิตพิพิทรัตนราชโกษาธิบดีอะไภยพีริยปรากรมภาหุ

    กรมนา...ออกญาพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตนกระเสตราธิบดีอะไภยพีริยปรากรมภาหุ

    ชื่อเสนาบดีจตุสดมภ์ มักจะเรียกกันอย่างย่อครับ ก็คือ
    "พระยายมราช", "พระยาธรรมา", "พระยาพระคลัง", "พระยาพลเทพ"


    ปลัดทูลฉลอง...น่าจะคล้ายๆกับปลัดกระทรวง มีหน้าที่เข้าเฝ้าแทนตัวเสนาบดี ในการออกว่าราชการของพระเจ้าอยู่หัวครับ

    ปลัดทูลฉลองมีฐานะเทียบเท่ากับตำแหน่งปลัดกระทรวงในปัจจุบัน ปลัดทูลฉลองเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะประจำอยู่ที่กระทรวง เป็นหัวหน้าสูงสุด มีหน้าที่รับใช้เมื่อเสนาบดีมีบัญชางานมาจากภายในวังหรือบ้าน เพราะเสนาบดีนั้นจะไม่ประจำอยู่ยังกระทรวงเหมือนปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีหน้าที่นำหนังสืิอสำคัญไปเสนอต่อเสนาบดีเพื่อสั่งการและรับคำสั่งมา ปลัดทูลฉลองเป็นเหมือนผู้รับมอบอำนาจมาบังคับบัญชาราชการของกระทรวงโดยตรง ส่วนเสนาบดีนั้นมีหน้าที่เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัวยังพระราชวังหลวงเพื่อรอรับพระบรมราชโองการ เมื่อโปรดเกล้าฯสั่งอย่างไร เสนาบดีก็จะเรียกปลัดทูลฉลองไปจัดการอีกต่อหนึ่ง

    ปลัดทูลฉลองที่มีความสามารถเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย อาจได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ราชปลัดทูลฉลอง

    คำว่าออกนั้น ใช้กันมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นอย่างช้า อาจเลิกใช้ไปเมื่อปลายกรุงศรีอยุธยา จนเมื่อตั้งกรุงใหม่จึงเลิกไปเด็ดขาด


    ข้างบนเรียบเรียงจาก PANTIP.COM : K2872862



    และจากความรู้ของทางสายธาตุ

    ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพระคลังจะมีกรมท่าซ้าย-ขวา

    กรมท่าขวา จะเป็นขุนนางต่างชาติเชื้อสายเปอร์เซีย ตำแหน่ง จุฬาราชมนตรี

    กรมท่าซ้าย จะเป็นขุนนางต่างชาติเชื้อสายจีน โชฏึกราชเศรษฐี

    หากเจอที่ผิดตรงไหนโปรดแนะนำกันด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  16. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    เรื่องของครุฑดำครับ

    เรื่องราวของกลุ่มบุคคลที่รักชาติในสมัยที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก นับเป็นเรื่องที่ควรอ่านอย่างยิ่ง
    มิใช่เอาคำว่า'รักชาติ'มาใช้พล่อยๆแบบในปัจจุบันนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ คำว่า'รักชาติ'ยังมิเพียงพอสำหรับพวกเขาด้วยซ้ำไป

    - - - - -

    ในวันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2112
    กรุงศรีอยุธยาได้อัปปางลงด้วยความเข้มแข็งของพระเจ้าบุเรงนองหรือพระเจ้ากรุงหงสาวดี
    มหากษัตริย์แห่งพม่า
    ในระหว่างเวลา 2 เดือนกับ 10 วัน นับแต่วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ ถึงวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น 5 ค่ำ
    พระเจ้าบุเรงนองได้นั่งครองแผ่นดินไทย นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่กษัตริย์ต่างชาติมาครองแผ่นดิน
    ในกำแพงเมืองพวก'รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี'ก็พยายามผูกสันถวไมตรีกับพม่า ส่งพืชผลข้าวปลาให้แก่กองทัพพม่า
    พวกที่ถูกเกณฑ์ก็ส่งด้วยความจำใจ แต่ก็ยังมีพวกส่งเอาหน้า พวกนี้พยายามจะให้ของถวายเข้าถึงพระหัตถ์พระเจ้าบุเรงนองให้ได้
    มีเป็นอันมากที่ต้องการเฝ้า พอได้เห็นพระเจ้าบุเรงนองแค่ปลายเท้าก็คุยโวโอ้อวดกันว่าได้เข้าหาบุเรงนอง
    ภายในกำแพงพระนครฯเป็นความเสื่อมทุกๆทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางศีลธรรมและจิตใจ ถึงเวลาที่บ้านเมืองชะตาขาด
    ทุกอย่างก็วิปลาสแปรผัน อนาคตของชาติอยู่ในความมืดมน หาใครเป็นที่หวังยังไม่ได้ . . .

    บุรุษหนุ่มวัย 30 ปี มีบรรนาศักดิ์เป็นหลวงไกรพิชิต ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในในรัชสมัยของพระมหาจักรพรรดิตั้งแต่เยาว์
    เขาได้เห็นพม่าในบังคับบัญชาของพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้มาตีกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ 9 ขวบ ภาพมนการศึกครั้งนั้นได้ปั้นชีวิตจิตใจ
    ทำให้เขาสนใจพม่า ถึงกับพยายามหาทางศึกษาภาษาพม่าจนพูดได้ดี และอ่านหนังสือพม่าเข้าใจ สนใจตำราพิชัยสงคราม
    และวิขาการรบ ได้รับการเพลงอาวุธจากครูที่ดี เชี่ยวชาญการรบบนหลังม้า ฝีมือเป็นที่เลื่องลือในหมู่ทหารเอกของกรุงศรีฯ
    หลวงไกรพิชิจได้พยายามที่จะฝึกคนของเขาให้เป็นกองโจรที่สามารถ เพื่อที่จะปล้นพม่าระหว่างทาง หลวงไกรพิชิตได้ทดสอบ
    สมรรถภาพของคนเหล่านั้นด้วยการให้เข้าปล้นกองลำเลียงของพม่าหลายหนจนเลือกมือดีชนิดห
    ัวกระเด็นได้ 24 คน
    ซึ่งทั้งหมดได้สัก'ครุฑดำ'ไว้ที่หน้าอก และสาบานเป็นเพื่อนตายต่อกัน
    'เราไม่มีวิธีอื่นที่จะจัดการคนทรยศต่อชาติ นอกจากการสังหารเสีย' นี่เป็นหลักของครุฑดำ

    เมื่อแผ่นดินแห้งพอจะเดินทางกลับไปได้บุเรงนองก็สั่งให้ยกทัพกลับกวาดต้อนผู้คนในกรุ
    งศรีฯ
    ยอมให้มีคนเหลืออยู่เพียงหมื่นคน และมีทหารพม่าคุมอยู่ 3000 คน
    รวมทั้งอภิเษกพระมหาธรรมราชาขึ้นครองกรุงศรีฯ ในฐานะเป็นเจ้าประเทศราชของพม่า
    ก่อนพม่าจะออกจากกรุงศรีฯ นั้นเหล่าครุฑดำก็ได้เตรียมตัวพรักพร้อม และออกเดินทางล่วงหน้าไปพร้อมกับหลวงไกรพิชิต
    มาในทางที่คาดหมายว่าพม่าจะเดินทางผ่าน เพื่อหาโอกาสทำการที่อยากทำสักครั้งหนึ่ง

    . . . . . .

    แม้จะอยู่ในหมู่พม่า พระยาจักรีก็ไม่ได้มีฐานะชื่นชมเท่าใดนัก ยิ่งในระหว่างเดินทางด้วยแล้วก็เป็นเวลาที่พระยาจักรีอึดอัดที่สุด
    นอกจากพระเจ้าบุเรงนองซึ่งจำต้องให้ความอารักขาแก่ผู้สวามิภักดิ์แล้ว พวกพม่าไม่มีใครสักคนเดียวที่จะให้เกียรติแก่พระยาจักรี
    สำหรับคนไทยนั้นเป็นอันว่าเข้าหน้าไม่ติดดยที่พระยาจักรีเป็นคนพิเศษ ครุฑดำจึงมีแผนการที่ให้เกียรติเป็นพิเศษสักหน่อย คือ
    แทนที่จะเอาดาบฟันอกให้ตายในทีเดียว เขาต้องการเอาตัวมาเฆี่ยนหลัง เฆี่ยนไปจนตาย
    จึงจะสมเกียรติผู้ทรยศที่ยิ่งใหญ่เช่นพระยาจักรี
    จะว่าโชคอำนวยหรือพม่าไม่ไยดีทั้งสองอย่าง ครุฑดำก็สามารถเข้าถึงตัวพระยาจักรีได้สำเร็จ โดยปราศจากอุปสรรค
    หลังจากกลุ่มครุฑดำพาตัวพระยาจักรีไปได้แล้วนั้น ฝ่ายทหารพม่าที่ยืนงงงวยอยู่นั้นก็วิ่งไปกระชากดาบที่หลวงไกรพิชิต
    ขว้างไปปักไว้ที่ต้นไม้นำหนังสือที่ผูกติดดาบไปส่งให้ตัวนาย ซึ่งก็ส่งต่อไปจนถึงบุเรงนอง
    ใจความสำคัญในนั้นก็เป็นการกล่าวให้เห็นว่าพวกเขาจะนำตัวพระยาจักรีไปเฆี่ยนหลังจนตา
    ย ในฐานะที่เป็นผู้ทรยศ
    ซึ่งพวกเขายอมรับไม่ได้อย่างมาก ซึ่งถีงแม้ว่าพระเจ้าบุเรงนองจะทงเห็นใจแก่กลุ่มครุฑดำ แต่เมื่อพระองค์ลั่นวาจาจะคุ้มครองอุปถัมภ์ผู้ใดก็ต้องรักษาให้มั่น จึงทรงขอให้ครุฑดำคืนตัวพระยาจักรีมามิเช่นนั้นจะตัดหัวเชลย 100 คนเป็นการทดแทน
    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกพวกเขาต้องคืนตัวพระยาจักรีให้ เพราะทุกคนรู้ดีว่าบุเรงนองเป็นคนพูดจริงทำจริง

    ครุฑดำได้เลือกกองเชลยกองสุดท้ายเป็นที่เข้ากระทำการ เมื่อได้นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วก็พากันไต่เขาและค่อยๆซุ่มลงไปปะปน กับเชลยคนอื่นๆ กระโดลงไปทีละคนสองคน จนทั้งหมด 25 คน ก็เข้าไปอยู่ในนั้นกันจนหมด
    ในการเดินทางวันนั้นทั้งวันพวกครุฑดำก็ได้กระซิบกันว่า "คืนนี้สองยาม" พวกที่รู้เรื่องก็กระซิบกันต่อๆ ไป
    พวกที่ไม่รู้ก็กระซิบกันต่อไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ "คืนนี้สองยาม คืนนี้สองยาม" เป็นเสียงที่กระซิบกันตลอดการเดินทางในวันนั้น
    พอสองยามตรง ครุฑดำก็ลงมือ ด้วยความว่องไวและพรักพร้อม พวกยามพม่าที่เดินตรวจตราก็โดนอุดปากมัดกลิ้ง
    พวกเชลยชาวไทยที่เป็นชายฉกรรจ์เห็นตัวอย่างก็เอาบ้าง ยามที่เดินตรวจตราตอนกลางๆ ถูกคว้าคอ อุดปากมัดกลิ้งไปเป็นแถว
    เมื่อยามโดนจัดการเสร็จหมดแล้ว บรรดาเชลยก็ค่อยๆคลานออกมาอย่างเงียบเชียบ พอเห็นว่าพ้นสายตาพม่าแล้ว
    ก็ลุกขึ้นเดินบ้างวิ่งบ้างไปตามทางที่ผ่านมาเมื่อกลางวัน
    หลวงไกรพิชิตเชื่อว่า เชลยที่พวกเขาช่วยออกมาได้นั้นต้องมีจำนวนราวหมื่นคน

    การที่คนไทยนับหมื่นกลับคืนมานั้น ประหนึ่งดุจสายฟ้าฟาดลงกลางหลังพวกมุขอำมาตย์ที่กำลังรุ่งเรือง
    เพราะคนที่กลับมาก็ต่างกลับบ้านเรือนของตน ครั้นเห็นว่ามีคนมาอยู่ก็ขับไล่ออกไป บางรายละอายใจก็ออกไปโดยดี
    แต่บางรายถึงขั้นทะเลาะวิวาทก็มี เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากพม่า พม่าก็ได้แต่ตอบไปว่าไม่มีหน้าที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนไทย ครั้นจะไปขอให้คนไทยช่วยก็เห็นทีจะไม่ได้ พวกมุขอำมาตย์เหล่านั้นจึงต้องถอนคนของตนออกมาจากจากที่ดิน

    หลวงไกรพิชิตกับเพื่อนอีก 9 คน(รวมทั้งหมด 10 คน จากเดิม 25 คน กล่าวคือครุฑดำตายไปในการปฎิบัติครั้งนี้ 15 คน)
    พากันเดินทางมาอย่างช้าๆไม่รีบร้อน พอมาถึงสุพรรบุรีก็พบข้าราชการไทยราว 30 คน อาวุธครบมือ
    ผู้เป็นหัวหน้าอ้างตัวเป็นข้าหลวงพิเศษ ออกมาต้อนรับหลวงไกรพิชิตและคณะ เนื่องจากทำคุณประโยขน์
    โดยการช่วยเหลือเชลยไทยนับหมื่นคนกลับมาได้ การเดินทางต่อมาได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง จนถึงกรุงศรีฯ
    ก็มีคนมาบอกว่าท่านเสนาบดีผู้ใหญ่อยู่ที่เรือนจำ และอยากพบกลุ่มครุฑดำโดยร็ว ข้าหลวงพิเศษก็นำตัวครุฑดำไปที่เรือนจำ
    ถึงแม้จะแปลกอยู่บ้างแต่เหล่าครุฑดำก็ไม่ได้เฉลียวใจ แต่ภายหลังประตูใหญ่เรือนจำปิดลง พวกเขาก็รู้ตัวว่าถูกจับ
    และในชั่วเวลาเล็กน้อยพวกเขาก็ถูกจองจำในโว่ตรวน เครื่องพันธนาการอย่างหนักในที่เดียวกัน
    คราวนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการที่ช่วยคนทั้งหมื่นกลับมานั้นเป็นโทษอาญา
    ถึงแม้หลวงไกรพิชิตจะเชื่อมั่นว่า คนที่ถูกช่วยกลับมาทั้งหมื่นนั้นจะมาพังคุกช่วยพวกเขาออกไป . . .
    แต่ก็ไม่มีแม้คนมาเยี่ยม หรือถามข่าวพวกเขา จะมีก็แต่อาของหลวงไกรพิชิต...ขุนนคร เพียงคนเดียวเท่านั้น
    เขาถูกจองจำอยู่หลายเดือนก็ถูกนำตัวออกมาขำระคดีความ และหลวงไกรพิชิตก็ถูกตัดสินประหารชีวิต
    ถึงแม้ครุฑดำที่เหลืออีก 9 คนจะร้องขอโทษอย่างหลวงไกรพิชิตบ้างก็มิเป็นผล พวกเขาได้เพียงโทษจำคุกคลอดชีวิตเท่านั้น

    พระนเรศวรมหาราชทรงคิดการอยู่ตลอดเวลาที่จะกู้อิสรภาพของไทยคืน จึงทรงรับอาสาขึ้นไปครองพิษณุโลก
    และทูลขอให้พวกครุฑดำทั้ง 9 คนพ้นโทษ และให้มารับตำแหน่งในกองม้า ทรงตั้งให้ครุฑดำที่อาวุโสที่สุดเป็นหลวงไกรพลแสน
    4 คนในอยู่ในกองม้าเกราะและให้บรรดาศักดิ์เป็นขุนวิไชยอัศวเดช ขุนวิเศษอัสดร ขุนศรีอัศวราช ขุนชาติอาชาไนย
    อีก 4 คนให้อยู่ในกองม้าแซง มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนดุรงสงคราม ขุนรามอัศดร ขุนสุนทรนินธน ขุนลพพาชีชาติ
    ทั้ง 9 คนนี้เป็นทหารม้าอยู่ใกล้ชิดพระองค์

    พอข่าวนี้แพร่ออกไปก็มีครุฑดำโผล่ขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง ใครๆก็เป็นครุฑดำ อ้างกันอย่างโน้น อย่างนี้
    เมื่อรวบรวมจำนวนเข้าก็มากกว่าจำนวนครุฑดำจริงๆหลายสิบเท่า ทุกคนมาร้องขอตำแหน่งอย่างครุฑดำแต่ไม่มีใครได้
    เป็นอันว่าไม่รับใครเพิ่มอีก

    ในระหว่างประจำที่พิษณุโลกครุฑดำทั้ง 9 ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกองทหารใหม่ กองทหารที่อยู่ใต้การฝึกฝนของครุฑดำ
    ทั้ง 9 นับว่าเป็นกองทหารม้าที่ดีเลิศที่สุดในยุคนั้น และได้ทำการรบอย่างสำคัญมาทุกคราว

    ภายหลังประกาศอิสรภาพของไทยในปี พ.ศ.2127 และพระนเรศวรกลับมาประทับที่กรุงศรีฯแล้ว
    ครุฑดำทั้ง 9 ก็ขอให้อนุญาตินำศพหลวงไกรพิชิตขึ้นไปเก็บไว้บนหน้าผาที่เตรียมไว้ พระนเรศวรทรงพระอนุญาติ
    และประทานความอุปถัมภ์ทั้งกำลังช้างม้า ไพร่พลและช่างศิลป์ที่เชี่ยวชาญไปทำสถานที่ต่อจากที่ทำไว้แล้วจนสำเร็จอย่างงดงาม

    ที่มา ; จากหนังสือ เทิดเกียรติขุนพลแก้ว แผ่นดินสยาม โดย'หลักแก้ว'
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สาธุ ขอบพระคุณคุณไก่เหลืองหางขาว ครับ


    -ขอคารวะและรำลึกถึงคุณหลวงไกรพิชิต และสมาชิกหน่วยครุฑดำทุกท่าน

    ครับ
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ่านแล้วน้ำตาซึมค่ะ ขอกราบคารวะดวงวิญญาณออกหลวงไกรพิชิตค่ะ

    คุณไก่เหลืองฯมีความรู้เรื่องนี้จริงๆด้วย ไม่เคยได้อ่านมาก่อนเลยค่ะ

    หนังสือ เทิดเกียรติขุนพลแก้ว แผ่นดินสยาม โดย'หลักแก้ว'<!-- google_ad_section_end --> หาซื้อได้ที่ไหนค่ะ

    สนใจ สนใจ สนใจ

    ป.ล. ทางสายธาตุไม่ใช่นักเขียน อ่านบทความนี้แล้วเพิ่งจะรู้ว่าเขียนให้คนอื่นอ่านรู้เรื่องจะต้องเขียนอย่างไรค่ะ
     
  19. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ก้อหาจาก google นะครับ เผอิญว่าเจอเท่านั้นเอง อิ อิ
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466


    ลองเข้าไปที่ www.aroonprinting.com ดูนะครับอาจพอได้เบาะแสบ้าง

    ชุดที่ผมมีอยู่(ได้รับจากท่านหลักแก้ว) เป็นชุดคลังแห่งปัญญา รากแก้วของ

    แผ่นดิน ซึ่งไม่มีเรื่องนี้อยู่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...